เพียงเห็นหน้ามาคัสก็ปรารถนาที่จะได้มะลิวัลย์มาครอบครอง แต่ไม่นานเขาก็ต้องสูญเสีย...เฝ้าตามหา ที่ได้ตัวแล้วกลับต้องหงุดหงิด เมื่อเธอมีหนุ่มน้อยรามิลตามติดไม่ห่าง เธอจะบอกความจริงกับเขา แต่ก็ยังกลัวผลที่จะเกิดขึ้นตามมา เมื่อข้างกายเขายังมีหญิงวายร้ายอีกคนที่คอยหาเรื่องแย่งชิง “จะให้ฉันพูดอย่างไรกับเธอดีมะลิ ปกติเธอไม่ใช่คนแบบนี้ แล้วทำไมวันนี้ถึงทำเรื่องง่ายๆ ให้เป็นเรื่องยาก” “ใช่ค่ะหนูมันคนเรื่องมาก แล้วคุณมาบังคับให้อยู่กับคุณทำไมล่ะ” มะลิวัลย์เถียงกลับไปบ้าง เพราะความน้อยใจระคนโกรธที่มี มาคัสถอนใจเฮือก ชายหนุ่มพูดเสียงแข็งใส่มะลิวัลย์ หวังให้หญิงสาวเอ่ยขอโทษอินทิราเร็วแล้วเรื่องทุกอย่างจะได้จบ และหลังจากนี้เขาคงจะต้องคุยกับคุณนรินทร์เรื่องอินทิราให้จริงๆ จังๆ สักที หางานให้ทำ จะได้ไม่ต้องมาเที่ยวไล่จับเขาอยู่พร้อมกับหาคนที่เขาคิดว่าจะดูแลและควบคุมหญิงสาวให้อยู่มือได้มาจัดการต่อ “ถ้าเธอไม่ขอโทษอิน ก็ออกไปให้พ้นๆ หน้าฉันนะมะลิ แล้วไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้าอีก จนกว่าจะสำนึกได้” มาคัสบอกเสียงเข้มด้วยความจำใจ คำพูดที่แข็งกร้าวและน้ำเสียงเข้มดุที่ออกจากปากมาคัสสร้างความเข้าใจผิดให้กับมะลิวัลย์ จนเธอไม่อาจจะทนเห็นหน้าคนใจร้ายอย่างมาคัสได้ หญิงสาวรีบจูงแขนรามิลเดินไปทางประตูใหญ่ พร้อมกับพูดตัดพ้อชายหนุ่มเป็นการใหญ่ “พี่มาร์คใจร้าย ฮือๆ ไม่อยากให้หนูกับลูกอยู่ขัดความสุขระหว่างพี่กับนังแม่มดนั่นใช่ไหมล่ะ...ไปกันเถอะหมูอ้วน พ่อมาร์คไม่ต้องการเราสองคนแม่ลูกแล้ว เราไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า”
ตอนที่ 1
มาคัสยิ้มมุมปาก นัยน์ตาแวววาวกวาดสายตามองสาวน้อยร่างเล็กตั้งแต่ใบหน้าสวยลงไปตามลำตัวอวบอิ่มด้วยวัยสาวแล้วย้อนกลับขึ้นมาใหม่ กลิ่นกายหอมกรุ่นยามเธอเดินผ่านไปมาเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มให้ลูกค้า ปลุกเร้าอารมณ์ปรารถนาในกายหนุ่มของเขาให้ลุกโพรงจนหน้าแปลกใจ
แม้จะอยู่ในความมืดปนสว่างสลับกันไปมา แต่เหมือนกับว่าเขาเห็นใบหน้าเนียนสวยนั้นได้ติดตาและบันทึกไว้ในใจและอยากจะรู้ว่าถ้าร่างเล็กบอบบางนั้นมาอยู่ใต้ร่างของเขา เสียงครางของเธอจะเป็นอย่างไร ผิวเนื้อเธอจะเนียนและหวานนุ่มดุจไวน์ชั้นดีหรือเปล่า แล้วจะกระตุ้นอารมณ์ปรารถนาในกายเขาให้ลุกโชติช่วงไปตลอดทั้งคืนหรือเปล่า
มาคัสแปลกใจ...เขาก็ใช่ว่าจะไร้คนเคียงกายเสียเมื่อไหร่ มีหญิงมากมายหลายคนต่างแวะเวียนมาให้ความสำราญ แต่ทำไมเขาต้องไปสนใจกับสาวน้อยที่หน้าตาเหมือนเด็กนักเรียนคนนี้ด้วย รูปร่างก็เล็กบอบบางความสูงน่าจะประมาณอกเขาเสียด้วยซ้ำ ดูๆ ไปอายุก็ไม่น่าจะห่างกับธนัญญาน้องสาวบุญธรรมของเขาเท่าไหร่เลย แต่ทำไมถึง...?
