ผู้หญิงที่ทำงานเก่งและประสบความสำเร็จทุกอย่างในชีวิต แต่กลับประสบอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด แล้วตื่นขึ้นมาในร่างของ “หลินจิ่วเอ๋อร์” ภรรยาคนที่สองของแม่ทัพซูเหยียนในทันทีที่นางเปิดตาขึ้นในร่างนี้...
ผู้หญิงที่ทำงานเก่งและประสบความสำเร็จทุกอย่างในชีวิต แต่กลับประสบอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด แล้วตื่นขึ้นมาในร่างของ “หลินจิ่วเอ๋อร์” ภรรยาคนที่สองของแม่ทัพซูเหยียนในทันทีที่นางเปิดตาขึ้นในร่างนี้...
บทที่ 1 การพิสูจน์ตัวตน
เสียงหวีดหวิวของลมหนาวพัดผ่านเข้าไปในซอกหิน ท่ามกลางท้องฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยเมฆสีเทาทึบ
หลินจิ่วเอ๋อร์ยืนอยู่ที่หน้าผา พลางกวาดสายตามองภูเขาที่ทอดยาวออกไปสุดสายตา หัวใจของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกสับสนและเหนื่อยล้า ราวกับมีความทรงจำบางอย่างที่ไม่ใช่ของตนเองกำลังก่อตัวขึ้น
นางไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้มาอยู่ที่นี่ ที่โลกโบราณแห่งนี้ หรือในร่างของหญิงที่ถูกสามีทอดทิ้ง นางเพียงจำได้ว่าในโลกปัจจุบัน นางเป็นผู้บริหารหญิงที่ทำงานในกรมททหาร มีตำแหน่งเป็นถึงรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด
ผู้หญิงที่ทำงานเก่งและประสบความสำเร็จทุกอย่างในชีวิต แต่กลับประสบอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด แล้วตื่นขึ้นมาในร่างของ “หลินจิ่วเอ๋อร์” ภรรยาคนที่สองของแม่ทัพซูเหยียน
ในทันทีที่นางเปิดตาขึ้นในร่างนี้... ภาพความทรงจำของหลิน-จิ่วเอ๋อร์ก็หลั่งไหลเข้ามา
ชีวิตที่เต็มไปด้วยการถูกปฏิเสธจากสามี การถูกเหยียดหยามจากคนในจวนแม่ทัพ และความหวังอันเลือนลางที่จะได้รับความรักจากชายที่ไม่เคยหันมามองนางเลย
“ทำไมชะตาชีวิตถึงต้องเล่นตลกเช่นนี้…” นางพึมพำกับตัวเอง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหดหู่ พลางกำมือแน่น
หลินจิ่วเอ๋อร์ในร่างปัจจุบันมองเงาสะท้อนของตนเองในสายน้ำ ความอ่อนแอและความทุกข์ใจ ที่อดีตท่านของร่างนี้สะสมมานานยังคงปรากฏให้เห็นชัดเจน
“หลินจิ่วเอ๋อร์คนนั้นอาจจะยอมรับโชคชะตาเช่นนี้... แต่ข้าไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่าย ๆ”
นางหลับตาลงและสูดหายใจเข้าลึก การเดินทางครั้งใหม่นี้ แม้ว่าจะยากลำบาก แต่นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องทนทุกข์ทรมานเช่นเดียวกับหลินจิ่วเอ๋อร์คนเดิม
นางสาบานว่าจะแก้ไขทุกอย่าง เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตที่ถูกขีดไว้ และจะทำให้ซูเหยียนหันมามองเห็นคุณค่าของตน
เวลาล่วงเลยผ่านไป
ในจวนแม่ทัพตระกูลซู ความเงียบสงบกลับเต็มไปด้วยความเย็นชาของผู้คนในบ้าน ทุกคนต่างรู้ดีว่าหลินจิ่วเอ๋อร์เป็นเพียงภรรยาที่สองที่ไม่มีค่าในสายตาของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่
