เจ้านายดีๆ ก็เหมือนรักแท้ หลายคนเชื่อว่ามี แต่น้อยคนนักที่จะได้เจอ.....ซึ่งเจ้านายของฉันไม่ใช่คนดี แต่เป็นพวกยันเดเระ!
เจ้านายจอมโหด กำลังโกรธอะไรฉันอยู่นะ!
บทนำ
..................
"ไอ้เจ้านายใจร้าย วาจาพิกลพิการฟังไม่รู้ความ จิตใจหยาบกระด้าง ไม่มีเมตตาข้าทาสบริวาร ดีแต่สั่งให้ฉันทำงานล่วงเวลาจนไม่เคยได้ไปเดท ไอ้แว่นสี่ตาน่ารำคาญ!"
"แฮ่กๆๆๆ ขอดัดแปลงคำพูดจากละครเรื่องดังหน่อยเหอะ แฮ่กๆๆๆ"
ฉันหอบหายใจแรงหลังจากระบายความอัดอั้นในใจตลอดเวลาห้าปีที่มีออกไปบนดาดฟ้ากว้างของบริษัทที่คิดว่าไร้ผู้คน หลังจากที่วันนี้ถูกสั่งให้ทำโอทีอยู่คนเดียวทั้งๆ ที่มีนัดดูตัวแท้ๆ ประสบการณ์ล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่เริ่มความสัมพันธ์ครั้งที่ร้อย ทำให้ฉันรู้สึกอัดอั้นใจเสียเหลือเกิน
"ฮืออออ ทำไมต้องสั่งให้ทำโอทีทุกครั้งที่มีเดทด้วยเนี่ย! ความสาววัยแรกแย้มกำลังค่อยๆ ถูกกลืนไปตามกาลเวลา ความตื่นเต้นเร้าใจค่อยๆ แห้งเหี่ยวลงทุกวัน"
"เป็นแบบนี้แล้วเมื่อไหร่ฉันจะได้เสียซิงสักทีเนี่ย" เพราะความโมโหเลยพูดจาไปเรื่อยไปเปื่อย แต่ทว่าใครจะไปคิด ว่าพอพูดจบประโยคฉันก็ได้โดนสมใจ (T^T)
"อยากเสียซิงขนาดนั้นเลยหรือไง"
"ให้ผมช่วยคุณดีมั้ยล่ะ"
เสียงทุ้มเย็นยะเยือกที่แสนคุ้นเคยที่มักจะใช้จิกหัวใช้งานฉันราวกับทาสดังขึ้น
ตุ้บๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวใจเจ้ากรรมเต้นระรัว แข้งขาก็รู้สึกอ่อนเปลี้ยขึ้นมากะทันหัน เมื่อเห็นว่าร่างสูงที่แสนคุ้นเคยของใครบางคนกำลังเดินออกมาจากมุมสูบบุหรี่
"คะ คะ คะ คุณขุนพล" ความตกใจทำให้ฉันพูดจาราวกับแผ่นเสียงตกร่อง หัวใจตกไปอยู่ตาตุ่ม เพราะดันทำเรื่องใหญ่เข้าให้เสียแล้ว เพราะคนที่ด่ากราดไปเมื่อครู่ ก็คือเขาคนนี้นั่นเอง
ชายหนุ่มร่างสูงราวๆ ร้อยแปดสิบกว่าๆ ที่มีใบหน้าคมคายได้รูป ทว่ากลับถูกบดบังด้วยกรอบแว่นตาสีดำแสนเชย แต่ก็ไม่อาจบดบังออร่าความหล่อของเขาได้ เขาหล่อ เขารวย จบนอก ซึ่งตรงสเปกฉันทุกอย่างโดยเฉพาะแว่นตาเชยๆ ของเขา อะไรจะทำให้คลั่งได้เท่ากับหนุ่มแว่นกันล่ะ ยกเว้นแค่ปากของเขาที่ไม่ตรงสเปกฉันอย่างแรง เพราะฉันไม่ชอบผู้ชายที่เลี้ยงหมาไว้ในปาก
ตึก ตึก ตึก
ร่างสูงสาวเท้าเดินเข้าหาหญิงสาวด้วยท่าทางสบายๆ โดยที่ยังคงคีบบุหรี่เอาไว้ในมือ ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าหญิงสาวร่างบางที่ยังคงตกอยู่ในอาการงุนงง
ฟู่ว