ชายหนุ่มยิ้ม ตอนนี้หญิงสาวยืนหอบอยู่หน้าเคาน์เตอร์จำหน่ายเครื่องดื่ม ใบหน้าสวยมีเหงื่อซึมตามขมับ แต่ทว่าดวงตากลมโตยังเปล่งประกายสดชื่นและแจ่มใส เสียงเพลงในไนต์คลับดังสนั่น พนักงานเสิร์ฟแต่ละคนต่างก็ทำงานกันอย่างขะมักเขม้น วันนี้แขกในร้านเยอะเป็นพิเศษเพราะวันนี้เป็นวันเงินเดือนออกและพรุ่งนี้เป็นวันหยุดอีกด้วย มือเรียวยกขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้ารูปไข่พร้อมกับยื่นมือไปรับแก้วเครื่องดื่ม
“เหนื่อยหน่อยนะมะลิวันนี้ลูกค้าก็เยอะเป็นพิเศษเสียด้วย”
คนพูดเป็นชายร่างใหญ่ผิวสองสี ผมหยักศก ดวงตาเป็นประกายใจดีและอบอุ่น จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากหนาและแดงอย่างคนมีสุขภาพดีแม้ว่าจะทำงานกลางคืนอยู่ตลอด แม้ปากจะพูดกับหญิงสาว แต่มือก็จัดการผสมเครื่องดื่มเตรียมไว้ใหักับพนักงานเสิร์ฟคนอื่นต่อไปอย่างไม่ยอมหยุด
“จริงด้วยพี่กานต์ วันนี้คนเยอะมากเป็นพิเศษจริงๆ”
มะลิวัลย์ตอบชายหนุ่มไปใบหน้าสวยเปื้อนรอยยิ้มจางๆ
“แต่แค่นี้มันแค่เด็กๆ พี่กานต์ก็รู้ว่าเราทำนากันเหนื่อยกว่านี้อีก”
หญิงสาวตอบกลับลูกพี่ลูกน้องที่เป็นคนดูแลเธอตลอดการเดินทางมาทำงานที่กรุงเทพฯ เมืองใหญ่ แต่จะว่าไปเธอก็โชคดีกว่าใครหลายๆ คนที่มาจากต่างจังหวัด เพราะเธอมาที่นี่เพียงแค่อาทิตย์เดียวก็ได้งานแล้ว คงจะต้องขอบคุณกานต์เขตด้วยเหมือนกันที่พาเธอมาสมัครงานที่นี่
มะลิวัลย์ยิ้มให้กานต์เขตถ้าพี่ชายไม่ช่วยพูดให้ เธอคงจะไม่ได้ทำงานที่นี่หรอก เพราะวุฒิการศึกษาที่เธอมีคือมัธยมศึกษาปีที่ 6 ผลการเรียนก็ไม่ได้ดีเด่นอะไร ค่อนไปทางอ่อนด้วยซ้ำ และยังมีปัญหาสำคัญอีกอย่างก็คือรูปร่างหน้าตาของเธอที่เหมือนกับเด็กที่กำลังเรียนอยู่ในช่วงชั้นมัธยมต้น สูงเพียงแค่ 155 ซม. ใบหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโตขนตายาวงอน จมูกไม่ถึงกับโด่งมากแต่ก็ไม่หัก แก้มเนียนใสราวกับแก้มเด็ก ริมฝีปากอิ่มเต็มเป็นสีชมพูระเรื่อ
เวลาไปสมัครงานที่ไหนจึงทำให้คนที่รับสมัครมองว่ายังเด็กเกินไป จนบางครั้งแทบจะไม่กล้าเลยด้วยซ้ำเพราะกลัวว่าเธอจะโดนเธอหลอกเรื่องอายุเอา หญิงสาวยิ้มเมื่อนึกถึงใบหน้าผู้จัดการวัยกลางคนตอนที่เห็นเธอเดินเข้ามายื่นใบสมัคร ก่อนจะทำอย่างอื่น อรุณดูใบหน้าเธอและบัตรประชาชนก่อนจะเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจว่าเธออายุยี่สิบปีแน่หรือ
นี่จึงทำให้การหางานของเธอมีความยากยิ่งและตอนนี้เธอเองก็ยังไม่ได้เป็นพนักงานประจำด้วย แต่เธอเชื่อว่าถ้าขยันสักหน่อยไม่นานผู้จัดการจะต้องเห็นถึงความพยายามและบรรจุให้เธอเป็นพนักงานประจำที่นี่แน่นอน และมันก็จะทำให้ความฝันของเธอเป็นจริงได้