นางนั่งอยู่ในห้องพักของตน สายตามองออกไปยังสวนที่อยู่ภายนอก ขณะเดียวกันความคิดมากมายก็วิ่งผ่านในหัว นางรู้ว่าหากจะเปลี่ยนแปลงชีวิตในโลกนี้ นางต้องเริ่มจากการวางแผนอย่างรอบคอบ
“ซูเหยียน... ท่านจะไม่ยอมรับข้า แต่ข้าจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกละเลยอีกต่อไป” นางพูดด้วยความมั่นใจ แม้ว่าจะรู้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเปลี่ยนแปลงใจของท่านแม่ทัพที่ไม่เคยสนใจตน แต่นางจะไม่ยอมแพ้
เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังก้องผ่านทางเดินยาวที่ทอดไปสู่ห้องโถง แม่ทัพซูเหยียนเดินเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากภารกิจทหาร แววตาของเขาคมกริบและเย็นชา เขาเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้รับการเคารพนับถือจากทหารและคนทั่วไป
แต่ในเรื่องส่วนตัว เขาไม่เคยสนใจหลินจิ่วเอ๋อร์ หรือให้คุณค่ากับภรรยาคนที่สองเลย เพราะนางเป็นลูกสาวของอำมาตย์หลินตู้ ที่มักใหญ่ใฝ่สูง เป็นคนสนิทของฮ่องเต้ ในสายตาของแม่ทัพซู คนอย่างอำมาตย์หลินทำงานด้วยปาก
พระราชทานสมรสฮูหยินแม่ทัพคนที่สอง โดยแม่ทัพซูได้รับลูกสาวคนโตของอำมาตย์หลินให้มาตบแต่ง แม้จะเป็นอนุภรรยาก็ยอม ซึ่งแม่ทัพซูเกลียดนัก การที่เอาลูกสาวมาผูกติดกับเขาเท่ากับว่า เพิ่มอำนาจให้กับอำมาตย์หลินไปอีกมาก
“ท่านแม่ทัพซูกลับมาแล้วหรือ?” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลัง เป็นเสียงของเสี่ยวถิงถิง คนรับใช้สาวที่คอยรับใช้เขา และเป็นต้นห้องของฮูหยินซูเหม่ยลี่ ฮูหยินเอกของเขา
“อืม” เขาตอบรับสั้น ๆ โดยไม่หันไปมอง เสี่ยวถิงถิงรีบหายตัวไปทันที เพราะต้องไปรายงานและสอพอนายหญิงของตน
ในจังหวะที่เขากำลังจะเดินผ่านห้องของหลินจิ่วเอ๋อร์ สายตาของเขาก็เหลือบเห็นเงาร่างของนาง ที่กำลังนั่งอยู่ในห้อง นางยังคงเหมือนเดิมสงบและเงียบเฉย
แต่วันนี้พอเขาได้สบตากับนาง ก็มีบางอย่างในแววตาของนางที่ต่างออกไป... ทำให้เขาชะงัก
เขาหันไปมองนางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินต่อไปโดยไม่พูดอะไร แต่ความรู้สึกที่เห็นแววตาแน่วแน่ของนางยังคงติดอยู่ในใจ
ในค่ำคืนนั้น หลินจิ่วเอ๋อร์นั่งอยู่ที่โต๊ะเล็กภายในห้อง สายตาจ้องมองไปยังแผนการที่นางวาดขึ้นมา บนกระดาษมีคำจารึกถึงการวางแผนเพื่อเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตนเอง
นางรู้ดีว่า... หากต้องการให้ซูเหยียนหันมามอง นางต้องพิสูจน์คุณค่าของตน แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เริ่มที่การพยายามทำให้เขารักนางในทันที นางรู้ว่าแม่ทัพซูเหยียนเป็นคนที่มองเห็นคุณค่าจากความสามารถและความแข็งแกร่ง
ไม่ใช่ความงามหรือการอ้อนวอน นางจะใช้ความรู้จากโลกปัจจุบันมาเป็นประโยชน์ในการวางแผนทั้งในเรื่องการเมือง การค้าขาย และการทหาร เพื่อทำให้เขาเห็นว่านางไม่ใช่เพียงภรรยาที่ไร้ค่า
แต่ถ้าทำให้เขามองเห็นตนเองอยู่ในสายตาของเขาให้ได้ อีกอย่างความต้องการของนางนั้น หากทำสำเร็จ...
