**เพลิงปรารถนา ติดแล้ว ยากจะดับ ใจไม่รับ กายยังสั่น สะท้านไหว อสูรร้าย ร่ายมนต์รัก สะกดใจ กายละลาย ใจประท้วง ใต้บ่วงมาร*** ฟินิกซ์ ฮิสตัน บรู๊ค หนุ่มลูกครึ่งไทย-อังกฤษ บุรุษผู้ซึ่งมีนัยน์ตาสีน้ำทะเลลึกชวนฝัน เขาเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่เห็นผู้หญิงเป็นเพียงดอกไม้ที่หอมหวาน ที่เขาปรารถนาจะลิ้มรสเกสรของมันแล้วก็ทิ้ง ม่านไหม คือหญิงไทยคนแรกที่เขาจะใช้เสน่ห์ทั้งหมดที่เขามี หลอกล่อให้เธอมาติดกับ เพื่อหวังที่จะ ‘ฟันเธอซะ แล้วก็ทิ้ง’ “ผมสัญญาว่าผมจะสัมผัสคุณเพียงแค่ร่างกายภายนอกแค่ยี่สิบนาทีเท่านั้น จะไม่ล่วงล้ำเข้าไปในกายคุณ จนกว่าคุณจะอ้อนวอนขอ เมื่อครบยี่สิบนาทีแล้วถ้าคุณไม่ชอบผมจะหยุด ตกลงมั้ย?” “ฉันยอมก็ได้ แต่คุณสัญญาแล้วนะยี่สิบนาทีถ้าฉันไม่ชอบ คุณต้องหยุด” ม่านไหมแหงนมองดูนาฬิกาบนฝาผนัง ก่อนที่จะหันมามองใบหน้าคนเจ้าเล่ห์ที่ยิ้มร้ายไม่ยอมหุบ แต่หญิงสาวไม่รู้หรอกว่า เพลิงปรารถนา ถ้าหากว่ามันจุดติดขึ้นมาเมื่อไหร่ มันก็ยากที่ดับได้
ฟินิกซ์ ฮิสตัน บรู๊ค หรือฟินิกซ์ วรเวชนาคประสิทธิ์ หนุ่มลูกครึ่งไทยอังกฤษ ทายาทคนที่สามของนาย โรเบิร์ต ฮิสตัน บรู๊ค ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมห้าดาวทางภาคอีสานที่ครอบคลุมไปทุกจังหวัด ฟินิกซ์ไปใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองนอกเสียนานหลายปี แต่กลับได้รับคำสั่งจากนายโรเบิร์ต ให้มาบริหารโรงแรมที่กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในจังหวัดขอนแก่น เมื่อไม่อาจปฏิเสธคำสั่งจากประมุขใหญ่ของบ้านได้ เขาจึงต้องเดินทางกลับมาตามคำบัญชาของผู้เป็นบิดา
“แด๊ดดี้ ครับ ผมไม่ไปได้มั้ย? ให้ใครไปแทนได้หรือเปล่า?”
ฟินิกซ์ทำท่าเหมือนไม่เห็นด้วยที่บิดาของเขาสั่งให้เขาไปติดต่องานชิ้นหนึ่งในชนบทด้วยตัวเอง
“โนๆ ลูกต้องไปเอง ให้คนอื่นไปแทนไม่ได้เด็ดขาด ฟินิกซ์ลูกเข้าใจมั้ย คำว่ามิตรภาพ คืออะไร เราจะต้องสร้างสัมพันธไมตรีกับลูกค้าคนสำคัญของเราด้วยตัวของเราเอง เพื่อให้เกียรติพวกเขา เพราะฉะนั้นลูกต้องไปเข้าใจไหม?”