หญิงสาวยิ้มวาดฝันไว้ในหัวใจและสมองว่าเธอจะมีเงินสักก้อนไว้เปิดร้านขายของชำเล็กๆ เพื่อเลี้ยงดูแม่และตัวเธอเอง แต่ก่อนนั้นเธอจะต้องเรียนให้จบปริญญาตรีเสียก่อน อีกไม่นานมะลิวัลย์เชื่อว่าความฝันของเธอจะเป็นความจริง ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุผลสองข้อนี้เธอคงจะไม่เลือกมาทำงานในเมืองใหญ่ที่แสนจะวุ่นวายนี้หรอก เมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา แต่ไม่เคยมีความจริงใจให้แก่กัน หรือถ้าจะมีมันก็หาได้น้อยมาก
ภาพใบหน้าเหี่ยวย่นแต่กลับมีรอยยิ้มอันแสนจะอบอุ่นคอยวนเวียนมาหาเธอเสมอ มือเล็กและเหี่ยวย่นที่คอยลูบผมบนศีรษะให้ ยามที่เธอท้อแท้และต้องการกำลังใจ เธอรู้ว่าแม่ไม่ได้อยากให้เธอมาทำงานที่นี่เลยสักนิด แต่ทำไงได้ล่ะในเมื่อตอนนี้ที่บ้านฝนแล้งทิ้งช่วงเป็นเวลานานแรมเดือนจนทำนาไม่ได้ อีกทั้งนาที่มีอยู่ก็หาใช่ที่นาของตัวเองไม่ กลับเป็นเพียงแค่นาที่ปลูกข้าวแบ่งกับคนอื่นที่ถึงแม้จะใจดีแต่ทว่าเขาก็ต้องการผลผลิตเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเหมือนกัน
มือเล็กเรียวยกขึ้นจับสร้อยคอที่เธอห้อยติดตัวไว้ตั้งแต่เด็กๆ มันอาจจะเป็นความเชื่อของคนบ้านนอกอย่างเธอก็เป็นได้ว่าถ้าหากมีฟันของพ่อกับแม่ห้อยไว้จะไม่มีภัยภัยใดๆ จะกล้ำกลายหรือทำอันตรายแก่เธอได้ และสร้อยคอนี้คือกำลังใจที่ดีที่สุด ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหนก็เหมือนกับว่าเธอมีแม่อยู่ใกล้ๆ มะลิวัลย์น้ำตาคลอเมื่อนึกมารดา ป่านนี้ไม่รู้ว่าแม่กำลังทำอะไรอยู่ จะทานข้าวหรือยัง หรือว่าจะนอนแล้วเพราะนี้มันก็เลยสามทุ่มไปแล้ว
ปกติถ้ามีเธออยู่ด้วยถึงตอนนี้เธอก็จะนอนกอดแม่ คิดแล้วก็อยากจะกลับไปบ้านเร็วๆ แต่ทว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็สำคัญ เพราะถ้าเธอได้ทำงานที่นี่อย่างถาวรอย่างน้อยมันก็จะเป็นทุนก้อนแรกที่จะทำให้เธอไปถึงฝั่งฝัน ตอนที่เธอจะมาทำงานที่นี่กานต์เขตก็บอกแล้วว่าที่นี่งานหนักแต่เงินที่ได้รับก็คุ้มค่า เงินเดือนแม้ไม่สูงมากนักแต่ก็มีอาหารฟรีสองมื้อ อีกทั้งยังได้ทิปดีอีกด้วย และเท่าที่เธอได้มาทำวันนี้ก็เป็นจริงอย่างที่ชายหนุ่มบอก ในกระเป๋าเธอตอนนี้เต็มไปด้วยทิปแบงค์ร้อยหลายใบแล้ว และไหนจะยังมีทิปรวมที่มีการแบ่งกันทุกคืนหลังเลิกงานอีกล่ะ
มะลิวัลย์บอกตัวเองว่าถ้าเธออดออมและประหยัดสักหน่อย อีกไม่นานเธอก็จะมีเงินก้อนนำกลับบ้านไปเปิดร้านขายของชำจำพวกของใช้จำเป็นในบ้าน แค่คิดหญิงสาวก็มีความสุขมาก ดวงตากลมโตเป็นประกายราวกับมีดวงดาวนับร้อยดวงมาบรรจุอยู่ภายใน ใบหน้าสวยแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มมือเล็กรับเอากระดาษทิชชูที่กานต์เขตยื่นมาให้เช็ดใบหน้า “ขอบใจจ๊ะพี่กาน”