หลินจิ่วเอ๋อร์จะขอหย่า... กับท่านแม่ทัพซู
หลายวันต่อมา ในยามเช้าที่จวนแม่ทัพตระกูลซู ที่ห่างจากชายแดนของหลงซาน กับอีกสองแคว้น คือ... แคว้นถังหยุน และแคว้นซงเถา
หลินจิ่วเอ๋อร์เริ่มต้นวันใหม่ด้วยการทำกิจวัตรที่เงียบสงบ นางพยายามปรับตัวให้เข้ากับชีวิตในโลกนี้ และเริ่มเรียนรู้รายละเอียดของบ้านเมืองที่แตกต่างไปจากยุคปัจจุบัน
ก่อนอื่นนางคิดว่า นางต้องรู้จักกับทุกคนในจวนแม่ทัพเสียก่อน ว่าใครดีกับนาง ใครร้ายกับนาง นางจะได้ระมัดระวังตัว
ในทุกย่างก้าวของนางต้องเป็นไปอย่างรอบคอบ นางค่อย ๆ ทำความรู้จักกับผู้คนในจวนแม่ทัพ เริ่มสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับบ่าวไพร่ และผู้ติดตามของแม่ทัพ นางวางแผนทุกอย่างอย่างระแวดระวัง เพื่อทำให้ตัวเองเป็นที่ยอมรับ
บ่าวไพร่ต่างเริ่มสงสัยในการเปลี่ยนแปลงของหลินจิ่วเอ๋อร์ บางคนเห็นว่า นางเริ่มมีความมั่นคงทางอารมณ์มากขึ้น และไม่ได้พยายามอ้อนวอนสามีเหมือนแต่ก่อน
เพราะด้วยความเป็นบุตรสาวคนโตของอำมาตย์หลินตู้ ทำให้นางถูกเลี้ยงมาแบบตามใจ ตอนที่แม่ทัพซูได้รู้ว่าเป็นนาง เขายังไม่อยากจะเข้าใกล้
อนึ่งหลินจิ่วเอ๋อร์ชอบเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และยังชอบเล่นหูเล่นตาแพรวพราว ไม่มีจริตของลูกสาวของผู้รากมากดีเสียเลย ทำให้เขานึกคำปฏิเสธมากมาย แต่พอจะไปพูดดับฮ่องเต้ อำมาตย์หลินตู้ที่เก่งเรื่องวาทศิลป์ก็พูดดักทางแม่ทัพซูทุกทาง
ขนาดเขาบอกว่า แต่งงานกับเขาต้องไปอยู่ชายแดน...
หลินจิ่วเอ๋อร์ยังพร้อมที่จะมา เมื่อก่อนนางจะสู้รบและสร้างความรำคาญใจให้กับทั้งแม่ทัพซู และฮูหยินเอกซูเหม่ยลี่เสมอ จนอยากจะไล่นางออกไปจากชีวิตทั้งสองคน
ทว่าเหม่ยลี่ก็เป็นถึงบุตรสาวคนสุดท้องของราชครูถังเถียนหรง ทำให้เขาแทบกระดิกไม่ได้ ใจของแม่ทัพมีเมียทั้งที่ไม่ได้รักทั้งสองคน ทำให้อยู่กับพวกนางแบบไปวัน ๆ และเอาหูเอาตาของเขาไปติดกับงานในกองทัพอย่างเดียว
หลินจิ่วเอ๋อร์ตระหนักได้ เพราะความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมกลับมาแล้ว
“ข้ารู้ดีว่าท่านแม่ทัพไม่สนใจข้าหรอก แต่สักวันหนึ่งท่านจะต้องหันมามองข้า” นางพึมพำกับตัวเอง พลางยิ้มเล็กน้อย
นางตั้งใจจะทำให้ชีวิตในโลกนี้เป็นไปในทิศทางที่นางต้องการ แม้ว่าเส้นทางนี้จะยากลำบากเพียงใดก็ตาม ในโลกปัจจุบันนางไม่เคยเป็นสองรองใคร แต่ดันมาเป็นเมียน้อย แบบนี้เสียชื่อจริง ๆ
เมื่อความจำเป็นนำพา เบลล่า ฟรานเซนโก้ นางแบบสาวให้มาพัวพันกับความอันตรายของซีนอล ออตโตนี มาเฟียหนุ่ม ผู้ทรงอำนาจแห่งลากูนผู้ไม่เคยยอมให้ใครก้าวล้ำเข้ามาในโลกส่วนตัว ต้องยื่นมือช่วยเหลือเธอ...
