" ราชินทร์" บุรุษหนุ่มสายเลือดไทย ถูกเหล่าทวยเทพแห่งดินแดนไอยคุปต์ให้ครอบครองตราสัญญลักษณ์กษัตริย์แห่ง อียิปต์โบราณ เขาถูกกลืนเข้าไปในกระแสธารแห่งประวัติศาสตร์อันไกลโพ้น เพื่อทำหน้าที่รวบรวมแผ่นดินอียิปต์ให้เป็นหนึ่งเดียว จากสามัญชน สู่กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตกาล "ความรัก" ถูกลิขิตขึ้นในดินแดนแห่งมนต์ขลัง "ผิดหวัง" ด้วยรักเจ้าเพียงข้างเดียว "อำนาจ" แฝงเร้นมาพร้อมกับนวลนาง บทสรุปรักนี้จะลงเอยเป็นเช่นไร เมื่อรักหนึ่งพร้อมยอมพลี แต่อีกหนึ่งกลับหมายปองราชบัลลังก์!!
บทนำ
อาณาจักรอียิปต์ 3,100 ปี (1782-1570) ก่อนคริสตกาล
อียิปต์ ดินแดนแห่งเทพเจ้า ดินแดนแห่งความศรัทธาที่มีต่อเหล่าทวยเทพของชาวไอยคุปต์ ชาวไอยคุปต์โบราณต่างยึดมั่น และเชื่อว่าเทพเจ้าของพวกเขาคือที่พึ่งสุดท้าย ยามเมื่อแผ่นดินถึงคราวกลียุค อาณาจักรอียิปต์เมื่อครั้งบรรพกาล สมัยต้นราชวงศ์ได้รวบรวมอียิปต์เหนือและอียิปต์ใต้เป็นอาณาจักรเดียว และมีกษัตริย์ปกครองสืบต่อๆ กันมาอีกหลายราชวงศ์ ครั้นเมื่อถึงปลายยุคสมัยราชอาณาจักรกลาง ทั่วอาณาจักรต่างประสบความเดือดร้อนไปทุกที่ ผู้ปกครองหัวเมืองต่างๆ ภายในอาณาจักรอียิปต์ต่างลุกขึ้นต่อต้านกษัตริย์อีกครั้ง กล่าวกันว่ายุคนี้เป็นยุคเสื่อมของสมมุติเทพจากเทพเจ้า ฟาโรห์ซึ่งเป็นผู้ปกครองอียิปต์ ต่างหมดอำนาจอย่างสิ้นเชิง ต่างชาติไร้สิ้นความยำเกรงแต่อย่างใด เป็นยุคแห่งความไม่มีเสถียรภาพโดยแท้ เป็นยุคของการถูกรุกรานจากต่างชาติ บ้านเมืองถูกทำลายย่อยยับ พังพินาศไม่มีชิ้นดี
พวกฮิกซอส ซึ่งเชื่อกันว่ามาจากทางซีเรีย ต่างบุกเข้าอาณาจักรเพื่อเข้ามาท้าทายอำนาจของอียิปต์และกษัตริย์ซึ่งเป็นผู้ปกครอง พวกฮิกซอสเดินทัพโดยการขี่ม้าและรถม้า ซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักในอียิปต์สมัยนั้น ต่างบุกข้ามมาทางด้านเหนือของแหลมไซนาย และตั้งฐานที่มั่นอยู่ที่ เทลอัด-เดบา ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองเทนิส ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของดินดอนสามเหลี่ยม และเคลื่อนกำลังไปยังยอดของดินดอนสามเหลี่ยม อันเป็นจุดที่ทำให้เคลื่อนกำลังลงใต้ได้อย่างรวดเร็ว
ในการบุกเข้าอาณาจักรอียิปต์ในครั้งนี้ จุดประสงค์ของพวกฮิกซอส คือ ยึดอาณาจักรอียิปต์ที่กำลังเสื่อมถอยอยู่ในขณะนั้น ให้ตกมาอยู่ในกำมือ จนกระทั่งพวกฮิกซอสสามารถยึดครองอาณาจักรอียิปต์ได้เป็นผลสำเร็จและตั้งเมืองหลวงชื่อ อวารีส ครอบครองดินแดนส่วนเหนือของอียิปต์