มะลิวัลย์บอกพร้อมกับเหลียวมองไปด้านหลังของตัวเองเมื่อรู้สึกเหมือนกับว่ามีใครจ้องมองเธออยู่ตลอดเวลา นับตั้งแต่ที่เธอกลับมาจากทานอาหารในห้องครัวจนถึงตอนนี้เวลาก็ผ่านไปนานนับชั่วโมงแต่ความรู้สึกนั้นก็ยังไม่ได้หายไปจากความคิดของเธอ
หญิงสาวค่อยๆ เหลียวมองไปช้าๆ เหมือนว่าเสียงเพลงที่ดังอึกกระทึกครึกโครมอยู่ รวมถึงผู้คนมากหนาหลายตาที่มาท่องเที่ยวในคืนนี้เป็นเพียงแค่ธาตุอาการเมื่อดวงตากลมโตสบกับดวงตาคมดุเป็นประกายของชายคนหนึ่ง
หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอราวกับว่ามีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านอากาศตรงมาที่เธอ
สายตาคมดุจ้องมองราวกับกำลังปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกจากร่างกายบอบบางทีละชิ้นๆ จนหมด แล้วโลมไล้ไปตามอกอวบเต่งตึงด้วยวัยสาวที่นูนเด่นดันเสื้อพนักงานสีขาวตัวเล็ก ค่อยๆ กวาดมองลงไปตามร่างกายและย้อนกลับมาใหม่อีกครั้งก่อนจะหยุดนิ่งที่หน้าอกหน้าใจ ดวงตากลมโตสบกับดวงตาคมดุ
มะลิวัลย์ร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้าตลอดจนถึงลำตัว คิดว่าตอนนี้ทั้งหน้าและลำคอของเธอคงจะแดงเป็นกุ้งต้มสุก หัวใจเต้นแรงเร็วเหมือนกับว่ามีใครมาตีกลองใบใหญ่อยู่ภายในใจ ปลายมือปลายเท้าเย็นเฉียบ ร้อนรุ่มภายในเรือนกายจนเธอแทบจะทรงตัวไม่อยู่ ท้องน้อยป่วนปั่น ฟันขาวขบกับริมฝีปากจนเจ็บ
ดวงตากลมโตไม่อาจดึงสายตาออกจากดวงตาคมดุนั้นได้เลย แม้จะอยู่ในความมืดแต่มะลิวัลย์กลับรู้สึกเหมือนว่าเธอได้เห็นใบหน้านั้นอย่างชัดเจน
เค้าโครงหน้าของเขาไม่ถึงกับเป็นรูปสี่เหลี่ยมแข็งกระด้าง คิ้วเข้มสีดำสนิทเหมือนกับเส้นผม จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากหนามีสีชมพูอมแดงอย่างคนสุขภาพดี และที่สำคัญที่สุดคือ...ดวงตาที่จ้องมองเหมือนกับจะทะลุเข้าไปถึงหัวใจที่กำลังเต้นเหมือนได้ไปวิ่งระยะทางไกลมา เหมือนมีแรงดึงดูดที่เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไร รู้เพียงแค่ว่าเธอทั้งกลัวและเกรงสายตาคู่นั้นแล้วอยากที่จะหลีกหนีไปให้ไกลๆ
เมื่อเพื่อนถามถึงสถานะ... "พวกแก...เชี่ย! แล้วไหมล่ะ อย่าบอกกูนะไอ้ลูกเต่า ที่มึงพูดไปวันนั้นเป็นเรื่องจริง มึงด้วยไอ้ยอด...มีผัวเป็นตัวเป็นตนกับเขาด้วยใช่ไหม" "ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยชี้แจงเรื่องของมึงสองตัวกับพี่สองคนให้กูฟังหน่อย...เร็ว ๆ อย่าชักช้าร่ำไร" "คนที่นั่งข้าง ๆ กูชื่อพี่คาย...กูอาศัยอยู่กับพี่เขาแล้วก็คอยดูแลซีโร่ให้" ศรวัณบอกสั้น ๆ เพราะยังไม่ค่อยกล้าบอกสถานะของตัวเอง เขากลัวเพื่อนจะรับไม่ได้ "ช่วยบอกสถานะให้กูรู้ด้วย...แค่แฟนหรือเป็นผัวมึง!"