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
เจ้าของร่างเดิมถูกท่านย่าตัวเอง ขายให้ชายพิการด้วยเงินเพียงห้าตำลึง จึงคิดสั้นไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทำให้วิญญาณของเซี่ยซือซือทะลุมิติมาเข้าร่างแทน ชีวิตในโลกนี้บิดามารดาล้วนตายไปแล้ว เหลือเพียงน้องสาวกับน้องชายร่างกายผอมแห้งหิวโซสองคน เธอต้องช่วยพวกเขาให้รอด ก่อนจะถูกคนชั่วพวกนี้ขายทิ้งไปแบบเธอ 1 : ทะลุมิติ แคว้นจ้าว หมู่บ้านตระกูลแซ่อวี่ ภายในบ้านสกุลเซี่ย “ท่านพี่รีบกินเร็วเข้า” เสียงเด็กเล็กดังก้องอยู่ข้างหูอย่างน่ารำคาญ ว่าแต่ฉันมีน้องชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รู้สึกได้ถึงอะไรแข็ง ๆ มาแตะที่ริมฝีปาก ทว่ายังลืมตาไม่ขึ้น “ท่านพี่กินสิ ๆ” เซี่ยซือซือรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะ พยายามที่จะเปิดดวงตาขึ้นมอง เจ้าของเสียงเล็ก ๆ ด้านข้าง “ท่านพี่ ๆ ท่านพี่อย่าตายนะ ลืมตาสิท่านพี่” “นังตัวดีออกมาเดี๋ยวนี้นะ !” เสียงเอะอะโวยวายดังหนวกหูเซี่ยซือซือเป็นอย่างมาก ปัง ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อย ๆ เซี่ยซือซือลืมตาขึ้นจนได้ พลันสมองกลับมีเรื่องราวพรั่งพรูเข้ามาไม่ขาดสาย จนต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด อ๊าก ! “พี่รอง !” เด็กน้อยเซี่ยซือหยางในวัยสามหนาวเรียกพี่สาวพร้อมเบะปากอยากร้องไห้ “ท่านพี่ !” เซี่ยซานซานทิ้งบานประตูที่ตัวเองดันไว้ หันกลับมาดูพี่สาวด้วยความตกใจ “ท่านพี่ ๆ ท่านเป็นอะไร อย่าทำให้พวกข้าตกใจสิท่านพี่ !” ผลัวะ ! มีคนถีบประตูบานเก่าผุพังเข้ามาภายในห้อง เด็กทั้งสองรีบเข้าไปขวางผู้บุกรุกไม่ให้ทำร้ายพี่สาว แม่เฒ่าเซี่ย เซี่ยจิ่วเม่ย หน้าตาแลดูดุร้าย ไม่ใช่หญิงชราใจดีแต่อย่างใด ด้านหลังของแม่เฒ่าเซี่ยยังมีลูกสะใภ้บ้านใหญ่ กับบ้านรองเดินตามมา ท่าทางดุดันเอาเรื่อง “ไอ้พวกบ้านสามตัวดี กล้าลักขโมยอาหารเอาไว้กินเอง ยังเห็นแม่เฒ่าอย่างข้าอยู่ในสายตาหรือไม่ ไอ้พวกหมาป่าตาขาว ดูซิวันนี้ข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร” “ท่านย่าพวกข้าไม่ได้ขโมยนะ นี่เป็นหมั่นโถวของท่านพี่ ท่านพี่ไม่สบายข้าแค่เก็บไว้ให้ท่านพี่เท่านั้นเอง” เซี่ยซานซานยังเป็นเด็กหญิงวัยสิบหนาว แต่นางข่มความกลัวตอบโต้ผู้ใหญ่ในบ้านออกไป “หึ กฎบ้านก็มีบอกอยู่แล้วถ้าพลาดมื้ออาหารไปก็คืออด แต่พวกเจ้ากลับแหกกฎ แอบยักยอกอาหารเก็บไว้กินเอง ยังมีหน้ามาเถียงท่านแม่อีก ท่านแม่ท่านต้องลงโทษคนบ้านสามนะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ยอมจริง