ที่จริงแล้วมันเป็นแผนการของนายโรเบิร์ต ที่ต้องการให้ลูกชายได้รู้จักกับใครบางคนที่วิไลวรรณคู่ขาของเขาแนะนำ
“โอเคแด๊ดดี้ ผมจะไป แต่ผมไม่รับรองนะ ว่าจะทำได้ดีแค่ไหน ผมจะพยายามก็แล้วกัน”
ร่างสูงใหญ่ปานนายแบบหันหลังเดินตัวปลิวออกไปจากห้องทำงานของบิดา ลงไปยังลานจอดรถของโรงแรมพร้อมทั้งคนขับรถ
รถเมอร์เซเดส-เบนซ์ คันหรูรุ่นล่าสุดสีบรอนซ์เงินออกตัวไปอย่างนุ่มนวลไปยังอำเภอหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น ตลอดการเดินทางไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ดวงตาคมเข้มดุจพญาเหยี่ยวมองสำรวจริมทางไปตลอดเส้นทางด้วยความรู้สึกทึ่งๆ และประหลาดใจในสิ่งที่เขาได้พบเห็นเป็นครั้งแรกหลังจากที่ไม่ได้กลับมาที่นี่นานแล้ว
“โทรมชาย”
“สมชายครับ” คนขับรถแก้ให้กับภาษาไทยแปร่งๆ ของเจ้านาย
“นั่นแหละ ซมชาย ตรงนี้เขาเรียกว่าอะไร?” นิ้วเรียวชี้ออกไปข้างนอกรถอย่างสงสัย
“อ๋อ ที่นี่เขาเรียกว่า ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองครับ” สมชายตอบ
“อ๋อ ซานเจ้าพ่อหลักเมือง” สำเนียงของลูกครึ่งไทย-อังกฤษก็ยังเพี้ยนๆ อยู่ดี เพราะวันนี้เป็นวันที่สามที่เขาเพิ่งเดินทางมาถึงเมืองไทย
“อีกนานมั้ย กว่าจะถึง ร้านแพรพรรณผ้าไหมไทย?” เสียงทุ้มมีเสน่ห์ถามคนขับรถเมื่อทั้งคู่ออกสู่เส้นทางเลี่ยงเมือง
“ไม่นานหรอกครับ เดี๋ยวก่ฮอด”
“เดี๋ยวก่ฮอด หมายความว่ายังไง?” ฟินิกซ์ไม่เข้าใจ
“โอ๋ ขอโทษทีครับ หลงพูดภาษาบ้าน คำว่า เดี๋ยวก่ฮอด หมายถึง เดี๋ยวก็ถึงครับ” หนุ่มขับรถชาวอีสานแท้ๆ อธิบายภาษาบ้านให้เจ้านายฝรั่งลูกครึ่งฟัง
“โอ ฉันชักอยากจะเรียนภาษาของบ้านนายแล้วสิ ภาษาแปลกดิฉันชอบ” ฟินิกซ์พูดออกมาจากใจ
จากนั้นอีกหลายนาทีก่อนที่จะเดินทางไปถึงที่หมาย สมชายก็ได้สอนภาษาพื้นบ้านให้เจ้านายคนใหม่อีกหลายคำ อย่างสนุกสนาน จนกระทั่งทั้งคู่มาถึง ร้านแพรพรรณผ้าไหมไทย
วันนี้ลูกค้าค่อนข้างบางตา ม่านไหมจึงมีเวลามานั่งทอผ้าอยู่ข้างในร้าน ในส่วนของการโชว์การแสดงการทอผ้าไหม ซึ่งลูกค้าท่านใดที่ประสงค์จะดูการทอผ้า ก็สามารถที่จะมาชมในมุมนี้ได้ เพราะที่ร้านแพรพรรณผ้าไหมไทยแห่งนี้ มีการขายและการผลิตที่ครบวงจร ตั้งแต่การเลี้ยงตัวไหม ไปจนถึงการตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูปเพื่อวางจำหน่าย ทั้งขายส่งและขายปลีกในราคาที่ไม่แพงมากนัก และร้านนี้ก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นร้านขายผ้าไหมที่ใหญ่ที่สุดในภาคอีสานเลยก็ว่าได้
“นี่กุหลาบ เห็นบ่รถผู้ใดมา คันโก้โก้ ท่าทางสิรวยแท้” กุหลาบเป็นลูกน้องคนหนึ่งของร้านกำลังสนทนากับเพื่อนข้างๆ ด้วยความอยากรู้
“เฮาบ่ฮู้ดอก สงสัยสิเป็นลูกค้าคนพิเศษของคุณม่านไหม”
เพียงใจเองก็สงสัยเหมือนกัน แต่ก็ลองเดาเอา เพราะแขกที่ลงจากรถมาเธอไม่เคยเห็นหน้า แต่เมื่อประตูรถอีกด้านหนึ่งเปิดลงมา พร้อมกับร่างสูงใหญ่หล่อเหลาปานเทพบุตรในฝัน สองสาวถึงกับอ้าปากค้าง ขนลุกเกรียวด้วยความไม่คาดฝัน ว่าลูกค้าของเจ้านายจะหล่อลากดินถึงเพียงนี้
“ว้าว! เทพบุตรจุติลงมาเกิดแท้ๆ” กุหลาบอุทานเบาๆ ก่อน
“แม่นๆ พระเอกหนังเรื่องไหนหว่า คือหล่อแบบนี้ บ่อยากเซื่อ” เพียงใจงึมงำเบาๆ ด้วยภาษาบ้านของเธอ
“ผมมาพบเจ้าของร้าน ไม่ทราบว่าใครคือเจ้าของร้านครับ?” หนุ่มหล่อที่กระชากหัวใจของพวกเธอถามออกมาเมื่อเขามายืนอยู่หน้าร้าน
“ว้าว คุณพูดภาษาไทยได้ด้วย เอ่อ...คือเจ้าของร้านอยู่ข้างในค่ะ” เพียงใจบอกแก่ลูกค้าสุดพิเศษของวันนี้
“ขอผมเข้าไปพบได้มั้ยครับ?”