ก็ไม่ได้คิดหรอกนะว่าวันหนึ่งจะพบเจอกับเรื่องแปลก ๆ แต่เมื่ออยู่แล้วไร้ความหมายไม่มีคนที่รักและรักเรา เขาจึงเลือกที่จะแลกทั้งที่ไม่ได้มั่นใจเลยว่าจะได้พบกับคนที่รักจริงหรือเปล่า แต่ก็ตัดสินใจเลือกไปแล้ว... “อาซวงเป็นของข้าใช่หรือไม่” ก็มิค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่และคิดว่ามิน่าจะมีอะไรมากมาย เก้าเทียนรุ่ยจึงพยักหน้ารับ “ขอรับ” “ถึงเราจะมิได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขเช่นที่ท่านมีกับสหายที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ นอนกลางดินกินกลางทรายมาด้วยกันมาอย่างชิงชวนหรือคนอื่น ๆ หากนับตั้งแต่ที่เราได้พบรวมถึงอยู่ด้วยกัน ข้าก็คิดว่าเราผ่านอะไรมามากมายพอที่จะทำให้ข้ารู้ถึงความรู้สึกที่ตนเองมีต่อท่าน” เก้าเทียนรุ่ยมองสบสายตาเสวียนลิ่วหลางที่มองเขาด้วยความงุนงง ในดวงตามีความสับสนระคนมิแน่ใจ คล้ายจะมีคำถามตามติดมาด้วย ทำให้เขาเผลอยิ้มหวานออกไป เสวียนลิ่วหลางได้แต่ยิ้มด้วยความเขินอาย “ข้าก็มิรู้ว่าจะวางตัวเช่นไรดี พึงพอใจอยากให้เจ้าอยู่ชิดใกล้...หากก็มิอยากบังคับหากเจ้ามิเต็มใจ” “แต่ก็มิอาจทำใจได้หากจะต้องปล่อยมือ” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยอย่างเข้าใจ “เมื่อยังต้องรอให้อาซวงรู้สึกเช่นเดียวกัน นอกจากข้าจะทำให้ผู้อื่นรับรู้แล้วว่าคนนี้...” เสวียนลิ่วหลางจับมือเก้าเทียนรุ่ยมาจูบขณะมองสบเข้าไปในดวงตากลมใสก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มหากเต็มไปด้วยความหนักแน่น “ข้าจอง” “ตะเกียบยังต้องอยู่เป็นคู่ถึงจะใช้กินอาหารได้ หยินก็ยังคู่หยางถึงจะสมดุล เมื่อข้าพบคนที่ใช่ เหตุใดถึงต้องปล่อยมือเล่า”
ความรักไม่ผิด...เรารักเขา เขาไม่รักเรา ก็ไม่ผิด แต่การรอคอยมันย่อมมีระยะเวลาสิ้นสุดลงเมื่อ...ใจเราไม่อาจรอรักจากเขาได้อีกแล้ว มันก็ถึงเวลา...สิ้นสุดยุติการรอคอที่เลื่อนลอยไร้จุดหมาย “นั่นสิคะ หนูดาวก็งงอยู่ ทำไมถึงหนีพี่เหนือไม่พ้นสักที ตั้งแต่หนูดาวตัดสินใจทำแบบนั้นลงไป พี่เหนือทำให้หนูดาวแปลกใจจนงงและสับสนไปหมด” “หือ” “ปกติพี่เหนือจะผลักไสให้หนูดาวไปไกล ๆ ชอบใช้สายตาแบบว่า...ฉันรำคาญเธอนะ เห็นหน้าเธอแล้วมันหงุดหงิดใจมาก จะไปเองดี ๆ หรือจะให้ฉันเตะโด่งเธอไป...ประมาณนี้นะคะ แต่พอหนูดาวเอาแหวนหมั้นไปคืน กลับต้องเจอกับพี่เหนือทุกวัน...และยังอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดทั้งวันเลยด้วย ขนาดคิดหนีมาทำงานที่นี่ สุดท้ายยังหนีพี่เหนือไม่พ้นเลยด้วย” “เราคงเป็นคู่เวรคู่กรรมกันละมั้ง ทำยังไงก็หนีกันไม่พ้น เสร็จงานที่นี่ เห็นทีพี่คงจะต้องจับมัดเราให้หนักกว่าเดิม” พันดาวมองแดนเหนืออย่างตื่นตะลึง เรียวปากสีชมพูอ้าค้าง “นี่พี่เหนือ...”
