เขาให้เธอเลือกระหว่าง ‘แฟนตัวจริงหรือเมียสมอ้าง’ บอกว่าชอบใจคำไหนก็ให้เลือกใช้เอาเอง ทั้งที่เธอมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กเท่านั้น อย่างนี้ก็ได้ด้วย!
เขาให้เธอเลือกระหว่าง ‘แฟนตัวจริงหรือเมียสมอ้าง’ บอกว่าชอบใจคำไหนก็ให้เลือกใช้เอาเอง ทั้งที่เธอมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กเท่านั้น อย่างนี้ก็ได้ด้วย!
บทนำ
นิชนิภากำลังคิดถึงชะตากรรมอันโหดร้ายของตนเอง
ชีวิตที่ยุ่งเหยิงน่าปวดหัวเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่… มันคงจะเป็นวันนั้นที่เธอมาเจรจาขอลดหนี้กับเจ้าหนี้มาเฟีย นึกอยู่แล้วว่าเขาคงจะไม่ใช่คนใจดี สรุปว่าเธอต้องมาทำงานใช้หนี้ที่บ้านเขา แต่อยู่บ้านเดียวกันได้แค่ไม่กี่วันเขาก็จับเธอโยนขึ้นเตียงเสียแล้ว
เป็นเธอที่ใจเบา หรือเป็นเขาที่ใจร้าย หรืออาจจะเป็นทั้งคู่ก็ได้ที่ใจบาป เธอถึงต้องมานอนอยู่ใต้ร่างเขาแล้วต่อต้านแบบพอเป็นพิธี…
หญิงสาวรูปร่างแบบบางที่นอนราบอยู่บนเตียงตะลึงตาค้างเมื่อชายหนุ่มที่คร่อมร่างอยู่ด้านบนเริ่มกดปลายจมูกโด่งลงมาที่ซอกคอ
ไม่อยากจะเชื่อว่าพลภัทรจะทำแบบนี้
เขาไม่เคยแสดงออกในเชิงสิเน่หาหรือว่าชื่นชอบในตัวเธอเลยสักครั้ง นับตั้งแต่ที่รับเธอเข้ามาทำงานเพื่อชดใช้หนี้ เจอกันแต่ละครั้งเขาก็มักจะทำสีหน้าเข้มขรึมเสมอ มีเพียงครั้งเดียวที่เขายิ้มแต่นั่นก็ไม่ใช่รอยยิ้มที่มอบให้เธอ
นิชนิภาเริ่มสับสนว่าตนเองควรทำอย่างไร ใจหนึ่งก็อยากต่อต้านที่เขาก้ำกึ่งใช้กำลังเข้าบังคับ จับข้อมือทั้งสองข้างของเธอตรึงไว้กับที่นอนแล้วเริ่มปลุกปล้ำ แต่อีกใจก็อยากจะยินยอมเพราะเธอก็ชอบเขาไม่น้อย
ทว่ามันรวดเร็วมากเกินไปที่จะปล่อยให้ความสัมพันธ์ลักษณะนี้เกิดขึ้น เธอเพิ่งรับปากตกลงจะเป็นแฟนสมอ้างให้กับเขาวันนี้นี่เอง เวลาผ่านมาเพียงไม่กี่นาทีเขาก็จะใช้สิทธิ์เกินข้อตกลงเสียแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนั้นเธอจึงรีบร้องบอก “คุณพล! ปล่อยนิ!”