นอกจากจะเกิดศึกสงครามซึ่งต่างชาติบุกเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งต้องสู้รบกับพวกฮิกซอสอยู่ตลอดเวลา ภายในอาณาจักรอียิปต์ ยังเกิดความระส่ำระสายไปถ้วนหน้า ด้วยเกิดสงครามแย่งชิงความเป็นใหญ่เพื่อก้าวขึ้นมาเป็นผู้ปกครอง นั้นก็คือตำแหน่งฟาโรห์ ทั้งพระและขุนนาง ต่างแตกแยกขาดความสามัคคี ด้วยต้องการแย่งชิงอำนาจเอาไว้อยู่กับฝ่ายตน
อาณาจักรอียิปต์ในยุคดังกล่าว อ่อนแออย่างไม่เคยปรากฏ เชื้อพระวงศ์ของอียิปต์ซึ่งกระหายในอำนาจ อำนาจรัฐของฟาโรห์ที่เมมฟิสสิ้นสุดลง บรรดานครรัฐต่างตั้งตนเป็นอิสระและทำสงครามรบพุ่งกันเอง ดินแดนแม่น้ำไนล์ที่เคยอุดมสมบูรณ์เกิดภัยแล้งติดต่อกันเป็นเวลานาน ฟาโรห์อ่อนแอเกินกว่าที่จะสร้างระบบชลประทานขึ้นมา แก้ปัญหาได้ ความอดอยากและภัยสงครามแพร่กระจายทั่วแผ่นดิน
ในที่สุดอียิปต์ถูกแบ่งเป็นสองเขต คืออียิปต์ใต้ ซึ่งอยู่ทางเหนือของเมมฟิสถูกปกครองโดยตระกูลหนึ่งจากเมืองเฮรักลีโอโพลิส (Herakleopolis) ส่วนอีกเขตหนึ่งคืออียิปต์เหนือที่อยู่ทางใต้ของเมมฟิสถูกปกครองโดยตระกูลจากเมืองธีบีส (Thebes) ซึ่งต่างฝ่ายพากันจัดตั้งให้มีฟาโรห์ขึ้นปกครองในดินแดนของตน ทั้งสองดินแดนมีจุดประสงค์อย่างเดียวกัน นั้นก็คือยึดครองดินแดนฝ่ายตรงข้ามให้มาเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใดก็ตาม โดยมิใส่ใจพวกฮิกซอส ซึ่งได้ครอบครองดินแดนส่วนเหนือของอียิปต์แต่อย่างใด
หรือจะเป็นเพราะเทพเจ้าดลบันดาลให้อาณาจักรถึงคราวล่มสลายหรือจะทรงดลบันดาลให้เป็นอย่างอื่น ในตอนปลายใกล้สิ้นสุดของยุคอาณาจักรกลาง อำนาจของพวกฮิกซอสอ่อนแอลงและเสื่อมถอยซึ่งครอบครองดินแดนทางตอนเหนือของอียิปต์อยู่ในขณะนั้น จู่ๆ ฟาโรห์แห่งอียิปต์เหนือเสด็จสวรรคตอย่างมิรู้สาเหตุ ทำให้อียิปต์เหนือไร้สิ้นกษัตริย์ปกครอง บังเกิดความโกลาหลไปทุกหย่อมหญ้า
ภายใต้ความอัปยศ และความอับอายที่เกิดขึ้นจากการถูกต่างชาติเข้ามายึดครอง จะจบสิ้นลงเมื่อใดกันเล่าเมื่ออียิปต์เหนือในขณะนี้ตกอยู่ในภาวะลำบาก กลายเป็นเป้าหมาย จากศึกในคืออียิปต์ใต้ และศึกจากพวกต่างชาติคือฮิกซอส ซึ่งพยายามแสดงศักดาว่าอำนาจยังมิเสื่อมถอย พยายามเข้ายึดครองอียิปต์เหนือและโจมตีอียิปต์อยู่เป็นระยะๆ โดยอียิปต์เหนือไม่มีทางหลีกเลี่ยง ประชาชนเริ่มตื่นตระหนก เนื่องจากมิรู้ชะตากรรมในอนาคต