เพื่อน้องสาว เขาจึงหลอกลวงนำตัวเธอมา “คุณโกรธอะไรใครก็ไปเอาคืนกับคนนั้นสิ มายุ่งกับฉันทำไม ปล่อยฉันนะไอ้วายร้าย!” “เผอิญว่าฉันดันอยากได้เธอด้วยผิง ก็เธอมันขาวอวบยั่วยวนราคะใช่ย่อยนิ แค่จับลูบไล้หน่อยเดียวก็พร้อมจะร้อนเป็นไฟแล้ว” ชายหนุ่มลูบไล้ฝ่ามืออุ่นร้อนบนลำตัวกลมกลึง สะกิดเอากระดุมหลุดออกจากรางทีละเม็ดจนหมด จูบอุ่นร้อนทาบทับซุกไซ้ซอกคอขาวผ่อง “ฉันขอร้องนะคุณใหญ่...ถ้าฉันผิดจริง ฉันยอมให้คุณลงโทษได้ทุกอย่าง คุณจะย่ำยีลงทัณฑ์ฉันยังไงก็ได้ ฉันจะไม่ร้องขอความปราณีแม้แต่นิดเดียว จะไม่หนีอย่างที่ทำอยู่ทุกวัน จะไม่คิดไม่เคียดแค้นคุณเลย แต่ถ้าฉันไม่ผิด คุณปล่อยฉันไปนะ...ได้โปรด” “รู้อะไรไหมผิง...ไม่มีผู้ชายคนไหนโง่ยอมปล่อยให้ผู้หญิงสวย ๆ เซ็กซี่ แล้วก็ปลุกเร้าอารมณ์ได้อย่างกับน้ำมันราดลงไปกองไฟให้หลุดรอดมือไปหรอกนะ” แต่ใครจะรู้ล่ะ...ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น จะนำสิ่งใดมาสู่เขาบ้าง เรื่องหัวใจก็ยังต้องจัดการ เรื่องการงานก็ต้องตรวจสอบหาความจริง
กฎของหมู่บ้าน ทำให้สองศรีพี่น้องต้องเร่งหา...ผัว! ให้ได้ “ตัวสั่นเชียว กลัวหรือจ๊ะฟองจ๋า” “โถ...น่าสงสารจริง เมียของผัว” มือหนาลูบไล้ผิวเนื้อนวลนุ่มลื่นขณะเดียวกันก็เกี่ยวเอาชายเสื้อของหญิงสาวดึงมันออกไปจากกายสาวก่อนจะแนบฝ่ามือลงบนทรวงอกอวบใหญ่ เสียงหวานแหบพร่าดังออกมาจากกลีบปากเล็ก “ร้องได้เลยจ้ะฟองจ๋า ผัวอยากได้ยินเสียงหวาน ๆ ของฟองที่สุด” “โถ่...จะปิดทำไมละจ๊ะสร้อยจ๋า” แม่เจ้าโว้ย! ใหญ่ฉิบหายเลย ใหญ่จนเขาอยากเห็นใกล้ ๆ อยากได้ลิ้มลองรสชาติในตอนนี้เลย “เดี๋ยวเราสองคนจะไม่เพียงแค่ได้เห็นทุกซอก...ทุกมุมของสร้อยแล้ว เราสองคนจะทั้งจับ...ทั้งเลีย แล้วก็อัดกระแทกให้ร่องสวาทของสร้อยแทบพังไปเลยจ๊ะ” ตรวนสวาทนางไพร : ใครกันแน่ที่เป็นผู้ล่า ใครกันแน่ที่เป็นเหยื่อ แน่ใจหรือว่าแพรพลอยคือเหยื่อให้ห้าหนุ่มอย่างพวกเขาเสพสวาทอย่างเร่าร้อน “ไม่เอาอย่างนี้นะโรม...อย่าทำแพรเลยนะ” แพรพลอยร้องห้ามเสียงสั่นพร่าเมื่อรู้ว่าโรมรันจะทำอะไร ไหนจะหนุ่ม ๆ ทั้งสี่ที่ไร้อาภรณ์ปกปิด ทำให้เธอได้เห็นอาวุธของแต่ละคนที่มันช่าง...ใหญ่! ไหนจะคำพูดที่บอกก่อนหน้านี้ที่บอกว่า...จะอัดกระแทกเธอให้ยับ! ทำเอาเธอถึงกับกับหวาดหวั่นไม่ใช่น้อย ยิ่งตอนนี้ทุกคนได้มายืนล้อมรอบเธอแล้วด้วย “พี่ได้ยินไม่ผิดใช่ไหมจ๊ะ...ที่น้องแพรบอกว่าอย่าช้า ให้พวกเรารีบเอาน้องแพรเร็ว ๆ นะ”
เพียงแค่เห็นหน้า เขาก็ถูกใจแล้ว แม้เธอจะมีลูกติดมา เขาก็ไม่คิดที่จะปล่อย ยังคงตามเอาใจลูกสาวตัวน้อยและจีบเธออย่างไม่ลดละ “เย้ เย้ แม่เอาอีกหนุก หนุก เอาอีก เอาอีก” โซดาเริ่มลุยน้ำลงไปกอบทรายที่เปียกน้ำใส่ศีรษะอันนิโต้เรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด สิมิลันหัวเราะจนท้องแข็ง อันโตนิโอ้เอาคืนคนอารมณ์ดีด้วยการกอบทรายเปียกใส่ร่างบางบ้าง “ว้าย! เล่นอะไรนะคุณสกปรกจะตาย” “อ้าวที่คุณกับลูกทำผมล่ะ นี่แนะ” มือใหญ่ขยี้ผมบนศีรษะสิมิลัน โซดาเริ่มเอาอย่างสองมืออวบขยี้ผมบนศีรษะมารดาและศีรษะตัวเองจนยุ่งเหยิงและเปียกชื่น แล้วยืนหัวเราะเสียงใสแจ๋ว ดวงตาเป็นประกายสดใส ยิ้มจนเห็นฟันในปากแทบทุกซี่ “ไม่เลิกใช่ไหมคุณเอ โซดารุมพ่อเอเลยลูก” สองมือเล็กเรียวผลักร่างใหญ่ลงนอนบนพื้นทราย พร้อมกอบทรายเปียกชื้นละเลงบนกายแข็งแกร่ง สองแรงแข็งขันสองมือรุมกอบทรายละเลงบนกายหนาใหญ่จนเปียกชื้น ยังไม่พอสองนิ้วเล็กๆ จี้ไปเอวหนาจนชายหนุ่มหัวเราะท้องแข็ง โซดาเองก็เอาอย่างคนเป็นแม่ มือใหญ่ทั้งห้านิ้วจี้เอวแข็งแกร่ง อันโตนิโอ้ก็ไม่ยอมแพ้ มือใหญ่จี้เอวสองแม่ลูกกลับบ้าง เสียงหัวเราะของสองผู้ใหญ่หนึ่งเด็กดังลั่นหาดทรายสีขาว
นิยายสายบาป อีโรติค เรื่องราวของแม่เลี้ยงแสนสวยที่มีสัมพันธ์สวาทกับลูกเลี้ยงชายทั้งสามคน แถมยังแอบมีชู้นอกบ้านอีกมากหน้าหลายตา...
หล่อนเป็นแค่เมียคั่นเวลา คอยปลดปล่อยความใคร่ให้กับเขายามที่ตัวจริงไม่อยู่ ไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียง และไม่เคยมีค่าในสายตาของเขาเลย อลินดา จำต้องเข้าพิธีแต่งงานกับเจ้าบ่าวแทนพี่สาวฝาแฝดที่หนีตัวไปอย่างลึกลับในคืนวันแต่งงานอย่างไม่มีทางเลือก หล่อนคิดว่าเมื่อจบสิ้นพิธีการแล้ว หน้าที่ของตัวเองก็จะหมดไปเช่นกัน แต่หล่อนคิดผิด เมื่อเจ้าบ่าวใช้ร่างกายของหล่อนเป็นตัวแทนของเจ้าสาวตัวจริงตลอดทั้งค่ำคืน แซคคารีย์ แฮซมิลตัน รู้สึกราวกับถูกเหยียบหน้าเมื่อเจ้าสาวตัวจริงหายหน้าไป พร้อมกับที่ญาติพี่น้องฝ่ายหญิงอุปโลกน์น้องสาวฝาแฝดขึ้นมาเป็นเจ้าสาวตัวแทน เขาโมโหจนเลือดขึ้นหน้า และแน่นอนว่าจะต้องมีใครสักคนรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจากแม่เจ้าสาวตัวแทนที่จะต้องรองรับความหื่นกระหายของเขา จนกว่าเจ้าสาวตัวจริงจะกลับมา
หนูน้อย"อ้ายหลาน"เกิดมาพร้อมกับพลังพิเศษไม่เหมือนใคร แม้นางจะเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆ แต่นางก็มีพลังมหาศาลสามารถยกกระสอบข้าวด้วยมือเดียว ก้อนหินสิบคนโอบนางก็สามารถยกทุ่มได้อย่างง่ายดาย และจมูกนางไวต่อกลิ่นยิ่งนักแม้สิ่งนั้นจะอยู่ไกลเพียงใดโดยเฉพาะอาหาร นางมีจมูกที่พิเศษสามารถแยกแยะสิ่งมีพิษและไม่มีพิษได้
คิณ อัคนี สุริยวานิชกุล ทายาทคนโตของสุริยวานิชกุลกรุ๊ป อายุ 26 ปี นักธุรกิจหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาราวกับเทพบุตร เย็นชากับผู้หญิงทั้งโลกยกเว้นเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น เอย อรนลิน "เมื่อเขาดึงเธอเข้ามาในวังวนของไฟรักที่แผดเผาหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้ไหม้ไปทั้งดวง" "เธอแน่ใจนะว่าจะให้ฉันช่วยค่าตอบแทนมันสูงเธอจ่ายไหวเหรอ?" เอย อรนลิน พิศาลวรางกูล ดาวเด่นของวงการบันเทิงที่ผันตัวไปรับบทนางร้าย เธอสวย เซ็กซี่ ขี้ยั่วกับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น "เขาคือดวงไฟที่จุดประกายขึ้นในหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้หลงเริงร่าอยู่ในวังวนแห่งไฟรัก" "อะ อึก จะ เจ็บ เอยเจ็บค่ะคุณคิณ"
เธอคิดว่าพวกเขาจะต่างคนต่างไปหลังจากการหย่าร้าง โดยเขาใช้ชีวิตของเขาเอง ส่วนเธอก็มีความสุขกับเธอไป-- แต่แล้ว... “ที่รัก ผมผิดไปแล้ว คุณกลับมาได้ไหม” ชายใจร้ายที่เคยหักหลังเธอสุดท้ายก็ก้มหัวที่หยิ่งผยองลง “เราคืนดีกันเถอะ ผมขอร้องล่ะ” ซูเชียนชือผลักดอกไม้ที่ชายคนนั้นมอบให้ออกไปอย่างเย็นชา และตอบอย่างใจเย็น "มันสายไปแล้ว"
ภารกิจสำคัญของนักเขียนที่ข้ามเวลามาเกิดใหม่ในยุคโบราณคือการเป็นผู้ช่วยมารดาหลบหนีจากบิดาไร้หัวใจ และพามารดาไปพบโลกใหม่ที่เต็มไปด้วยทุ่งดอกลาเวนเดอร์อันงดงาม เมิ่งสืออีถูก ย่าและอนุของหานชางเหยียนผู้เป็นสามีรังแกจนเกือบจะต้องตายไปพร้อมกับลูก ในเวลานี้สามีที่จากไปรบที่ชายแดนกลับมาแล้ว หวังในใจว่าสามีที่กลับมาจะคอยปกป้องดูแล ทว่านางกลับได้รับความเจ็บช้ำที่มากยิ่งกว่าจนแทบทนไม่ไหวและคิดหนี กรุณาอ่านตัวอย่างก่อนกดซื้อ ซื้อหน้าเว็บถูกกว่าแอปเปิ้ลค่ะ กราบขอบพระคุณทุกท่านค่ะที่อุดหนุน