ชายหนุ่มได้ยินเต็มสองหูแต่ก็ยังคงรุกไล่ไซ้ซอกคอไม่เลิก เขาค่อยๆ ใช้ริมฝีปากอุ่นประทับลงไปบนผิวนุ่มแล้วลากไล้ไปมา สูดกลิ่นหอมอ่อนๆ จากผิวสาวเข้าปอดอย่างเชื่องช้าแล้วค่อยผ่อนลมหายใจอุ่นออกมารินรดลงไปที่เดิม ไม่น่าเชื่อว่าไรหนวดจางๆ ที่ครูดไปบนผิวนุ่มจะทำให้คนใต้ร่างหวั่นไหวได้ แรงต้านจากฝ่ามือน้อยๆ ที่ผลักอกส่งให้รู้ว่าเธอขัดขืนอย่างไม่จริงจัง
เรียวปากสีหวานพร่ำบอกให้เขาหยุด ทว่าทั่วทั้งร่างกำลังหอบสะท้าน และแรงต้านที่ข้อมือบางก็น้อยนิดเสียเหลือเกิน
พลภัทรไม่ได้เจนจัดเรื่องบนเตียงนัก หากแต่ก็ไม่ใช่ไก่อ่อน มีประสบการณ์ร้อนรักมาพอสมควรจึงรู้ว่านิชนิภากำลังหวั่นไหว และหากเขาดื้อดึงจะเล้าโลมเธอต่อไป หญิงสาวคงไม่รอดพ้นไปจากเงื้อมือเขาแน่
ในขณะที่คนตัวเล็กกำลังขัดขืน คนที่ตัวใหญ่กว่าด้านบนก็กำลังสับสนในใจ เขาจะปล่อยเธอไปก่อนก็ได้ ทว่าก็อยากสั่งสอนเธอเสียบ้าง ที่ผ่านมานิชนิภาไม่เคยออดอ้อนหรือส่งยิ้มหวานอ่อนโยนแบบจริงใจ
เธอเคยยิ้มให้เขาก็จริงแต่เป็นเพียงยิ้มให้ตามมารยาทเท่านั้น ที่เห็นได้บ่อยๆ ก็คือยิ้มอ่อนที่ไปไม่ถึงดวงตา กระทั่งครู่ก่อนเธอยังหัวเราะร่ากับชายอื่นทั้งที่เพิ่งจะตกลงคบกันแล้วแท้ๆ
คนกำลังหึงจึงพรมจูบไปตามลำคอแทนการสั่งสอนด้วยวาจา
“คุณพล นี่คือวิธีจีบผู้หญิงของคุณจริงๆ เหรอคะ!”
“แบบนี้ละชัดเจน ตรงประเด็น ผมไม่ชอบอ้อมค้อม” แล้วเขาก็ผละริมฝีปากออกจากลำคอขาวเนียน
พลภัทรตัดสินใจได้แล้วว่าคงจะต้องให้บทเรียนกับนิชนิภาเสียบ้าง ขนาดนอนอยู่ใต้ร่างเขาเธอยังไม่ขอร้อง ใช้แต่น้ำเสียงออกคำสั่ง ทำแบบนี้กับเขามาก็หลายครั้งและไม่เคยส่งผลดีแต่กลับไม่จดจำ
คราวนี้ละ เขาจะสอนให้เธอหัดอ่อนหวานสมเป็นผู้หญิงเสียบ้าง…
แล้วชายหนุ่มก็ประกบริมฝีปากลงไปบนกลีบปากสีหวานที่น่าเย้ายวนใจ
“อื้อ!…” นิชนิภาพยายามกรีดร้อง แต่ไม่ว่าจะพยายามสักเท่าใดริมฝีปากเธอก็ยังตกอยู่ในความครอบครองของพลภัทร เขาไม่ได้สนใจเสียงร้องค้านของเธอแม้แต่นิด เรียวลิ้นนุ่มยังซุกไซ้และพยายามจะแทรกผ่านไรฟันเข้ามา และเขาก็มีชั้นเชิงมากกว่าคนอ่อนหัดอย่างเธอเสียด้วย
ไม่นานเขาก็สามารถเข้ามาสำรวจโพรงปากของเธอได้ตามอำเภอใจ นิชนิภาถูกล่อลวงด้วยฝ่ามือหนาที่ผละจากข้อมือบางไปเพื่อลูบไล้ต้นขา เพราะเธอกลัวว่าเขาจะไล้มือสูงขึ้นมาพร้อมกับการดึงรั้งชายกระโปรง ขณะที่เธอพยายามส่งมือไปยื้อข้อมือห้ามไว้ชายหนุ่มก็จู่โจมดูดดึงริมฝีปากเธออย่างรุนแรง
เมื่อถูกสัมผัสอย่างไม่ทะนุถนอมนานเข้าเธอก็ต้องยอมเพราะเริ่มเจ็บ พอยอมแล้วชายกระโปรงจึงถูกดึงขึ้นมากองอยู่ที่สะโพกมน
คราวนี้พลภัทรค่อยๆ ผ่อนแรงขบเม้ม เขาค่อยๆ เบี่ยงเบนความสนใจด้วยการจูบไล้อย่างนุ่มนวล เปลี่ยนจากครู่ก่อนที่เร่าร้อนดิบเถื่อน เหมือนจะสอนว่าถ้าเธอไม่ดื้อด้านเขาก็จะอ่อนโยนกับเธอเหมือนกัน
“อื้อ…” ครั้นพยายามจะร้องค้านอีก จากที่เขาขบเม้มกลีบปากเธอเบาๆ จึงกลายเป็นแทรกเรียวลิ้นเข้ามากระหวัดเกี่ยวเรียวลิ้นเธอเป็นพลันวัน และคราวนี้เขาหยอกเย้า ปลุกปั่นจนกระทั่งเธอเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง
จุมพิตครั้งนี้พาให้สติพร่าเลือนออกไป ลมหายใจอุ่นที่เป่ารด ไออุ่นจากร่างกายของเขา กลิ่นน้ำหอมเฉพาะตัวที่ส่งกลิ่นยั่วเย้า และฝ่ามือหนาที่กำลังลากไล้อยู่บนผิวบางกำลังจะทำให้เธอกลับเข้าร่างไม่ได้
ร่างกายราวกับไม่เชื่อฟังเธอเลย
นิชนิภาปล่อยให้ชายหนุ่มเคล้นคลึงทรวงอกข้างหนึ่งของเธอได้โดยง่าย เธอเพียงวางมือแปะไว้บนลาดไหล่กว้างเบาๆ เพราะเริ่มอ่อนแรงลงทุกทีๆ
เขาเล้าโลมเพียงแค่นี้เธอก็พ่ายแพ้เสียแล้ว หากว่าเขาไม่หยุดมือเธอคงกลายเป็นเจลาตินแน่ๆ
พลภัทรหรี่ตามองคนตัวอ่อนใต้ร่างแล้วนวดคลึงเต้ากลมไปพลางๆ เขาชักอยากจะกระชากเดรสสีจืดของเธอออกไปให้พ้นเสียแล้ว แต่ถ้าเขาได้เห็นเรือนร่างใต้ร่มผ้าเขาจะหยุดตัวเองได้อย่างไร
ตอนนี้ปฏิเสธไม่ได้แล้วว่าความเป็นชายได้ผงาดขึ้นแล้ว แทนที่พลภัทรจะหยุดซุกซนบนร่างกายของหญิงสาวแต่เขากลับใช้นิ้วดันบราเซียของเธอขึ้นไปให้พ้นทาง พอไม่มีปราการขวางกั้นแล้วก็นวดคลึงเต้ากลมได้อย่างสนุกมือ
สติที่หลุดลอยออกนอกอวกาศไปแล้วจึงกลับเข้ามาประทับร่าง เพราะมือหนาของชายหนุ่มเริ่มซุกซนมากเกินไป นิชนิภาลืมตาขึ้นมองเมื่อรู้สึกว่าชายหนุ่มกำลังไล่ปลดกระดุมเสื้อ และอีกไม่นานเขาจะถอดเดรสของเธอออกได้
และก็เป็นไปตามที่คิด เมื่อกระดุมเสื้อเม็ดสุดท้ายหลุดออกริมฝีปากอุ่นก็ผละไปทันควัน พลภัทรปล่อยให้เรียวปากเธอเป็นอิสระเพราะเขาจะทำอย่างอื่นนั่นเอง
“อย่าค่ะ!” นิชนิภารีบร้องบอกอีกครั้ง และคราวนี้เสียงเธอสั่นสะท้านจนคล้ายอ้อนวอน
แต่คนที่เริ่มจะทนไม่ไหวกลับเป็นพลภัทรเสียเอง อยู่ๆ ก็ทำหูทวนลมขึ้นมา เขารีบลากริมฝีปากอุ่นลงมาประทับบนเนินอกขณะที่มือทั้งสองข้างกำลังช่วยกันดึงชุดเดรสและบราเซียออก
ทว่าเขาคงจะใจร้อนมากเกินไป เสื้อผ้าสตรีที่ไม่ซับซ้อนจึงถอดยากขึ้นมาทันที ตอนนี้นึกได้แค่วิธีกระชากหรือทำให้ขาดออกจากกัน และเมื่อยังไม่อยากทำรุนแรงถึงขั้นนั้นจึงได้แต่พรมจูบไปบนผิวบางส่วนที่สามารถขจัดสิ่งกีดขวางออกไปได้
นิชนิภาเริ่มใจหายเมื่อชายหนุ่มจูบต่ำลงไปจนเกือบถึงยอดอกแล้ว จะสั่งเขาก็คงไม่ได้เปลี่ยนเป็นขอร้องก็อาจจะไม่ได้ผล แต่เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วจึงพร่ำบอกกับลมกับฟ้า “คุณพลอย่า นิขอร้อง!”