ๆ ด้วย ตอนนั้นยวี่เฟยของข้านางได้พลาดมื้อเย็นไป ท่านก็ไม่ให้นางกินนะเจ้าคะ” สะใภ้บ้านรองนามว่าจงอี้ซิน ย้อนรำลึกถึงเรื่องลูกสาววัยแปดปีของตัวเองขึ้นมา “ดูเจ้าเด็กพวกนี้สิท่านแม่ กางแขนปกป้องพี่สาวตัวเอง ช่างน่าสมเพชไม่รู้จักสำเหนียกกำลังตัวเอง ถุย !” หลินพ่านเอ๋อสะใภ้บ้านใหญ่มองดูเด็กทั้งสองพร้อมถ่มน้ำลายใส่ตรงหน้า แม่เฒ่าเซี่ยมองลูกสะใภ้ทั้งสองสลับกันไปมา เดินตรงไปกระชากหมั่นโถวเย็นชืดแถมแข็งปานหิน ออกจากมือของเซี่ยซือหยาง “แง ๆ ๆ” เด็กน้อยถูกแย่งของกินของพี่สาวไป ถึงกับแผดเสียงร้องลั่น “เจ้าคนชั่ว ! เอามานะ ของท่านพี่ข้า” กำปั้นน้อย ๆ ทุบไปยังต้นขาของแม่เฒ่เซี่ย “เจ้าเด็กเนรคุณกล้าตีข้ารึ นี่นะ !” แม่เฒ่าเซี่ยเตะทีเดียวเซี่ยซือหยางก็กระเด็นไปติดกับผนังห้อง “น้องเล็ก !” เซี่ยซานซานรีบวิ่งไปอุ้มน้องชายขึ้นมากอดไว้ด้วยความตกใจ “ท่านย่า น้องเล็กยังเด็กไม่รู้ความ เหตุใดท่านถึงได้ใจร้ายเช่นนี้” “แง ๆ ๆ” เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยฟังแล้วน่าสงสารจับใจ ดวงตาที่ปิดไว้ก่อนหน้าของเซี่ยซือซือ ลืมขึ้นหลังจากค้นพบว่า ตัวเองได้ทะลุมิติมายังอดีตอันไกลโพ้นแล้วจริง ๆ หลังจากหลับตาลืมตาอยู่หลายหน เรียบเรียงความคิดที่ไหลเข้ามาไม่ยอมหยุด เมื่อค่อย ๆ จัดการกับมันได้ ความเจ็บปวดที่ศีรษะก่อนหน้าจึงบางเบาลง และมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเฉยชา ครบสูตรของการทะลุมิติจริง ๆ มีท่านย่าผู้ชั่วร้าย ขนาบข้างด้วยป้าสะใภ้เลวทั้งสอง ครั้นหันไปมองน้องสาวในวัยสิบขวบของตัวเองกับน้องชายตัวน้อย ทั้งตัวดำเมี่ยมเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเดือน ร่างกายผอมแห้งเหลือแต่กระดูก เสื้อผ้าเก่าขาดมีรอยปะชุนเต็มไปหมด เส้นผมแห้งกรังเหมือนไม่ผ่านน้ำมานาน ยกมือของตัวเองขึ้นมาดู ไม่ได้มีสภาพต่างกันแม้แต่น้อย ครั้นเงยหน้ามองป้าสะใภ้ใหญ่ร่างกายอวบอ้วนเต็มไปด้วยก้อนไขมัน ป้าสะใภ้รองแม้ไม่ได้อ้วนแต่ก็ไม่ได้ผอม ยิ่งแม่เฒ่าเซี่ยด้วยแล้ว ร่างกายบึกบึนเหมือนคนกินดูอยู่ดีมาตลอด “ท่านแม่ดูอาซือมองท่านสิเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่เห็นสายตาเย็นเยียบของคนที่นอนอยู่บนเตียงก็อดแปลกใจไม่ได้ ดูเยือกเย็นจนไม่น่าไว้ใจ “เจ้าอย่าคิดว่ากระโดดน้ำตายแล้วทุกอย่างจะจบนะอาซือ ข้ารับเงินคนบ้านถานมาแล้ว ถ้าเจ้าตายข้าจะให้อาซานไปแทนเจ้า” คำพูดของแม่เฒ่าเซี่ยทำให้ดวงตาของเซี่ยซือซือเบิกกว้าง ท่านย่าของนางขายนางให้คนบ้านถานในราคาแค่ห้าตำลึง