สิ่งเดียวที่จะช่วยได้ในเวลานี้ คือศรัทธาแห่งเทพเจ้า เทพเจ้าของพวกเขาเท่านั้นที่กลายเป็นส่วนรวมจิตใจของประชาชน อียิปต์เหนือต้องมีกษัตริย์ปกครอง และเป็นกษัตริย์ที่จะนำพาพวกเขาผ่านพ้นภัยพิบัติร้ายที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้นี้ให้หมดไป รวมถึงรวบรวมแผ่นดินให้กลับมาเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง แต่กษัตริย์ของเขาคือใคร จึงจะสามารถนำความสงบและความยิ่งใหญ่ของอียิปต์เมื่อครั้งอดีตให้หวนกลับคืนมา จะสมหวัง หรือจะต้องเผชิญชะตากรรม ในเมื่อสิ่งที่รอคอยอยู่ข้างหน้า มันคือความหายนะของแผ่นดินซึ่งกำลังก้าวเข้ามาเยือน
เมืองซาวิเย็ท-เอล-อารยัน
วิหารร้างเทพเจ้าอาเมน
เสียงสวดจากบรรดานักบวช รวมแล้วเกือบ 30 ชีวิต ซึ่งต่างพากันมารวมตัวที่วิหารเทพเจ้าอาเมน ท่ามกลางเปลวไฟที่ลุกโชนและบรรดาเครื่องหอมต่างๆ กลิ่นกำยานหอมลอยฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ สามารถทำให้ผ่อนคลายจากความตึงเครียดให้เบาบางลงไปได้บ้าง แต่เหมือนมิได้ทำให้เหล่านักบวชทั้งหมดนั้น คลายความวิตกจากสีหน้าที่แสดงออกอย่างเห็นได้ชัดจากทางใบหน้าของแต่ละคน เสียงสวดโหยหวนดึงระงมฟังแล้วน่าสะพรึงกลัว หากเผอิญมีคนที่ผ่านไปมาในบริเวณนั้น ได้มาฟังเสียงสวดในขณะนี้ ไม่มีใครที่ได้ฟังแล้วจะไม่ขนลุกจนตั้งชัน
เสียงสวดของเหล่านักบวช ดังติดต่อกันอยู่เป็นเวลานาน ก่อนที่จะค่อยๆ สงบลงอย่างช้าๆ จนกลายเป็นความเงียบ ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจที่พ่นออกมา ฉับพลันวัตถุประหลาดบางอย่างลอยคว้างพุ่งออกจากวิหารเทพเจ้าอาเมนทันที แสงสีทองเรืองรองหมุนรอบเหนือวิหารเทพเจ้าอาเมน ก่อนจะพุ่งทะยานขึ้นเหนือท้องฟ้าพร้อมหมุนรอบตัวเองไปมาอย่างรวดเร็ว แสงเรืองรองที่เห็นเป็นประกายเริ่มค่อยๆ สว่างวาบขึ้นมาทีละน้อย ท่ามกลางพระจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า ซึ่งเต็มไปด้วยเมฆหมอกปกคลุม มองดูอึมครึม ก่อนจะค่อยๆ ลอยเคลื่อนผ่านออกไปจากพระจันทร์อย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ เหลือเพียงแสงประหลาดที่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ยังคงลอยเด่นและหมุนรอบตัวเองด้วยความรวดเร็ว คล้ายกำลังมองหาอะไรบางอย่าง
ภายในวิหารร้างเทพเจ้าอาเมน
