เมื่อความจำเป็นนำพา เบลล่า ฟรานเซนโก้ นางแบบสาวให้มาพัวพันกับความอันตรายของซีนอล ออตโตนี มาเฟียหนุ่ม ผู้ทรงอำนาจแห่งลากูนผู้ไม่เคยยอมให้ใครก้าวล้ำเข้ามาในโลกส่วนตัว ต้องยื่นมือช่วยเหลือเธอ...
บทที่ 1 มาเฟียหนุ่มซีนอล
ซีนอล ออตโตนี วัยสามสิบสามปี เจ้าพ่อมาเฟียแห่งลูมินัสลากูน เมืองแห่งทะเลสาบที่ส่องประกายราวกับแสงดาวยามค่ำคืน ชายผู้ทรงอำนาจที่สุดในพื้นที่นี้ ทุกการตัดสินใจของเขาคือกฎเหล็ก
ซีนอล ออตโตนี คือคำจำกัดความของ "ความสมบูรณ์แบบ" ในแบบฉบับชายหนุ่มอิตาลีผู้ทรงอำนาจและน่าหลงใหลจนใคร ๆ ที่ได้เห็นไม่อาจละสายตาได้
คนเราจะโชคดีทั้งทรัพย์สมบัติ อำนาจ และรูปสมบัติให้เป็นที่น่าอิจฉา เขามีร่างสูงใหญ่และสมส่วนอย่างน่าทึ่ง ความสูงที่ร้อยเก้าสิบเซนติเมตร ทำให้เขาดูโดดเด่นเหนือทุกคน ดวงตาสีเทาที่ลึก และแค่ได้สบตาก็ทำให้รู้สึกเยือกเย็นไปถึงกระดูกสันหลัง
แต่ทว่ากับพลิ้วไหวดุจผืนน้ำของทะเลสาบในฤดูหนาวที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์ ซีนอลสามารถสะกดใจทุกคนที่สบตาเข้าโดยตรง และยิ่งจมูกโด่งได้รูป คมชัดราวกับถูกแกะสลักจากหินอ่อน
กรามแข็งแรงที่เน้นอยู่ในกรอบหน้า รับกับมุมปากที่ยกขึ้นเพียงเล็กน้อย หากพิจารณาดี ๆ แล้วในรอยยิ้มหยักนั่น แฝงไปด้วยเสน่ห์อันตรายและความมั่นใจที่ไม่มีใครเทียบได้
รอยเคราที่ปรากฏบาง ๆ บนกรอบหน้าเพิ่มความลึกลับและความเป็นชายอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่น่าเชื่อว่าเขาไม่ได้ทำสีผม เส้นผมสีดำสนิทของเขาเงางามและจัดทรงอย่างเนี้ยบ
เขาก้าวเข้ามาในห้องแห่งนี้ ทุกสายตาพุ่งเป้าไปที่เขาเป็นตาเดียวกัน
แม้ร่างหนาจะไม่ได้ใส่สูทสีเข้ม ๆ เหมือนเคย แค่เพียงเสื้อเชิ้ตผ้าไหมสีดำ ที่ตัดเย็บอย่างพิถีพิถันประณีต ก็กินขาดบุรุษทุกคนที่อยู่ในห้องนี้
ไหล่กว้างผายตามหลักผู้ชายอกสามศอก หน้าอกที่มีมัดกล้ามเนื้ออย่าสมบูรณ์ บ่งบอกถึงการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดี
“สวัสดีครับคุณซีนอล เป็นเกียรติแก่ผับของเราครับ”
“วันนี้มีอะไรดี ๆ หรือ” เสียงของเขาที่ทุ้มนุ่มลึกและทรงพลัง ราวกับท่วงทำนองที่ผสานกันระหว่างความเย็นชากับความดึงดูดในเวลาเดียวกัน
“มีแน่นอนครับ ถ้าคุณได้เห็นหน้าของเธอละก็ อาจจะ”
“อย่าโม้มากนะ”
“ไม่มีแน่นอนครับ ผมพูดเรื่องจริงเสมอ” เปาโลเจ้าของผับที่อยู่ภายใต้การดูแลของซีนอล
