“หยินเอ่อร์ น้องสาวเจ้ามีร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่วัยเยาว์ ตลอดหลายปีมานี้เราต้องขอบคุณที่นางได้อยู่เคียงข้างเรา และคอยดูแลพวกเราจากใจด้วยความเคารพ ผลงานทางทหารและรางวัลที่เจ้าได้รับมาในครั้งนี้ มิเช่นนั้นก็... ยกให้นางไปเสียเถิด”
เมื่อน้ำเสียงที่คุ้นเคยลอยลอดเข้าหู ซูหยินก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นอย่างแรง
สิ่งที่ปรากฏขึ้นในสายตาก็คือห้องโถงหลักที่คุ้นเคยของตระกูลซู ส่วนซูตงเฉิงผู้เป็นบิดา กับนางสวี่ผู้เป็นแม่ของนาง กำลังนั่งหลังตรงอยู่ยังที่นั่งหลัก
ซูหลิงเอ่อร์ผู้เป็นน้องสาวของนางสวมชุดสาวชาววังสีชมพูใหม่เอี่ยม แต่งตัวอย่างสดใส ซูหลิงเอ่อร์กำลังนั่งซบอยู่ข้าง ๆ นางสวี่ สายตามองมาที่นางด้วยความคาดหวัง
ซูหยินรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงฟ้าผ่าดังกึกก้องอยู่ในหัว ทำให้จิตใจและจิตวิญญาณของนางสั่นสะเทือนไปหมด
นาง…… ได้กลับมาเกิดใหม่หรือนี่!
นางได้ย้อนกลับมายังจุดเริ่มต้นของชะตากรรมอันน่าเศร้าในชาติที่แล้ว เป็นช่วงเวลาที่พ่อแม่ของนางเรียกร้องอย่างไม่ละอาย ว่าให้นางยกความดีความชอบทางการทหารที่นางเอาชีวิตไปแลกมาให้ซูหลิงเอ่อร์!
ความรู้สึกแค้นที่ฝังลึกราวกับลาวาหนืดใต้ภิภพที่กำลังปะทุ มันแผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัวของนางภายในชั่วพริบตา!
เล็บของซูหยินจิกลึกลงไปในฝ่ามือ ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำให้นางแทบจะแสดงอาการขุ่นเคืองใจออกมาอยู่แล้ว
ชาติที่แล้ว สงครามได้เกิดขึ้นที่แดนเหนือ ชนเผ่าหมานได้ยกกองกำลังมาโจมตีประตูเมือง
ทางราชสำนักได้ออกพระราชโองการมาว่า:ตระกูลใดก็ตามที่อยู่ในลำดับชั้นที่ห้าขึ้นไป จะต้องถวายทองคำหนึ่งร้อยตำลึง หรือไม่ก็ต้องส่งบุตรหลานเข้าร่วมกองทัพ หากในครอบครัวไม่มีผู้ชายที่มีร่างกายแข็งแรง สามารถส่งผู้หญิงไปเป็นตัวแทนของตระกูลได้ ซึ่งผลงานทางการทหารทั้งหมดจะถูกบันทึกเอาไว้ในนามของวงศ์ตระกูล
ตระกูลซูมีทายาทอันน้อยนิด ทางบิดาไม่มีทายาทที่เป็นบุรุษไว้สืบทอดวงศ์ตระกูล ส่วนหลิงเอ่อร์น้องสาวของนางก็ร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เยาว์วัย นางจึงเสนอตัวที่จะแบกรับภาระอันหนักอึ้งนี้เอง นางสวมเกราะ ถืออาวุธ เร่งรุดไปยังสนามรบ
เป็นเวลาห้าปีเต็มที่นางสละเลือดเนื้อในการต่อสู้อย่างกล้าหาญจนเกือบจะต้องตายอยู่หลายครั้งหลายครา แต่สิ่งที่ยึดเหนี่ยวให้นางสามารถผ่านพ้นสถานการณ์อันสิ้นหวังแต่ละครั้งมาได้ ก็คือความรักที่นางมีต่อครอบครัว
พ่อแม่จะต้องภูมิใจในตัวนางมากเป็นแน่ ไหนจะคู่หมั้นของนางที่หมั้นหมายกันมาตั้งแต่เด็ก ชายหนุ่มที่สัญญาว่าจะปกป้องนางไปตลอดชีวิต เขาก็คงตั้งตารอคอยการกลับมาอย่างมีชัยของนางเช่นกันเป็นแน่
ทว่าตอนที่นางมีชัยกลับมา ความอ่อนโยนและการปลอบประโลมที่นางเคยจินตนาการไว้มากมายนับครั้งไม่ถ้วนนั้นกลับไม่ได้เกิดขึ้น สิ่งที่รอนางอยู่คือคำขอร้องที่ไม่สมเหตุสมผล ทำเอาคนฟังรู้สึกหนาวจับขั้วหัวใจ
แล้วจะให้นางยินยอมได้อย่างไร? ความสำเร็จอันรุ่งโรจน์เหล่านั้นของนางล้วนแลกมาด้วยเลือดและน้ำตา แล้วจะให้นางยกให้ผู้อื่นไปอย่างง่ายดายเช่นนี้น่ะหรือ?
แต่พ่อแม่ของนางกลับเอาเรื่องสายเลือดมาขู่นาง อีกทั้งยังบอกนางด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า ความจริงแล้วชื่อที่ลงทะเบียนไปในบัญชีรายชื่อทหารตอนนั้นเป็นชื่อของซูหลิงเอ่อร์
ความดีความชอบทางทหารครั้งนี้ จึงควรที่จะต้องเป็นของซูหลิงเอ่อร์โดยชอบธรรม
หากนางยังคงปฏิเสธอีก ก็ถือว่านางมีความผิดร้ายแรงฐานหลอกลวงฮ่องเต้ ซึ่งจะทำให้ทุกคนในตระกูลซูต้องซวยไปกับนางด้วย!
นางทั้งโศกเศร้าทั้งเคียดแค้น แต่กลับไม่สามารถที่จะร้องทุกข์ใด ๆ ได้เลย เพราะช่วงเวลาห้าปีที่อยู่ในกองทัพ เพื่อปกปิดรูปลักษณ์เอาไว้ นางจึงสวมหน้ากากมาตลอด ตอนนี้แม้แต่การพิสูจน์ตัวตนนางก็ยังทำไม่ได้
สิ่งที่ทำให้นางเจ็บปวดหัวใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ฉินเจิ้งผู้เป็นคู่หมั้นที่นางเฝ้าทวิลหา ไม่เพียงแต่ไม่เรียกร้องความยุติธรรมให้นางเท่านั้น แต่เขายังใช้คำพูดที่ฟังดูดีมาเกลี้ยกล่อมนางให้ ‘เห็นแก่ส่วนรวม’ บอกให้นางยกความดีความชอบนี้ให้กับซูหลิงเอ่อร์ไปเสีย
สุดท้ายพอนางยอมตอบตกลงทำตามคำขอที่บ้าบอนี้ หลังจากนั้นซูหลิงเอ่อร์ก็อาศัยความดีความชอบทางทหารที่แอบอ้างนี้ไปยื่นคำร้องต่อฮ่องเต้ เพื่อขอให้พระองค์ทรงพระราชทานงานแต่งให้นางกับฉินเจิ้ง!