ในห้องนอนของโมเดิรน์วิลล่า ณ เมืองเอซอน
ขณะที่กำลังมีเซ็กส์กันอย่างเร่าร้อน ชายหนุ่มลืมเลือนทุกสิ่งแล้วจุมพิตไฝบนหน้าอกของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา
หลังจากเสร็จสิ้นแล้ว ลู่เยียนจือก็พลิกตัวลุกขึ้นมานั่ง
“เราหย่ากันเถอะ” น้ำเสียงของลู่เยียนจือเรียบเฉยอย่างมาก
สือเนี่ยนที่เพิ่งออกกำลังกายเสร็จยังคงหอบหายใจอยู่เล็กน้อย
เธอหันกลับไปและมองเข้าไปในดวงตาที่ลึกล้ำของเขาด้วยความสับสน
หลังจากแต่งงานกันมาหนึ่งปี จู่ๆ เธอก็ไม่เข้าใจความหมายของประโยคที่เขาพูดขึ้นมาซะอย่างนั้น
“เธอเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร มีเวลาเหลืออีกเพียงหกเดือนเท่านั้น”
ลู่เยียนจือจุดบุหรี่มวนหนึ่งขึ้นมาสูบ ควันที่ลอยขึ้นมาทำให้ใบหน้าของเขาพร่ามัวไปหมด
“การได้เป็นภรรยาของผมก่อนจะเสียชีวิต คือความปรารถนาเดียวในชีวิตของเธอ”
สือเนี่ยนไม่ได้พูดอะไร ในห้องนอนที่ใหญ่โตกว้างขวางเงียบสงัดไปหมด
โคมไฟเล็กข้างเตียงส่องแสงสลัวๆ เงาของพวกเขาทั้งสองคนสะท้อนขึ้นบนผนัง ทำให้ระยะห่างระหว่างพวกเขาที่แต่เดิมใกล้กันมากดูยิ่งห่างไกลออกไป
พอเห็นว่าเธอไม่ได้ให้คำตอบในทันที เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“แค่เพื่อปลอบใจเธอเฉยๆ ”
เขาพูดขึ้นว่า “อีกครึ่งปี พวกเราค่อยแต่งงานกันใหม่”
“สือเนี่ยน เธอเหลือเวลาอีกแค่ครึ่งปีเท่านั้น”
น้ำเสียงของเขาเฉยชามาก ราวกับว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นเพียงการแจ้งให้ทราบเท่านั้น
สือเนี่ยนจ้องมองไปที่ใบหน้าด้านข้างของเขาอย่างเหม่อลอย
ดูเหมือนว่าเธอจะต้องตอบตกลงทุกอย่างตามที่เขาต้องการไปซะหมดเลย
เพียงแค่เขาบอกมา เธอก็เหมือนต้องไปทำตามพระราชโองการอย่างไรอย่างนั้น
แต่มันก็ถูกต้องแล้วแหละ ความสัมพันธ์ของพวกเขา เธอเป็นฝ่ายพยายามเอาใจเขาทุกอย่างเพื่อให้ได้มาเอง
ความชื่นชมหลงใหลในวัยเยาว์
ตั้งแต่เข้าสู่วัยผู้ใหญ่เธอก็คอยตามเขามาตลอด
ในวันที่พายุฝนโหมกระหน่ำปีนั้น เขามายืนอยู่ข้างหน้าเพื่อปกป้องเธอ โดยในมือถือไม้ผุๆ ท่อนหนึ่งเอาไว้พลางเสี่ยงชีวิตพูดกับพ่อเลี้ยงของเธอว่า “ถ้าคุณกล้าทำร้ายสือเนี่ยนอีก คุณได้เห็นดีกับผมแน่!”