เปาโลหันไปตบมือเรียกพนักงาน เครื่องดื่ม และอื่น ๆ ที่เตรียมเอาไว้ให้ ก็ถูกลำเลียงออกมาวางตรงหน้าเขา เปาโลผายมืออีกที สาว ๆ สวย ๆ กำลังจะดาหน้าเข้ามานั่ง
“ไม่... วันนี้ฉันอยากจะนั่งอย่างสงบ”
“อ้อ... ครับ ได้ครับคุณซีนอล” เปาโลหันไปสะบัดมือ สาว ๆ ทั้งหลายก็ถอนหายใจกันอย่างเสียดาย และพากันล่าถอยกลับไป
“ทุกคนก็ออกไปด้วย” เขาเอ่ยปากไล่ ทั้งเปาโล และบอดี้การ์ดของเขา
ดวงตาที่สะท้อนความอันตรายราวกับเสือดำที่เฝ้ามองเหยื่อจากเงามืด ความเย็นชาและห่างเหินที่เขาแสดงออก ทำเอาทุกคนขนลุกไปหมด
ซีนอลยกแก้ววิสกี้ขึ้นจรดริมฝีปาก และเทน้ำสีเหลืองอำพันเข้าไปในลำคอ
ใบหน้าของคุณปู่ลอเรนโซวนเวียนอยู่ในหัวของเขา เรื่องที่ท่านเอ่ยกับเขาในวันนี้
ณ คฤหาสน์ของท่านลอเรนโซ
ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนหน้าผาสูงชัน เมื่อมองลงไปก็เห็น ลูมินัสลากูน
ทะเลสาบที่เปล่งประกายราวกับอัญมณีเมื่อต้องแสงจันทร์ ตัวคฤหาสน์ถูกออกแบบในสไตล์นีโอคลาสสิกที่งดงามและทรงอำนาจ ผนังหินอ่อนสีขาวสะอาดสะท้อนแสงอ่อน ๆ ยามค่ำคืน หน้าต่างกระจกทรงโค้งสูงเปิดรับลมเย็นจากทะเลสาป
สวนที่ล้อมรอบเต็มไปด้วยไม้พุ่มตัดแต่งเป็นระเบียบ และน้ำพุหินอ่อนที่มีรูปปั้นเทพเจ้าโรมันตั้งอยู่กลางลานกว้าง เสียงน้ำไหลเพิ่มความสงบให้กับสถานที่แห่งนี้
รั้วเหล็กดัดลายวิจิตรทอดยาวปกป้องคฤหาสน์ดุจดั่งของล้ำค่าหายาก
ที่ระเบียงทอดยาวยื่นไปในทะเล เป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นลูมินัสลากูนทั้งผืนก็ว่าได้ ในยามค่ำคืนนี้ แสงที่สาดส่องมาจากเมืองที่อยู่ในฝั่งตรงกันข้าม และแสงจันทร์ดวงกลมโต ที่สะท้อนบนผืนน้ำทำให้ที่นี่ดูราวกับภาพวาดในเทพนิยาย
ซีนอลถอนหายใจลึก ๆ และผินหน้าหันหนี ไม่มองหน้าของคุณปู่ของตนเอง ในสายตาของคุณปู่ลอเรนโซ ชายหนุ่มยังขาดบางสิ่ง... ความรักและความสุขที่แท้จริง
คุณลอเรนโซ ผู้เคยเดินทางชีวิตมาด้วยความแข็งกร้าวเช่นเดียวกับซีนอล ตระหนักดีว่า หากปราศจากคู่ครองที่จะคอยเติมเต็ม ชีวิตที่ดูเหมือนสมบูรณ์แบบ อาจกลายเป็นเพียงความว่างเปล่า
จู่ ๆ คุณปู่ลอเรนโซก็หัวเราะขึ้นมาเบา ๆ "ซีนอล แกยังคิดเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า ที่ว่าแกน่ะจะสร้างโลกใบนี้ด้วยมือของตัวเอง อำนาจ ทรัพย์สินล้ำค่า รวมถึงที่ว่าทุกคนยำเกรง เฮ้อ... แต่แกเคยถามตัวเองไหมว่า สิ่งเหล่านั้นเติมเต็มชีวิตของหลานได้จริง ๆ หรือเปล่า?”