พลภัทรตั้งหน้าตั้งตาจะเปลื้องผ้าเท่านั้น จนกระทั่งมาสะดุดหูที่คำหนึ่ง “นิขอเวลาหน่อยได้ไหมคะ นิอยากมั่นใจว่าคุณทำเพราะชอบ ไม่ได้ทำเพราะหน้ามืดหรือประชดใคร”
‘นั่นสิ เขาทำเพราะอะไรกันแน่… ทีแรกตั้งใจแค่สั่งสอน ไปๆ มาๆ กลายเป็นจะครอบครองเธอทั้งตัว’
ริมฝีปากที่กำลังลากไล้อยู่บนทรวงอกหยุดชะงัก “ผมไม่เคยรักอาญ่า ไม่จำเป็นต้องประชด”
“แต่คุณก็มีลูกกับเธอแล้ว จะไม่ให้เกียรติเธอสักนิดเหรอคะ”
ชายหนุ่มรู้สึกลำคอตีบตันขึ้นมาทันที จะพูดออกไปจริงหรือว่านั่นไม่ใช่ลูกตนเอง…
อารมณ์ที่พุ่งทะยานจนเกือบหยุดไม่ได้เมื่อครู่ก่อนสลายหายไปสิ้น ความจริงที่เก็บไว้อัดแน่นอยู่เต็มอกจนเจ็บจุกไปทั้งใจ พลภัทรถอนหายใจแรงอย่างสุดเซ็งก่อนจะเอ่ย “เอาเป็นว่าตอนนี้คุณเป็นผู้หญิงของผมแล้ว อยากจะคิดอะไรก็ตามใจ”
แล้วร่างสูงก็ลุกออกไปจากเตียง
เธอพูดแทงใจดำเขาใช่ไหมละถึงได้ชะงักไปแบบนั้น ไม่ใช่แค่เขาหรอกที่ต้องเจ็บ พูดออกไปเองแท้ๆ แต่ก็ปวดร้าวไม่แพ้กัน
นิชนิภาลุกขึ้นนั่งแล้วดึงชุดเดรสให้กลับเข้าที่เข้าทางอย่างลวกๆ ใช้จังหวะที่พลภัทรเดินไปเข้าห้องน้ำวิ่งออกไปที่ประตู
ครู่เดียวเธอก็กลับมาอยู่ในห้องพักของตนเองได้
‘เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น เธออยากรับบทนางเอกงั้นหรือ… ระหว่างเธอกับเขามันคืออะไรกันแน่…’ คิดพลางกดล็อกลูกบิดประตูแล้วทรุดเข่าลงนั่งคิดใคร่ครวญ
คนอื่นเขาข้ามมิติมาเป็นนางร้ายแล้วได้กับพระเอก ทว่าหวางเสี่ยวเหยาเข้าร่างนางร้ายแล้ววิ่งตามตัวประกอบชายแสนจืดจาง เพื่อตามเขามาปลูกผักซะงั้น…
หยางจื้อซี เด็กกำพร้าจากศตวรรษที่21 ถูกองค์กรมืดเลี้ยงดูจนเติบโตและทำให้เธอกลายเป็นมนุษย์กลายพันธ์ ในระหว่างที่ถูกส่งตัวไปทำภารกิจลับ เธอกลับถูกคนในองค์กรมืดหักหลังและถูกฆ่าโดยเพื่อนสนิทที่เธอไว้ใจมากที่สุด ก่อนสิ้นใจเธอถามเพื่อนสนิทว่าทำไม แต่ไม่ได้รับคำตอบจากปากของอีกฝ่าย สิ่งที่เธอได้รับคือรอยยิ้มที่ดูถูกเหยียดหยามและ คำว่า “โง่” จากปากของอีกฝ่ายเท่านั้น หลังจากที่ตายไปแล้วสิ่งที่เธอคิดไว้ คงจะเป็นนรกหรือที่ไหนสักแห่งที่เป็นโลกหลังความตาย แต่ทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนัน เธอตื่นขึ้นมาในร่างของ หยางจื้อซี เด็กหญิงอายุ เพียง 13 ขวบปีในหมู่บ้านป่าหมอก ในดินแดนโบราณล้าหลังที่ไม่มีในประวัติศาสตร์ คล้ายกับว่าเป็นโลกคู่ขนานที่อยู่อีกมิติหนึ่ง เธอตื่นขึ้นมาในบ้านที่ผุพัง ครอบครัวยากจน มีแม่ที่อ่อนแอและเจ็บป่วย มีพี่น้องที่อายุน้อย มีปู่ย่าตายายที่เห็นแก่ตัวและใจร้าย มีลุงที่เห็นแก่ได้ป้าสะใภ้ที่เต็มไปด้วยความละโมบโมบโลภมาก หยางจื้อซี คิดว่านับจากนี้ไปชีวิตจะต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง หากใครมารังแกก็แค่ทุบตี เธอไม่เชื่อว่าด้วยพลังที่ติดตัวเธอมาจากชาติที่แล้วจะไม่สามารถอยู่รอดได้ในโลกล้าหลังแห่งนี้