“ได้ค่ะ เชิญทางนี้เลยค่ะ” กุหลาบรีบเชิญชวนเมื่อเห็นเพื่อนยังคงทำท่าตะลึงลานอยู่กับที่
“นั่งไงคะ เจ้าของร้าน”
ทันทีที่พนักงานสาวชี้นิ้วไปยังหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งกำลังนั่งทอผ้าไหมด้วยความเพลิดเพลิน ใบหน้าคมเข้มทรงเสน่ห์ก็หันหน้ามองตาม ภาพที่ฟินิกซ์เห็นแทบจะทำให้หัวใจของชายหนุ่มหยุดเต้น ร่างบอบบางแต่ได้สัดส่วน ผิวขาวอมน้ำผึ้งเรียบเนียน ใบหน้ารูปไข่ที่สวยใสหมดจดแต่งแต้มเพียงเครื่องสำอางบางเบาแค่นั้น กับผมสีดำสนิทเป็นเงาแวววาวดุจแพรไหมที่ถูกรวบตึงขึ้นไว้ตรงกลางศีรษะประดับด้วยปิ่นปักผมสีเงิน ยิ่งเน้นให้ใบหน้าหวานนั้นงดงามปานนางฟ้านางสวรรค์ที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน
“โอ ซวย เหลือเกิน” คำอุทานนั้นหลุดออกมาจากริมฝีปากบางเฉียบของร่างสูงใหญ่เบาๆ
“สวยค่ะ ไม่ใช่ ซวย” กุหลาบแก้ให้อย่างขำๆ ภาษาไทยจะวิบัติก็คราวนี้แหละ เด็กสาวคิดแล้วก็หันหน้ามามองคนหล่ออีกครั้งด้วยหัวใจที่เป็นสีชมพู
ม่านไหมเริ่มรู้ตัว เมื่อสายตาหวานซึ้งของเธอชายตาไปยังลูกค้าคนที่สามของวันนี้ เขาดูดีมีเสน่ห์มากทีเดียว โดยเฉพาะสายตาคมคู่นั้นที่ทำเอาเธอรู้สึกหน้าร้อนผ่าวราวจะเป็นไข้ จนต้องหลบสายตาลงอย่างประหม่า มือเรียวหยุดการทอผ้าไหมไปชั่วขณะเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่กำลังเดินเข้ามาใกล้ ด้วยท่าทางมั่นใจในตนเองจนทำให้หญิงสาวกลายเป็นคนที่เริ่มจะขาดความมั่นใจไปเลย แต่เธอก็พยายามซ่อนความอ่อนไหวนั้นเอาไว้ภายใน
“สวัสดีค่ะ ดิฉันม่านไหม เป็นหลานสาวของเจ้าของร้านนี้”
เสียงหวานใสกล่าวทักทายด้วยท่าไหว้ที่สวยงามตามแบบฉบับหญิงไทยอย่างอ่อนช้อยงดงาม จนฟินิกซ์ต้องจ้องมองกิริยาของเธออย่างหลงใหล
“ผมฟินิกซ์ ฮิสตัน บรู๊ค ต้องการมาเจรจาซื้อผ้าไหมของคุณ”
ชายหนุ่มแนะนำตัวและบอกความต้องการสั้นๆ พอเข้าใจ แต่สายตาที่เขามองเจ้าของร้านกลับมีความนัยซ่อนอยู่หลายอย่าง และหนึ่งในนั้นคือ ‘คุณช่างเป็นผู้หญิงที่เซ็กซี่ จนผมแทบจะอดใจไม่ไหวแล้วนะเนี่ย’
สายตาที่มองเธอเหมือนกับจะกลืนกิน ทำให้ม่านไหมต้องสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อควบคุมอารมณ์โกรธที่เริ่มพลุกพล่าน เมื่อเธอรู้สึกว่ากำลังถูกรุกรานทางสายตา ‘นี่เขาจะมาเจรจาเพื่อซื้อผ้าไหมหรือว่าซื้ออะไรกันแน่?’ ม่านไหมคิดและหรี่ตามองใบหน้าคมเข้มแวบหนึ่ง ก่อนที่จะเอ่ยชวนเขาเข้าไปดูผลิตภัณฑ์ผ้าไหมเนื้อดีที่สุดในร้านทางด้านใน
“ถ้าอย่างนั้น ก็เชิญคุณฟินิกซ์ด้านนี้เลยค่ะ”
“ผ้าไหมของคุณ สวยมากเลยนะครับ แต่ผมว่าคุณม่านมาย ซวยกว่า”
“ม่านไหมค่ะ และกรุณาพูดคำว่าสวยให้ชัดด้วย” หญิงสาวหันมาทำตาเขียวใส่ชายหนุ่มอย่างตำหนิ แม้จะรู้ว่าเขาพยายามพูดภาษาไทยให้ชัดแล้ว แต่เธอก็รู้สึกทะแม่งๆ อยู่ดี
“โอเค ม่านไหม สวย” ร่างสูงชะลูดปานนายแบบเน้นย้ำคำที่หญิงสาวท้วงติง จนม่านไหมต้องยิ้มออกมา
“คุณกำลังหาผ้าไหมลายไหนอยู่หรือคะ?”