ร่างสูงของนักบวชร่างหนึ่งซึ่งคล้ายจะเป็นหัวหน้าของนักบวชทั้งหมด เริ่มขยับตัวพร้อมค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อทั้งหมด ต่างพากันสวดคาถาโบราณเสร็จสิ้น พร้อมเงยหน้าจ้องมองนักบวชแต่ละคนที่อยู่ในบริเวณ พร้อมเอื้อมมือเปิดหีบ ที่ทำจากหินอะลาบาสเตอร์ เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายในหีบดังกล่าว พร้อมกับเสียงของนักบวชหนุ่มที่ยืนอยู่ใกล้กันร้องถามออกมา ด้วยความไม่แน่ใจทันที
“ท่านคาเจม! สิ่งนี้จะช่วยพวกเราได้จริงหรือ หากมันไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด อาณาจักรอียิปต์มิต้องถึงกาลล่มสลาย ทั้งพวกข้ารวมไปถึงตัวท่านและประชาชนในอาณาจักร จะไม่เหลือแผ่นดินให้อยู่อีกต่อไปแล้วนะขอรับ”
คำถามของนักบวชหนุ่ม บ่งบอกถึงความคิดภายในใจ เหล่านักบวชที่เหลือเมื่อได้ยินคำถามดังกล่าว ต่างเงยหน้ามองหัวหน้านักบวชของพวกตนพร้อมสายตาที่บ่งบอกถึงความไม่แน่ใจเช่นเดียวกัน ท่ามกลางคำถามมากมายที่อยู่ภายในดวงตาของแต่ละคู่ ก่อนจะได้ยินเสียงหัวหน้านักบวชของพวกเขาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันดัง
“พวกเจ้าและข้า ต่างมารวมตัวกันที่วิหารเทพอาเมนเพื่ออะไรกัน!” หัวหน้านักบวช พูดพร้อมจ้องมองหน้านักบวชแต่ละคนอย่างไม่ละสายตา ก่อนจะหันร่างกลับไปพร้อมเงยหน้ามองรูปปั้นเทพเจ้าอาเมน พร้อมใช้มือโรยผงกำยานลงไปในเปลวไฟเพื่อกระจายกลิ่นหอม และให้เปลวไฟลุกโชนอยู่ตลอดเวลา ก่อนกล่าวกับเหล่านักบวชต่อไป
“การที่ตัวข้าและพวกเจ้าทั้งหมด ซึ่งมาจากทั่วทุกสารทิศต่างมารวมตัวกันที่วิหารเทพเจ้า ก็เพื่อมาสวดอ้อนวอนต่อเหล่าทวยเทพ ให้อาณาจักรของพวกเราผ่านพ้นหายนะร้ายที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ไปให้ได้ไม่ใช่รึ ศรัทธาต่อเหล่าทวยเทพ จะส่งผลในสิ่งที่พวกเราต้องการ พวกเจ้าและข้าต่างมีเวทมนตร์ที่ไม่มีใครล่วงรู้ แม้กระทั่งสังฆราชซูกาฟาห์ ยังไม่รู้ว่าทั้งข้าและพวกเจ้าต่างมีอำนาจลี้ลับซึ่งเทพเจ้าทรงประทานให้ เหตุใดพวกเจ้าจึงมาตั้งคำถามเช่นนี้กับข้าอีก”
คำตอบของหัวหน้านักบวชคาเจม ทำเอาเหล่านักบวชที่ยืนฟังอยู่ในขณะนั้น ต่างตกอยู่ในความเงียบทันที ด้วยพวกตนล่วงรู้ดีว่า อำนาจลี้ลับที่พวกเขามีอยู่นั้นล้วนได้มาจากเทพเจ้าซึ่งพระองค์ประทานให้ ก่อนจะตั้งใจฟังเมื่อหัวหน้านักบวชของพวกเขาเอ่ยอธิบาย สิ่งที่อยู่ภายในหีบดังกล่าว