เคลวิน แม็คคลาเรน ถูกคู่หมั้นหักหน้าด้วยการประกาศแต่งงานกับชายคนอื่น ด้วยความคั่งแค้นที่ถูกหยามหน้า ทำให้เขาว่าจ้างเด็กสาววัยกำดัดที่ตนเองอุปการะเอาไว้มาแต่งงานด้วย เพื่อเอาคืนคนเคยรักให้กระอักเลือด เพราะบุญคุณล้นหัว ทำให้เฌอปรางต้องยอมลงชื่อในสัญญาจ้างแต่งงาน แทนที่ผู้หญิงคนนั้นที่เขารักมาก "เธออ่านสัญญาละเอียดหรือยัง" "หนูอ่านละเอียดแล้วค่ะ" "ถ้าอ่านละเอียดแล้ว เธอคงรู้ข้อห้ามทั้งสามข้อที่เธอต้องทำให้ได้แล้วใช่ไหม" "ค่ะ หนูทราบแล้วค่ะ" "งั้นลองบอกฉันมาสิ ว่าข้อห้ามมีอะไรบ้าง" หล่อนช้อนตาขึ้นมองผู้มีพระคุณด้วยสายตาที่ซ่อนความเศร้าเอาไว้แทบไม่มิด "ข้อแรก หนูไม่มีสิทธิ์ในตัวของคุณค่ะ" "ถูกต้อง" เขายิ้มอย่างพอใจ "แล้วข้อสองล่ะ" หล่อนกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผาก "ห้ามรักคุณค่ะ" เขายิ้มอย่างพอใจอีกแล้ว "แล้วข้อสามล่ะ" "ห้าม... เอ่อ... ห้ามปล่อยให้ท้องค่ะ เพราะถ้าท้อง คุณจะไม่รับผิดชอบ" "ถูกต้อง และฉันหวังว่าเธอจะเข้าใจ และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด" หล่อนไม่มีทางเลือกนอกจากฝืนยิ้มออกไป "แล้วถ้าครบสัญญาหกเดือนแล้ว เอ่อ... หนูต้องไปจากที่นี่ไหมคะ" "ฉันคิดว่ามันจะดีสำหรับเรา หากไม่ต้องเห็นหน้ากันอีก หรือเธอคิดว่าไง" ท่าทางของเขาเย็นชา ไร้หัวใจ ทำราวกับกำลังเจรจาธุรกิจไม่มีผิด "เอ่อ หนูแล้วแต่คุณค่ะ" เธอทำได้แค่ฝืนยิ้ม ซ่อนน้ำตา ให้กับผู้ชายที่ตรเองทั้งรักทั้งบูชาเท่านั้น แต่ใครจะรู้เล่าว่า เมื่อสัญญาจบสิ้นลง เธอได้เดินจากไปพร้อมกับเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา
จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง
เมื่อเพื่อนรักที่ไว้ใจแอบทรยศคบกับชายที่ตนรัก และชายที่ตนรักกลับรังเกียจตนจนไม่แม้แต่จะแตะต้องเนื้อตัวเธอ สิ่งที่เธอทำได้คือต่างคนต่างอยู่ แต่ในวังหลังแห่งนี้เธอจะทำอย่างนั้นได้จริงหรือ? ตัวอย่างเนื้อเรื่อง “เจ้ามีอันใดจะกล่าวหรือไม่... สนมหลี่กุ้ยเฟย” น้ำเสียงราบเรียบก่อนจะเน้นที่ละคำในประโยคท้ายอย่างหนักแน่น “ฮองเฮาแน่ใจแล้วหรือเพคะ ว่าจะให้หม่อมฉันทูลทุกอย่างต่อหน้าข้าราชบริพารเหล่านี้ หากมีข่าวแพร่ออกไปอีก ฮองเฮาทรงทนฟังคำนินทาเหล่านั้นได้หรือไม่” หลี่ฟางซินกล่าวพร้อมยิ้มอ่อนๆ หลี่ฟางซินย่อมรู้ดีว่าเย่วลี่อิงคงได้ยินคำนินทาเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแล้วจึงได้พูดเน้นย้ำ หวังจะกระตุ้นให้นางลงมือทำร้ายตน “คำนินทาเรื่องใดกัน เรื่องที่เจ้าเป็นนางอสรพิษนะหรือ เหตุใดเราจะทนฟังไม่ได้เล่า” เย่วลี่อิงตรัสพร้อมยักไหล่อย่าไม่แยแส มีหรือเย่วลี่อิงจะดูไม่ออกว่า ข่าวลือที่แพร่ออกไปนั้นมาจากผู้ใด หากเป็นแต่ก่อนนางย่อมไม่คิดว่าเป็นสหายคนสนิทของนางเป็นแน่ แต่บัดนี้นางรู้แล้วว่าหญิงที่ยืนตรงหน้านางหาใช่สตรีอ่อนหวานแสนดีอย่างที่นางรู้จักไม่ “หม่อมฉันเป็นนางอสรพิษตั้งแต่เมื่อใดกันเพคะ หม่อมฉันและฝ่าบาทมีใจรักใคร่กันมาเนิ่นนาน หากไม่ใช่เพราะฮองเฮาใช้ความดีของท่านแม่ทัพทูลขอให้ฮ่องเต้องค์ก่อนพระราชทานงานแต่ง วันนี้ตำแหน่งฮองเฮาก็ไม่แน่ว่าจะเป็นของใคร” “เจ้านางแพศยา หากเจ้ามีใจให้ฝ่าบาท แล้วทำไมไม่บอกข้า ยังแสดงแกล้งเป็นแม่สื่อนำของที่ข้ามอบให้ฝ่าบาท ฝากผ่านพี่ชายเจ้าช่วยมอบของให้ฝ่าบาทแทนข้า” เย่วลี่อิงเริ่มพูดด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง “ของอันใดกันเพคะ หม่อมฉันไม่เคยนำของ ของพระองค์มอบให้ฝ่าบาทเลยนะเพคะ ยิ่งให้พี่ชายช่วยส่งแทนให้ยิ่งมิเคย” น้ำเสียงเยาะเย้ยบวกกับรอยยิ้มยียวนของหลี่ฟางซินทำให้เย่วลี่อิงหัวเสียมากขึ้น “นี้เจ้าเอาของของเราไปทิ้งอย่างนั้นหรือ” “ฮองเฮาพูดถึงเรื่องอะไรเพคะ หม่อมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย พระองค์อย่าได้ใส่ความหม่อมฉันสิเพคะ” “นี้เจ้า”
หล่อนถูกส่งมาบรรณาการในฐานะทาสบำเรอความใคร่ เพื่อแลกกับหนี้สินก้อนโต นอนกับเขาจนกว่าเขาจะเบื่อ แล้วเมื่อนั้นแหละหน้าที่บำเรอบนเตียงของหล่อนจึงจะหมดไป พะแพง ถูกส่งตัวมาเป็นนางบำเรอให้กับมหาเศรษฐีเจ้าของบ่อนคาสิโนที่ใหญ่ที่สุดในลาสเวกัส หน้าที่ของหล่อนคือทำให้เดมอน ลินการ์ด มีความสุขที่สุดยามอยู่บนเตียง หล่อนก้มหน้าก้มตาทำทุกอย่างเพื่อให้เขาพึงพอใจ แต่ไม่นานเขาก็เบื่อหน่าย ขับไล่ไสส่งหล่อนออกไปจากชีวิต ข่าวงานแต่งงานของเขากับผู้หญิงคนใหม่ที่ทั้งสวยและแสนคู่ควรดังก้องคับแผ่นฟ้า ในขณะที่หล่อนต้องหลบอยู่ในซอกหลืบของความมืดมิดเพื่อซ่อนเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาเอาไว้อย่างรวดร้าวทรมาน
เพราะว่า...การช่วยตัวเอง...ในที่ทำงานมันผิด!! “โดนของจริงดีกว่าไหมครับ...แค่นิ้ว...มันคงไม่อาจจะสนองความต้องการของคุณได้” นี่จึงเป็นบทลงโทษที่เธอต้องรับมันไป...โทษฐานที่ทำให้ท่านประธานอย่างเขาจับได้...!!
© 2018-now MeghaBook
บนสุด