เจ้าของร่างเดิมไม่อยากไปเป็นเมียคนพิการ เลยไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทว่าเธอที่มาจากยุคปัจจุบันกลับเข้ามาแทนที่เจ้าของร่างนี้ เจ้าของร่างเดิมว่ายน้ำไม่เป็น จึงได้ขาดอากาศตายใต้น้ำ แต่เธอที่เข้ามาสวมร่างกลับพาร่างนี้ขึ้นมาจากน้ำได้ โชคชะตาคงเล่นตลกให้เธอกับเจ้าของร่างเดิมมีชื่อเดียวกัน “ท่านย่าอาซานยังเด็กนัก ท่านอย่าได้ทำเช่นนั้นเลย” นานมากกว่าที่นางจะเอ่ยออกมา “มันอยู่ที่เจ้าอาซือ ข้าขอเตือนเอาไว้ อีกสองวันคนบ้านถานจะมารับตัวเจ้าแล้ว อย่าให้เกิดเรื่องขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งอาซานไปแทนเจ้า แล้วขายซือหยางทิ้งเสีย” แม่เฒ่าเซี่ยจ้องหน้าเซี่ยซือซือแบบอาฆาต เด็กนี่ก่อนหน้าดูอ่อนแอไร้ทางสู้ ทำไมวันนี้ถึงได้ดูแปลกตาไปนัก “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านจะลงโทษคนบ้านสามเรื่องหมั่นโถวนี่อย่างไรเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่ยังไม่ยอมปล่อยสามพี่น้องไปง่าย ๆ “พรุ่งนี้งดอาหารบ้านสาม” แม่เฒ่าเซี่ยเอ่ยแล้วหันหลังเดินออกจากห้องของเด็กน้อยทั้งสามไป โดยมีสะใภ้ใหญ่เดินตามไปด้วย “พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม จำใส่หัวเอาไว้ดี ๆ ด้วยล่ะ” สะใภ้รองหมุนตัวตามหลังไปติด ๆ “ท่านพี่ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ข้ากับน้องเล็กจะทำอย่างไร ถ้าท่านไม่อยู่” เซี่ยซานซานปล่อยเสียงร้องไห้ในทันที
เพียงดื่มน้ำชาจอกแรกที่ผู้เป็นมารดาเลี้ยงมอบให้ซุนฮวาก็กลายเป็นสตรีร้ายกาจ ปีนขึ้นเตียงท่านอ๋องผู้เป็นคู่หมายของน้องสาวจำใจกล้ำกลืนสถานะพระชายาตัวแทนเป็นเพียงเงาของผู้อื่นในสายตาของสวามี
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
หลินตงหยาง อายุ 27 ปี เติบโตมากับแม่เพียงสองคน ในวัยเด็กหลินตงหยางเคยมีพ่อผู้ให้กำเนิดแต่หลังจากที่พ่อได้งานใหม่ในเมืองหลวงพ่อที่เคยมีก็ไม่มีอีกแล้ว พ่อกลับมาหย่าขาดกับแม่ทันทีที่ไปทำงานในเมืองหลวงได้เพียง 2 เดือน ด้วยให้เหตุผลในการหย่าว่า แม่กับและเขาคือตัวถ่วงความเจริญในชีวิตพ่อ สาเหตุก็ไม่มีอะไรมากแค่พ่อหน้าตาหล่อเหลาและเป็นที่ถูกใจของลูกสาวหัวหน้างาน เพื่อตำแหน่งงานและความเป็นอยู่ที่สบายขึ้น พ่อเลือกที่จะทิ้งภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่ผ่านเรื่องยากลำบากมาด้วยกัน หย่าขาดกับภรรยาเพื่อไปแต่งงานใหม่ มีชีวิตใหม่ในเมืองหลวง โดยทิ้งคนข้างหลัง ทิ้งภรรยาที่เคยสาบานว่าจะอยู่ครองคู่กันตลอดไป