น้ำเสียงของชายชราที่ผมเป็นสีดอกเลาแล้ว เต็มไปด้วยความหนักแน่น ซีนอลหันกลับมา ก็พบดวงตาที่อ่อนโยน... แต่ใบหน้าของซีนอลก็ยังเย็นชา และไร้อารมณ์เหมือนเดิม
“ปู่หมายถึงอะไร”
คุณปู่กำลังจะขยับปาก เขาก็รีบยกมือห้ามเสียก่อน ก็คงไม่พ้นเรื่องเดิม ๆ ที่อยากจะให้ซีนอลหาผู้หญิงสักคนมาแนบกาย และรักเธอคนนั้นอย่างหมดหัวใจ
“ผมไม่ต้องการสิ่งที่เรียกว่าความรักนะครับ ความสุขของผมคือการได้ครอบครองทุกอย่างในมือ”
“เฮ๊ย! แล้วยังไง มันสุขจนแกน่ะ เคยได้เห็นหน้าของตัวเองในตอนนี้ไหม หน้าตาไม่มีแม้แต่รอยยิ้มน่ะ” อดที่จะว่าให้หลานชายไม่ได้
“รู้ไหมเรื่องเงินทอง ลาภยศ สรรเสริญ มันหายไปจากแกได้ หากมีใครสักคนทรยศหรือหักหลังแก แต่ว่าความรักที่แท้จริงน่ะนะ ไม่มีใครพรากไปจากแกได้...” ซีนอลทำหน้าปุ¬เลี่ยนๆ
คุณปู่ก็ได้แต่หัวเราะรวน นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเศร้าหม่น ที่ท่านพูดออกไปแล้วแต่หลานชายไม่เชื่อ
"เอาเถอะ ๆ แกคิดว่าแกแข็งแกร่ง แต่จริง ๆ แล้ว แกน่ะน่าจะเป็นคนที่เปราะบางกว่าที่คิดนะ การมีใครสักคนที่รักอย่างไม่มีเงื่อนไขต่างหาก ที่จะทำให้แกรู้จักความแข็งแกร่งที่แท้จริง" ซีนอลเอาแต่ส่ายหน้า และถอนหายใจยาว ๆ เขายังกอดอก แล้วมองสบตากับคุณปู่
สักพักท่านก็ยักไหล่ แล้วมองออกไปยังทะเลสาบที่อยู่เบื้องหน้า
"ผมเห็นพ่อทำลายตัวเองเพราะความรัก ผมเห็นแม่ร้องไห้จนวันสุดท้ายของชีวิต ผมไม่เชื่อว่าความรักจะนำพาความสุขมาให้ มันมีแต่จะทำลายทุกสิ่ง"
คุณลอเรนโซชักสีหน้านิด ๆ แล้วหันมาวางมือลงบนไหล่ของหลานชาย
“ตอนนี้แกยังไม่เชื่อ แต่สักวันเมื่อความรักมันเข้าตา แล้วจะโงหัวไม่ขึ้น คนอย่างแกน่ะนะ ปู่เชื่อว่า ต้องคลั่งรักมาก ความรักที่แกเชื่อว่าเป็นตัวทำลายล้างนะ มันไม่จริงสักหน่อยซีนอล” ท่านยังแสดงอาการขบขันออกมา พร้อมกับจ้องมองหลานชายตาไม่กะพริบ
ซีนอลก็อยากจะเถียงเหมือนกัน แต่เขาก็ต้องนิ่งเสีย และนั่งนิ่ง ๆ รอฟังสิว่าคุณปู่จะพูดอะไรต่อไป
ผู้หญิงที่ทำงานเก่งและประสบความสำเร็จทุกอย่างในชีวิต แต่กลับประสบอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด แล้วตื่นขึ้นมาในร่างของ “หลินจิ่วเอ๋อร์” ภรรยาคนที่สองของแม่ทัพซูเหยียนในทันทีที่นางเปิดตาขึ้นในร่างนี้...
ในการแต่งงานที่ทำข้อตกลงไว้ เจียงหว่านเป็นฝ่ายที่มีใจให้อีกฝ่ายก่อน แต่ตอนที่เธอต้องการเผยเสี้ยนมากที่สุด เขากลับอยู่เคียงข้างคนรักในใจของเขา ในท้ายที่สุด เจียงหว่านก็ตัดสินใจหย่า และเริ่มต้นชีวิตใหม่ เมื่อเผยเสี้ยนรู้สึกตัวขึ้นมา เธอก็จากไปแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่เข้าคิวเพื่อรับป้ายหมายเลข เผยเสี้ยนหยิบเงินร้อยล้านออกมาและพูดว่า "หว่านหว่าน คู่รักก็ต้องเป็นคู่เดิมเราแต่งงานใหม่อีกครั้งได้ไหม"