“สิ่งที่พวกเจ้าเห็นอยู่ในหีบนี้ คือตราสัญลักษณ์กษัตริย์แห่งอียิปต์โบราณ ตกทอดมาตั้งแต่ราชอาณาจักรเก่า แฝงเร้นไปด้วยอำนาจลึกลับอันมากมายมหาศาล ตราสัญลักษณ์จะนำผู้ที่จะเป็นกษัตริย์ของอาณาจักรอียิปต์มาหาพวกเรา และจะเป็นผู้นำอียิปต์ผ่านพ้นหายนะเลวร้ายนี้ไปจนได้ อียิปต์ของเราจะกลับมายิ่งใหญ่และรุ่งเรืองอีกครั้ง ไม่ต้องเผชิญกับพวกที่คอยแย่งชิงหวังครอบครองอำนาจที่พวกมันไม่สมควรที่จะได้รับอีกต่อไป” นักบวชคาเจม กล่าวพร้อมหันกลับไปมองตราสัญลักษณ์กษัตริย์ ที่อยู่ในหีบตรงหน้า
หีบอะลาบาสเตอร์ สีขาวขุ่นเปิดอ้าออกกว้าง เผยให้เห็นตราสัญลักษณ์กษัตริย์ จากราชอาณาจักรเก่า ซึ่งทำมาจากทองคำทั้งหมด มีลักษณะเป็นพระศอ ตราสัญลักษณ์มีรูปร่างเป็นวงกลมทำด้วยทองคำและงูใหญ่ขดตัวล้อมรอบตราสัญลักษณ์นั้นซึ่งตีทองคำแท้ให้เป็นแผ่นแกะลวดลายสัญลักษณ์ของกษัตริย์อียิปต์ ตรงกลางมีอักขระโบราณคล้ายเป็นประโยคบางอย่างกำกับอยู่ภายใน แต่มันมีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ตราสัญลักษณ์กษัตริย์ซึ่งครอบอยู่ด้านบนหายไป เหลือเพียงส่วนที่เหลือซึ่งเป็นชิ้นส่วนด้านล่างที่ยังคงอยู่
สายตาของเหล่านักบวชต่างมองมาที่หัวหน้ากลุ่มของพวกตนเป็นตาเดียวกัน เมื่อเหตุการณ์ประหลาดซึ่งเพิ่งผ่านพ้นไปทันทีที่จบบทสวดคาถาโบราณเมื่อครู่ที่ผ่านมา ทำให้ตราสัญลักษณ์ของกษัตริย์อียิปต์ซึ่งเป็นชิ้นส่วนด้านบน จู่ๆ ลอยละลิ่วพุ่งทะยานออกจากวิหารเทพเจ้าอาเมนขึ้นสู่ท้องฟ้าต่อหน้าต่อตาของเหล่านักบวชทั้งหมด ก่อนจะได้ยินเสียงของนักบวชหนุ่ม หนึ่งในนั้นเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ผลของมัน
“ท่านคาเจม ท่านจะล่วงรู้ได้อย่างไร ว่าผู้ใดคือผู้ครอบครองตราสัญลักษณ์กษัตริย์ที่อยู่ในหีบตรงหน้านี้ขอรับ และอีกนานเพียงใด ผู้ที่ถูกกำหนดจากเทพเจ้าจึงจะปรากฏตัว มิมีสัญญาณบอกจากเทพเจ้าให้พวกเราได้ล่วงรู้ก่อนบ้างหรือขอรับ อีกอย่างหากสังฆราชซูกาฟาห์ ล่วงรู้พิธีกรรมของพวกเราในเวลานี้ ต้องหาวิธีขัดขวางและกำจัดสิ่งที่เรารอคอยอย่างแน่นอน ท่านซูกาฟาห์ แม่นยำในการดูดวงดาวมิใช่หรือขอรับ” คำถามของนักบวชหนุ่ม ทำเอานักบวชคาเจมถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมหันกลับไปมองเหล่านักบวช ก่อนจะกล่าวในสิ่งที่ตนกังวลเช่นเดียวกัน
“ข้าไม่รู้! แต่อย่างน้อยกษัตริย์แห่งเทพเจ้าจะต้องมีบางอย่างที่แปลกไปกว่าผู้อื่นแน่นอน ข้ามั่นใจเช่นนั้น ส่วนซูกาฟาห์จะล่วงรู้การทำพิธีในวันนี้หรือไม่ พวกเจ้าไม่ต้องกังวล วิหารแห่งนี้ห่างไกลจากเมืองหลวง ดวงดาวในทิศทางที่ซูกาฟาห์ใช้อ่านดวงดาว มิได้อยู่ในเส้นทางที่มันอ่านได้ ข้าล่วงรู้ดี และเพราะเหตุนี้ ข้าจึงเลือกที่จะทำพิธีกรรมในวิหารเทพอาเมน เพราะในที่ลับมักถูกค้นหาแต่ในสถานที่แห่งนี้ มักถูกปล่อยทิ้งร้างไร้สิ้นผู้ใดเหลียวแลมาเนิ่นนาน มิมีผู้ใดคาดเดาได้อย่างแน่นอน” นักบวชคาเจม พูดพร้อมถอนหายใจออกมาอย่างแรง ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ถึงแม้ว่าซูกาฟาห์จะดูดวงดาวได้อย่างแม่นยำ ข้อนั้นข้าไม่เถียงแต่มิได้หมายความว่า ซูกาฟาห์จะมีอำนาจที่เทพเจ้าทรงประทานให้เหมือนข้าและพวกเจ้าที่อยู่ในนี้ เท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ซูกาฟาห์มันก็กระหายอยากที่จะขึ้นสถาปนาเป็นฟาโรห์อยู่ทุกวันไม่เคยเว้น เพียงแต่มันไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะขึ้นสถาปนาได้ จึงทำได้แค่เป็นผู้สำเร็จราชการแทน แต่เชื่อเถอะว่าคนอย่างมันต้องหาช่องทางทุกอย่าง เพื่อมันจะได้อำนาจดั่งตามที่มันต้องการอย่างแน่นอน” นักบวชคาเจม พูดพลางก้าวเดินไปข้างหน้า พร้อมหยุดยืนอยู่ด้านหน้าบริเวณรูปปั้นของเทพเจ้าอาเมน พลางเงยหน้ามองท้องฟ้าเพื่อสังเกตปรากฏการณ์บางอย่าง
“พระจันทร์เต็มดวงแล้ว! ตราสัญลักษณ์กษัตริย์กำลังเดินทางไปยังทิศทางที่ไม่มีใครล่วงรู้ อียิปต์ยังไม่ถึงกาลวิบัติ” หัวหน้านักบวชเอ่ยออกมาด้วยความยินดี พร้อมหันกลับไปบอกพวกของตน
“ตราแห่งกษัตริย์กำลังเดินทางไปในที่ไม่มีใครพบและไม่มีใครล่วงรู้ได้ พิธีกรรมในวันนี้คือความหวังสุดท้ายของอียิปต์ และดูเหมือนว่า อียิปต์ของเรายังไม่ถึงคราวอับจน กษัตริย์ที่เหมาะสมของพวกเรามีตัวตน” นักบวชคาเจม บอกกล่าวกับเหล่านักบวชตรงหน้า ใบหน้าที่ตึงเครียดอยู่ตลอดเวลา ขณะนี้เริ่มมีสีหน้าของความหวังอย่างเห็นได้ชัด
“พวกเจ้าจงมองขึ้นไปเบื้องบน สัญลักษณ์กษัตริย์หยุดอยู่กับที่แล้ว นั้นหมายถึงนิมิตที่ดีของอียิปต์ ตราแห่งกษัตริย์คงล่วงรู้แล้วว่า กษัตริย์ของอียิปต์อยู่ที่ใด” นักบวชคาเจม กล่าวพร้อมก้าวเดินออกไปจากวิหารร้าง ใบหน้ายังแหงนมองสัญลักษณ์แห่งกษัตริย์ที่อยู่บนท้องฟ้า ดวงตายังคงจ้องมองไม่กะพริบ ตามติดด้วยเหล่านักบวชทั้ง 30 ชีวิต ต่างเดินตามออกมาด้านนอกวิหารอย่างพร้อมเพรียงกัน ทันใดนั้นเอง
“พรึ่บ!”
ท้องฟ้าในตอนกลางคืนขณะนี้ บริเวณทางทิศเหนือ ปรากฏแสงสว่างเจิดจ้ามองด้วยตาเปล่าแทบไม่เห็น แสงนั้นส่องแสงสว่างค่อยๆ ลามเลียไปทั่วทะเลทรายเบื้องล่าง วิหารร้างเทพเจ้าอาเมนถูกแสงสว่างสาดกระทบจนมองไม่เห็นว่าอะไรเป็นอะไร ทั่วบริเวณเบื้องล่างขาวโพลนไปจนทั่ว ตามติดด้วยเสียงดังสนั่นสนั่นหวั่นไหวดังมาจากท้องฟ้าเบื้องบนอย่างมิเคยปรากฏมาก่อน
“ตูม!”
แสงสว่างเจิดจ้าจากตราแห่งกษัตริย์บัดนี้หายลับไปกับตา ทันทีที่เสียงดังสนั่นหวั่นไหวปรากฏขึ้น สัญลักษณ์แห่งกษัตริย์เลือนหายไปจากท้องฟ้า เหลือไว้เพียงความว่างเปล่าและความเงียบที่เข้ามาเยือน เหมือนกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ตราแห่งกษัตริย์กำลังเดินทางไปสู่ทิศทางใดไม่มีใครรู้ อำนาจและความลี้ลับจากมนตราแห่งอียิปต์โบราณ กำลังมุ่งตรงไปยังเป้าหมาย สู่ทิศทางอันยาวไกลยากที่ใครจะคาดคิด
ผืนทรายนองเลือดทั่วปฐพี เมื่อรักนี้ถูกแย่งชิง หัวใจร้่าวรานมลายสิ้น เมื่อนวลนางจากลา เรื่องราวความรักความแค้น ของสองบุรุษหนุ่ม ระหว่างชีคหนุ่มจากราสอัลไคมาห์และบุรุษหนุ่มสายเลือดไทยจะออกมาเป็นเช่นไร เมื่อทั้งสองบุกตะลุยผืนทรายตามล่าเหล่าชายโฉด เพื่อตามหายอดดวงใจ ท่ามกลางความรักบนรอยแค้นและการแย่งชิงบนผืนทราย บทสรุปสุดท้ายจะลงเอยในรูปแบบใด เมื่อทั่วทั้งผืนทราย เต็มไปด้วยเลือด เม็ดทรายทุกเม็ดเต็มไปด้วยความแค้น ทั่วผืนปฐพีเต็มไปด้วยน้ำตา !
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
เพราะคิดว่าเป็นความฝัน ฉินหร่านจึงร่วมมือบรรเลงเพลงรักอย่างไม่ได้ตั้งใจ ไฉนตื่นขึ้นมาถึงมีสามีเป็นของตัวเอง อีกทั้งสามีนางยังตาบอดอีกด้วย! แต่นั่นไม่น่าตกใจ เท่ากับที่นางมาอยู่ในร่างเด็กสาวในยุคจีนโบราณ ที่ไม่มีในประวัติศาสตร์ อีกทั้งร่างนี้ถูกขายให้มาเป็นภรรยาของชายตาบอด แต่ไหนๆ ก็มาแล้วจึงจะใช้ชีวิตให้ดี ส่วนสามีนะหรือ หล่อขนาดนั้น แซ่บขนาดนี้ เดินหน้าเกี้ยวสามีสิ จะรออะไร!
