ผมไม่ได้ไปคลับเป็นครั้งแรก แต่ผมเจอกับเขาเป็นครั้งแรก เขาหล่อ... แต่สภาพเหมือนคนใกล้ตาย และผมก็เมา แต่มั่นใจว่าสติสัมปชัญญะยังครบถ้วน ผมช่วยพยุงเขา ทว่าเขากลับกระซิบบอกว่า... “ขอวางไข่หน่อย” วะ...วางไข่อะไรวะ!?
ไนท์คลับใต้ดินคือแหล่งซ่องสุมอบายมุขชั้นเลิศกลางมหานครนิวยอร์กของบรรดาหนุ่มสาวไฮโซ โดยเฉพาะพวกลูกหลานคนมีตังค์เพราะที่นี่ต้อนรับแต่ลูกค้ากระเป๋าหนักและสมาชิกวีไอพีที่มีปัญญาจะจ่ายเงินแลกกับความสนุกสุดเหวี่ยงเท่านั้น แน่นอนว่านักศึกษาปริญญาโทกระเป๋าแห้งอย่างผมไม่มีทางได้เข้าไปในไนท์คลับพวกนี้แน่ถ้าหากว่าผู้หญิงที่ผมกำลังคั่วอยู่ด้วยไม่ได้เป็นหนึ่งในสมาชิกของที่นี่
ผมลงจากแท็กซี่ มาหยุดยืนอยู่หน้าทางเข้าไนท์คลับสุดหรูที่มีการ์ดร่างยักษ์หลายคนเฝ้าอยู่ มือสอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ล้วงโทรศัพท์ออกมาโทรหาเอมิเลียให้ออกมารับ ยืนรอได้ไม่นาน สาวผมบลอนด์ในชุดเดรสสีดำก็พาเรือนร่างอวบอัดออกมาให้เห็น เธอตรงเข้ามากระโดดกอดผมทันทีพร้อมกับหอมแก้มอีกฟอดใหญ่
“คิดถึงจังเลยเควิน นึกว่านายจะไม่ยอมมาหาฉันซะแล้ว เห็นชวนทีไรก็บ่ายเบี่ยงตลอด”
เควิน คือชื่อภาษาอังกฤษที่เพื่อนฝรั่งเรียกกัน จริงๆ แล้วผมชื่อ กวินทร์ ฟังดูก็รู้เลยว่าเป็นคนไทย และที่ผมมาโผล่หัวอยู่ในเมืองฝรั่งแบบนี้ก็เพราะผมมาเรียนต่อปริญญาโทในคณะนิเทศศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก แต่การมาเรียนอย่างเดียวมันทำให้ผมเครียดจนแทบเป็นบ้า ดังนั้นเป้าหมายในการมานิวยอร์กของผมจึงเปลี่ยนไปตั้งแต่เดือนแรกที่มา มันไม่ได้มีแค่การเรียนอย่างเดียว แต่ยังมีปาร์ตี้จัดหนักและคั่วหญิงไม่เลือกหน้าอีกด้วย ความจริงแล้วผมก็ทำแบบนี้มาตั้งแต่อยู่ไทย ทว่าพอมาเจอเพื่อนสนิทชาวจีนอพยพที่เป็นคอปาร์ตี้เหมือนกัน ชีวิตประจำวันเหมือนตอนอยู่เมืองไทยก็หวนกลับมาอีกครั้ง
“บอกแล้วนี่ว่าฉันติดทำโปรเจ็กต์ก่อนปิดเทอมกับเพื่อน ไม่เข้าใจหรือไง” ผมถามเสียงหวาน แต่กลับทำให้เอมิเลียยิ้มแห้งขึ้นมา
เธอรู้ดีว่าผมเป็นพวกไม่แคร์ใครนัก ถ้าหากอยากควงผมนานๆ ก็ต้องยอมผม เพราะไม่อย่างนั้น ผมก็พร้อมจะสลัดเธอทิ้งแล้วไปคั่วกับคนใหม่ทันที ซึ่งแน่นอนว่าเธอไม่อยากเสียผมไปแน่
แล้วก็จริงอยู่ที่ผมเป็นคนเอเชีย ซึ่งดูยังไงก็ไม่น่าจะใช่สเป็กของสาวฝรั่งเท่าไหร่ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผมถึงฮ็อตในหมู่พวกเธอนัก อาจเป็นเพราะผมมีรูปร่างสูงไม่แพ้ชาวตะวันตก ทว่ามีใบหน้าอ่อนหวานและคมเข้มในขณะเดียวกันด้วยก็ได้มั้ง ถึงทำให้พวกเธอติดผมกันงอมแงมขนาดนี้ ผมก็ไม่แน่ใจนักว่าตัวเองเรียกได้ว่าเป็นคนหน้าตาดีหรือเปล่า แต่คืนไหนที่ออกท่องราตรี ผมไม่เคยพลาดที่จะได้เหยื่อกลับมากินเลยแม้แต่ครั้งเดียว เคยได้ยินพวกเธอพูดบ่อยๆ เหมือนกันว่าที่สนใจผมเพราะผมมีเสน่ห์และเซ็กแอพพึลสูง
