คนอื่นเขาข้ามมิติมาเป็นนางร้ายแล้วได้กับพระเอก ทว่าหวางเสี่ยวเหยาเข้าร่างนางร้ายแล้ววิ่งตามตัวประกอบชายแสนจืดจาง เพื่อตามเขามาปลูกผักซะงั้น…
คนอื่นเขาข้ามมิติมาเป็นนางร้ายแล้วได้กับพระเอก ทว่าหวางเสี่ยวเหยาเข้าร่างนางร้ายแล้ววิ่งตามตัวประกอบชายแสนจืดจาง เพื่อตามเขามาปลูกผักซะงั้น…
ตอนที่ 1 เข้าร่างดีๆ โลกไม่จำ
กุบกับ กุบกับ กุบกับ
เสียงฝีเท้าม้าที่ดังใกล้เข้ามาท่ามกลางเสียงเม็ดฝนตกกระทบพื้นทำให้สตรีที่นอนสะลึมสะลืออยู่กลางทางผู้หนึ่งปรือตาขึ้นมอง
ภาพตรงหน้าที่ปรากฏขึ้นแม้นจะยังเลือนลาง แต่เมื่อเพ่งมองก็มั่นใจได้ว่าสิ่งที่กำลังมุ่งตรงเข้ามาคือรถม้าคันหนึ่ง พาหนะนั้นกำลังแล่นมาตามทางอย่างเร็วรี่ และหากนางยังอยู่ตรงนี้จะต้องเกิดเหตุสลดขึ้นแน่นอน หญิงสาวจึงพยายามขยับกายหมายจะออกไปให้พ้นทาง แต่แล้วก็กลับพบว่าตนเองไร้เรี่ยวแรงสิ้นดี แค่เพียงจะหยัดกายลุกขึ้นนั่งยังไม่อาจทำได้ สุดท้ายจึงได้แต่นอนมองเหตุการณ์ด้วยความหวาดเสียวใจ พลันนั้นเสียงตะโกนของสารถีก็ดังขึ้น
“ไอ้หยา!”
ทันทีที่ผู้ควบคุมรถม้ามองมาเห็นร่างสั่นเทิ้มของสตรีที่นอนขดตัวอยู่กลางถนน รถม้าก็ถูกบังคับให้ช้าลงอย่างเฉียบพลัน ผู้โดยสารที่นั่งมาในรถต่างร้องอุทานขึ้นด้วยความตกใจที่อยู่ๆ รถม้าของตนก็ส่ายสะบัดคล้ายเสียการควบคุม
“ว๊าย!!”
เสียงร้องอุทานนั้นพาให้สตรีกลางถนนปิดเปลือกตาลงทันควัน แต่เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งกลับไม่พบความเจ็บปวด มีเพียงอาการหนาวสั่นเท่านั้นที่ยังจู่โจมนางตลอดเวลา สตรีผู้เดียวดายกลางถนนจึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง คราวนี้นางเห็นสารถีผู้นั้นทิ้งบังเหียนแล้ววิ่งตรงเข้ามาหานาง ร่างท้วมย่อตัวลงแล้วพยายามจะช้อนตัวนางขึ้นจากพื้นในขณะที่เอ่ยถาม
“แม่นาง เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า เหตุใดจึงไม่หลบไปให้พ้นทาง!”
“หนาว… ข้าหนาวเหลือเกิน… ช่วยข้าด้วย”
ใบหน้าเปื้อนโคลนที่แหงนมองสารถีหนุ่มช่างดูน่าสงสาร นัยน์ตาของนางหม่นแสงฉายแววทุกทรมาน น้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็สั่นสะท้านสิ้นดี
สารถีหนุ่มรู้สึกหวั่นไหวกับสีหน้าเช่นนี้ แต่เหตุใดเล่าเขาจึงรู้สึกคุ้นตากับดวงหน้าสะคราญนี้นัก เมื่อคิดใคร่ครวญถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาจึงพบว่าสตรีนางนี้คือ เหอรั่วเหวิน คุณหนูจากสำนักเย่วเหมิน ผู้โด่งดัง พลันนั้นคำถามมากมายก็ผุดขึ้นในใจชายหนุ่ม ‘เหตุใดนางจึงถูกทอดทิ้งอย่างเดียวดายกลางป่าเช่นนี้ หนำซ้ำสตรีผู้มีวรยุทธ์กลับนอนขดตัวอย่างหมดเรี่ยวแรง หรือว่านางจะถูกทำร้าย!’
แต่เมื่อเลื่อนสายตาลงมองสำรวจเรือนร่างอรชรที่สั่นเทิ้มภายใต้อาภรณ์สีแดงฉานก็กลับไม่พบบาดแผล ผิวขาวราวไข่มุกบัดนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยคลาบโคลน กายนางเย็นเยียบดูแล้วรู้สึกเวทนายิ่งนัก นึกอยากจะช่วยให้ความอบอุ่นแก่นางเสียเหลือเกิน แต่แล้วเสียงของสตรีที่ดังขึ้นจากด้านหลังก็ทำให้ความคิดนั้นต้องลบเลือนไป
“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ เหตุใดจึงไม่ไปต่อ!”
สตรีผู้มีวงหน้าจิ้มลิ้มน่ารักแง้มหน้าต่างรถม้าเยี่ยมหน้าออกมามอง สารถีหนุ่มจึงเหลียวกลับไปตอบนางด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“แย่แล้ว แม่นางเหอรั่วเหวินกำลังต้องการความช่วยเหลือขอรับ คุณหนูจะให้บ่าวทำอย่างไรดีขอรับ”
“ปล่อยนางเอาไว้ตรงนั้นแหละ!”
ผู้ตอบคือสตรีสูงศักดิ์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับสตรีที่เอ่ยถาม นางไม่ได้เยี่ยมหน้าออกมามองแม้เพียงนิดแต่กลับตะโกนตอบด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว คนฟังทั้งสองคนที่ตากฝนอยู่ด้านนอกฟังแล้วสะท้านใจยิ่งนัก
หยาดฝนที่เยียบเย็นยังไม่ส่งให้เหน็บหนาวได้เท่ากับคำพูดแล้งน้ำใจ
“ขอรับ”
สารถีหนุ่มเอ่ยตอบอย่างจำใจ ในเมื่อเจ้านายของเขาไม่อนุญาตผู้เป็นบ่าวรับใช้ก็ไม่อาจขัดขืนคำสั่งได้ ชายหนุ่มจึงค่อยๆ อุ้มร่างไร้เรี่ยวแรงและเปียกปอนขึ้นจากพื้น เขาพานางไปหลบไว้ที่ข้างทางแล้วรีบรุดกลับไปที่รถม้า เมื่อปีนขึ้นมานั่งประจำตำแหน่งได้แล้วรถม้าคันงามก็เล่นผ่านหน้าสตรีผู้เปียกโชกไป
ทว่าก่อนจะจากไปสตรีผู้มีใบหน้าจิ้มลิ้มก็ชะโงกหน้าออกมาจากหน้าต่าง นางตะโกนบอกผู้ที่นอนขดตัวอยู่ข้างทางด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเหยียดหยัน
“เหอรั่วเหวิน สตรีเพศยาอย่างเจ้าควรจะรีบตายๆ ไปได้แล้ว สมน้ำหน้านัก!”
แววตาที่มองมานั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ แล้วสตรีผู้นั้นก็สะบัดหน้าหนีไปก่อนที่บานหน้าต่างจะถูกปิด ไม่มีโอกาสให้ผู้ที่ถูกต่อว่าตอบโต้แม้เพียงนิด รถม้าคันใหญ่ได้เคลื่อนตัวจากไปเสียแล้ว
หญิงสาวนอนมองถนนดินเฉอะแฉะที่ว่างเปล่าด้วยความรู้สึกงงงัน พอเริ่มประติดประต่อเหตุการณ์ได้นางก็ร้องตะโกน
“เหอรั่วเหวินที่ไหนกันเล่า ข้าคือหวางเสี่ยวเหยาต่างหาก!”