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
ผมต้องทำงานนอกเวลาทุกวันเพื่อหารายได้ประคองชีวิตและจ่ายค่าเรียนมหาวิทยาลัยด้วยตัวเอง เนื่องจากฐานะครอบครัวยากจนและไม่สามารถส่งเสียผมเข้ามหาวิทยาลัยได้ และตอนเรียนที่มหาวิทยาลัย ผมก็ได้พบกับเธอ-สาวแสนสวยที่หนุ่มๆ ทุกคนในชั้นเรียนต่างก็ใฝ่ฝันถึง ไม่เว้นแม้แต่ผมเอง แต่ผมก็รู้ตัวดีว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเธอ ถึงอย่างนั้นก็ตาม ผมก็รวบรวมความกล้าสารภาพกับเธอจนได้ สุดท้ายผมนึกไม่ถึงว่าเธอจะยอมตกลงเป็นแฟนกับผม เธอบอกกับผมว่าอยากได้ของขวัญเป็นไอโฟนรุ่นล่าสุด ผมก็ไปรับงานซักเสื้อผ้าให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนเพื่อพยายามเก็บเงินซื้อให้เธอจนได้ และในที่สุดหนึ่งเดือนต่อมา ผมก็ซื้อมาได้จริง ๆ แต่ขณะที่ผมกำลังห่อของขวัญเพื่อนำไปมอบให้เธอ ก็พบว่าเธอกำลังมีอะไรกับหัวหน้าทีมฟุตบอลในห้องล็อกเกอร์ เธอเหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งซึ่งผมไม่เคยรู้จักเลย เธอหัวเราะเยาะความโง่เขลาของผม เหยียดหยามศักดิ์ศรีของผม ปล่อยให้เขาซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นแฟนใหม่ของเธอไปแล้ว ทุบตีผม ผมนอนเจ็บอยู่บนพื้นอย่างสิ้นหวัง ต่อมา จู่ ๆ ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากพ่อ ตั้งแต่วันนั้น ชีวิตของผมก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างกับหนัามือเป็นหลังมือ ใครจะไปรู้ว่า ผมเป็นลูกชายของมหาเศรษฐี
ในชีวิตชาติที่แล้ว เพื่อช่วยรักแรกของตัวเอง คนชั่วสามคนได้ทำลายพลังการต่อสู้ของนาง ตัดแขนขาของนางออก ตัดเส้นเลือดของนางและปล่อยเลือดของนางไหลออกมาทั้งอย่างนั้น และทรมานนางจนตาย เมื่อเกิดใหม่ครั้งนี้ นางวางแผนอย่างรอบคอบ โดยสาบานว่าจะให้พวกเขาได้สัมผัสกับความทุกข์ทรมานที่นางเคยประสบมา! รักแรกที่ไร้เดียงสาอะไรกัน ที่จริงก็เป็นเพียงผู้หญิงที่ตีสองหน้าเก่ง อยากจะไต่ขึ้นไปสูงเหรอ งั้นก็จะให้เจ้าปีนขึ้นไป ยิ่งปีนขึ้นสูงมากเท่าไร ตอนตกลงมาก็จะยิ่งเจ็บมากเท่านั้น! พวกสวะสมควรได้รับบาปกรรมของพวกสวะ พวกมันทำชั่วกับนางไปชั่วชีวิตหนึ่ง นางจะทำให้พวกมันไม่ตายดี พวกคนที่เจ้าเล่ห์ ตีสองหน้าเก่ง นางจะจัดการกับทุกคน! แต่นางไม่เคยคิดเลยว่าในการแก้แค้นของนาง นางจะไปมีเรื่องกับเสด็จอาที่เป็นเจ้าแผนการเข้า ที่วัน ๆ ต้องการให้นางจูบและกอดเขาตลอดทั้งวัน ในขณะที่นางแก้แค้นคนชั่วนั้นยังสามารถสนิทสนมกับเสด็จอาด้วย ในความจริงแล้ว การที่เป็นผู้หญิงชั่วๆ ก็มีความสุขมาทีเดียวกว่าที่คิดเลย!