“อ๊ะ...อย่างเพิ่งดีใจไปค่ะคุณภีมะ โทษของคุณยังไม่หมดนะคะ นี่ก็เป็นเพียงบทลงโทษแรกที่คุณจะได้รับจากการหลอกลวงดิฉัน ที่ดิฉันก็ยังจำได้อีกว่าคุณได้ทำความผิดอะไรไว้บ้าง” โรสรินทร์ยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายสดชื่นแจ่มใสมากขึ้น “เอ๊ะ...หรือว่าแค่นี้คุณภีมะไม่กล้า ไม่เป็นไรค่ะดิฉันก็คิดเอาไว้อยู่แล้วเชียว” หญิงสาวพูดจาหมิ่นแคลน เธอยันกายลุกขึ้นจากตักชายหนุ่ม “ได้ครับได้ พี่ภีมจะทำทุกอย่างที่หนูโรสต้องการ” ภีมะรีบลุกเดินไปที่ชายหาด เพื่อทำตามที่หญิงสาวต้องการ “เดี๋ยวซิคะพี่ภีมขา” โรสรินทร์ร้องเรียกเสียงหวานเชื่อม “พี่ภีมนั่งลงก่อนซิคะ” ภีมะได้แต่ทำตามความต้องการของโรสรินทร์อย่างสงสัย ตกลงหญิงสาวโกรธเขาจริงๆ หรือว่ามีอะไรแอบแฝงอยู่ แต่ยังไงซะเขาก็มีความผิดจริงๆ นั่นแหละที่วางแผนการหลอกลวงเธอไป ยังไงก็ต้องยอมรับการลงทัณฑ์เพื่อที่หลังจากนี้เขาและหญิงสาวก็จะได้ครองคู่ครองรักกันอย่างมีความสุข โรสรินทร์ยิ้มกว้าง พลางขึ้นขี่หลังภีมะ “เอาล่ะทีนี้ก็ไปได้แล้วค่ะพี่ภีม” ระหว่างการเดินทางโรสรินทร์ไม่ยอมให้ภีมะอุ้มเฉยๆ เธอพยายามที่จะบั่นทอนกำลังเขาทุกทาง สองขากระดิกไปมาอย่างคนอยู่ไม่สุข มือเรียวไล้ไปตามใบหน้าลำคอและยังจะยื่นไปบีบจมูกเขาเสียอีก พอเขาทักท้วงเธอก็จะยกเรื่องที่เขาทำผิดไว้มาขู่ เมื่อถึงชายหาด ภีมะก็วางโรสรินทร์ลงและมองหน้าหญิงสาวอย่างออดอ้อน ก็เขาอายอายที่จะต้องมาทำอะไรเหมือนเด็กๆ อย่างที่เธอต้องการ “หนูโรสจะลงโทษพี่อย่างนี้จริงๆ หรือคะ”
ตอนที่ 1
ปัง!!
โรสรินทร์เดินลงส้นเท้าปังๆ ใบหน้าบูดบึ้ง ดวงตาเปล่งประกายวามวาวด้วยเพลิงโทสะ หายใจเข้าออกอย่างรุนแรงเพราะระงับอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ภายในอกไม่ได้ ด้วยในหูยังอื้ออึงจากคำพูดที่ได้ฟังจากป้านุ่มคนรับใช้เก่าแก่ของบ้านดังก้องหู
ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านยังพอทำใจได้ แต่ถึงขั้นย้ายไปอยู่ในห้องนอนของบิดามารดา แบบนี้มันหยามกันเกินไป ไอ้คนไร้มารยาทย่ำยีหัวใจกันมากเกินไป เธอรับไม่ได้!
โรสรินทร์เดินจ้ำอ้าว ชนิดไม่ดูไม่สนสิ่งใดเข้ามาไปในห้องทำงานของชายหนุ่มนามว่า ภีมะ ซึ่งอยู่ชั้นสองของอาคารใหญ่ที่ด้านล่างเป็นที่ตั้งของกาสิโน โดยไม่ฟังเสียงห้ามปรามของใคร แม้แต่พงศ์เทพ ทนายความที่เธอเคารพรักเหมือนกับบิดาคนที่สอง
“ไอ้เลวภีมะ” โรสรินทร์ร้องเรียกชายร่างสูงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าไม่ไกล เธอพุ่งปรี่ไปยกมือฟาดใบหน้าชายผู้ที่สร้างความโกรธเกรี้ยวเต็มๆ แรงถึงสองครั้งด้วยกัน
เพี๊ยะ!! เพี๊ยะ!!