ผมไม่รู้หรอกมันเป็นยังไง ที่รู้ๆ คือไม่เพียงแต่พวกผู้หญิงฝรั่งเท่านั้นที่สนใจผม บางครั้งก็มีพวกผู้ชายด้วยที่มาเสนอตัวให้ผม ไม่สิ... เรียกว่ามาขอให้ผมเสนอตัวให้จะดีกว่า เพราะพวกนั้นคิดว่าผมเป็นโฮโมฯ จะเข้าใจผิดก็ไม่แปลกแหละ เพราะถึงผมจะมีความสูงเกือบถึงร้อยแปดสิบเซนติเมตร แต่ก็มีรูปร่างผอมบางแม้จะมีกล้ามเนื้อแน่นไปทุกส่วน ประกอบกับการที่ผมชอบแต่งตัวจัด สำหรับคนที่แต่งตัวธรรมดา มองยังไงก็เป็นโฮโมฯ
ถึงจะเป็นอย่างนั้น ผมก็ไม่เคยอยากจะลองมีอะไรกับผู้ชายด้วยกันหรอกนะ แน่ล่ะว่าผมปฏิเสธไปทุกราย
“เข้าใจสิ แค่นี้ต้องดุด้วยเหรอ” เอมิเลียว่ากระเง้ากระงอดพลางเบียดหน้าอกอิ่มเข้ามาที่แขนผม
“ไม่ได้ดุ เสียงฉันฟังดูเหมือนดุตรงไหน” ผมเหลือบมองเธอ ยิ้มให้แล้วถามต่อ “แล้วนี่จะเข้าไปกันได้หรือยัง”
เอมิเลียนึกขึ้นได้ในตอนนี้เองว่าผมยืนอยู่ตรงนี้นานเกินไปแล้ว ก่อนเธอจะเข้าไปกระซิบบอกการ์ดว่าผมเป็นเพื่อน แล้วก็พาผมเข้ามาข้างในโดยสะดวกโยธิน
เสียงเพลงอิเล็กทรอนิกส์และเสียงหัวเราะร่วนดังลอดออกมาจากประตูทางเข้าเรียกให้เลือดในกายผมแล่นพล่าน อยากจะเอ็นจอยเต็มแก่ เอมิเลียพาผมเข้ากลุ่มเพื่อนสาวของเธอที่นั่งเล่นโป๊กเกอร์ดวดวอดก้าอยู่ยังโซฟามุมห้อง เธอแนะนำผมให้เพื่อนๆ รู้จักพอเป็นพิธี ก่อนที่พวกเพื่อนๆ ของเธอจะร้องเสียงขรมด้วยเคยได้ยินกิตติศัพท์ของผมดี
“นี่น่ะเหรอเควินเสือผู้หญิง หล่อสมคำร่ำลือจริงๆ แฮะ” ไวโอเล็ต หนึ่งในเพื่อนของเอมิเลียทักขึ้น ผมจึงหันไปหยักยิ้มให้เธอเล็กน้อย
“ถ้าไม่ติดว่านายมากับเพื่อนฉันล่ะก็ ฉันจะชวนนายเข้าห้องน้ำแบบไม่คิดเลย” เธอว่าขึ้นมาอีก ผมรู้ดีว่าการชวนเข้าห้องน้ำนั้นคืออะไร แน่ล่ะ มันคือการพากันไปฟาดแบบอาหารจานด่วนนั่นเอง
“อย่าแม้แต่จะคิดเชียว คนนี้ของฉัน” เอมิเลียว่าเสียงแข็งเมื่อได้ยินเพื่อนสาวพูดอย่างนั้น เรียกเสียงหัวเราะของคนทั้งกลุ่มให้ดังขึ้น
“ก็แค่พูดเล่นน่า คิดมากไปได้ มาเล่นโป๊กเกอร์กันต่อเถอะ กำลังได้ที่เลย” ไวโอเล็ตรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่เพื่อนเธอจะคว้าขวดวอดก้ามาฟาดหัวเธอจริงๆ “นายก็เล่นด้วยสิเควิน สนุกนะ”