ม่านไหมหันไปถามลูกค้าหนุ่มเมื่อเห็นว่าพาเขาเดินดูเกือบหมดร้านแล้วแต่ดูท่าทางเหมือนเขาจะยังไม่ตัดสินใจเลือกแบบที่เขาต้องการเสียที
“ผมต้องการความเป็นส่วนตัว ในการเจรจา กรุณาคุยกันที่ห้องทำงานของคุณได้มั้ยครับ เพราะผมมีเอกสารและรูปภาพที่ต้องแสดงให้คุณดู” เจ้าของร่างสูงใหญ่อธิบาย
แม้ว่าภายในใจจะไม่ไว้ใจลูกค้าที่มีหน้าตาหล่อเหลากระชากใจสาวๆ อย่างชายหนุ่ม แต่หญิงสาวในฐานะหลานสาวเจ้าของร้านก็ต้องทำตามมารยาท เชิญลูกค้าคนสำคัญไปยังห้องทำงานส่วนตัวของเธอ
“ไหนคะ เอกสารที่คุณจะให้ฉันดู”
ม่านไหมรีบเข้าเรื่องทันทีที่เข้ามาในห้องทำงาน แม้ว่าภายในหัวใจของเธอจะสั่นๆ ที่ต้องอยู่กับผู้ชายสองต่อสองในห้อง แต่หญิงสาวก็พยายามทำตัวให้เป็นปกติให้มากที่สุด
“ดูท่าทางของคุณ จะไม่ค่อยไว้ใจผมเลยนะครับ” เขาจ้องมองเข้าไปในดวงตาของหญิงสาวเหมือนจะรู้ว่าเธอมีอาการประหม่ามากแค่ไหนที่ต้องอยู่ต่อหน้าเขา
“คุณยัง ไม่ได้ให้ฉันดูเอกสารเลยนะคะ ดิฉันมีเวลาไม่มากนัก กรุณารีบพูดความต้องการของคุณมาเถอะค่ะ” เมื่อเห็นสายตากรุ้มกริ่มพราวระยับดั่งชายเจ้าชู้ยิ่งทำให้หญิงสาวต้องระวังตัว มองตาเขาไม่กะพริบ
“ถ้าผมจะบอกว่า ผมต้องการตัวคุณมากกว่าผ้าไหมพวกนี้ล่ะ”
ร่างระหงลุกจากเก้าอี้ทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบ ตั้งท่าจะเดินออกจากประตูห้องไป แต่ก็ถูกมือหนาและอ้อมแขนแข็งแรงเกี่ยวกระหวัดรัดร่างของเธอเอาไว้ เรียวปากที่กำลังจะอ้าเผยอร้องขอความช่วยเหลือ ถูกปิดลงทันทีด้วยริมฝีปากบางเฉียบได้รูปของชายหนุ่มที่ฉกลงมาอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวร้องอู้อี้เมื่อเรียวปากถูกบดขยี้อย่างจาบจ้วงจากร่างสูงใหญ่ เขาพันธนาการร่างเพรียวระหงของเธอด้วยมือหนาและพละกำลังอันมหาศาลของเขา และด้วยประสบการณ์อันร้ายกาจในเชิงรัก โดยเฉพาะการลิ้มรสรักด้วยจูบอันแสนหวาน หากหญิงใดได้สัมผัสจูบที่เร่าร้อนของเขา ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่อาจจะควบคุมสติของตัวเองได้อีกต่อไป ไม่เว้นแม้แต่ม่านไหมหญิงสาวผู้ไม่เคยต้องมือชายมาก่อน
ลิ้นอุ่นๆ ซอกซอนเข้าไปควานหาความหอมหวานของน้ำผึ้งในโพรงปากบางอิ่ม เมื่อเจอมันเขาก็ดื่มด่ำดูดกลืนกินอย่างโหยหิว ลิ้นเรียวหนาเกี่ยวกระหวัดลิ้นเรียวเล็กอย่างช่ำชองเร่าร้อนแต่ก็อ่อนหวาน จนร่างบางไม่อาจจะต้านทานเสน่หาอันรัญจวนนี้ได้แม้เพียงวินาทีเดียว มือเล็กที่ผลักไสในนาทีแรก กลับหาที่ยึดสะเปะสะปะเมื่อร่างกายเริ่มอ่อนระทวยดั่งขี้ผึ้งถูกไฟลน
“หวานเหลือเกิน ยาหยี”
ฟินิกซ์ถอนริมฝีปากออกเบาๆ อย่างแสนเสียดาย ที่จริงเขาอยากจะจูบหญิงสาวให้เนิ่นนานกว่านี้ แต่ก็กลัวร่างบางจะขาดใจไปเสียก่อน เพราะดูท่าทางหญิงสาวช่างอ่อนประสบการณ์เหลือเกิน
ม่านไหมเซเล็กน้อย เมื่อร่างสูงใหญ่ค่อยๆ ปล่อยตัวเธอให้เป็นอิสระ ร่างเล็กถอยหลังไปชนผนังจนต้องพิงร่างพักหอบหายใจอยู่ตรงนั้น แล้วค่อยๆ หันไปมองคนที่บังอาจฉวยโอกาสกับเธอด้วยใบหน้าที่แดงก่ำด้วยความโกรธสุดจะบรรยาย
เผียะ!