ทั้งสามที่มาพร้อมรถม้ามิได้จดจำผิดพลาดแต่อย่างใด ทว่ากลับเป็นนางต่างหากที่มีความเป็นมาที่ยากยิ่งจะอธิบาย เรื่องนี้คงต้องเล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
เหอรั่วเหวินคือตัวละครนางร้ายในนิยายที่ถูกเขียนขึ้นโดยนักเขียนสาวผู้มีนามว่า หวางเสี่ยวเหยา นิยายเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดนิยายอีโรติกและเต็มไปด้วยฉากเลิฟซีนอันร้อนแรง หวางเสี่ยวเหยาได้บรรยายเอาไว้ว่านางร้ายผู้นี้มีหน้าตางดงามอีกทั้งยังมีวรยุทธ์เก่งกาจ นางเป็นถึงเจ้าสำนักน้อยแห่งหมู่ตึกเย่วเหมินซึ่งเป็นสำนักฝึกยุทธ์อันเลื่องชื่อ ทว่าเหอรั่วเหวินกลับมีจุดจบแบบที่ไม่น่าเป็นไปได้
ตัวละครเหอรั่วเหวินแม้จะร้ายกาจและมีความสามารถรอบด้าน แต่นางกลับเป็นโรคประหลาดที่ไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ โรคนี้จะกำเริบขึ้นทุกครั้งเมื่อกายนางต้องสายฝน หรือหากฝนตกเมื่อใดนางจะหนาวสะท้านและพาลหมดเรี่ยวหมดแรง นางประคองชีวิตตนเองมาได้ด้วยการเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับและพึ่งยาจากสำนักปรุงยาของเทพโอสถ แต่แล้วในวันหนึ่งความลับก็รั่วไหลออกไปถึงหูศัตรูของนางเข้า
หวางเสี่ยวเหยาได้เขียนจุดจบของเหอรั่วเหวินรอเอาไว้ในขณะที่เนื้อเรื่องยังดำเนินไปได้เพียงครึ่งเท่านั้น เหอรั่วเหวินจะถูกใครบางคนสลับยาพิษแทนยาบำรุงและแก้อาการหนาวสั่นที่นางต้องกินเป็นประจำ เมื่อพลาดพลั้งดื่มยาพิษเข้าไปนางร้ายตัวนี้จึงถูกกำจัดไปจากเส้นทางรักของพระเอกและนางเอกในเรื่อง
เหตุที่ต้องเป็นเช่นนั้นเพราะนิยายของหวางเสี่ยวเหยาเต็มไปด้วยฉากเลิฟซีน นางไม่มีพื้นที่ให้กับการดำเนินเรื่องในด้านอื่นๆ มากนัก ตัวละครที่คิดขึ้นจึงเต็มไปด้วยความไม่สมเหตุสมผล บางตัวละครก็ใช้ตรรกะประหลาด พล็อตเรื่องบิดเบี้ยวเสียจนคนอ่านถอนหายใจแรง
ทว่านิยายของหวางเสี่ยงเหยากลับได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แม้บางคนจะอ่านไปด่าไปก็ตามที นักเขียนสาวจึงรีบเร่งปั่นต้นฉบับเพื่อจะวางขายจนกระทั่งลืมเลือนเรื่องการพักผ่อนของตนเอง เมื่อสภาพร่างกายทรุดโทรมหนักเข้าจึงไร้ภูมิคุ้มกัน เมื่อออกไปนอกห้องพักเพื่อไปซื้ออาหารจึงติดโรคระบาดร้ายแรงโควิดไนน์ทีนอย่างไม่รู้ตัว หวางเสี่ยวเหยาจึงต้องจากโลกมนุษย์ไปตลอดกาล
หากแต่หลังจากนั้นนางมิได้ไปเยือนสวรรค์อย่างที่คิด และนางก็ไม่ได้เหยียบย่างไปยังปรโลกอีกด้วย
ดวงจิตของนางกลับมาอยู่ในร่างของนางร้ายนามเหอรั่วเหวิน ตัวละครตัวหนึ่งที่นางไม่เคยใส่ใจ
พอคิดขึ้นได้นักเขียนในร่างนางร้ายก็ตะโกนก้อง
“ไม่… เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ไม่นะ ไม่จริง!… ฮือ ฮือ ฮือ”
เสียงร้องไห้คร่ำครวญดังแข่งกับเสียงเม็ดฝนที่หล่นลงมากระหน่ำพื้น ใครบางคนที่เบื้องบนคงเทน้ำลงมากลั่นแกล้งนักเขียนสายหื่นกระมัง
ฮือ ฮือ ฮือ…
“ข้ามมิติทั้งทีแทนที่จะเป็นนางเอก นี่ก็นิยายของตัวเองแท้ๆ ไยสวรรค์ไม่เมตตา ไยส่งข้ามาเข้าร่างนางร้าย ฮือ ฮือ”
เมื่อหันซ้ายก็ไม่พบเจอผู้ใด หันขวาก็เห็นเพียงถนนดินและป่าเปลี่ยวกว้างใหญ่ นักเขียนสาวจึงเริ่มพูดคุยโต้ตอบกับตัวเองจนดูคล้ายคนบ้า!
“แต่ที่จริงแล้วนางร้ายก็อาจไม่ได้ย่ำแย่อย่างที่คิดนะ ก็แค่ไม่ได้กับพระเอกเท่านั้น อย่างน้อยๆ นางก็ยังหน้าตาดีล่ะ!”
“ไม่หรอก ถึงจะสวยพริ้งแต่นางก็ต้องตายในเร็วๆ นี้นะ อยากตายอีกเป็นครั้งที่สองงั้นหรือ…”
“ไม่!… ไม่สิ ข้ายังไม่อยากตาย จะบอกความจริงให้นะ ฉากเลิฟซีนที่เขียนขึ้นมาน่ะ มโนทั้งนั้น ข้ายังไม่เคยร่วมรักกับชายใดทั้งสิ้น ใช้ชีวิตยังไม่คุ้มเลยจะตายได้อย่างไรกัน!”
“ถ้างั้นก็ใช้โอกาสนี้ให้คุ้มค่าเสียสิ ลุกขึ้นมาต่อสู้กับโชคชะตา ครั้งหนึ่งเจ้าเคยกำหนดมันขึ้นมาด้วยมือของเจ้าเองมิใช่รึ!”
“นั่นสิ ทำไมข้าเพิ่งคิดได้ จริงด้วย!”
แล้วหวางเสี่ยวเหยาก็พยายามหยัดกายลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง หลังจากที่ออกมาจากภวังค์แล้วกลับมาสู่ความเป็นจริง ทว่าอาการหนาวสั่นและไร้เรี่ยวแรงก็ยังคงตามติดตลอดเวลา
“หนาว หนาวเหลือเกิน…”
ร่างอรชรสั่นเทิ้มไม่สามารถลุกขึ้นจากพื้นได้ พลันนั้นนางจึงหวนคิดทบทวนความจำ ‘เหตุใดเหอรั่วเหวินจึงมานอนอยู่กลางถนนเช่นนี้…’
คำตอบก็คือตัวละครตัวนี้กำลังออกเดินทางไปดักรอเพื่อขัดขวางฉากเลิฟซีนของพระเอกและนางเอก แต่แล้วกลางทางก็เกิดมีฝนฟ้าคะนองราวกับมีพายุ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าฟ้ากว้างยังสดใสและเป็นสีคราม ฝนตกอย่างหนักทั้งๆ ที่ไม่น่าเป็นไปได้ และนี่คือตัวอย่างของเหตุการณ์บิดเบี้ยวที่เกิดขึ้นในเนื้อเรื่อง
ที่จริงแล้วสิ่งต่างๆ ก็บิดเบี้ยวจากความเป็นจริงเหมือนกับตัวละครนางร้ายผู้นี้ นักเขียนสาวในร่างนางร้ายคลี่ยิ้มขึ้นทันควันเมื่อรู้สึกตัว
ใช่แล้ว นางมาเข้าร่างของตัวละครที่ดีเลิศยิ่งกว่านางเอกในเรื่องเสียอีก!
“ขอบคุณสวรรค์ที่ส่งข้ามาเข้าร่างตัวละครแมรี่ซู! ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
พอคิดขึ้นได้ก็กลับคำ ไม่ทราบเคยทำความดีไว้อย่างไรจึงได้โอกาสมีชีวิตใหม่อีกครั้ง เวลานี้รู้เพียงแต่ดีใจมากๆ รู้สึกราวกับบรรยากาศหมองมัวรอบตัวเปลี่ยนเป็นสดใสในทันที แม้นว่าฝนจะยังคงตกอย่างหนัก หวางเสี่ยวเหยาตะโกนขึ้นบอกท้องฟ้า ยิ้มให้กับนกกาที่บินผ่านมาแม้ว่าจะมีสายฟ้าฟาดลงมาอย่างรุนแรง
เปรี้ยง!
“ข้าอยู่ในร่างโฉมสะคราญผู้เทพทรู ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
เปรี้ยง!
แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าก็เลือนหายเมื่อสกุณาตัวนั้นถูกสายฟ้าฟาดร่วงหล่นลงมาตายต่อหน้า ขนดำมะเมี่ยมของมันมีควันลอยคลุ้ง ร่างกายไหม้เกรียมกรุ่นกลิ่นเหม็นไหม้ ความสมจริงกลับมาเยี่ยมเยือนจนนักเขียนสาวเริ่มตื่นกลัวในสถานการณ์
นางไม่รู้เลยว่าจุดจบของตัวละครนางร้ายนี้จะมาถึงเมื่อใด นางเว้นว่างเอาไว้เพราะมุ่งมั่นตั้งใจเขียนแต่ฉากเลิฟซีน
“แย่แล้ว!…”
เมื่อคิดเช่นนั้นหวางเสี่ยวเหยาก็ลนลานหายาแก้อาการทันที นางร้ายนี้จะต้องพกยาติดกาย ทว่าลูบคลำไปตามอาภรณ์สักเท่าใดก็ไม่พบขวดยา
‘เป็นไปไม่ได้! นางจะต้องมียาสิ!’