"ว่าไงล่ะ คุณน้ำขิง" เจ้านายหนุ่มเอ่ยชื่อของลูกน้องสาวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก ก่อนจะพ่นควันบุหรี่ใส่คนตรงหน้า
"ความปรารถนาของคุณน่ะ ให้ผมช่วยสงเคราะห์ให้ดีหรือเปล่าล่ะ"
"แค่กๆๆ มะ ไม่เป็นไรค่ะ"
‘เห็นไหมล่ะ ว่าเขาน่ะเลี้ยงหมาเอาไว้ในปากจริงๆ ด้วย (T^T) ’
"ทำไมล่ะ นั่นไม่ใช่ความปรารถนาของคุณงั้นหรอ"
"ไม่งั้น.....คุณคงไม่ด่าผมขนาดนั้นหรอกจริงมั้ย (^_^) "
" (¯^¯;) "
'แงงง น้ำขิงผิดไปแล้ว น้ำขิงไม่ได้ตั้งใจ'
'ฮืออ จะตกงานไหมเนี่ย น้ำขิงตกงานไม่ได้นะ สินเชื่อคอนโดกับรถ ที่ยื่นกู้ไปเพิ่งจะผ่านแท้ๆ'
"ว่าไงคุณน้ำขิง"
"สรุปมันใช่ หรือ ไม่ใช่ความปรารถนาของคุณกันแน่"
"นะ น้ำขิงขอโทษได้ไหมคะ"
"น้ำขิงขาดสติไปชั่วครู่"
"ถ้าขอโทษง่ายๆ แล้วจะมีกฎหมายไว้ทำไมล่ะครับ (^_^) "
"จะไล่น้ำขิงออกหรอคะ (T^T) "
"ทำไมล่ะ.....ไม่อยากออกงั้นหรอ"
หงึกๆ
น้ำขิงรีบพยักหน้าหงึกหงักตอบรับทันที
‘ใครจะไปอยากออกกันล่ะ’
ตึก ตึก ตึก.....
“งั้นหรอ.....”
“ไม่อยากออกสินะ” เจ้านายหนุ่มเดินต้อนเลขาสาวของตัวเองไปจนชิดกำแพง ก่อนจะใช้มือกักร่างเล็กเอาไว้ เพื่อไม่ให้หนีไปไหนได้ ก่อนจะค่อยๆ แทรกขาของตัวเองเข้าไปตรงกลางระหว่างขาเรียวทั้งสองข้างของเธอ
“คะ คุณขุนพล จะทำอะไรคะ อุ้บ!...อื้อ” ยังไม่ทันที่น้ำขิงจะเอ่ยจบประโยค ริมฝีปากของเธอก็ถูกช่วงชิงไปด้วยฝีมือของเจ้านายหนุ่ม
จุ้บ!
จ้วบ
“อึก อื้อ!” ด้วยความตกใจ น้ำขิงพยายามทั้งผลักทั้งดันคนตรงหน้าออกจากตัว แต่ทว่าร่างสูงกลับบดเบียดกายเข้ามาใกล้มากขึ้นจนทั้งสองแนบชิดกัน
จุ้บ!
จ้วบๆ
‘อื้อ ละ ลิ้น เขาส่งลิ้นเข้ามา!’ น้ำขิงได้แต่กู่ร้องในใจ เพราะริมฝีปากของเธอถูกครอบครองเอาไว้ และไม่สามารถสลัดคนตรงหน้าออกได้ง่ายๆ
‘วะ ว่าแต่ ทะ ทำไมมันรู้สึกดีจัง’
‘หรือจูบแรกของคนอื่นๆ ก็เป็นแบบนี้เหมือนกันนะ’
จุ้บ!
จ้วบๆ
“อืมม” เจ้านายหนุ่มยังคงบูดจูบลูกน้องสาวอย่างหนักหน่วง ก่อนที่มือของเขาจะเริ่มลูบไล้ไปตามร่างกายนุ่มนิ่ม
“อึก! อื้อ” น้ำขิงส่งเสียงประท้วง เมื่อจู่ๆ ก็ถูกลูบไล้ตามเนื้อตัว
‘นะ น่ากลัว เขาอันตราย’
‘อันตรายมากๆ’
นั่นคือสิ่งที่น้ำขิงรู้สึกในตอนนี้ เธอเริ่มรู้สึกแล้ว ว่าตัวเองมองคนแค่ภายนอกมากเกินไป ภาพลักษณ์ของเจ้านายหนุ่มที่เธอเคยมองก็คือ ชายหนุ่มผู้เงียบขรึม และปากจัด ถึงเธอจะชอบหนุ่มแว่น และ ชอบเสพนิยายพวกหนุ่มฮ็อตเนิร์ดก็ตาม แต่กลับไม่คิดเลยว่าจะมาเจอกับตัวเอง
จุ้บ!