เสียงฝ่ามือกระทบเนื้อดังสนั่นกลางอากาศ
“ออกไป! ออกไปจากห้องของฉันเดี๋ยวนี้ ไอ้ฝรั่งโรคจิต ไอ้คนเลว และจำเอาไว้เลยนะ ฉันไม่มีวันขายผ้าไหมอันมีค่าของฉัน ให้กับคนต่ำช้าอย่างนายเด็ดขาด ออกไป!”
ร่างที่กำลังสั่นเทิ้มชี้นิ้วสั่นๆ ของเธอไปยังประตูไล่ลูกค้าที่น่ารังเกียจออกไปด้วยความโมโหสุดขีด จนฟินิกซ์เองก็ยังตกใจ ไม่คิดว่าหญิงสาวจะโกรธเขามากมายถึงขนาดนี้
“เฮ้! คุณ ผมขอโทษ”
“ออกไป!! ฉันไม่ต้องการคำขอโทษจากฝรั่งที่เห็นผู้หญิงไทยเป็นของง่ายที่จะทำอะไรก็ได้อย่างคุณ ที่นี่ประเทศไทยไม่ใช่ที่ๆ คุณเคยอยู่ จงกลับไปซะ ก่อนที่ฉันจะโทรเรียกตำรวจมาลากคอคุณเข้าคุก” ร่างบางเดินฉับๆ ไปเปิดประตูไล่แขกโดยไม่มองหน้าเขาอีกเลย
“ตกลงครับ ผมจะกลับ แล้วผมจะมาใหม่”
ร่างสูงใหญ่หันหลังกลับมา ท่ามกลางสายตาสอดรู้สอดเห็นหลายคู่ ของคนที่ยืนออกันอยู่แถวหน้าประตู ฟินิกซ์ยิ้มให้กับทุกคนอีกครั้ง แล้วจึงหันไปมองที่ประตูห้องที่เขาเพิ่งเดินออกมาเมื่อครู่นิ่ง ก่อนที่จะเดินไปขึ้นรถส่วนตัว
‘ผมจะกลับมาอีกแน่ ยาหยี คุณไม่มีทางหนีเงื้อมมือผมไปได้หรอก คุณหอมหวานออกอย่างนี้ ผมต้องได้คุณมาเป็นของผมให้ได้ เพราะไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ผมต้องการแล้วไม่ได้”
ร่างสูงใหญ่ยืนเพ่งมองมาทางร้านแพรพรรณผ้าไหมไทย ด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ร้ายกาจมาดมั่นอย่างที่สุด ที่คิดว่าเขาจะต้องพิชิตร่างกายอันยั่วเย้าแสนหวานของม่านไหมให้ได้ในเร็ววันนี้แน่นอน
‘ม่านไหม พยศแบบนี้สิ ฉันชอบ ฉันรับรอง ฟินิกซ์คนนี้จะต้องปราบเธอให้เชื่องให้จงได้’
ปัง!
เสียงประตูรถปิดลง รถเบนซ์สีบรอนซ์เงินวาววับเคลื่อนหายไปแล้ว ทิ้งไว้แต่รอยควันจางๆ ที่ม่านไหมแอบมองทางหน้าต่าง เหมือนฝันร้ายที่เธอไม่มีวันลืม
1 พ่ายปรารถนาเจ้ารัตติกาล 2 กระหายรักใต้เงาจันทร์ 3 พิศวาสหวามข้ามกาลเวลา(ภาคจบ) ร่างสูงเคลื่อนเข้ามาใกล้ชิดรวดเร็ว จับบ่าบอบบางสองข้างเอาไว้แน่น จ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยที่ทั้งกล้าหาญและหวาดหวั่น “คุณเลือกทางของคุณเองนะ ณิชา เกิดอะไรขึ้นอย่ามาโทษผม” “ฉะ...ฉันไม่กลัว” “คุณกำลังกลัวมากที่สุดต่างหากล่ะณิชา” ร่างเล็กถูกกระชากเข้ามาบดจูบด้วยความกระหาย ‘ณิชา ยอดรักของข้า’ เขาไม่พูดคำว่ารักออกมาให้เธอได้ยิน แต่ส่งผ่านความรู้สึกนั้นด้วยเซ็กส์ที่ทรงพลัง... เขาทะยานไปข้างหน้ารุนแรง ตอกย้ำกายใหญ่เข้าหาราวกับจะแทงทะลุให้ถึงจิตวิญญาณ ราตรีนี้ความต้องการทางกายของแวมไพร์หนุ่มจะทวีความรุนแรงขึ้นอีกหลายเท่า เขาหลอกล่อเธอด้วยไฟพิศวาสร้อนแรง เพื่อจะดับไฟแค้นในหัวใจ ส่วนเธอทั้งรักทั้งหลงเขา ไม่อาจห้ามใจสักครั้งเมื่อได้ชิดใกล้ แต่เมื่อรู้ความจริงว่าเขาคือใคร ดวงตะวันจะเลือนหายไปจากเธอและเขาหรือเปล่า วันเวลาหมุนเวียน ทุกสิ่งรอบกายเปลี่ยนผัน มีเพียงดวงจิตที่ผูกพัน ร้อยปีผันผ่านยังเฝ้าคอย ‘เชอร์ลีน ยอดรักของข้า “ไม่ใช่ ฉันไม่ใช่เชอร์ลีน ฉันชื่อกิรณา และฉันไม่เคยไปทำความเดือดร้อนให้ใคร ไม่เคยรู้จักคุณ แล้วคุณจับฉันมาทำไม”
‘ทั้งๆ ที่รักแต่ไม่อาจครอบครอง ของของเขา เธอจะแย่งมาได้อย่างไร’ “เลิกคิดเถอะ คุณไม่เหมาะสมกับผมสักนิด และสเปคผู้หญิงของผมก็คงไม่ใช่เด็กสาวกะโปโลอย่างคุณ กลับไปเรียนหนังสือให้จบแล้วมีคนอื่นไปซะ ไม่ต้องมายั่วผมอีก เข้าใจที่ผมพูดมั้ย” เธอเข้าใจ... จึงเดินวกกลับมาจูบเขาอย่างยั่วยวนอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มหวาน “ถ้าเรียนจบแล้ว แพรจะกลับมา อย่าเพิ่งแต่งงานนะคะ...” ทว่าเมื่อเรียนจบกลับมาหาเขาอีกครั้ง ได้ใกล้ชิดชายหนุ่มอีกหน ครานี้เธอ ‘ยั่ว’ เขาหนักขึ้น แต่... เธอก็ต้องมาพบกับความร้ายกาจของผู้หญิงของเขา ที่ต้องการจะ ‘เอาเธอให้ถึงตาย!’ ลูกแพรจึงต้อง ‘ร้าย’ กลับบ้าง ‘ร้ายเพราะรัก มันต้องร้ายให้ลึกที่สุด!’
“ผมจะยอมแต่งงานกับคุณก็ได้ แต่ผมมีข้อแลกเปลี่ยนสามข้อ คุณจะยอมรับได้ไหมแต่คุณต้องผ่านการทดสอบของผมในคืนนี้ให้ได้ก่อนนะ แล้วเราค่อยมาตกลงกัน” ความเป็นชายของเขาก็กำลังร้อนเป็นไฟ เธอมองเขาด้วยสายตาวิงวอน เธอกำลังกลัว กลัวมากที่สุด! “อย่ากลัวผมเลยนะ คุณรู้มั้ยว่าคุณน่ารักไปทั้งตัว คุณสวยจนผมอดใจไม่ไหว แล้วก็หอมหวานจนผมแทบจะคลั่งตายอยู่แล้ว” กฤตภพเก่งกาจเกินกว่าที่เธอจะต้านทานไหว เขาใช้ประสบการณ์อันช่ำชองพาให้เธอเคลิบเคลิ้ม และคล้อยตามเขาไปทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าเขาจะดึงขึ้นสวรรค์หรือดิ่งลงนรก เธอก็โบยบินตามเขาไปทุกที่ ตามที่เขาปรารถนา อาภรณ์ชิ้นสุดท้ายหลุดออกจากเรียวขาเมื่อไหร่ไม่ทันได้รู้สึกตัว แต่รู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อเห็นร่างกายกำยำของเขายืนตรงปลายเตียง
ฟรานซิส ฟาร์นองเดซ เจ้าพ่อธุรกิจไวน์รายใหญ่ที่สุดแห่งอัลซาส ประเทศฝรั่งเศส เขาไม่ต่างกับอสูรร้ายที่ร้ายกาจ ป่าเถื่อน เพียงเพื่อจะกำจัด ‘ผู้หญิงที่หวังรวยทางลัด’ อัญญาลิน ทายาทสาวเพียงคนเดียวของเจ้าของบริษัทไวน์เนอรี่ชั้นแนวหน้าของไทย เธอตั้งใจไปเที่ยวฝรั่งเศส เพียงเพื่อจะหาความรู้เรื่องการผลิตไวน์มาบริหารงานช่วยผู้เป็นพ่อเท่านั้น แต่ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอ ‘น้องชายของเขา’ “คุณกำลังเข้าใจผิด” “เปล่า ผมกำลังเข้าใจถูกต่างหาก และผมก็รู้ว่าจริงๆ แล้วคุณเองก็คงแอบมีใจให้ผมไม่น้อย ไม่อย่างนั้นคุณจะยั่วผมท้าทายผม ด้วยการขัดคำสั่งผมเหรอ เพราะคุณก็รู้ดีอยู่แล้วนี่ ว่าเวลาที่คุณขัดคำสั่งผมแล้ว ผมจะลงโทษคุณอย่างไรบ้าง ต้องการแบบนี้ใช่มั้ย ได้...