ขนาดว่าตบไปเต็มแรงจนอีกฝ่ายหน้าหันแล้วนะ แต่โรสรินทร์ก็ยังไม่หายโมโห เธอก้มตัวลงไปดึงเอารองเท้ามาหวังใช้ตบหน้าภีมะให้สุดแรงอีกสักหลายๆ ครั้ง
เธอกลับบ้านด้วยความยินดี หากเมื่อมาถึงกลับได้ฟังถ้อยคำเป็นเชื้อเพลิงให้เจ็บปวดระคนเคียดแค้นจากคนรับใช้เก่าแก่ซะนี่
“คุณหนู...คุณหนูโรสของป้า ป้าคิดถึงคุณหนูที่สุดเลย คุณหนูจะกลับมาอยู่กับป้าแล้วใช่ไหมคะ”
น้ำตาไหลอาบใบหน้าหญิงชรา แขนอวบๆ โอบรอบร่างโรสรินทร์ที่กอดตอบกายป้อมๆ อย่างแสนจะคิดถึงเช่นกัน
“กลับมาอยู่บ้านเราแล้วใช่ไหมคะคุณหนู ป้าดีใจจังเลยที่คุณหนูกลับมา”
ป้านุ่มจูงมือโรสรินทร์พาเดินเข้าไปในบ้าน อีกมือก็ยกขึ้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้าด้วยความปลื้มปีติ ที่เห็นคนซึ่งนางเลี้ยงมาแต่เด็กทำในสิ่งที่ตัวเองปรารถนาสำเร็จ
“ป้ารู้ว่าถ้าบอกไปคงทำให้คุณหนูทุกข์ใจ แต่ถ้าไม่บอกก็เห็นว่าจะเป็นการไม่สมควร” ไม่ได้จะเล่าเรื่องร้อนให้โรสรินทร์ฟังตั้งแต่มาถึง แต่ถ้าไม่บอกในตอนนี้ ถ้าหญิงสาวรู้ในภายหลังจะยิ่งโกรธ จนใครก็เข้าหน้าไม่ติด
โรสรินทร์รู้สึกแปลกใจกับคำพูดของคนเก่าคนแก่ ที่เลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่เด็กๆ รักเธอดั่งเช่นลูกในอุทร
“มีอะไรคะป้า”
“ป้าจะเล่าให้ฟังยังไงดี...พอคุณหนูไปเรียนได้ไม่ถึงสามเดือนดี คุณภีมก็ขนย้ายข้าวของมาอยู่ในบ้านเราค่ะ”
“ป้าว่าอะไรนะคะ ใครย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านเรา” ถ้าเป็นคนอื่นย้ายเข้ามา ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่กับภีมะ...ก็เหมือนกับใครเอามือไปแหย่รังแตน เพียงรู้ว่าคนที่ไม่ชอบหน้าเข้ามาพำนักในบ้าน มันเหมือนถูกใครขยี้พริกใส่ มันร้อนรนอยากจะเอารองเท้าฝาดใบหน้าเฉยชาไม่ยินดียินร้ายให้ยับอย่างกับหมูถูกสับ
“นายภีมะค่ะคุณหนู” ป้านุ่มเปลี่ยนสรรพนามเรียกคนที่กล่าวถึงใหม่ เพื่อไม่ให้โรสรินทร์จับผิดได้ว่านางไม่ได้โกรธเกลียดภีมะ แต่กลับรู้สึกดีๆ กับชายหนุ่มผู้ที่กล้าต่อกรกับคุณหนูผู้เอาแต่ใจ
จากตอนแรกเธอมีความสุขที่ได้กลับบ้าน กลับแปรเปลี่ยนเป็นโมโหจนควันแทบออกหู หญิงสาวสะกดกลั้นน้ำเสียงที่ออกจากปากให้นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะป้า บ้านเราออกจะใหญ่ ห้องหับมีตั้งเยอะแยะ ห้องคนสวนก็ยังว่างอยู่ ให้คนไร้ที่พึ่ง ไร้บ้านมาอยู่ด้วยอีกคน ไม่เห็นจะแปลกอะไรเลยนี่คะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะซิคะคุณหนู คือนายภีม เขา...”
“มีอะไรอีกคะป้า” ท่าทางกล้าๆ กลัวๆ การพูดการจ้าก็อ้ำอึ้งของคนรับใช้เก่าแก่ทำให้หัวคิ้วโรสรินทร์ขมวดเข้าหากัน
“คือ...นายภีมเขาพักอยู่ห้องคุณพ่อคุณหนูนะคะ”
“อะไรนะคะ ป้าว่าอะไรนะ” โรสรินทร์แผดเสียงถาม
“นายภีมพักอยู่ห้องของคุณพ่อคุณหนูค่ะ”
“อะไรนะ...ป้าว่าไอ้บ้านั่นอยู่ห้องไหนนะคะ” โรสรินทร์ถามย้ำเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่ได้ยินมาไม่มีอะไรผิดพลาด
“ป้าบอกหนูโรสใหม่อีกครั้งได้ไหมคะว่า ไอ้บ้านั่นย้ายเข้าไปอยู่ห้องไหน”
การที่ภีมะย้ายข้าวของมาอยู่ในบ้าน เธอพอจะเดาออกนานแล้ว เพราะบิดาเป็นปลื้ม...กับอีตาหน้าเป็นจอมหยิ่งภีมะนานแล้ว ไม่แค่เอ่ยชม ยังจะเปรยๆ ว่าอยากได้มาเป็นลูกชายด้วยซ้ำ แต่เมื่อไม่ได้ ถ้าเป็นลูกเขยก็คงดี
โรสรินทร์กำหมัดจนปลายเล็บยาวและแหลมทิ่มแทงเข้าไปในเนื้อ เพราะรับไม่ไดและเจ็บใจที่มาช้าไป
“นายภีมะยังสั่งให้คุณทนายตามคุณหนูให้กลับมาบ้านด้วยค่ะ” ป้านุ่มฟ้องต่อ มือเหี่ยวจับแขนเรียวลูบไปมา เพื่อให้นายสาวคลายความร้อนใจที่มีลงบ้าง
“แล้วไอ้บ้านั่นมันยังทำอะไรอีกคะป้า” โรสรินทร์กัดฟันถาม ดวงตาวาวโรจน์
“สำหรับเรื่องอื่นป้าไม่รู้ค่ะ คุณหนูต้องไปถามคุณทนายเอง เพราะป้าเห็นนายภีมะเรียกคุณทนายมาคุย จนดึกจนดื่นเกือบทุกวันเลยค่ะ”
คำตอบของป้านุ่มยิ่งเติมความโกรธให้กับโรสรินทร์ที่ไม่รอฟังสิ่งใดอีกแล้ว หญิงสาววิ่งไปคว้ากุญแจรถคันโปรดที่บิดาซื้อให้เป็นของขวัญในวันรับปริญญาตรีขับออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อไปถึงบ้านพงศ์เทพทนายความประจำตระกูล ทำเอาเธอถึงกับลมจับ เมื่อได้ยินทนายความวัยชราพูดถึงเรื่องหนี้สินของบิดาที่มีกับภีมะ
“ขอโทษนะครับคุณหนู แต่คุณพ่อคุณหนูเป็นหนี้คุณภีมะอยู่หนึ่งร้อยห้าสิบล้านบาท และคุณพ่อของคุณหนูยังบอกให้คุณภีมะเป็นคนจัดการเรื่องราวในบ้านและเรื่องของธุรกิจที่ท่านเป็นเจ้าของทุกอย่างด้วยครับ”
“ไม่จริงใช่ไหมคะลุงพงศ์ ไอ้ภีมะบ้านั่นโกงพ่อของโรสใช่ไหมคะ”
โรสรินทร์ถามเสียงสั่น อย่างไม่รู้ว่าตกใจหรือโกรธคนที่ถูกกล่าวถึงกันแน่ หญิงสาวถึงกับเข่าอ่อนจนทรุดลงบนโซฟาอย่างหมดเรี่ยวแรง ใบหน้านวลแดงสลับซีด ดวงตากลมโตมองชายชราว่า สิ่งที่เธอได้ยินนั้นมันไม่ใช่ความจริง
“ไม่ใช่ครับ คุณพ่อคุณหนูติดการพนัน ถึงกับเอาหุ้นที่มีและธุรกิจทุกอย่างเป็นเดิมพัน ตอนแรกคุณภีมะก็ไม่อยากจะยุ่งด้วย แต่คงเห็นว่าถ้าไม่รับเอาไว้เอง คุณพ่อคุณหนูก็คงจะเอาไปขายให้กับคนอื่น ไม่แค่แพ้จนหมดเนื้อหมดตัว แต่ยังเป็นหนี้คุณภีมะอีกก้อนโต้ด้วยครับ” ทนายความวัยชราผมสีดอกเลาบอกกับลูกสาวเจ้านายเก่าที่เขารักเหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่งเสียงออกความกังวลใจ
“ไม่...ไม่จริง! พ่อไม่ใช่คนเล่นการพนัน จะต้องเป็นเพราะไอ้ภีมะบ้านั่น ใช่...ไอ้บ้าภีมะหลอกลวงพ่อ…โกงพ่อหนูโรสด้วย”
โรสรินทร์พูดอย่างเชื่อมั่นว่าสิ่งที่เธอคิดนั้นเป็นความจริง ภีมะจะต้องใช้เล่ห์กลโกงเอาชนะบิดาที่รู้ไม่เท่าทัน หญิงสาวกัดฟันกรอด
“หนูโรสหนูโรสจะเอาเรื่องไอ้บ้านั่นให้ถึงที่สุด จะเอาธุรกิจของพ่อที่โดนโกงกลับมาให้ได้”
“เดี๋ยวครับคุณหนูโรส” พงศ์เทพเรียกเอาไว้ก่อนโรสรินทร์จะผลีผลามวิ่งไปให้ภีมะเชือดเพราะคุมอารมณ์เอาไว้ไม่ได้
“มีอะไรอีกค่ะลุงพงศ์”
“คุณภีมะไม่เป็นแค่คนดูแลทรัพย์สินทุกอย่าง ท่านยังฝากฝังให้คุณภีมะจัดการเรื่องคนที่จะมาเป็นสามีคุณหนูด้วยครับ”
“อะไรนะคะ” โรสรินทร์แผดเสียงดังลั่น
“ไม่จริง...ลุงพงศ์โกหกหนูโรส” จากที่ตะเบงจนเจ็บคอ ตอนนี้เสียงที่ออกมากลับเป็นครางแผ่วๆ ในลำคอ
“เรื่องทุกอย่างเป็นฝีมือไอ้ภีมะบ้าคนเดียว ถ้าวันนี้หนูโรสไม่ได้เอาเลือดหัวมันออก หนูก็ไม่ใช่โรสรินทร์ รันตะบดินทร์แล้วละคะ” หญิงสาวเค้นเสียงพูดด้วยความคั่งแค้น เกลียดชังในตัวภีมะจนร้อนไปหมดทั้งทรวง แล้วถ้าไม่ได้ทำอะไรระบายความโกรธแค้นที่มีละก็...เธอไม่วันมีความสุขได้
เมื่อเพื่อนถามถึงสถานะ... "พวกแก...เชี่ย! แล้วไหมล่ะ อย่าบอกกูนะไอ้ลูกเต่า ที่มึงพูดไปวันนั้นเป็นเรื่องจริง มึงด้วยไอ้ยอด...มีผัวเป็นตัวเป็นตนกับเขาด้วยใช่ไหม" "ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยชี้แจงเรื่องของมึงสองตัวกับพี่สองคนให้กูฟังหน่อย...เร็ว ๆ อย่าชักช้าร่ำไร" "คนที่นั่งข้าง ๆ กูชื่อพี่คาย...กูอาศัยอยู่กับพี่เขาแล้วก็คอยดูแลซีโร่ให้" ศรวัณบอกสั้น ๆ เพราะยังไม่ค่อยกล้าบอกสถานะของตัวเอง เขากลัวเพื่อนจะรับไม่ได้ "ช่วยบอกสถานะให้กูรู้ด้วย...แค่แฟนหรือเป็นผัวมึง!"
ก็ไม่ได้คิดหรอกนะว่าวันหนึ่งจะพบเจอกับเรื่องแปลก ๆ แต่เมื่ออยู่แล้วไร้ความหมายไม่มีคนที่รักและรักเรา เขาจึงเลือกที่จะแลกทั้งที่ไม่ได้มั่นใจเลยว่าจะได้พบกับคนที่รักจริงหรือเปล่า แต่ก็ตัดสินใจเลือกไปแล้ว... “อาซวงเป็นของข้าใช่หรือไม่” ก็มิค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่และคิดว่ามิน่าจะมีอะไรมากมาย เก้าเทียนรุ่ยจึงพยักหน้ารับ “ขอรับ” “ถึงเราจะมิได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขเช่นที่ท่านมีกับสหายที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ นอนกลางดินกินกลางทรายมาด้วยกันมาอย่างชิงชวนหรือคนอื่น ๆ หากนับตั้งแต่ที่เราได้พบรวมถึงอยู่ด้วยกัน ข้าก็คิดว่าเราผ่านอะไรมามากมายพอที่จะทำให้ข้ารู้ถึงความรู้สึกที่ตนเองมีต่อท่าน” เก้าเทียนรุ่ยมองสบสายตาเสวียนลิ่วหลางที่มองเขาด้วยความงุนงง ในดวงตามีความสับสนระคนมิแน่ใจ คล้ายจะมีคำถามตามติดมาด้วย ทำให้เขาเผลอยิ้มหวานออกไป เสวียนลิ่วหลางได้แต่ยิ้มด้วยความเขินอาย “ข้าก็มิรู้ว่าจะวางตัวเช่นไรดี พึงพอใจอยากให้เจ้าอยู่ชิดใกล้...หากก็มิอยากบังคับหากเจ้ามิเต็มใจ” “แต่ก็มิอาจทำใจได้หากจะต้องปล่อยมือ” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยอย่างเข้าใจ “เมื่อยังต้องรอให้อาซวงรู้สึกเช่นเดียวกัน นอกจากข้าจะทำให้ผู้อื่นรับรู้แล้วว่าคนนี้...” เสวียนลิ่วหลางจับมือเก้าเทียนรุ่ยมาจูบขณะมองสบเข้าไปในดวงตากลมใสก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มหากเต็มไปด้วยความหนักแน่น “ข้าจอง” “ตะเกียบยังต้องอยู่เป็นคู่ถึงจะใช้กินอาหารได้ หยินก็ยังคู่หยางถึงจะสมดุล เมื่อข้าพบคนที่ใช่ เหตุใดถึงต้องปล่อยมือเล่า”
ความรักไม่ผิด...เรารักเขา เขาไม่รักเรา ก็ไม่ผิด แต่การรอคอยมันย่อมมีระยะเวลาสิ้นสุดลงเมื่อ...ใจเราไม่อาจรอรักจากเขาได้อีกแล้ว มันก็ถึงเวลา...สิ้นสุดยุติการรอคอที่เลื่อนลอยไร้จุดหมาย “นั่นสิคะ หนูดาวก็งงอยู่ ทำไมถึงหนีพี่เหนือไม่พ้นสักที ตั้งแต่หนูดาวตัดสินใจทำแบบนั้นลงไป พี่เหนือทำให้หนูดาวแปลกใจจนงงและสับสนไปหมด” “หือ” “ปกติพี่เหนือจะผลักไสให้หนูดาวไปไกล ๆ ชอบใช้สายตาแบบว่า...ฉันรำคาญเธอนะ เห็นหน้าเธอแล้วมันหงุดหงิดใจมาก จะไปเองดี ๆ หรือจะให้ฉันเตะโด่งเธอไป...ประมาณนี้นะคะ แต่พอหนูดาวเอาแหวนหมั้นไปคืน กลับต้องเจอกับพี่เหนือทุกวัน...และยังอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดทั้งวันเลยด้วย ขนาดคิดหนีมาทำงานที่นี่ สุดท้ายยังหนีพี่เหนือไม่พ้นเลยด้วย” “เราคงเป็นคู่เวรคู่กรรมกันละมั้ง ทำยังไงก็หนีกันไม่พ้น เสร็จงานที่นี่ เห็นทีพี่คงจะต้องจับมัดเราให้หนักกว่าเดิม” พันดาวมองแดนเหนืออย่างตื่นตะลึง เรียวปากสีชมพูอ้าค้าง “นี่พี่เหนือ...”