พลันนั้นนัยน์ตาสีดำขลับก็กวาดมองไปยังถนนดินเฉอะแฉะ และแล้วนางก็ได้พบกับขวดยา เจ้าขวดกระเบื้องเคลือบเล็กๆ นั้นตกอยู่ที่กลางทาง และนั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ตัวละครนี้นอนแอ้งแม้งอยู่ก่อนที่นางจะมาเข้าร่าง
คาดว่าเหอรั่วเหวินที่กำลังควบม้ามากำลังจะหยิบยาขึ้นมาดื่มเมื่อได้กลิ่นไอฝน ทว่าตัวละครนี้มักจะโชคร้ายเสมอๆ จึงทำให้พลาดพลั้งทำขวดยาหล่นจากมือ และเมื่อนางลงจากหลังอาชาเพื่อมาหยิบขวดยาฝนก็เทกระหน่ำลงมาเสียแล้ว เหอรั่วเหวินจึงไม่อาจไปขัดขวางฉากการร่วมรักท่ามกลางสายฝนของพระเอกและนางเอกที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปได้
“บ้าจริง! นี่ข้าต้องกระเสือกกระสนคลานไปกับพื้นเพื่อเอื้อมหยิบขวดยาหรือนี่ รันทดยิ่งนัก!”
นักเขียนสาวสายหื่นบ่นกระปอดกระแปดกับฝนฟ้า ช่างเป็นจังหวะการเข้าร่างที่สั่นสะเทือนวงการเสียจริง
“ปัง ปุ ริ…เย่ มาก แม่…”
เสียงบ่นยังสั่นเครือสิ้นดี พูดจบนางก็ค่อยๆ เอื้อมมือออกไป ในใจคิดว่าจะคลานไปกับพื้น ระยะห่างระหว่างตัวนางกับขวดยาไม่น่าเกินสองจั้ง ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปสองเค่อนางก็ยังคงนอนแหมบอยู่ที่เดิม สองจั้งกลายเป็นสองลี้ขึ้นมาทันควันเมื่อการขยับกายของนางเปรียบดั่งสล็อตตัวหนึ่ง
“เฮ้อ!…”
เขาให้เธอเลือกระหว่าง ‘แฟนตัวจริงหรือเมียสมอ้าง’ บอกว่าชอบใจคำไหนก็ให้เลือกใช้เอาเอง ทั้งที่เธอมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กเท่านั้น อย่างนี้ก็ได้ด้วย!
ตระกูลซูล่มสลาย จวนเจิ้นกั๋วทั้งตระกูลถูกประหารชีวิตในคืนเดียว ชาติก่อน… ซูเฉิงอิ้งถูกน้องสาวหลอกใช้ ถูกชายเจ้าชู้เล่นตลก ชาติก่อน… ซูเฉิงอิ้งใช้ชีวิตอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่แคว้นเป่ยเหลียงสิบกว่าปี แต่กลับถูกกล่าวหาว่าคบคิดกับศัตรู คนทั้งแคว้นเซิ่งถังต่างก็ด่าทอยกใหญ่ ชาติก่อน… ซูเฉิงอิ้งต้องยืนมองน้องสาวกับรักแรกของตนสนิทสนมกัน ครองโลก ส่วนตัวเองกลับโดนประหารชีวิต เลือดสาดตะวัน เมื่อตื่นขึ้นอีกครั้ง… ซูเฉิงอิ้งถือดาบกลับมา ฟาดแรก… ตัดสายเลือด ฟันน้องสาวอกตัญญู ฟาดที่สอง… ตัดความรัก ฟันรักแรกที่หน้าเนื้อใจเสือ ฟาดที่สาม… ตัดคำพูด ฟันทุกเสียงนินทาของเป่ยเหลียงที่บิดเบือนความจริง ฟาดที่สี่… ตงฟางไป๋เยว่ “หรือว่าฮูหยินอยากจะฆ่าสามีผู้นี้ด้วยหรือ” ซูเฉิงอิ้ง“หุบปาก…”
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
+++++++++++++ “อือ... พริบีนา... จะ...เจ็บค่ะ” “ฉันชอบ... เวลาเธอเจ็บเพราะฉัน” สิ้นคำเขาก็ขบอีกครั้ง จนร่างของเธอเต็มไปด้วยรอยแดงๆ เหมือนกลีบกุหลาบช้ำๆ “คนบ้า!” “ฉันดูดเธอได้ทั้งคืน... ดูดแรงๆ ตลอดทั้งเนื้อทั้งตัว...” ‘รวิสรา’ ต้องตกใจจนแทบสิ้นสติ เมื่อจู่ๆ ‘พริบีนา เอล เชสตัค’ มกุฎราชกุมารผู้หล่อเหลาแห่งเอล มอร์เรเวีย ก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า และบอกว่าเขาคือเจ้าของที่แท้จริงของเพนต์เฮาส์หรูใจกลางปารีส ที่แม่ของเธอทิ้งเอาไว้ให้ ก่อนจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย หากเรื่องกลับวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม... เมื่อรู้ว่าน้องชายวัยขวบเศษของเธอ คือทายาทที่เกิดจากการขโมยสเปิร์มของเขา หญิงสาวจึงจำใจสุ่มเสี่ยงต่อความหวั่นไหว แล้วยอมใช้ชีวิตร่วมชายคาเดียวกัน กับเจ้าชายหนุ่มผู้เร่าร้อนตลอดหนึ่งสัปดาห์ เพื่อแย่งกรรมสิทธิ์ในตัวเด็กน้อย โดยไม่ให้สูญเสียพรหมจรรย์ของตัวเอง
เจ้าของร่างเดิมถูกท่านย่าตัวเอง ขายให้ชายพิการด้วยเงินเพียงห้าตำลึง จึงคิดสั้นไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทำให้วิญญาณของเซี่ยซือซือทะลุมิติมาเข้าร่างแทน ชีวิตในโลกนี้บิดามารดาล้วนตายไปแล้ว เหลือเพียงน้องสาวกับน้องชายร่างกายผอมแห้งหิวโซสองคน เธอต้องช่วยพวกเขาให้รอด ก่อนจะถูกคนชั่วพวกนี้ขายทิ้งไปแบบเธอ 1 : ทะลุมิติ แคว้นจ้าว หมู่บ้านตระกูลแซ่อวี่ ภายในบ้านสกุลเซี่ย “ท่านพี่รีบกินเร็วเข้า” เสียงเด็กเล็กดังก้องอยู่ข้างหูอย่างน่ารำคาญ ว่าแต่ฉันมีน้องชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รู้สึกได้ถึงอะไรแข็ง ๆ มาแตะที่ริมฝีปาก ทว่ายังลืมตาไม่ขึ้น “ท่านพี่กินสิ ๆ” เซี่ยซือซือรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะ พยายามที่จะเปิดดวงตาขึ้นมอง เจ้าของเสียงเล็ก ๆ ด้านข้าง “ท่านพี่ ๆ ท่านพี่อย่าตายนะ ลืมตาสิท่านพี่” “นังตัวดีออกมาเดี๋ยวนี้นะ !” เสียงเอะอะโวยวายดังหนวกหูเซี่ยซือซือเป็นอย่างมาก ปัง ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อย ๆ เซี่ยซือซือลืมตาขึ้นจนได้ พลันสมองกลับมีเรื่องราวพรั่งพรูเข้ามาไม่ขาดสาย จนต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด อ๊าก ! “พี่รอง !” เด็กน้อยเซี่ยซือหยางในวัยสามหนาวเรียกพี่สาวพร้อมเบะปากอยากร้องไห้ “ท่านพี่ !” เซี่ยซานซานทิ้งบานประตูที่ตัวเองดันไว้ หันกลับมาดูพี่สาวด้วยความตกใจ “ท่านพี่ ๆ ท่านเป็นอะไร อย่าทำให้พวกข้าตกใจสิท่านพี่ !” ผลัวะ ! มีคนถีบประตูบานเก่าผุพังเข้ามาภายในห้อง เด็กทั้งสองรีบเข้าไปขวางผู้บุกรุกไม่ให้ทำร้ายพี่สาว แม่เฒ่าเซี่ย เซี่ยจิ่วเม่ย หน้าตาแลดูดุร้าย ไม่ใช่หญิงชราใจดีแต่อย่างใด ด้านหลังของแม่เฒ่าเซี่ยยังมีลูกสะใภ้บ้านใหญ่ กับบ้านรองเดินตามมา ท่าทางดุดันเอาเรื่อง “ไอ้พวกบ้านสามตัวดี กล้าลักขโมยอาหารเอาไว้กินเอง ยังเห็นแม่เฒ่าอย่างข้าอยู่ในสายตาหรือไม่ ไอ้พวกหมาป่าตาขาว ดูซิวันนี้ข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร” “ท่านย่าพวกข้าไม่ได้ขโมยนะ นี่เป็นหมั่นโถวของท่านพี่ ท่านพี่ไม่สบายข้าแค่เก็บไว้ให้ท่านพี่เท่านั้นเอง” เซี่ยซานซานยังเป็นเด็กหญิงวัยสิบหนาว แต่นางข่มความกลัวตอบโต้ผู้ใหญ่ในบ้านออกไป “หึ กฎบ้านก็มีบอกอยู่แล้วถ้าพลาดมื้ออาหารไปก็คืออด แต่พวกเจ้ากลับแหกกฎ แอบยักยอกอาหารเก็บไว้กินเอง ยังมีหน้ามาเถียงท่านแม่อีก ท่านแม่ท่านต้องลงโทษคนบ้านสามนะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ยอมจริง ๆ ด้วย ตอนนั้นยวี่เฟยของข้านางได้พลาดมื้อเย็นไป ท่านก็ไม่ให้นางกินนะเจ้าคะ” สะใภ้บ้านรองนามว่าจงอี้ซิน ย้อนรำลึกถึงเรื่องลูกสาววัยแปดปีของตัวเองขึ้นมา “ดูเจ้าเด็กพวกนี้สิท่านแม่ กางแขนปกป้องพี่สาวตัวเอง ช่างน่าสมเพชไม่รู้จักสำเหนียกกำลังตัวเอง ถุย !” หลินพ่านเอ๋อสะใภ้บ้านใหญ่มองดูเด็กทั้งสองพร้อมถ่มน้ำลายใส่ตรงหน้า แม่เฒ่าเซี่ยมองลูกสะใภ้ทั้งสองสลับกันไปมา เดินตรงไปกระชากหมั่นโถวเย็นชืดแถมแข็งปานหิน ออกจากมือของเซี่ยซือหยาง “แง ๆ ๆ” เด็กน้อยถูกแย่งของกินของพี่สาวไป ถึงกับแผดเสียงร้องลั่น “เจ้าคนชั่ว ! เอามานะ ของท่านพี่ข้า” กำปั้นน้อย ๆ ทุบไปยังต้นขาของแม่เฒ่เซี่ย “เจ้าเด็กเนรคุณกล้าตีข้ารึ นี่นะ !” แม่เฒ่าเซี่ยเตะทีเดียวเซี่ยซือหยางก็กระเด็นไปติดกับผนังห้อง “น้องเล็ก !” เซี่ยซานซานรีบวิ่งไปอุ้มน้องชายขึ้นมากอดไว้ด้วยความตกใจ “ท่านย่า น้องเล็กยังเด็กไม่รู้ความ เหตุใดท่านถึงได้ใจร้ายเช่นนี้” “แง ๆ ๆ” เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยฟังแล้วน่าสงสารจับใจ ดวงตาที่ปิดไว้ก่อนหน้าของเซี่ยซือซือ ลืมขึ้นหลังจากค้นพบว่า ตัวเองได้ทะลุมิติมายังอดีตอันไกลโพ้นแล้วจริง ๆ หลังจากหลับตาลืมตาอยู่หลายหน เรียบเรียงความคิดที่ไหลเข้ามาไม่ยอมหยุด เมื่อค่อย ๆ จัดการกับมันได้ ความเจ็บปวดที่ศีรษะก่อนหน้าจึงบางเบาลง และมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเฉยชา ครบสูตรของการทะลุมิติจริง ๆ มีท่านย่าผู้ชั่วร้าย ขนาบข้างด้วยป้าสะใภ้เลวทั้งสอง ครั้นหันไปมองน้องสาวในวัยสิบขวบของตัวเองกับน้องชายตัวน้อย ทั้งตัวดำเมี่ยมเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเดือน ร่างกายผอมแห้งเหลือแต่กระดูก เสื้อผ้าเก่าขาดมีรอยปะชุนเต็มไปหมด เส้นผมแห้งกรังเหมือนไม่ผ่านน้ำมานาน ยกมือของตัวเองขึ้นมาดู ไม่ได้มีสภาพต่างกันแม้แต่น้อย ครั้นเงยหน้ามองป้าสะใภ้ใหญ่ร่างกายอวบอ้วนเต็มไปด้วยก้อนไขมัน ป้าสะใภ้รองแม้ไม่ได้อ้วนแต่ก็ไม่ได้ผอม ยิ่งแม่เฒ่าเซี่ยด้วยแล้ว ร่างกายบึกบึนเหมือนคนกินดูอยู่ดีมาตลอด “ท่านแม่ดูอาซือมองท่านสิเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่เห็นสายตาเย็นเยียบของคนที่นอนอยู่บนเตียงก็อดแปลกใจไม่ได้ ดูเยือกเย็นจนไม่น่าไว้ใจ “เจ้าอย่าคิดว่ากระโดดน้ำตายแล้วทุกอย่างจะจบนะอาซือ ข้ารับเงินคนบ้านถานมาแล้ว ถ้าเจ้าตายข้าจะให้อาซานไปแทนเจ้า” คำพูดของแม่เฒ่าเซี่ยทำให้ดวงตาของเซี่ยซือซือเบิกกว้าง ท่านย่าของนางขายนางให้คนบ้านถานในราคาแค่ห้าตำลึง เจ้าของร่างเดิมไม่อยากไปเป็นเมียคนพิการ เลยไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทว่าเธอที่มาจากยุคปัจจุบันกลับเข้ามาแทนที่เจ้าของร่างนี้ เจ้าของร่างเดิมว่ายน้ำไม่เป็น จึงได้ขาดอากาศตายใต้น้ำ แต่เธอที่เข้ามาสวมร่างกลับพาร่างนี้ขึ้นมาจากน้ำได้ โชคชะตาคงเล่นตลกให้เธอกับเจ้าของร่างเดิมมีชื่อเดียวกัน “ท่านย่าอาซานยังเด็กนัก ท่านอย่าได้ทำเช่นนั้นเลย” นานมากกว่าที่นางจะเอ่ยออกมา “มันอยู่ที่เจ้าอาซือ ข้าขอเตือนเอาไว้ อีกสองวันคนบ้านถานจะมารับตัวเจ้าแล้ว อย่าให้เกิดเรื่องขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งอาซานไปแทนเจ้า แล้วขายซือหยางทิ้งเสีย” แม่เฒ่าเซี่ยจ้องหน้าเซี่ยซือซือแบบอาฆาต เด็กนี่ก่อนหน้าดูอ่อนแอไร้ทางสู้ ทำไมวันนี้ถึงได้ดูแปลกตาไปนัก “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านจะลงโทษคนบ้านสามเรื่องหมั่นโถวนี่อย่างไรเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่ยังไม่ยอมปล่อยสามพี่น้องไปง่าย ๆ “พรุ่งนี้งดอาหารบ้านสาม” แม่เฒ่าเซี่ยเอ่ยแล้วหันหลังเดินออกจากห้องของเด็กน้อยทั้งสามไป โดยมีสะใภ้ใหญ่เดินตามไปด้วย “พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม จำใส่หัวเอาไว้ดี ๆ ด้วยล่ะ” สะใภ้รองหมุนตัวตามหลังไปติด ๆ “ท่านพี่ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ข้ากับน้องเล็กจะทำอย่างไร ถ้าท่านไม่อยู่” เซี่ยซานซานปล่อยเสียงร้องไห้ในทันที
คิณ อัคนี สุริยวานิชกุล ทายาทคนโตของสุริยวานิชกุลกรุ๊ป อายุ 26 ปี นักธุรกิจหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาราวกับเทพบุตร เย็นชากับผู้หญิงทั้งโลกยกเว้นเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น เอย อรนลิน "เมื่อเขาดึงเธอเข้ามาในวังวนของไฟรักที่แผดเผาหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้ไหม้ไปทั้งดวง" "เธอแน่ใจนะว่าจะให้ฉันช่วยค่าตอบแทนมันสูงเธอจ่ายไหวเหรอ?" เอย อรนลิน พิศาลวรางกูล ดาวเด่นของวงการบันเทิงที่ผันตัวไปรับบทนางร้าย เธอสวย เซ็กซี่ ขี้ยั่วกับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น "เขาคือดวงไฟที่จุดประกายขึ้นในหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้หลงเริงร่าอยู่ในวังวนแห่งไฟรัก" "อะ อึก จะ เจ็บ เอยเจ็บค่ะคุณคิณ"
ในชีวิตชาติที่แล้ว เพื่อช่วยรักแรกของตัวเอง คนชั่วสามคนได้ทำลายพลังการต่อสู้ของนาง ตัดแขนขาของนางออก ตัดเส้นเลือดของนางและปล่อยเลือดของนางไหลออกมาทั้งอย่างนั้น และทรมานนางจนตาย เมื่อเกิดใหม่ครั้งนี้ นางวางแผนอย่างรอบคอบ โดยสาบานว่าจะให้พวกเขาได้สัมผัสกับความทุกข์ทรมานที่นางเคยประสบมา! รักแรกที่ไร้เดียงสาอะไรกัน ที่จริงก็เป็นเพียงผู้หญิงที่ตีสองหน้าเก่ง อยากจะไต่ขึ้นไปสูงเหรอ งั้นก็จะให้เจ้าปีนขึ้นไป ยิ่งปีนขึ้นสูงมากเท่าไร ตอนตกลงมาก็จะยิ่งเจ็บมากเท่านั้น! พวกสวะสมควรได้รับบาปกรรมของพวกสวะ พวกมันทำชั่วกับนางไปชั่วชีวิตหนึ่ง นางจะทำให้พวกมันไม่ตายดี พวกคนที่เจ้าเล่ห์ ตีสองหน้าเก่ง นางจะจัดการกับทุกคน! แต่นางไม่เคยคิดเลยว่าในการแก้แค้นของนาง นางจะไปมีเรื่องกับเสด็จอาที่เป็นเจ้าแผนการเข้า ที่วัน ๆ ต้องการให้นางจูบและกอดเขาตลอดทั้งวัน ในขณะที่นางแก้แค้นคนชั่วนั้นยังสามารถสนิทสนมกับเสด็จอาด้วย ในความจริงแล้ว การที่เป็นผู้หญิงชั่วๆ ก็มีความสุขมาทีเดียวกว่าที่คิดเลย!
© 2018-now MeghaBook
บนสุด