ผมจะจัดให้” ศีรษะดกดำโน้มต่ำลงมาทันที อัญญาลินคิดเสมอว่าฟรานซิสรังเกียจเธอ หญิงสาวอยากจะรู้จังว่า ในสมองของเขาเคยคิดถึงเธอในแง่ดีบ้างหรือเปล่า หรือคิดแต่จะหาเรื่องทำให้เธอเป็นคนผิดที่คิดขัดคำสั่งเขาแล้วหาทางลงโทษเธอตามอำเภอใจ ‘ผู้ชายไม่มีหัวใจ’ อัญญาลินคิดได้แค่นี้ แล้วสติสัมปชัญญะของเธอก็ดับวูบลงทันที “ก็ได้! ในเมื่อคุณไม่เคยเห็นผมเป็นคนดีในสายตา ผมก็จะขอเป็นคนเลวอย่างที่คุณประณามก็แล้วกัน” ฟรานซิสสะกดเสียงต่ำลอดไรฟัน มองหน้าคนดื้อรั้นไม่ยอมฟังเหตุผลด้วยประกายตาแข็งกร้าววาววับ ด้วยอารมรณ์คุกรุ่นผสมผสานกับอารมณ์ปรารถนาของร่างกายที่อัดแน่นมานานแล้ว เขาผลักร่างบอบบางที่มีเพียงผ้าแพรปกปิดร่างกายให้นอนราบลงไปกับที่นอน ก่อนที่จะคร่อมทับร่างของเธอเอาไว้ สวมบทอสูรร้ายบ้ากามทันทีโดยไม่ฟังเสียงร้องอ้อนวอนใดๆ จากหญิงสาวอีกต่อไป
ด้วยอำนาจแห่งมนตรา หรือเพราะพรหมลิขิต ชักนำเธอเข้าสู่อ้อมกอดแห่งรัตติกาล ที่ทั้ง ‘เร่าร้อน’ และ ‘เหน็บหนาว’ ในคราวเดียวกัน ครั้งแรกที่สบตากับเขา ‘รุ้งราตรี’ ไม่รู้ตัวเลยว่าเธอกำลังเผชิญอยู่กับอะไร ทันทีที่ได้ใกล้ชิด โลกทั้งใบก็ดูเหมือนจะหยุดหมุน และแค่เพียงปลายนิ้วสัมผัส เธอก็รับรู้ได้ถึงความน่ากลัวบางอย่าง แต่ทำไมถึงได้หวั่นไหวนัก แค่เพียงจุมพิตแรก หัวใจที่เหมือนถูกแช่แข็งมานานของ ‘แดเนียล’ ก็เริ่มสั่นคลอน แค่จูบเดียวก็เหมาเอาว่า เธอเป็น ‘เนื้อคู่’ ของเขา แล้วใครจะเชื่อ เธอไม่อยากเข้าใกล้เขานัก แต่ความจำเป็นบางอย่าง เธอจึงพาตัวองเข้าสู่ ‘คฤหาสน์ที่น่าสะพรึงกลัว’ เป็นหนที่สอง
“คุณพลประภัทร คุณมันเป็นเจ้าหนี้ที่เผด็จการมากที่สุด ทำไมจะต้องให้ฉันไปถ่ายโฆษณากับหมอนั่นด้วย” ...นายอลัน...นายเป็นญาติฝ่ายไหนของคุณพลประภัทร... แล้วเธอจะรู้หรือเปล่า...ว่าความจริงแล้วสองคนนี้เป็นคนๆ เดียวกัน “คงถึงเวลาที่ฉันจะเริ่มคิดดอกเบี้ยเธอแล้วนะสาวน้อย” “ฉันเกลียดคุณ เกลียดที่สุด คุณมันไม่เป็นสุภาพบุรุษ ออกไปจากตัวฉันเดี๋ยวนี้นะ!” อลันรู้สึกเจ็บแสบขึ้นมาทันที และรู้สึกโมโหคนใต้ร่างมากขึ้น จึงใช้กำลังข่มเหงรุกรานหญิงสาวอีกครั้ง เขาบดขยี้เรียวปากอิ่มสีกุลาบอย่างไม่ปรานี... แล้วเมื่อความจริงปรากฏ สมองของดุจดาวก็พร่าเลือนไปหมด แต่ไฟปรารถนาที่กำลังลุกโชนท่วมร่างแกร่งกำยำของเขา มันกำลังพร้อมที่จะแผดเผาร่างของเธอให้หลอมละลาย อะไรก็หยุดเขาไม่ได้! “คุณพลประภัทร อย่าทำอะไรฉันเลยนะ ฉันกลัว” “ผมกำลังจะมอบความสุขให้กับคุณ จะกลัวทำไม” แต่คุณกำลังจะข่มขืนฉันอยู่นะ” คนไม่มีทางสู้เริ่มขึ้นเสียง “ผมไม่ได้ข่มขืนคุณสักหน่อย เขาเรียกว่าเรียกร้องสิทธิ์ต่างหาก อย่าลืมสิว่าคุณเป็นลูกหนี้ผม และคุณทำผิดสัญญา คุณก็ต้องชดใช้”