เสิ่นชิงกลายเป็นลูกสาวของชาวนาจากคุณหนูที่ร่ำรวยของตระกูลเสิ่นในชั่วข้ามคืน ลูกสาวตัวจริงใส่ร้ายเธอ คู่หมั้นของเธอทำให้เธออับอาย และพ่อแม่บุญธรรมของเธอก็ไล่เธอออกจากบ้าน... ทุกคนต่างรอที่จะหัวเราะเยาะเธอ ทว่าเธอกลับกลายเป็นทายาทของตระกูลเศรษฐีในเมืองอย่างกะทันหัน นอกจาดนี้ เธอยังมีตัวตนหลากหลาย เช่น หัวหน้าแฮ็กเกอร์ระดับนานาชาติ นักออกแบบเครื่องประดับชั้นนำ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ลึกลับ และอัจฉริยะด้านการแพทย์! พ่อแม่บุญธรรมเสียใจกับการตัดสินใจของตนและบังคับให้เธอแบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้เพราะพวกเขาเลี้ยงดูเธอมา เมื่อเสิ่นชิงหยิบกล้องออกมาแล้วบันทึกท่าทางอันน่าเกลียดของพวกเขา อดีตคู่หมั้นรู้สึกเสียใจและพยายามจะคืนดีกับเธอ เสิ่นชิงหัวเราะเยาะ "เขาคู่ควรงั้นเหรอ" จากนั้นก็ไล่เขาออกจากเมือง ในที่สุด ผู้มีอำนาจแห่งเมืองก็พูดอ้อนวอนเบาๆ "ไม่จำเป็นต้องแต่งเข้าตระกูลผม เดี๋ยวผมไปหาเอง"
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง
ชูจี้ถูกเก็บไปอุปการะตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งถือเป็นความฝันของเด็กกำพร้าทั่วไปอย่างชูจี้ แต่ชีวิตหลังจากนั้นมันไม่ได้มีความสุขดั่งที่ชูจี้คิดฝันไว้เลย เธอต้องอดทนถูกเย้ยหยันและการทำทารุณจากแม่บุญธรรมของเธอ แต่ก็ยังโชคดีที่เธอได้รับความเมตตาจากคนใช้สูงวัยคนหนึ่งในบ้านหลังนั้น ชึ่งเป็นคนคอยดูแลและเอาใส่เธอเหมือนแม่แท้ ๆ ของเธอ จนกระทั่งคนใช้จากไปด้วยอาการป่วย ชูจี้ก็ถูกบังคับให้แต่งกับผู้ชายที่ไม่เอาการเอางานแทนลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อแม่บุญธรรมของเธอเพื่อชดใช้ค่ารักษาพยาบาลของคนใช้ เรื่องราวจะเป็นเช่นเดียวกับซินเดอเรลล่าหรือไม่? อย่างไรก็ตาม ชายที่เธอจะแต่งงานด้วยนั้นไม่เหมือนเจ้าชายเลยสักนิดนอกจากรูปร่างหน้าตาของเขาที่สามารถเทียบเท่ากับเจ้าชายได้เท่านั้นเอง ลู่เหยี่ยนเป็นลูกชายนอกสมรสของครอบเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง เขาใช้ชีวิตไปวันๆ (พอลอดไปด้วยค่ะ)มาโดยตลอด ที่เขาตกลงแต่งกับชูจี้ก็เพราะอยากจะทำให้ความปรารถนาสุดท้ายของแม่ของเขาสมหวังเท่านั้น แต่ในคืนวันแต่งงาน เขากลับพบว่าเจ้าสาวคนนี้มีพฤติกรรมที่ผิดกับที่เคยได้ยินได้ฟังมา โชคชะตาจะบันดาลให้พวกเขาเป็นอย่างไร และลู่เหยี่ยนจะเป็นดั่งที่เราคิดหรือไม่ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือลู่เหยี่ยนมีหลายอย่างที่คล้ายๆ กับมหาเศรษฐีที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้อย่างพิลึก สุดท้ายแล้ว ลู่เหยี่ยนจะสามารถรู้ได้หรือไม่ว่าชูจี้ คือเจ้าสาวจำเป็นที่ต้องได้แต่งงานแทนพี่สาวของเธอ การแต่งงานของพวกเขาจะเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวสุดโรแมนติกหรือวิบากกรรมของชีวิต โปรด ติดตามและค้นหาชีวิตและเรื่องราวของทั้งสองคนด้วยกันเถอะ
ในวันแต่งงาน เสิ่นเยวียนถูกคู่หมั้นและน้องสาวของเธอทำร้าย และถูกจำคุกเป็นเวลาสามปีด้วยความทุกข์ทรมาน หลังจากได้รับการปล่อยตัวจากคุก น้องสาวผู้ชั่วร้ายได้คุกคามด้วยชีวิตแม่และพยายามให้เธอมอบตัวกับชายชรา อย่างไรก็ตาม เธอได้พบกับเซียวเป่ยหาน ซึ่งเป็นผู้ทรงอิธิพลที่หล่อเหลาและเย็นชาแห่งแห่งสังคมด้านมืด อย่างไม่คาดคิด และชะตากรรมของเธอก็เปลี่ยนไปตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม้ว่าเซียวเป่ยหานจะเย็นชา แต่เขากลับปฏิบัติต่อเสิ่นเยวียนดั่งเป็นสมบัติล้ำค่า นับแต่นั้นมา เธอจัดการคนเสแสร้ง เอาคืนแม่เลี้ยงและไม่ถูกกลั่นแกล้งอีกต่อไป
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"