เพื่อน้องสาว เขาจึงหลอกลวงนำตัวเธอมา “คุณโกรธอะไรใครก็ไปเอาคืนกับคนนั้นสิ มายุ่งกับฉันทำไม ปล่อยฉันนะไอ้วายร้าย!” “เผอิญว่าฉันดันอยากได้เธอด้วยผิง ก็เธอมันขาวอวบยั่วยวนราคะใช่ย่อยนิ แค่จับลูบไล้หน่อยเดียวก็พร้อมจะร้อนเป็นไฟแล้ว” ชายหนุ่มลูบไล้ฝ่ามืออุ่นร้อนบนลำตัวกลมกลึง สะกิดเอากระดุมหลุดออกจากรางทีละเม็ดจนหมด จูบอุ่นร้อนทาบทับซุกไซ้ซอกคอขาวผ่อง “ฉันขอร้องนะคุณใหญ่...ถ้าฉันผิดจริง ฉันยอมให้คุณลงโทษได้ทุกอย่าง คุณจะย่ำยีลงทัณฑ์ฉันยังไงก็ได้ ฉันจะไม่ร้องขอความปราณีแม้แต่นิดเดียว จะไม่หนีอย่างที่ทำอยู่ทุกวัน จะไม่คิดไม่เคียดแค้นคุณเลย แต่ถ้าฉันไม่ผิด คุณปล่อยฉันไปนะ...ได้โปรด” “รู้อะไรไหมผิง...ไม่มีผู้ชายคนไหนโง่ยอมปล่อยให้ผู้หญิงสวย ๆ เซ็กซี่ แล้วก็ปลุกเร้าอารมณ์ได้อย่างกับน้ำมันราดลงไปกองไฟให้หลุดรอดมือไปหรอกนะ” แต่ใครจะรู้ล่ะ...ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น จะนำสิ่งใดมาสู่เขาบ้าง เรื่องหัวใจก็ยังต้องจัดการ เรื่องการงานก็ต้องตรวจสอบหาความจริง
กฎของหมู่บ้าน ทำให้สองศรีพี่น้องต้องเร่งหา...ผัว! ให้ได้ “ตัวสั่นเชียว กลัวหรือจ๊ะฟองจ๋า” “โถ...น่าสงสารจริง เมียของผัว” มือหนาลูบไล้ผิวเนื้อนวลนุ่มลื่นขณะเดียวกันก็เกี่ยวเอาชายเสื้อของหญิงสาวดึงมันออกไปจากกายสาวก่อนจะแนบฝ่ามือลงบนทรวงอกอวบใหญ่ เสียงหวานแหบพร่าดังออกมาจากกลีบปากเล็ก “ร้องได้เลยจ้ะฟองจ๋า ผัวอยากได้ยินเสียงหวาน ๆ ของฟองที่สุด” “โถ่...จะปิดทำไมละจ๊ะสร้อยจ๋า” แม่เจ้าโว้ย! ใหญ่ฉิบหายเลย ใหญ่จนเขาอยากเห็นใกล้ ๆ อยากได้ลิ้มลองรสชาติในตอนนี้เลย “เดี๋ยวเราสองคนจะไม่เพียงแค่ได้เห็นทุกซอก...ทุกมุมของสร้อยแล้ว เราสองคนจะทั้งจับ...ทั้งเลีย แล้วก็อัดกระแทกให้ร่องสวาทของสร้อยแทบพังไปเลยจ๊ะ” ตรวนสวาทนางไพร : ใครกันแน่ที่เป็นผู้ล่า ใครกันแน่ที่เป็นเหยื่อ แน่ใจหรือว่าแพรพลอยคือเหยื่อให้ห้าหนุ่มอย่างพวกเขาเสพสวาทอย่างเร่าร้อน “ไม่เอาอย่างนี้นะโรม...อย่าทำแพรเลยนะ” แพรพลอยร้องห้ามเสียงสั่นพร่าเมื่อรู้ว่าโรมรันจะทำอะไร ไหนจะหนุ่ม ๆ ทั้งสี่ที่ไร้อาภรณ์ปกปิด ทำให้เธอได้เห็นอาวุธของแต่ละคนที่มันช่าง...ใหญ่! ไหนจะคำพูดที่บอกก่อนหน้านี้ที่บอกว่า...จะอัดกระแทกเธอให้ยับ! ทำเอาเธอถึงกับกับหวาดหวั่นไม่ใช่น้อย ยิ่งตอนนี้ทุกคนได้มายืนล้อมรอบเธอแล้วด้วย “พี่ได้ยินไม่ผิดใช่ไหมจ๊ะ...ที่น้องแพรบอกว่าอย่าช้า ให้พวกเรารีบเอาน้องแพรเร็ว ๆ นะ”
เพียงแค่เห็นหน้า เขาก็ถูกใจแล้ว แม้เธอจะมีลูกติดมา เขาก็ไม่คิดที่จะปล่อย ยังคงตามเอาใจลูกสาวตัวน้อยและจีบเธออย่างไม่ลดละ “เย้ เย้ แม่เอาอีกหนุก หนุก เอาอีก เอาอีก” โซดาเริ่มลุยน้ำลงไปกอบทรายที่เปียกน้ำใส่ศีรษะอันนิโต้เรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด สิมิลันหัวเราะจนท้องแข็ง อันโตนิโอ้เอาคืนคนอารมณ์ดีด้วยการกอบทรายเปียกใส่ร่างบางบ้าง “ว้าย! เล่นอะไรนะคุณสกปรกจะตาย” “อ้าวที่คุณกับลูกทำผมล่ะ นี่แนะ” มือใหญ่ขยี้ผมบนศีรษะสิมิลัน โซดาเริ่มเอาอย่างสองมืออวบขยี้ผมบนศีรษะมารดาและศีรษะตัวเองจนยุ่งเหยิงและเปียกชื่น แล้วยืนหัวเราะเสียงใสแจ๋ว ดวงตาเป็นประกายสดใส ยิ้มจนเห็นฟันในปากแทบทุกซี่ “ไม่เลิกใช่ไหมคุณเอ โซดารุมพ่อเอเลยลูก” สองมือเล็กเรียวผลักร่างใหญ่ลงนอนบนพื้นทราย พร้อมกอบทรายเปียกชื้นละเลงบนกายแข็งแกร่ง สองแรงแข็งขันสองมือรุมกอบทรายละเลงบนกายหนาใหญ่จนเปียกชื้น ยังไม่พอสองนิ้วเล็กๆ จี้ไปเอวหนาจนชายหนุ่มหัวเราะท้องแข็ง โซดาเองก็เอาอย่างคนเป็นแม่ มือใหญ่ทั้งห้านิ้วจี้เอวแข็งแกร่ง อันโตนิโอ้ก็ไม่ยอมแพ้ มือใหญ่จี้เอวสองแม่ลูกกลับบ้าง เสียงหัวเราะของสองผู้ใหญ่หนึ่งเด็กดังลั่นหาดทรายสีขาว
ทะลุมิติมาในนิยายยุค 80 ว่ายากลำบากแล้วเธอยังต้องมาเลี้ยงลูกแฝดและวางแผนหนีชะตาชีวิตที่นักเขียนระบุให้ตายอย่างทรมานภายใต้เงื้อมมือของพ่อตัวร้ายอีก สวรรค์!ยังจะมีตัวละครทะลุมิติใดบัดซบเท่าเธออีกหรือไม่
เมื่อสองปีที่แล้ว เพื่อช่วยคนรักในใจ พระเอกถูกบังคับให้แต่งงานกับนางเอก ในใจของเขา เธอเป็นคนน่ารังเกียจและแย่งคนรักของคนอื่น เขาเลยเย็นชาต่อเธอมาตลอด แต่กลับอ่อนโยนและเอาใจใส่กับคนรักในใจถึงเป็นเช่นนี้ เธอยังคงรักเขาอย่างเงียบ ๆ เป็นเวลาสิบปี ต่อมาตอนที่เธอรู้สึกเหนื่อยและอยากจะท้อแท้นั้น เขากลับตื่นตระหนก... เมื่อเธอกำลังจะตายขณะตั้งท้องลูกของเขา ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่าผู้หญิงที่เขายอมเอาชีวิตตัวเองไปแลกนั้นก็คือเธอโดยตลอด
หลิวชิวเยว่จบชีวิตจากชาติภพปัจจุบัน เมื่อฟื้นขึ้นมาก็อยู่ในร่างของหญิงอ้วน ชื่อเดียวกับตัวเอง อีกทั้งตัวเธออยู่ในเกี้ยวเจ้าสาวกำลังจะไปแต่งงานกับแม่ทัพเสิ่นมู่ฉือ แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นชิงเป่ย จากซีอีโอสาวแสนสวย ผู้ทระนงตนว่า ฉันสวย รวยและเริ่ดในปฐพี ต้องกลายมาเป็นหญิงอ้วน น้ำหนักร่วมสองร้อยจิน (100กิโลกรัม) แถมด้วยฉายา สตรีกาลกิณี ! แล้วข่าวลือที่ว่าแม่ทัพหนุ่มสามีของเธอ เป็นพวกชอบตัดแขนเสื้อ (ชอบผู้ชาย) นั้นเป็นจริงหรือไม่...จำต้องพิสูจน์ให้กระจ่าง! ทว่า... ยามจันทร์เต็มดวง หลิวชิวเยว่กลับค้นพบความลับของสามี เมื่อเขากลายร่างเป็น หมีแพนด้า ! หลิวชิวเยว่จะใช้ชีวิตในยุคจีนโบราณอย่างไรให้แฮปปี้ เมื่อต้องมีสามีเป็น หมีแพนด้าผู้คลั่งรัก !
เมื่อเซิ่งหนิงเตรียมจะบอกฮั่วหลิ่นเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของเธอ ทว่ากลับพบเขาช่วยพยุงผู้หญิงอีกคนลงจากรถอย่างเอาใจใส่... เคยคิดว่าตนเองอยู่เคียงข้างฮั่วหลิ่นคอยดูแลเขามาสามปี สักวันหนึ่งเขาจะมาสามารถสร้างความประทับใจให้กับเขา แต่สุดท้ายเป็นตนเองที่คิดเองเออเองไปฝ่ายเดียว เซิ่งหนิงตายใจแล้วจากไป สามปีต่อมา ข้างกายของเธมีผู้ชายอีกคนหนึ่ง และฮั่วหลิ่นเสียใจมาก เจาพูดด้วยความโศกเศร้า "เซิ่งหนิง เรามาแต่งงานกันเถอะ" เซิ่งหนิงยิ้มอย่างเฉยเมย "ขออภัยนะคุณฮั่ว ฉันมีคู่หมั้นแล้ว"
ในวันครบรอบแต่งงาน เหวินซือถูกเมียน้อยของสามีวางยาและไปมีอะไรกับคนแปลกหน้า เธอสูญเสียความบริสุทธิ์ไป แต่เมียน้อยคนนั้นกลับตั้งท้องลูกของสามี ภายใต้ความกดดันต่างๆ เหวินซื่อสูญรู้สึกสิ้นหวังและตัดสินใจหย่า แต่สามีของเธอกลับไม่แยแสโดยคิดว่าเธอกำลังเล่นลูกไม้อยู่ หลังจากการหย่ากัน เหวินซือกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงและมีผู้ชายนับไม่ถ้วนที่ตามจีบเธอ อดีตสามีไม่ยอมและขอคืนดีไปถึงที่ จากนั้นก็ว่า เธออยู่ในอ้อมแขนของคนใหญคนโตคนหนึ่ง และชายคนนั้นก็พูดอย่างสงบว่า "ดูให้ดี นี่คือพี่สะใภ้ของนาย"
วิญญาณแพทย์นิติเวชที่มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 21 ได้เข้ามาอยู่ในร่างคุณหนูของจวนเสนาบดีอย่างบังเอิญ ผู้คนกล่าวหาว่านางไม่เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และทำให้บุตรชายของแม่ทัพตาย ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้ต้องการฆ่านางเพื่อให้คำอธิบายกับแม่ทัพ! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนหยิ่งยโสและเจ้ากี้เจ้าการ ทุกคนเกลียดนาง และครอบครัวของนางต้องการไล่นางออก! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนเลวทรามและไร้ความปรานี วางยาน้องสาว และพ่อของนางต้องการโบยนางจนตาย! ในความเป็นจริงหากอยากจะกล่าวหาผู้ใดสักคน มันก็หาข้ออ้างได้ทั่ว แต่นางเป็นคนไม่ยอมใคร นางผอมบางนางหนึ่งปลุกปั่นโลกด้วยความสามารถอันทรงพลังตนเอง ท่านอ๋องกล่าวว่า หากได้เจ้ามาครอบครอง ข้ายอมทรยศทุกคนในโลก นางกล่าวว่า เพื่อท่าน ต่อให้ทุกคนในโลกเกลียดข้า ข้าก็ยอม