วิญญาณแพทย์นิติเวชที่มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 21 ได้เข้ามาอยู่ในร่างคุณหนูของจวนเสนาบดีอย่างบังเอิญ ผู้คนกล่าวหาว่านางไม่เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และทำให้บุตรชายของแม่ทัพตาย ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้ต้องการฆ่านางเพื่อให้คำอธิบายกับแม่ทัพ! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนหยิ่งยโสและเจ้ากี้เจ้าการ ทุกคนเกลียดนาง และครอบครัวของนางต้องการไล่นางออก! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนเลวทรามและไร้ความปรานี วางยาน้องสาว และพ่อของนางต้องการโบยนางจนตาย! ในความเป็นจริงหากอยากจะกล่าวหาผู้ใดสักคน มันก็หาข้ออ้างได้ทั่ว แต่นางเป็นคนไม่ยอมใคร นางผอมบางนางหนึ่งปลุกปั่นโลกด้วยความสามารถอันทรงพลังตนเอง ท่านอ๋องกล่าวว่า หากได้เจ้ามาครอบครอง ข้ายอมทรยศทุกคนในโลก นางกล่าวว่า เพื่อท่าน ต่อให้ทุกคนในโลกเกลียดข้า ข้าก็ยอม
ตายด้วยเงื้อมมือของเพื่อนร่วมสาขา เนเน่ เนตรนภา จึงทะลุมิติมาอยู่ในร่างเด็กน้อยวัยสิบหนาวที่ป่วยตาย นามเซี่ยซูเหยา มีบิดา พี่สาว พี่ชายที่เป็นห่วงนางมากกว่าสิ่งใด
เกิดใหม่ในชาตินี้ นางแค่ต้องการอยู่อย่างสงบสุขปกป้องครอบครัวจากเรื่องร้ายที่จะเกิดขึ้น นางไม่อยากตกอยู่ในบ่วงรักอันทำให้ครอบครัวต้องพบกับวิบัติอีกต่อไปแล้ว... คำเตือน นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรักโรแมนติก ดราม่า มีฉากความรุนแรง ฉาก NC และมีฉากเศร้าสะเทือนใจ โปรดพิจารณาก่อนดาวโหลดนะคะ กราบขอบพระคุณค่ะ
“ผู้หญิงคนนี้เป็นของมาร์โก ใครก็ห้ามมายุ่งอีกเด็ดขาด” เขาประกาศให้รับรู้ทั่วกัน แต่ถามว่าผู้หญิงของเขาตอนนี้มีสีหน้ายังไง ถามได้! เธอยังช็อกไม่หายปล่อยให้เขาจับจูงเข้าไปในห้องจนเหตุการณ์สงบแล้วเธอก็ยังไม่รู้ตัวเหมือนเดิม! พระเจ้านี่มันเรื่องบ้าอะไร! เธอกลายเป็นผู้หญิงของมาเฟียได้ยังไง เรื่องชักจะวุ่นวายเกินไปแล้ว เธอตามไม่ทันจริง... ตั้งสติไว้ยัยแอน เธอต้องตั้งสติ ตั้งสติบ้าอะไร เขาก็ประกาศอยู่ว่าเธอเป็นของเขา ไม่ ๆ ไม่ใช่ พวกเราแค่นอนด้วยกันคืนเดียว ยังไงก็แค่เรื่องเข้าใจผิด ยังไงเขาก็คงคิดจะขู่เล่น ๆ โธ่เอ้ยยัยโง่ เขาประกาศขนาดนั้น ลองไปสิเธอได้ถูกผูกติดกับเตียงแน่ ชาตินี้อย่าหวังจะไปไหนได้เลย เธอลืมไปแล้วหรือไงว่าคนนั้นคือมาเฟียมาร์โก มาเฟียที่มีอิทธิพลสุดในเมืองนี้! เธอจะบ้าตายเพราะเถียงกับตัวเองนี่แหละ แถมยังต้องมานั่งเสียใจที่มาเจอคนที่น่ากลัวที่สุดในเมือง พระเจ้าแกล้งเธอเกินไปแล้ว แบบนี้เธอจะทำยังไงดี!!
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
เพียงดื่มน้ำชาจอกแรกที่ผู้เป็นมารดาเลี้ยงมอบให้ซุนฮวาก็กลายเป็นสตรีร้ายกาจ ปีนขึ้นเตียงท่านอ๋องผู้เป็นคู่หมายของน้องสาวจำใจกล้ำกลืนสถานะพระชายาตัวแทนเป็นเพียงเงาของผู้อื่นในสายตาของสวามี