จ้วบๆ
ยิ่งถูกบดจูบ และลูบไล้ไปตามตัวมากเท่าไหร่ น้ำขิงก็ยิ่งสติพร่ามัวเข้าไปทุกที เธอถูกเจ้านายหนุ่มชักจูงอย่างง่ายดายเพราะความไม่ประสา และไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เธอถูกพาตัวเข้ามาในห้องทำงานสุดหรูของเจ้านายหนุ่ม มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ถูกอุ้มไปนั่งบนโต๊ะทำงานกว้างที่ถูกปัดสิ่งของที่ขวางทางกระจายตกอยู่เต็มพื้น ซึ่งตอนนี้ขุนพล กำลังปลดกระดุมเสื้อ และเนกไทของตัวเองออกอย่างช้าๆ เขาดูไม่ได้รีบร้อนหรือตื่นตระหนกเหมือนร่างบางที่กำลังนั่งมองเขาอย่างอึ้งๆ เลยสักนิด
ร่างสูงที่เมื่อเสื้อเชิ้ตที่สวมใส่ถูกปลดกระดุมออกจนหมดเผยให้เห็นซิกแพ็กเป็นลอนสวย ทำเอาน้ำขิงถึงกลับต้องกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าซิกแพ็ก ก็คือรอยสักที่หน้าท้องของเขา
ฟึบ
เสื้อเชิ้ตราคาแพงถูกโยนลงบนพื้นห้องอย่างไม่ไยดี ก่อนที่มือหนาจะถอดแว่นที่กำลังสวมโยนทิ้งไปที่จุดเดียวกันกับเสื้อ เขาขยี้ผมที่ถูกเซ็ทจนเข้ารูปเรียบร้อยจนเสียทรง แต่ทว่ามันกลับดูเซ็กซี่ในสายตาของน้ำขิงเสียเหลือเกิน
“..................” น้ำขิงได้แต่มองร่างสูงของเจ้านายหนุ่มอย่างอึ้งๆ และเมื่อเผลอสบเข้ากับดวงตาคมของเจ้านายหนุ่ม เธอก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาอีก
‘นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย’
ตึก ตึก ตึก.....
ขุนพลค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้น้ำขิงเรื่อยๆ ในสภาพที่ท่อนบนเปลือยเปล่าอวดซิกแพ็ก ส่วนมือของเขาก็กำลังทำหน้าที่ปลดเข็มขัดกางเกงที่กำลังสวมไปพลาง
“!” น้ำขิงสะดุ้ง ก่อนจะรีบกระโดดลงจากโต๊ะทำงาน
“อะ เอ่อ คุณขุนพลคะ นะ นะ นะ น้ำขิงขอกลับบ้านก่อนนะคะ” น้ำขิงแทบจะเอ่ยไม่เป็นภาษาเพราะความตื่นเต้น ตอนนี้เธอยังจับต้นชนปลายเหตุการณ์ไม่ได้เลยสักนิด ว่ามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
‘ฉันกับเจ้านายปากมอมกำลังจะมีเซ็กส์กันเนี่ยนะ ไม่เข้าท่าเลยสักนิด’
‘ถึงแม้เขาจะตรงสเปกของฉันสุดๆ เลยก็เถอะ’
“อยู่ๆ ก็ป๊อดขึ้นมาหรอ?” ขุนพลยืนพิงโต๊ะทำงาน ก่อนจะยกมือขึ้นกอดอกด้วยท่าทางสบายๆ ราวกับไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร หากเธอไม่เล่นด้วย แต่ทว่าคำพูดของเขากลับเต็มไปด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันจนคนฟังถึงกับขมวดคิ้ว
“ว่าใครป๊อดกันคะ (╰_╯) ” น้ำขิงเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง เพราะคติของเธอคือฆ่าได้ แต่หยามไม่ได้ ซึ่งนิสัยนี้ของเธอมันก็ดันเข้าทางของใครบางคนเสียเหลือเกิน
“ไม่รู้สิ (^_^) ” ขุนพลเอ่ยยิ้มๆ ก่อนทำท่าจะใส่เข็มขัดที่ปลดออกไปเมื่อครู่กลับที่เดิม
ตึกๆๆๆ
หมับ
มือเล็กคว้าเข็มขัดในมือหนา ก่อนจะจับกระชากโยนทิ้งไปอีกทาง
“หึ” เมื่อเห็นท่าทางของคนตรงหน้า ขุนพลก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นมาอย่างพอใจ
หมับ
ไม่รอให้เกิดเดดแอร์นาน มือหนาจัดการรั้งร่างบาง เข้ามาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะยกตัวเธอขึ้นไปนั่งบนโต๊ะอีกครั้ง
“หวังว่าจู่ๆ คงจะไม่ป๊อดขึ้นมาอีกนะ” ขุนพลเอ่ยดัก เมื่อเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของคนตรงหน้า
“ไม่ มี ทาง ค่ะ” น้ำขิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ เพราะไม่อยากเสียหน้า แต่ว่าความจริงในใจเธอตอนนี้กำลังฟุ้งซ่านเหลือเกิน
‘ (T^T) ’
‘จู่ๆ ก็จะได้เสียตัวเฉยเลยตรู’
เมื่อสาวนักเขียนนิยายวาย(18+) เริ่มหมดไฟในการแต่งฟิค ปฏิบัติการค้นหาอินสไปเรชั่น(สุดซี๊ด!) จากคู่จิ้นในดวงใจที่เธอชื่นชอบจึงบังเกิด "วายุ-ฟาโรห์จ๋า มัมหมีมาแล้ว!"
พอดูรวม ๆ แล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน.....คำนี้สามารถใช้อธิบายเกี่ยวกับน้องแป้งสุดเนิร์ดได้เป็นอย่างดี หน้าตาน่ารักระดับปานกลาง แต่ทว่ากลับมีเสน่ห์โดยธรรมชาติ ถึงไม่ได้สวยมาก แต่น่ามองจนไม่อาจละสายตา
สวัสดีครับพี่สาวตัวน้อยของผม เราสองคนไม่ได้เจอกันมาก็นานแล้วนะ พี่คงไม่รู้ว่าปีนี้ผมก็สูงขึ้นอีกแล้ว แต่ผมรู้นะ ว่าพี่น่ะไม่สูงขึ้นเลยสักนิด พอถึงวันที่เราได้เจอกันอีกครั้ง พี่จะจำผมได้ไหมนะ😊
นรีรัตน์ตอบตกลงทำตามสัญญาที่ว่าเธอจะแต่งงานกับชยุดและต้องมีลูกกับเขาภายในเวลาหนึ่งปี มิเช่นนั้น เธอจะต้องสูญเสียทุกอย่างในชีวิตของเธอไป แต่การกระทำมักทำยากกว่าคำพูดเสมอ การที่เธอต้องเผชิญกับการถูกกลั่นแกล้งให้ขายหน้าวันแล้ววันเล่า จนที่สุดเธอหมดความอดทนและไม่อยากจะยอมก้มหัวอย่างคนพ่ายแพ้อีกต่อไป ในวันที่เขาประสบอุบัติเหตุ เธอได้อุทิศเสียสละโดยไม่ได้นึกถึงความปลอดภัยของตนเองเพื่อช่วยชีวิตของเขาไว้ ถึงแม้ว่าในตอนนี้เธอยังคงมีชีวิตอยู่ แต่ในอีกไม่ช้าเธอจะหายตัวไปจากชีวิตของเขา ตราบจนถึงเวลาที่ลูกของพวกเขาเติบโตขึ้นมา และเมื่อถึงเวลานั้นโชคชะตาจะพัดพาให้พวกเขากลับพันผูกกันอีกครั้ง เดิมทีเธอจะกลับไปหาเขาก็ได้ แต่ตอนนี้เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่จะอุทิศทุกสิ่งอย่างเพื่อความรักในตัวเขาอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เธอพร้อมแล้วที่จะต่อสู้เพื่อลูกชายของตัวเอง
ในคืนวันเกิดอายุยี่สิบสองปี ลี่เฉี่ยนโลว่ถูกแฟนหนุ่มวางยา และไปมีอะไรกันกับซือจิ้นเหิง ผู้ชายลึกลับคนหนึ่งตลอดทั้งคืน วันรุ่งขึ้นเธอพบว่าครอบครัวเธอถูกทำลายจนไม่มีอะไรเหลือ เธอแต่งงานกับจิ้นเหิง ได้รับการคุ้มครองจากเขา และใช้เขาเพื่อแก้แค้น "ฉันเป็นภรรยาที่ถูกกฎหมายของเขา" แม้ว่าแม่สามีของเธอจะไม่ยอมรับ แม้ว่าแฟนสาวที่เป็นซุปเปอร์สตาร์ของเขาจะตามมาอยู่ด้วยกัน เธอก็ยังคงยืนยันอยู่อย่างนั้น เธอแท้งโดยบังเอิญ แต่เขากลับเข้าใจผิดว่าเธอไม่อยากมีลูกกับเขา และด้วยความเข้าใจผิดต่าง ๆ อีกหลายหย่าง เธอเลือกที่จะกระโดดลงทะเลเพื่อฆ่าตัวตาย หลายปีต่อมา เมื่อเธอกลับเข้ามาในชีวิตของเขาอีกครั้ง เขาถึงกับตกตะลึง ชายคนนี้ได้สิ่งที่ต้องการจากเธอแล้ว แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยังรังควานและทรมานเธอต่อไป
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
หน้าตาก็หล่อเหลา เท่าที่ปั้นหยาอยู่ด้วยก็คิดว่าคงจะดูไม่ผิด ฐานะคุณไม่ใช่ธรรมดา แต่ปั้นหยาก็ยังไม่รู้หรอกนะว่าถึงขั้นไหน จะหาผู้หญิงมานอนด้วยเมื่อไหร่ก็ได้ แต่จะบอกอะไรให้นะคะคุณฮัมดีนขา...” ปัณฑารีย์เขย่งเท้าขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้ริมฝีปากแนบชิดกับใบหูฮัมดีน “ถึงปั้นหยาจะไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีนัก แต่ก็รักตัวเองเป็น แล้วผู้ชายอย่างคุณ ปั้นหยาไม่เลือกมาดูแลชีวิตปั้นหยาหรอกค่ะ คุณแก่และน่าเบื่อเกินไป” ปึก!! เข่าเล็กกระทุ้งขึ้นไปเตะกึ่งกลางกายใหญ่ ถึงจะไม่รุนแรงอะไรมากนัก แต่ก็ทำให้ฮัมดีนเจ็บได้ไม่น้อย “ช่วยไม่ได้นะคะคุณฮัมดีน คุณเป็นคนสอนให้ปั้นหยาทำแบบนี้เอง”
คุณท่านเสียว คุณชายยอดเยี่ยมที่โด่งดังในเมือง B ได้แต่งงาน แต่มีข่าวลือว่าเจ้าสาวมีรูปร่างหน้าตาที่น่าเกลียดและมีฐานะต่ำต้อย สามปีมานี้ เขาปฏิบัติกับเธออย่างเย็นชาและทำเหมือนเป็นคนแปลกหน้า เจียงซิงซิงอดทนกับความเย็นชาอย่างเงียบ ๆ เธอยังคงรักเขาอย่างสุดหัวใจ เสียสละความนับถือตนเองและยอมละทิ้งตัวตนของเธอเอง จนกระทั่งวันหนึ่ง สุดที่รักของเขากลับประเทศ เขได้สารภาพว่าเขาแต่งงานกับเธอเพียงเพื่อช่วยชีวิตคนรักในใจของเขาเท่านั้น เจียงซิงซิงเสียใจและผิดหวังมาก เธอจึงเซ็นเอกสารหย่าและจากไปด้วยความเศร้าใจ สามปีต่อมา เจียงซิงซิงผู้สวยงามจนน่าทึ่งกลับมาอีกครั้ง ได้กลายมาเป็นศัลยแพทย์ที่ดีที่สุดและเป็นยอดฝีมือด้านเปียโน อดีตสามีรู้สึกเสียใจ และกอดเธอแน่นท่ามกลางสายฝน เสียงของเขาสั่นเครือ "ที่รัก คุณเป็นของผม..."
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้