เธอเกือบจะถูกตีจนตายแล้ว คืนนั้นท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำลงมากับเลือดสีแดงฉาน เธอเห็นว่ามือของเขากำไม้ผุๆ ท่อนนั้นจนข้อนิ้วขาวซีดไปหมดและดวงตาที่เย็นชาแต่มั่นคงของเขาตอนที่อยู่ท่ามกลางพายุฝน
เขาช่วยชีวิตเธอไว้
เธอจึงตกหลุมรักเขาจนหมดหัวใจ
ไม่ว่าเขาจะร้องขออะไร เธอก็จะทำตามเสมอ ทำมันอย่างทุ่มเทสุดชีวิต แถมยังทำได้ดีกว่าใครอีกด้วย
เขามักจะลูบหัวเธอหลังทำตามความต้องการของเขาเสร็จสิ้นและชมเธอเบาๆ ว่า “เนี่ยนเนี่ยน คุณทำได้ดีมาก”
แม้ว่าคำพูดและจูบของเขาในทุก ๆ ครั้งจะเบามาก หรือต่อให้ความรู้สึกระหว่างเธอกับเขาจะจืดจางมาโดยตลอด
แต่เธอก็ยังคิดว่ามันเป็นเพียงนิสัยโดยเนื้อแท้ของเขา
เพราะเหตุนี้ ถึงแม้ว่าทุกคนจะบอกว่าเธอเป็นฝ่ายที่ทุ่มเทให้เขาอยู่ฝ่ายเดียว แต่เธอก็ยินดีที่จะยอมรับมัน
เวลาตลอดเจ็ดปีของช่วงวัยรุ่น เธอคอยตามเขามาโดยตลอด
เมื่อหนึ่งปีก่อน อาการป่วยของคุณท่านเกิดทรุดลง คนในตระกูลลู่จึงหารือกันให้เขาแต่งงานเพื่อสะเดาะเคราะห์
พอเขาหาตัวเธอพบ เขาก็พาเธอไปจดทะเบียนสมรสทันที
เธอคิดว่าในที่สุดความสัมพันธ์ตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็ลงเอยด้วยดีสักที แต่หลังจากแต่งงาน เขากลับทำตัวห่างเหินจากเธอ เธอถึงขั้นที่รู้สึกได้ว่าเขาเบื่อหน่ายเธอมาก
“สือเนี่ยน คุณฟังผมอยู่หรือเปล่าเนี่ย?”
เขาสังเกตเห็นว่าเธอกำลังใจลอย จึงมองเธอพลางขมวดคิ้ว
“จำเป็นต้องทำแบบนี้จริงๆ น่ะเหรอ?” เธอถาม
เขาไม่ได้ตอบตรงๆ แถมยังเลือกที่จะเลี่ยงไม่พูดถึงแทนว่า “สือเนี่ยน เธอน่าสงสารมากจริงๆ ”
“แล้วฉันล่ะ?” เธอพูดออกไปโดยสัญชาตญาณ
เขาไม่ได้ตอบทันที แถมในแววตายังดูค่อนข้างจะหงุดหงิดอีกด้วย
เวลาผ่านไปประมาณสามวินาที เขาถึงได้พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“สือเนี่ยน เธอกำลังจะตายแล้วนะ”
“คุณอาจจะยังไม่รู้สินะว่า ความจริงแล้วเธอรักผม แต่เพราะการแต่งงานของเรา เธอก็เลยไม่อยากทำร้ายคุณ ผมกับเธอไม่เคยเกินเลยกันมาก่อนเลยนะ”
“ถึงแม้ว่าผมอยากจะให้อะไรเธอ แต่เธอก็ปฏิเสธมาโดยตลอด”
“เธอเป็นคนจิตใจดีมาก คุณยอมให้เธอเถอะนะ”
“สือเนี่ยน อย่าทำให้ผมคิดว่าคุณใจร้ายเลย”
น้ำเสียงของเขาฟังดูสงบนิ่งและเย็นชา แต่หัวใจของเธอกลับแตกสลายจนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว
เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า คนที่จะคบหากับผู้ชายที่แต่งงานแล้ว แค่พูดจาเสแสร้งเพียงไม่กี่ประโยคก็ได้รับคำชมว่าเป็นคนจิตใจดีแล้ว
แต่ภรรยาที่ไม่ยอมสละสามีของตนเองให้ผู้อื่น กลับถูกตราหน้าว่าเป็นคนใจร้ายซะอย่างนั้น