ผมตกปากรับคำทันที และแน่นอนว่าสาวๆ พวกนี้รวมหัวกันโกงให้ผมแพ้เพื่อจะมอมเหล้า ผมรู้แต่ผมก็ยอมเพราะกระหายแอลกอฮอล์มาเป็นอาทิตย์แล้ว ทว่าการมอมเหล้าผมไม่ได้ง่ายอย่างที่พวกเธอคิดนัก ก็ผมน่ะคอแข็งจะตาย ยิ่งดื่มเยอะ เลือดนักสังสรรค์ในกายก็ยิ่งสูงขึ้นจนผมเริ่มจนผมกลายเป็นตัวสร้างสีสันให้กลุ่ม และนั่นก็ทำให้เอมิเลียออกอาการหวงผมมากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว พยายามนัวเนียตลอดเวลาจนผมอดใจไม่ไหว กอดรัดฟัดเหวี่ยงเธอต่อหน้าเพื่อนๆ ไปหลายรอบ หากแต่พอเกือบจะเข้าด้ายเข้าเข็ม เอมิเลียก็ดันเมาหลับไปเสียก่อน ผมจึงเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นเพื่อนในกลุ่มของเธอแทน
อย่างที่บอกว่าผมไม่แคร์ ถ้าใครตอบสนองผมไม่ได้ ผมก็พร้อมที่จะหาคนใหม่มาแทนทันที และใครคนนั้นก็คือไวโอเล็ตที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เธอส่งสายตาหยาดเยิ้มมาให้ผมอยู่นานแล้ว ทำไมผมจะไม่รู้ว่าสายตานั่นเป็นการเชิญชวน
ผมไล่สายตามองรูปร่างใต้ชุดเดรสสีแดงสดของเธอพลางเลียริมฝีปากยั่ว ไวโอเล็ตหัวเราะเบาๆ ยื่นเท้ามาลูบขาผมที่ใต้โต๊ะเป็นสัญญาณให้ผมเตรียมพร้อม ไม่นานนัก เธอก็ลุกขึ้นจากโต๊ะทันทีที่เพื่อนๆ ของเธอเมาคอพับคออ่อน ผมเองก็กำลังเมาได้ที่ แต่พอเห็นโอกาสงามอย่างนั้น ผมก็เลือกที่จะคว้าไว้ ทิ้งจังหวะนิดหน่อยก่อนจะลุกตามไป
พอเลี้ยวมายังหัวมุมทางเข้าห้องน้ำ มือบางของไวโอเล็ตที่ดักรออยู่แล้วก็โอบลำคอผมไปจูบอย่างดูดดื่ม ผมสอดมือเข้าไปใต้กระโปรงเธอ กะว่าจะจัดการให้เสร็จตรงนี้ ทว่าเธอก็คว้ามือผมเอาไว้ก่อน
“ตรงนี้ไม่ได้ เดี๋ยวมีคนมาเห็น” ว่าจบก็ลากผมไปยังประตูหลังไนท์คลับซึ่งเป็นตรอกแคบๆ ไร้ผู้คน มีเพียงแสงไฟสลัวจากหลอดไฟเก่าๆ เท่านั้นที่ส่องมาพอให้มองเห็นบ้าง
มันจะน่าพิศสมัยมากถ้าหากไม่มีถังขยะใบใหญ่ตั้งตระหง่านส่งกลิ่นคลื่นเหียนอยู่ แต่ในเวลาอย่างนี้ อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการซุกไซ้ร่างอวบอั๋นตรงหน้าแล้ว ผมดันเธอไปชิดผนัง จัดการบรรเลงตามสัญชาตญาณดิบจนทุกอย่างเข้าที่ ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงยีนส์ด้านหลัง ล้วงเอาซองพลาสติกทรงสี่เหลี่ยมจัสตุรัสออกมาแล้วฉีกมันออก
ไวโอเล็ตมองยางสีขาวขุ่นทรงยาวแล้วก็หัวเราะออกมา
“เตรียมพร้อมดีจังนะ”
“รักสนุกก็ต้องรู้จักเซฟ” ผมบอก พลันส่งให้ไวโอเล็ตถือมันไว้ เลื่อนมือไปปลดเข็มขัด แต่ก็ต้องส่งเสียงจึ๊ปากอย่างขัดใจเมื่อโทรศัพท์มือถือของไวโอเล็ตที่เหน็บอยู่ในร่องอกเธอดังขึ้นมา
เธอยกมือขึ้นจุปากเป็นสัญญาณให้ผมเงียบก่อนกดรับ ผมถอนหายใจออกมาเต็มแรง พร้อมกับไฟราคะเมื่อครู่ที่มอดลงที่รู้ว่าคู่สนทนาของเธอคือแฟนหนุ่มที่โทรมาตามกลับบ้าน
“เดี๋ยวฉันก็กลับแล้ว อีกสักชั่วโมงสองชั่วโมง อะไรนะ มารออยู่ข้างหน้าแล้ว!? โอเคได้ เดี๋ยวฉันออกไป”