ในปีที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัย แม่ก็ล้มป่วยและจากเขาไปในที่สุด สาเหตุที่หลินตงหยางเสียชีวิต เพราะทำงานหนัก อาชีพโปรแกรมเมอร์ตัวเล็กๆ อย่างเขา ต้องพยายามทำงานให้ได้ตามที่หัวหน้าสั่งมา ในที่สุดเขาก็พัฒนาเกมกำลังภายในของบริษัทได้สำเร็จ หลินตงหยางนอนหลับไปด้วยความสบายใจ แต่ทว่าพอเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที นี่ไม่ใช่คอนโดหรูย่านใจกลางเมืองปักกิ่ง หลังคามุงหญ้านี่คืออะไร มันควรจะเป็นเพดานสีขาวสิ เมื่อมองไปรอบๆ ห้องนี่คืออะไร นี่มันไม่ใช่ผนังที่ทำมาจากคอนกรีต มันคือดินเหนียว หลินตงหยางคิดว่าตัวเองฝันไป เขาหลับตาลงอีกครั้งแล้วลืมตาขึ้น ทุกอย่างยังเหมือนเดิม มารดามันเถอะ เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไมไ่ด้ฝัน ตอนนั้นเองเขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง และในหัวของเขามีภาพเหตุการณ์ของเด็กชายที่ชื่อเดียวกับเขา หลินตงหยาง อายุ 10 ขวบ เรื่องราวชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายไปของเด็กชาย ทำเอาหลินตงหยางกำมือแน่น ก่อนจะสบถออกมา “พ่อสารเลว เฉินซื่อเหม่ยชัดๆ” และตามมาด้วยเสียงร้องไห้ของน้องสาว สาเหตุที่เด็กชายหลินตงหยางเสียชีวิต เพราะถูกผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นย่าแย่งผักป่าและทุบตี ทั้งๆ ที่คนพวกนั้นได้ตัดขาดพับพวกเขาสามแม่ลูกแล้ว แต่ยังมิวายข่มเหงรังแก
ในชีวิตชาติที่แล้ว เพื่อช่วยรักแรกของตัวเอง คนชั่วสามคนได้ทำลายพลังการต่อสู้ของนาง ตัดแขนขาของนางออก ตัดเส้นเลือดของนางและปล่อยเลือดของนางไหลออกมาทั้งอย่างนั้น และทรมานนางจนตาย เมื่อเกิดใหม่ครั้งนี้ นางวางแผนอย่างรอบคอบ โดยสาบานว่าจะให้พวกเขาได้สัมผัสกับความทุกข์ทรมานที่นางเคยประสบมา! รักแรกที่ไร้เดียงสาอะไรกัน ที่จริงก็เป็นเพียงผู้หญิงที่ตีสองหน้าเก่ง อยากจะไต่ขึ้นไปสูงเหรอ งั้นก็จะให้เจ้าปีนขึ้นไป ยิ่งปีนขึ้นสูงมากเท่าไร ตอนตกลงมาก็จะยิ่งเจ็บมากเท่านั้น! พวกสวะสมควรได้รับบาปกรรมของพวกสวะ พวกมันทำชั่วกับนางไปชั่วชีวิตหนึ่ง นางจะทำให้พวกมันไม่ตายดี พวกคนที่เจ้าเล่ห์ ตีสองหน้าเก่ง นางจะจัดการกับทุกคน! แต่นางไม่เคยคิดเลยว่าในการแก้แค้นของนาง นางจะไปมีเรื่องกับเสด็จอาที่เป็นเจ้าแผนการเข้า ที่วัน ๆ ต้องการให้นางจูบและกอดเขาตลอดทั้งวัน ในขณะที่นางแก้แค้นคนชั่วนั้นยังสามารถสนิทสนมกับเสด็จอาด้วย ในความจริงแล้ว การที่เป็นผู้หญิงชั่วๆ ก็มีความสุขมาทีเดียวกว่าที่คิดเลย!
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY