เรื่องราวของหญิงสาววัยเลขสี่ที่ใช้ชีวิตแบกภาระเพื่อแม่มาค่อนชีวิต ทุ่มเทเพื่อผู้ให้กำเนิดจนลืมนึกถึงชีวิตตัวเอง แต่แล้วในวันที่พ่อจากไป เธอพบว่าต้องแบกภาระหนี้ก้อนโต และเป็นเวลาเดียวกับที่ชายเจ้าของหัวใจหวนคืนมา ภาพความจำ ความรู้สึกเก่า ๆ คืนมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เมื่อเธอมีโอกาสอีกครั้ง ... เธอจะเลือกทางไหน? ...
ในเมืองใหญ่…
เสียงแตรรถดังระงมไปทั่วท้องถนนในยามเช้าที่ผู้คนกำลังรีบเร่ง หญิงสาวในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสแล็กส์สีกรมท่า สวมทับด้วยเสื้อสูทสีน้ำเงินเข้มกำลังก้าวเท้าข้ามถนนตรงทางม้าลายเพื่อไปยังออฟฟิศ แต่กลับต้องชะงักเท้าไว้เมื่อมีเสียงบีบแตรดังมาจากรถยนต์คันหรูสีดำที่กำลังแล่นฝ่าไฟแดงมาด้วยความเร็วสูงดังขึ้นอย่างกระชั้นชิด
“นังบ้า ขี้เกียจใช้ชีวิตแล้วหรือไง!” เสียงคนขับโผล่หน้าออกมาตะโกนด่าเมื่อขับรถผ่านหญิงสาวไปได้ไม่ไกล
“อะไรว่ะ นี่มันทางม้าลายนะ ไอ้บ้าเอ้ย!” คำด่ารัว ๆ นั้นไหลพรั่งพรูออกมาจากปากหญิงสาวที่ชื่อนารี เพราะทั้งรู้สึกตกใจและทั้งหงุดหงิดที่การทำตามกฎของเธอกลับกลายเป็นสิ่งที่ถูกตำหนิไปได้
“ไอ้เหี้ยเอ้ย น่าหงุดหงิดชะมัด แม่งเอ้ย!!” นารียังคงก่นด่าเจ้าของรถยนต์คันนั้นไปตลอดทางจนถึงออฟฟิศ
..............
ที่ทำงานของนารี...
ขณะนารีก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังโต๊ะทำงาน พลันเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ทำให้หญิงสาววัยสี่สิบกว่าต้องชะงักเท้าหยุดเดินแล้วดึงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง ทว่าเมื่อมองดูหน้าจอแล้วต้องถอนใจ ทำหน้าเซ็งเมื่อเห็นว่าเป็นใครโทรมา
“มาแล้ว เจ้าหนี้หรือแม่กันวะเนี่ย!” เธอพึมพำ แล้วกดรับสายนั้น
“คะแม่”
“นารีเหรอ พ่อแกเสียแล้วนะ” เสียงปลายสายแจ้งข่าวในทันที นารีเมื่อได้รับฟังข่าวการเสียชีวิตของผู้เป็นพ่อกลับไม่ได้รู้สึกเสียใจแต่อย่างใด ด้วยว่านารีนั้นโตมากับแม่เพียงสองคน พ่อของเธอแยกทางกับแม่เมื่อเธอเพิ่งจะจำความได้ และแต่งงานใหม่มีลูกกับเมียใหม่อีกสองคน ซ้ำผู้เป็นพ่อยังแทบไม่เคยเหลียวแลเธอกับแม่ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นารีจะไม่มีความรู้สึกผูกพันหรือต้องรู้สึกเสียใจกับการจากไปของผู้เป็นพ่อ
“แกต้องมางานศพของพ่อแกให้ได้ ขืนไม่มาพวกฝั่งโน้นคงได้เอาสมบัติพ่อแกไปจนหมดแน่ ๆ” คนเป็นแม่ไม่วายแสดงอาการหวงสมบัติเกินหน้าเกินตาตามปกติวิสัยของนาง จนไม่แม้แต่จะถามสารทุกข์สุขดิบของลูกสาวเลยสักนิด
“แค่นี้นะแม่ ต้องทำงานแล้ว” นารีวางสายคนเป็นแม่ไปแบบเซ็ง ๆ แล้วก็ให้นึกย้อนไปถึงชีวิตเมื่อครั้งยังอยู่บ้านนอกกับแม่ ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่เคยกลับไปที่นั่น จะมีก็แต่เพียงส่งเงินให้คนเป็นแม่ได้ใช้ เพราะถึงกลับไปคนเป็นแม่ก็คงไม่ได้ยินดีมากเท่ากับการได้เห็นเงินถูกโอนเข้าบัญชี ‘เห็นเงินกับเห็นหน้าลูกสิ่งไหนมันจะทำให้แม่ชื่นใจมากกว่ากันนะ’
.................
จังหวัดบ้านเกิดของนารี...
ไม่กี่วันต่อมานารีลางานเพื่อมาเคารพศพบิดา ภายในงานนารีได้รู้จักนางมาลี เมียใหม่ของผู้เป็นพ่อ รวมทั้งน้อง ๆ อีกสองคนที่เกิดจากคนที่ได้ชื่อว่าแม่เลี้ยง ทุกคนในงานต่างพูดถึงแต่เรื่องมรดกที่พวกเขาจะมีสิทธิ์ได้ ไม่มีใครสนใจถามไถ่ความเป็นอยู่ของกันและกันสักเท่าใดนัก ดูไปแล้วก็เหมือนว่าทุกคนต่างมาที่นี่ก็เพื่อดูว่าตนเองจะได้อะไรบ้างก็เท่านั้น นารีที่ได้แต่นั่งหลบอยู่ในมุมเงียบ เฝ้ามองพฤติกรรมของคนที่ได้ชื่อว่าญาติมิตร แล้วก็ได้แต่ปลง ‘ก็ใช่นั่นแหละ คนที่ตายไปแล้วก็ตายไป ยิ่งไม่มีความดีให้น่าจดจำอีกไม่กี่วันก็จะกลายเป็นคนที่ถูกลืม ไม่ควรค่าให้พูดถึงได้มากเท่าสมบัติมีค่าเหล่านั้นหรอก’
ทนายนัดเปิดพินัยกรรมหลังจัดการเผาศพบิดาของนารีผ่านพ้นไปเพียงสองวัน ทุกคนที่มีสิทธิ์ในมรดกของผู้เป็นพ่อต่างตั้งหน้าตั้งตารอฟังพินัยกรรม ทว่าเมื่อเปิดออกมาแล้วกลับทำให้รู้สึกผิดหวังเสียยิ่งกว่า ด้วยว่าทรัพย์สมบัติของนายสมพงษ์นั้นแทบจะไม่เหลืออะไรแล้ว นารีกับแม่ได้รับเพียงบ้านหลังที่อยู่ในปัจจุบันซึ่งเป็นบ้านที่พ่อและแม่ของเธอร่วมกันกู้เงินซื้อด้วยกัน แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังผ่อนไม่หมด ซ้ำร้ายเมื่อผู้ให้กำเนิดเสียชีวิตลง ยังมีทีท่าว่าอาจจะโดนยึดขายทอดตลาด ด้วยว่าบิดาของเธอไม่ได้ส่งค่าบ้านมาเป็นเวลานาน จะว่าไปคนเป็นพ่อไม่ได้ทิ้งสมบัติอะไรไว้ให้สองแม่ลูกเลยด้วยซ้ำ เพราะบ้านหลังนั้นจริง ๆ แล้วก็เป็นสิทธิ์ของนางละไมครึ่งหนึ่ง คงจะทิ้งไว้เพียง มรดกหนี้
“อะไรว่ะ ไอ้แก่เนี้ย ตายไปแล้วนอกจากจะไม่ทิ้งสมบัติอะไรไว้ให้ ยังทิ้งภาระหนี้ไว้ให้กูอีก” ผู้เป็นแม่ก่นด่าไม่หยุดปากเมื่อต้องรับรู้ว่าตนเองอาจจะไม่มีที่ซุกหัวนอน หากว่าไม่สามารถหาเงินมาไถ่ถอนบ้านที่อาศัยอยู่ในปัจจุบันได้
“เราจะทำยังไงกันดีล่ะแม่” นารีถามขึ้นด้วยรู้สึกว่าขณะนี้น่าจะหมดหนทาง เธอมองไม่เห็นเลยว่าจะหาเงินก้อนโตมาปลดหนี้ภายในเวลาหกเดือนได้อย่างไร
“ไม่รู้โว้ย” เมื่อถูกถามกระตุกต่อมเจ็บใจก็ยิ่งพาลโมโห คนเป็นแม่เลยได้แต่เอาอารมณ์ที่ค้างคาจากคนที่เพิ่งตายจากไปมาลงกับคนเป็นลูกสาว
เมื่อพูดคุยกับคนเป็นแม่ไม่ได้ผล นารีทำได้เพียงพาตัวเองออกมาเดินสูดอากาศนอกบ้าน ขณะก้าวเดินไปตามถนน หัวสมองก็คิดวนเวียนหาหนทาง ยิ่งคิดนารีก็ยิ่งรับรู้ได้ว่าการจากไปของผู้เป็นพ่อนั้นมาพร้อมกับภาระหนักอึ้ง เธอรู้สึกว่าภาระที่ต้องคอยแบกจนหนักอึ้งอยู่แล้วนั้น กลับยิ่งรู้สึกหนักมากขึ้นไปอีกเมื่อต้องรับรู้ถึงภาระหนี้บ้านที่เพิ่มเข้ามา ด้วยตลอดเวลาที่นารีเติบโตจนผ่านพ้นวัยสาว กระทั่งล่วงเลยวัยกลางคน เธอมีเพียงแค่ภาระที่จะต้องรับผิดชอบ นารีไม่เคยรู้ว่าการได้มีชีวิตในวัยสาวควรจะเป็นเช่นไร ไม่รู้ว่าการได้มีความรักนั้นจะดีกับเธอหรือไม่ เพราะเธอมัวแต่ต้องรับผิดชอบชีวิตคนอื่น จนลืมที่จะใส่ใจชีวิตตนเอง กระทั่งเวลาผ่านไป นารีรู้ตัวอีกทีเธอก็อายุย่างเลขสี่เข้าไปแล้ว ทั้งยังต้องเฝ้ามองเพื่อน ๆ ที่ทยอยแต่งงานมีลูก มีครอบครัวไปเรื่อย ๆ จนทุกวันนี้เธอรู้สึกเหมือนตัวคนเดียว แต่ต้องแบกภาระหนักอึ้งเสียจนแทบจะแบกไม่ไหว ความรักงั้นเหรอ เมื่อนึกถึงความรัก นารีไม่เคยแน่ใจว่าเธอควรจะได้รับมันหรือไม่
“เอ้อ!” หญิงสาวถอนหายใจเพื่อไล่ความรู้สึกหนักอึ้งในความรู้สึกออกไป
“หกเดือนกับเงินสามล้าน ฉันจะไปหาที่ไหนกันละเนี้ย” นารีได้แต่บ่นกับตัวเองด้วยความรู้สึกกลัดกลุ้ม เพราะรู้ดีว่าหากจะปรึกษาขอความเห็นจากคนเป็นแม่ก็คงจะไม่มีคำตอบใด ๆ เพราะนางละไมมักจะโยนภาระทุกอย่างมาให้เธอเป็นคนรับผิดชอบ และการจะต้องคิดว่าจะหาเงินสามล้านมาปลดหนี้ในเวลาแค่หกเดือน นั่นดูจะเป็นเรื่องยากเกินไป เมื่อยิ่งคิดก็ยิ่งมองไม่เห็นหนทาง
“ฉันจะทำยังไงดี โอ้ย! ยิ่งคิดยิ่งกลุ้ม!” หญิงสาวถอนหายใจสะบัดหน้าไปมา หวังเพื่อไล่ความรู้สึกกลัดกลุ้มออกไป
นารีปล่อยความคิดไหลไป ในขณะปลายเท้าก้าวไปอย่างไร้จุดหมาย รู้ตัวอีกที่ก็พบว่าตัวเองมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ขณะกำลังช่างใจว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ พลันสายฝนก็เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย นั่นจึงทำให้เธอต้องเร่งพาตัวเองเข้าไปหลบฝนข้างในโดยไม่ต้องคิดอีกต่อไป
..............
ภายในร้านกาแฟ เสียงเพลงบรรเลงดังออกมาจากลำโพงเบา ๆ ทั้งยังอบอวลไปด้วยกลิ่นสดใหม่ของกาแฟ
“ขอคาปูร้อนแก้วหนึ่งค่ะ” หญิงสาวในชุดเสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนส์สีน้ำเงิน สวมทับด้วยเสื้อสูทโอเวอร์ไซซ์สีน้ำเงินเอ่ยสั่งเครื่องดื่มในทันทีที่ผลักประตูก้าวเข้ามาในร้าน
“รอสักครู่นะครับ”
หลังจากสั่งเครื่องดื่มแล้วนารีมองหาที่นั่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจก้าวเข้าไปนั่งตรงโต๊ะมุมสุดของร้าน ด้วยรู้สึกว่าห่างไกลจากโต๊ะอื่น ๆ ทั้งยังรู้สึกมีความเป็นส่วนตัวมากกว่ามุมอื่นของร้าน
“เอาคาปูแก้วหนึ่งครับ” เสียงชายหนุ่มที่เพิ่งเข้ามาใหม่สั่งเครื่องดื่ม เสียงทุ้มนั้นเรียกความสนใจให้นารีเงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของเสียง และพบว่าหนุ่มเจ้าของเสียงผู้นั้นเป็นชายหนุ่มอายุราวสี่สิบต้น ๆ เสื้อยืดสีขาวถูกสวมทับด้วยเสื้อสูทช่วยทำให้การแต่งกายง่าย ๆ ดูเป็นทางการขึ้นมาอีกหน่อย อีกทั้งรูปร่างสูงโปร่ง ได้สัดส่วนยิ่งช่วยเสริมให้ชายผู้นี้ดึงดูดสายตาผู้คนได้ไม่ยาก แต่สำหรับนารีแล้วสิ่งที่ดึงดูดสายตาเธอกลับเป็นความรู้สึกคุ้นเคยกับชายผู้นี้ เหมือนว่าเคยพบเจอเขาที่ไหนมาก่อน และเมื่อความทรงจำของนารีทำงาน พลันหัวใจของหญิงสาวกลับเต้นไม่เป็นจังหวะ ภาพความทรงจำในอดีตย้อนกลับมา ความสุข ความเจ็บปวด ค่อย ๆ ตอกย้ำพร้อม ๆ กับภาพเก่า ๆ ที่กำลังซ้อนทับกับภาพใบหน้าของผู้ชายตรงหน้า
..............
ในวันแต่งงาน เสิ่นเยวียนถูกคู่หมั้นและน้องสาวของเธอทำร้าย และถูกจำคุกเป็นเวลาสามปีด้วยความทุกข์ทรมาน หลังจากได้รับการปล่อยตัวจากคุก น้องสาวผู้ชั่วร้ายได้คุกคามด้วยชีวิตแม่และพยายามให้เธอมอบตัวกับชายชรา อย่างไรก็ตาม เธอได้พบกับเซียวเป่ยหาน ซึ่งเป็นผู้ทรงอิธิพลที่หล่อเหลาและเย็นชาแห่งแห่งสังคมด้านมืด อย่างไม่คาดคิด และชะตากรรมของเธอก็เปลี่ยนไปตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม้ว่าเซียวเป่ยหานจะเย็นชา แต่เขากลับปฏิบัติต่อเสิ่นเยวียนดั่งเป็นสมบัติล้ำค่า นับแต่นั้นมา เธอจัดการคนเสแสร้ง เอาคืนแม่เลี้ยงและไม่ถูกกลั่นแกล้งอีกต่อไป
เว่ยเว่ย นักศึกษาฝึกงานทะลุมิติ เว่ยเว่ยขับเวสป้าตกเหว แต่ดันทะลุมิติตกน้ำอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม ที่กำลังหาปลาอยู่ที่บึงน้ำ ลู่เหวินเยียนอาศัยกับมารดาอยู่ที่กระท่อมเชิงเขา บิดาเสียชีวิตในสนามรบ เขามักจะออกไปล่าสัตว์ป่ามาขาย วันนี้เขามาดูกับดักปลาและบังเอิญเห็นบางสิ่งตกลงมาจากฟ้าต่อหน้าต่อตาเขา คำเตือน นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นตามจินตนาการของผู้แต่ง บุคคล สถาน องค์กรและเนื้อเรื่องทั้งหมดในนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องสมมติ ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ทางปัญญาตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์พ.ศ.2537และเพิ่มเติมพ.ศ.2538 ห้ามทำการคัดลอก หรือดัดแปลงเนื้อหาของนิยายโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของที่เป็นผู้แต่งเป็นลายลักษณ์อักษร
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
ในการแต่งงานที่ทำข้อตกลงไว้ เจียงหว่านเป็นฝ่ายที่มีใจให้อีกฝ่ายก่อน แต่ตอนที่เธอต้องการเผยเสี้ยนมากที่สุด เขากลับอยู่เคียงข้างคนรักในใจของเขา ในท้ายที่สุด เจียงหว่านก็ตัดสินใจหย่า และเริ่มต้นชีวิตใหม่ เมื่อเผยเสี้ยนรู้สึกตัวขึ้นมา เธอก็จากไปแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่เข้าคิวเพื่อรับป้ายหมายเลข เผยเสี้ยนหยิบเงินร้อยล้านออกมาและพูดว่า "หว่านหว่าน คู่รักก็ต้องเป็นคู่เดิมเราแต่งงานใหม่อีกครั้งได้ไหม"
คุณท่านเสียว คุณชายยอดเยี่ยมที่โด่งดังในเมือง B ได้แต่งงาน แต่มีข่าวลือว่าเจ้าสาวมีรูปร่างหน้าตาที่น่าเกลียดและมีฐานะต่ำต้อย สามปีมานี้ เขาปฏิบัติกับเธออย่างเย็นชาและทำเหมือนเป็นคนแปลกหน้า เจียงซิงซิงอดทนกับความเย็นชาอย่างเงียบ ๆ เธอยังคงรักเขาอย่างสุดหัวใจ เสียสละความนับถือตนเองและยอมละทิ้งตัวตนของเธอเอง จนกระทั่งวันหนึ่ง สุดที่รักของเขากลับประเทศ เขได้สารภาพว่าเขาแต่งงานกับเธอเพียงเพื่อช่วยชีวิตคนรักในใจของเขาเท่านั้น เจียงซิงซิงเสียใจและผิดหวังมาก เธอจึงเซ็นเอกสารหย่าและจากไปด้วยความเศร้าใจ สามปีต่อมา เจียงซิงซิงผู้สวยงามจนน่าทึ่งกลับมาอีกครั้ง ได้กลายมาเป็นศัลยแพทย์ที่ดีที่สุดและเป็นยอดฝีมือด้านเปียโน อดีตสามีรู้สึกเสียใจ และกอดเธอแน่นท่ามกลางสายฝน เสียงของเขาสั่นเครือ "ที่รัก คุณเป็นของผม..."
ซูมู่หยูคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลที่พลัดพรากจากกันไปนาน หลังจากกลับมาสู่ครอบครัว เธอพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาใจญาติๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวตน เกียรติศักดิ์ หรือผลงานการออกแบบ เธอก็ถูกบังคับให้มอบสิ่งเหล่านี้ให้กับลูกสาวบุญธรรม อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้รับความรักและการดูแลจากครอบครัวแต่อย่างใด แต่กลับโดนเอาเปรียบตลอด นับแต่นั้นเป็นต้นมา มู่หยูไม่ยอมให้ใครอีกเลย และตัดความรู้สึกและความรักทั้งหมดออกไป ปัจจุบันเธอเป็นสายดำระดับเก้า เชี่ยวชาญภาษาถึงแปดภาษา เป็นผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และนักออกแบบระดับโลก ซูมู่หยูกล่าวว่า "จากนี้ไป ฉันเป็นหนึ่งของตระกูลซู"