พอวางสาย เธอก็หันมายิ้มแหยให้ผม ผมถอนหายใจออกมาอีกครั้งเมื่อรู้ว่าสังเวียนครั้งนี้ถึงเวลาล่มไม่เป็นท่า
“ขอโทษนะเควิน ไว้ครั้งหน้าฉันจะแก้ตัวให้นะ” ว่าพลางส่งถุงยางอนามัยในมือคืนให้ผม
“ไปเถอะ เธอกับฉันคงไม่มีครั้งหน้าแล้ว” ผมตัดบทอย่างไร้เยื่อใย บอกตรงๆ ว่าโคตรจะอารมณ์เสียเลย
ไวโอเล็ตทำท่าจะพูดอะไร แต่ผมไม่สนใจ คว้าบุหรี่ขึ้นมาสูบ ทำให้เธอตัดใจแล้วหายเข้าไปด้านใน ทิ้งให้ผมยืนหัวเสียตามลำพังอยู่พักใหญ่
“บ้าฉิบ” ผมสบถเบาๆ อารมณ์อยากจะสนุกหายวับไปกับตา
ช่วยไม่ได้ สงสัยวันนี้จะไม่ใช่วันของผมแล้วล่ะ กลับห้องนอนเลยก็แล้วกัน
ผมโยนก้นบุหรี่ทิ้งลงพื้น ใช้เท้าขยี้มันจนดับ แล้วกำซองถุงยางอนามัยไปทิ้งที่ถังขยะ หากแต่ก็ต้องชะงักเมื่อสายตามองเห็นเงาตะคุ่มของใครบางคนกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ข้างๆ ถังขยะใบนั้นในอีกฝั่ง
ผมคิดในใจว่าหมอนี่ต้องรู้แน่ว่าเมื่อกี้ผมทำอะไร เพราะถึงจะไม่เห็นแต่ก็ได้ยินเสียงอยู่ดี ทว่าพอเห็นสภาพทรงตัวไม่ได้แล้ว ผมก็โล่งใจ สงสัยหมอนี่คงจะเมาไม่รู้เรื่องอะไรแล้วมั้ง
ผมโยนของในมือทิ้ง สายตาก็ยังจับจ้องที่ร่างใหญ่ ที่มองไม่วางตาอย่างนี้ก็เพราะเสื้อผ้าที่หมอนี่ใส่ดูประหลาดตาจนเกินกว่าจะคนปกติจะใส่ออกมาเดินตามท้องถนนได้ ก็ชุดที่ใส่น่ะ มันเป็นชุดบอดี้สูทรัดรูปสีเงินเมื่อม ดูเผินๆ เหมือนกับชุดของสป็อค มนุษย์ต่างดาวในภาพยนตร์เรื่องสตาร์ เทรค ไม่ผิดเพี้ยน ต่างกันก็แค่ตรงสีกับความเงาเท่านั้น ผมเกือบจะหลุดหัวเราะออกมาแล้วถ้าหากว่าจู่ๆ เจ้าตัวไม่เงยหน้าขึ้นมาให้ผมเห็นเสียก่อน
เมื่อมนุษย์เพศชายเกิดการวิวัฒนาการทางร่างกาย ผู้ชายกลุ่มหนึ่งจึงสามารถตั้งท้องได้ และเพราะความเมาชนิดหลุดโลกในคืนวันนั้น ‘นภัทร’ เดือนคณะสุดหล่อจึงตื่นขึ้นมาพร้อมกับความจริงว่าตัวเองจัดการรวบหัวรวบหางลากหลืบคณะอย่าง ‘สิงหา’ ไปมี one night stand เป็นที่เรียบร้อย เรื่องควรจะจบลงแค่นั้น แต่ไม่จบเมื่อชีวิตน้อยๆ ถือกำเนิดขึ้น นภัทรหายตัวไป กลับมาอีกครั้งพร้อมกับข่าวลือประหลาดๆ ก่อนสิงหาจะพบว่าต้นเหตุของข่าวลือคือเด็กหญิงตัวน้อยอย่าง ‘น้องณดา’ ที่สิงหาสงสัยเหลือเกินว่าจะเป็นลูกของเขา “ให้เรียกนายว่าพ่อไม่ได้หรอก น้องณดาไม่ได้ลูกของนาย” “งั้นเรียกป๊ะป๋าก็ได้” “ไม่ได้” “แด๊ดดี้” “นี่...พอเลย” “ดาดา” คำเรียกที่หลุดจากปากของเด็กหญิงตัวน้อยทำเอาคุณพ่อกำมะลอยิ้มหน้าบาน ปฏิบัติการทวงคืนความเป็นพ่อต้องมา ต่อให้นภัทรไม่ยอมรับ งั้นสิงหาก็ขอเข้าทางลูกสาวตัวจิ๋วก็แล้วกัน! รับผมเป็นพ่อของลูกเถอะนะครับ!
เพราะไปตีกับเกรียนคีย์บอร์ดที่บังอาจเอานิยายเธอมาวิจารณ์หยาบๆ คายๆ ว่างานเธอเชิดชูระบอบปิตาธิปไตย ตามมาด้วยการดูแคลนเหยียดหยามทางเพศสภาพอีกหลายอย่าง ทำเอา ‘อาคิรา’ นักเขียนนิยายประโลมโลกถึงกับเลือดเฟมินิสต์ในกายเดือดพล่าน กล้าดียังไงมากล่าวหาเธออย่างนี้ งานเธอถึงจะเป็นงานประโลมโลก แต่ใช่ว่าจะเชิดชูระบอบชายเป็นใหญ่สักหน่อย! ต้องตามไปตบตีจนกว่าจะชนะ เถียงแพ้รอบนั้น แต่คนไม่แพ้ ตามหาแอคเคาทน์ของคนที่ใช้นามแฝงว่า ‘เวนไตย’ ไปจนเจอเข้ากับตอจังเบ้อเร่อ โดยหารู้ไม่ว่าเวนไตยคนนี้ หาใช่ไอ้เวรตะไลที่ประนามหยามเหยียดแต่อย่างใดไม่ ทว่าเป็นบรรณาธิการหนุ่มผู้คว่ำหวอดในวงการวรรณกรรมสร้างสรรค์สังคมต่างหาก “ฉันจะทำให้ดูว่างานเขียนฉันมันไม่ได้เชิดชูระบอบชายเป็นใหญ่!” “งั้นก็ลองเขียนมาดู ผมอยากอ่านเหมือนกัน อยากรู้ว่านักเขียนอย่างคุณจะทำได้ดีสักกี่น้ำ” โดนท้าทายมาถึงกับปรี๊ด คอยดูเถอะ เธอจะเอารางวัลมาฟาดหน้าไอ้เวรตะไลนี่ให้ได้เลย!
“ฉันจะเป็นเมียของนายดินค่ะ” ไม่รู้ว่าส้มหล่นหรือโชคร้ายกันแน่ที่จู่ๆ คุณหนู ‘หยาดฟ้า’ ของตระกูลเศรษฐีเมืองกรุงก็มาถวายตัวยอมเป็นเมียของ ‘ไอ้ดิน’ อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเสียอย่างนั้น ไอ้ดินค่อนข้างจะงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก็จะไม่ให้งงได้อย่างไร เขาไม่รู้จักมัดจี่กับเจ้าหล่อนนี่ จู่ๆ ก็มาบอกว่าจะเป็นเมียเขา เป็นใครก็งงทั้งนั้นแหละ! ก่อนที่เขาจะได้รับรู้ว่าเหตุนี้เกิดขึ้นเพราะหยาดฟ้าถูกบิดาบังคับให้แต่งงาน เธอจึงหนีมาอยู่ที่บ้านพักตากอากาศในต่างจังหวัด และได้เจอกับกุลีหนุ่มที่นี่ ประจวบเหมาะกับที่บิดาของเธอโทรมาคาดคั้นให้เธอกลับไปแต่งงานพอดี เธอถึงได้ลั่นวาจานี้ออกมาให้บิดารู้ว่าเธอมีผู้ชายคนใหม่ที่ยินยอมพร้อมใจจะเป็น ‘เมีย’ ของเขาแล้ว หาใช่ผู้ชายที่บิดาจัดเตรียมมาให้ สำหรับไอ้ดิน นี่คงไม่ใช่ส้มหล่นหรอก เป็นคราวเคราะห์เสียมากกว่า เขาจึงรีบบอกปัดหัวขวิด “ไม่ล่ะครับคุณหนู ผมคงไม่อาจเอื้อมไปเด็ดดอกฟ้าหรอก ผมก็แค่กุลีใช้แรงงานไปวันๆ จะเอาเงินที่ไหนไปเลี้ยงให้คุณหนูอยู่ดีกินดีได้” “ไม่ต้องกินดีอยู่ดีก็ได้ แค่ให้ฉันอยู่ด้วยก็พอ” “ให้อยู่ด้วยก็ไม่ได้ครับ ก็คุณหนูน่ะเป็น...” “เป็นเมียนายดินไงล่ะ” เป็นที่ไหนกัน เขายังไม่ได้ซั่มเธอเลยสักกะยก! ไอ้ดินปวดขมับตุบๆ ขณะที่หยาดฟ้าเชื้อเชิญเขาเป็นการใหญ่ “แล้วนี่มัวรออะไรอยู่ รีบพาฉันเข้าบ้านสิ จะได้ทำอะไรอย่างที่ผัวเมียเขาทำกัน” เธอรู้หรือเปล่าว่าพูดถึงเรื่องอะไรอยู่น่ะ!? ไอ้ดินไม่แน่ใจนัก แต่แวบเดียวก็แน่ใจแล้ว เพราะจู่ๆ หญิงสาวก็ดึงคอเสื้อให้หน้าอกอิ่มล้นทะลักออกมา ไอ้ดินมองจ้องตาไม่กะพริบ ได้สติมาอีกครั้งก็ตอนที่สาวเจ้าเอ่ยปาก “มาสิพี่ดิน มาเอากัน ฟ้าพร้อมจะเป็นเมียพี่แล้ว” ดูพูดจาเข้า เรียกแทนตัวด้วยชื่อ แทนเขาว่าพี่ชวนให้เอ็นดูอีก! โอ๊ย! ไอ้ดินจะบ้าตาย! เห็นทีเขาคงหนีไม่พ้นการถูกยัดเยียดความเป็น ‘ผัว’ ด้วยฝีมือหยาดฟ้าแล้วล่ะ
เพราะอกหักจากคนที่แอบชอบมานาน ทำให้ ‘ภีม’ พาตัวเองไปในที่อโคจรเพื่อที่จะระบายความเศร้าเสียใจออกไปบ้าง หากทว่าในคืนนั้น เขากลับได้พบกับชายแปลกหน้าอย่าง ‘สุดเขต’ ที่บังเอิญเข้ามาพูดคุยด้วย ทั้งสองเกือบจะลงเอยกันด้วยความสัมพันธ์ข้ามคืน หรือที่เรียกกันว่า One night stand หากทว่าก็เกิดเรื่องวุ่นๆ เสียก่อน ก่อนที่ภีมจะพบว่าผู้ชายที่เขาได้เจอในคืนนั้น เป็นคนคนเดียวกับคนที่เขาแอบชอบตกหลุมรัก ให้ตาย! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! ขณะเดียวกัน ปฏิบัติการ ‘ลัก’ ความรักของภีมก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อสุดเขตไม่สามารถลืมความน่ารักของภีมลงได้เลย เขาต้องเอามาให้ได้ ทั้งตัวภีม และความรักของภีม จะเอามาให้ได้ทั้งหมดเลยคอยดู!
แม้ขึ้นชื่อว่าเป็นปีศาจ ทว่าปีศาจกวางอย่าง ‘ลู่ลู่’ กลับหาได้พิสมัยการระรานมนุษย์สักเท่าไรนัก สะอาดบริสุทธิ์เสียจนแทบจะลุแก่ตบะแล้ว ทว่า... ชีวิตของเขาก็หาได้สงบสุขอีกต่อไปเมื่อนักพรตปราบปีศาจอย่าง ‘เยี่ยนเฉิน’ หนีตายจากการถูกล่าเพราะดันไปต้มตุ๋นชาวบ้านวิ่งทะเล่อทะล่ามาสลบอยู่หน้าถ้ำ ถึงจะเป็นปีศาจแต่ก็หาได้ไร้น้ำใจนัก มอบไมตรีช่วยเหลืออย่างไม่เกี่ยงงอน หากแต่เยี่ยนเฉินกลับตอบแทนบุญคุณด้วยการทำให้ชีวิตของลู่ลู่แปดเปื้อนด้วยมลทิน บีบบังคับให้ปีศาจกวางน้อยรวมหัวในแผนต้มตุ๋นชาวบ้านเพื่อเอาคืน! นักพรตจอมกะล่อนผงาด ใช้ชีวิตอย่างสำราญ ขณะที่ปีศาจน้อยถูกจิกหัวใช้ให้ไประรานชาวบ้านไม่เว้นวัน อะไรไม่ว่า เยี่ยนฉินยังขยันลูบหางเล็กๆ ของเขาเสียเหลือเกิน ไม่รู้หรือไงว่าตรงนั้นน่ะ...มะ...มัน... ...ทำให้ตัวร้อนผะผ่าวนะ! ต้องมีสักวันที่พลั้งเผลอไปมากกว่านี้แน่ สวรรค์! ลู่ลู่ผู้นี้จะหลั่งน้ำตาเป็นสายโลหิตแล้ว!
หากผู้ใดเชื่อว่าทะเลทรายผืนนี้โหดร้าย ผู้นั้นย่อมเชื่อในสิ่งที่ผิด เพราะสิ่งที่โหดร้ายกว่าผืนทะเลทรายแห้งแล้ง คือกองกำลังโจรทะเลทรายของ 'อัลมิราน' ผู้นี้ต่างหาก โหดร้าย...ชั่วช้า...เลวสามานย์ ดูเหมือนจะเป็นคำสร้อยที่พ่วงท้ายชื่อของโจรหนุ่มนามเลื่องลือไปเสียแล้ว แต่เขาจะสนใจสิ่งใดกัน ในเมื่อเขาถูกตราหน้าว่าชั่ว เขาก็จะเป็นคนชั่วให้สมดั่งที่ถูกบีบคั้น เพียงเพื่อให้ได้อัญมณีแห่งสุลต่านมาครอบครอง เขาก็ไม่เกรงกลัวสิ่งใดแล้ว หากแต่หารู้ไม่ว่าสวรรค์จะนำพาให้เขาพบกับอัญมณีมีชีวิตแห่งทะเลทราย...'จามิล' นักระบำร่อนเร่ผู้มีเสน่ห์เย้ายวน เพียงได้ชมระบำทะเลทรายของจามิลแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หัวใจของอัลมิรานก็ถูกครอบครองไปสิ้น โดยหารู้ไม่ว่าตนกำลังก้าวเข้าสู่หุบเหวอเวจีแสนหวานที่จะฉุดคร่าชีวิตเขาไปเสียแล้ว...
"ทำไม นอนกับผมมันแย่ขนาดนั้นเลยหรอคุณถึงได้กลัวว่าผมจะทำอะไรคุณอีก ผมรุนแรงกับคุณหรือยังไง งั้นผมคงต้องรีบทำใหม่เพื่อแก้ตัว" "คุณหมอ!" เมรีญาหันไปจ้องหน้าชายหนุ่มอย่างเอาเรื่อง พร้อมกับตำหนิเขาในใจที่กล้าพูดเรื่องแบบนั้นออกมาอย่างหน้าไม่อาย "ว่าไง ตอบมาสิว่าผมทำให้คุณไม่ประทับใจหรอถึงต้องตั้งเงื่อนไขบ้าๆ นี้ขึ้นมา" เวทัสถามด้วยค วามโมโห ถ้าเป็นสองข้อแรกเขาพอเข้าใจและรับได้ แต่สำหรับข้อสามต่อให้เขารับปากเธอตอนนี้ในอนาคตเขารู้ตัวดีว่าคนอย่างเขาต้องผิดสัญญาแน่นอน เขาไม่มีทางห้ามใจตัวเองไม่ให้ยุ่งกับเธอได้! "ทำไมคุณมันเข้าใจอะไรยากแบบนี้ ฉันบอกแล้วไงคะว่าฉันไม่อยากนึกถึงเรื่องพวกนั้นอีก" หญิงสาวพยายามอธิบายกับชายหนุ่มด้วยเหตุผล แม้จะรู้ดีว่าคนข้างๆ เริ่มไม่มีเหตุผลกับเธอแล้ว "ผมไม่สัญญา" เวทัสตอบกลับทันทีพร้อมกับสต๊าทรถออกจากโรงแรมด้วยความไม่พอใจ
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
ในสายตาของเขา เธอเป็นคนขี้โกหก ในสายตาของเธอ เขาเป็นคนไร้หัวใจ เดิมทีถังหว่านคิดว่าเธอคือคนพิเศษหลังจากอยู่กับเสิ่นติงหลานมาสองปี แต่สุดท้ายก็พบว่าตัวเองเป็นแค่ของเล่นที่สามารถทิ้งได้อย่างตามใจเมื่อไม่มีค่าอีกต่อไป จนกระทั่งถังหว่านเห็นว่าเสิ่นติงหลานพาคนรักของเขาไปตรวจครรภ์ เธอจึงยอมแพ้แล้ว เธอหยุดติดตามเขาอีก แต่จู่ๆ เขากลับไม่ยอมปล่อยเธอไป "ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน ทำไมคุณไม่ปล่อยฉันไปล่ะ?" ชายผู้เคยหยิ่งยะโสขนาดนั้น ตอนนี้ก้มหัวลงและขอร้องว่า "หวานหว่าน ฉันผิดไปแล้ว โปรดอย่าทิ้งฉันไป"
"นางเป็นบุตรีผู้สูงศักดิ์ของฮูหยินเอกของจวนเสนาบดี นางมีหน้าตาโดดเด่น ทั้งอ่อนโอนและมีน้ำใจไมตรีต่อผู้อื่น แต่... นางทำดีต่อป้าของนาง นางกลับฆ่าแม่ของนางตาย นางรักเอ็นดูน้องสาวของนาง แต่น้องสาวกลับแย่งสามีของนางไป นางคอยสนับสนุนและดูแลสามีของนางอย่างสุดหัวใจ แต่สามีกลับทำให้นางตายทั้งกลม...ตระกูลฝ่ายมารดาของนางก็ถูกประหารชีวิตทั้งตระกูลด้วย นางตายตาไม่หลับและสาบานว่าหากมีชาติหน้า นางจะไม่เมตาตาต่อใครอีก ใครก็ตาม กล้ามาทำร้ายข้า ข้าจะล้างแค้นด้วยชีวิตทั้งตระกูลของพวกเจ้า เมื่อเกิดใหม่อีกครั้ง นางอายุได้สิบสี่ปี นางสาบานว่าจะต้องเปลี่ยนชะตากรรมและแก้แค้นชาติก่อน ป้านางใจ้ร้าย นางจะใจร้ายกลับยิ่งกว่านาง นางคิดจะได้ครองตำแหน่งฮูหยินงั้นเหรอ บอกเลยไม่มีทาง! ส่วนน้องสาวชอบผู้ชายชั่ว ๆ นักไม่ใช่หรือ ได้!ข้าจะยกให้เลย ส่วนชายชั่วนั่น ข้าจะทำให้เจ้าไม่สามารถมีทายาทได้อีกตลอดทั้งชาติ!แต่ข้าจะแก้แค้น เหตุใดเจ้าต้องมาช่วยข้าด้วย?"
เสิ่นซือหนิงซ่อนตัวตนไว้ยอมทำทุกอย่างให้ แต่ความจริงใจของเธอกลับถูกสามีทำลายไปหมด และสิ่งที่เธอได้รับนั้นคือข้อตกลงการหย่า ด้วยความผิดหวังเธอจึงหันหลังจากไปและกลายเป็นตัวเองที่แท้จริงอีกครั้ง หลังจากได้เห็นความใกล้ชิดของสามีกับคนรักของเขา เธอก็จากไปด้วยความผิดหวัง จากนั้นเปิดเผยตัวตนที่เป็นนักปรุงน้ำหอมอัจฉริยะระดับนานาชาติ ผู้ก่อตั้งองค์กรข่าวกรองที่มีชื่อเสียง และผู้สืบทอดในโลกแฮ็กเกอร์ อดีตสามีของเธอเลยเสียใจมาก เมื่อเมิ่งซือเฉินรู้ว่าตัวเองทำผิด เขาก็เสียใจมาก หนิง ผมผิดไปแล้ว ให้โอกาสผมอีกครั้งเถอะ ทว่าฮั่วจิ่งชวนขาพิการนั้นกลับลุกขึ้นยืนและจับมือกับเธอว่า "อยากคบกับเธอ นายยังไม่มีค่าพอ"
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน