เมื่อตวนหวางผู้มีอาการเบื่อหน่ายต่อรสรักเดิมๆ ได้พบกับหงเหมยผู้ที่มาพร้อมกับระบำสามชุด 1. มองได้แต่สัมผัสไม่ได้ 2. สุภาพบุรุษใช้ปากไม่ใช้มือ 3. ร้อยคำมิสู้หนึ่งสัมผัส ระบำเร่าร้อนของหงเหมยจะเยียวยารักษาอาการนี้ของเขาได้หรือไม่ ยามที่เขาได้ลิ้มรสดอกเหมยดอกนี้ จะรู้สึกหวานปานใด
เสียงพิณกำลังบรรเลงอย่างครึกครื้น
ภายในโถงรับรองขนาดใหญ่ของวังตวนหวาง ยามนี้แสงไฟสว่างไสว มีชายหนุ่มนั่งชมการแสดงอยู่ที่โต๊ะเตี้ยที่ตั้งเรียงเป็นแถวสั้นขนาบสองด้าน เขาเหล่านี้ล้วนเป็นขุนนางรุ่นใหม่ที่ใกล้ชิดกับตวนหวาง
นางรำในชุดเสื้อกระโปรงสีฟ้าหวานเจ็ดคนกำลังกรีดกรายร่ายรำไปตามทำนองพิณและกลองอยู่ตรงกลางโถง แต่ละนางเกล้าผมสูงเผยให้เห็นลำคอเรียวระหง ทุกนางล้วนมีใบหน้างามสมส่วนที่ถูกแต่งเติมสีสันให้สะคราญยิ่งขึ้น เรือนร่างของพวกนางดึงดูดสายตาด้วยส่วนโค้งส่วนเว้าชัดเจน อาภรณ์ที่สวมใส่บางเบาจนเห็นผิวกายขาวเนียนชวนลูบไล้ เสื้อชั้นในเป็นผ้าแถบเกาะอกสูงไม่ถึงคืบ ขอบบนต่ำเสียจนแทบจะเห็นอกอวบปลิ้นออกมา เสื้อชั้นนอกคอกว้างเนื้อบางเบาก็มิได้ช่วยปกปิดอะไร ยามพวกนางบิดกายสะบัดไหล่ตามจังหวะ อกอวบอิ่มก็กระเพื่อมจนผู้ชมรอบข้างต้องกลั้นหายใจตาม
และยามพวกนางโยกเอวส่ายสะโพก ยิ่งเน้นให้เห็นเอวคอดกิ่วและสะโพกกลมกลึง เรียวขายาวกรีดกรายไปมา แลเห็นเนื้อขาวเนียนวับแวมอยู่ภายใต้กระโปรงเนื้อเบาบาง
บรรดาชายหนุ่มที่นั่งชมอยู่ด้านข้างต่างเพ่งมองกันไม่วางตา
พวกนางเหมือนรับรู้ได้ถึงอารมณ์ที่ตึงเข้มของผู้ชม ร่ายรำไปก็ค่อยๆ หมุนพลิ้วบิดกายตามจังหวะ เพียงไม่กี่ก้าว สาวงามหกคนก็มายืนเรียงกันหน้าแถวโต๊ะด้านข้าง เหลือเพียงนางที่งามที่สุดยืนโดดเด่นอยู่ตรงกลางด้านหน้าของตวนหวาง
พวกนางขยับกันอย่างพร้อมเพรียง ขาข้างหนึ่งงอเล็กน้อยจิกปลายเท้า สะโพกกลมกลึงแอ่นขึ้น พร้อมๆ กับมือทั้งสองก็ลูบไล้ขึ้นมาจากข้างสะโพก สายตาฉ่ำปรือจับจ้องที่ผู้ชมเบื้องหน้าพร้อมรอยยิ้มเย้ายวน คล้ายดึงดูดสายตาของผู้ชมให้มองตามมือทั้งสองที่ยังค่อยๆ ไล่ขึ้นมาจรดใต้เนินปทุมถัน เอวเล็กสะบัดสะโพกพลางยกขากรีดควงเป็นวง ผ้ากระโปรงบางเบาก็พลิ้วไล้ลงมาตามขาที่ถูกยกขึ้นสูงเผยให้เห็นน่องเรียวขาวก่อนที่พวกนางจะวางเท้าลงแล้วหมุนกายกลับหลังหันไป
จากนั้นพวกนางแอ่นอกเอนหลังเป็นสะพานโค้งครึ่งวง พลางสะบัดสะโพกและไหล่ไปตามจังหวะ แลเห็นอกอวบอิ่มชูชันส่ายไปมาพร้อมกับแถบเสื้อเกาะอกที่ร่นลงไปอีกนิด เรียกเสียงอุทานซี๊ดเบาๆ ดังขึ้นรอบด้านอย่างอดไม่ไหว ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในบริเวณนั้นต่างนั่งโน้มตัวมาข้างหน้า คล้ายกับอยากจะเข้าใกล้นางรำเหล่านั้นให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ พร้อมๆ กับบางอวัยวะที่เริ่มแข็งเกร็งขึ้นตามจินตนาการของแต่ละคน
แต่เจ้าของงานที่นั่งอยู่บนพื้นยกสูงที่หัวแถวกลับมองดูอย่างไม่มีอารมณ์ร่วม
มู่จวิ้นเจี๋ย หรือตวนหวาง เป็นชายหนุ่มรูปงามวัยยี่สิบต้นๆ ใบหน้าสมส่วนดุจรูปปั้น คิ้วหนาตาคมกริบ ดูเป็นที่น่าเกรงขามและดึงดูดเพศตรงข้ามได้ในเวลาเดียวกัน แต่บัดนี้สายตาที่มองนางรำเบื้องหน้ากลับดูเบื่อหน่าย
สองสัปดาห์มานี้ มู่จวิ้นเจี๋ยไม่มีอารมณ์เพศเอาเสียเลย ปกติเขาเป็นดั่งอาชาดุดันที่ควบได้อย่างมิรู้เหน็ดเหนื่อยในแต่ละคืน วังหลังของเขาแม้มีชายาและนางบำเรอเพียงแปดคนซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับอ๋องและองค์ชายคนอื่นๆ แต่สตรีของเขาล้วนงามสะคราญ แต่ทว่ายามนี้เขากลับรู้สึกไม่เกิดอารมณ์กับสตรีใดในจวนของตนเลย
คืนนี้เป็นงานวันเกิดของเขาซึ่งซ่งเหอผู้เป็นสหายสนิทได้รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะมีการแสดงพิเศษที่เขาจะต้องพอใจ เขาคาดว่าซ่งเหอจะส่งสตรีโฉมงามมาถวาย แต่นี่ก็ผ่านไปจนกว่าครึ่งงานแล้ว ยังมิเห็นนางใดดูโดดเด่นเป็นพิเศษเลย
เขาส่งสายตาขุ่นเคืองไปที่ซ่งเหอที่นั่งอยู่เยื้องลงไปทางด้านขวามือ
แต่ซ่งเหอมิได้มองมา สายตาเขาจับจ้องอยู่ที่นางรำที่ยืนอยู่ตรงกลาง สายตาเขาดุจจะกลืนกินนางมิปาน เสียงเพลงจบลงแล้ว พร้อมๆ กับนางคนนั้นบิดกายมาทางซ่งเหอแล้วย่อกายค้างไว้ในท่าปิดการแสดง สองแขนเหยียดขึ้นพร้อมสองมือประกบกันอยู่เหนือศีรษะ เน้นให้สายตาคนดูจับอยู่ที่อกอวบอิ่มที่แอ่นมาข้างหน้าเล็กน้อย ผ้าเกาะอกไหลลงมาตามเต้าขาวสล้างจนแทบจะเห็นยอดปทุมถันทั้งสองข้าง สะโพกบิดไปยังด้านหลัง กายย่อลงเล็กน้อยพร้อมขาข้างหนึ่งเหยียดเฉียงออกมาด้านหน้า แลเห็นเรียวขาขาวรำไรภายใต้ผ้าบาง สายตาฉ่ำเยิ้มสบตาเขาอยู่อึดใจหนึ่งอย่างมีนัยแล้วจึงหรุบต่ำอย่างสะท้านเมื่อเห็นสายตาหื่นที่มองกลับมา
มู่จวิ้นเจี๋ยกระแอมเสียงดัง ซ่งเหอพลันรู้สึกตัว เขาขยิบตาให้นางรำคนงามก่อนนางจะถอยออกจากโถงไป จากกนั้นจึงหันมากล่าวกับมู่จวิ้นเจี๋ย “หวางเหยี่ย กระหม่อมมีของขวัญจะถวายพ่ะย่ะค่ะ”
สิ้นเสียง ซ่งเหอปรบมือสองครา ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาพร้อมๆ กับร่างเล็กบางในเสื้อคลุมปิดมิดชิดของสตรีนางหนึ่งก็ก้าวเข้ามา นางย่อกายทำความเคารพ “ถวายบังคมหวางเหยี่ยเพคะ”
เสียงกังวานใสมีจังหวะจะโคนชวนฟัง เป็นเสียงที่น่าจะขับร้องได้ไพเราะยิ่ง
... สตรีในเสื้อคลุมปิดมิดชิด? ซ่งเหอกำลังเล่นพิเรนท์อะไรอยู่?... มู่จวิ้นเจี๋ยคิด
“ลุกขึ้น ไหนเจ้าลองเงยหน้าขึ้นมาให้เราดูซิ” เขากล่าว เสียงทุ้มดังกังวาน
สตรีร่างเล็กลุกขึ้นยืนอย่างสงบเสงี่ยมพร้อมเงยหน้าขึ้น เพียงแสงไฟจับที่ใบหน้าของนาง ทั้งโถงก็เงียบลงในบัดดล
ใบหน้าเพรียวหวานรูปไข่ หน้าผากโหนกรับกับจมูกโด่งและคิ้วบางโก่งดุจใบหลิ่ว ตาคมโตเรียวขึ้นดั่งปีกหงส์ ดวงตานางดำขลับดั่งบ่อน้ำลึกแต่ดูฉ่ำหวาน ประกายตาระยิบระยับดั่งกำลังเชื้อชวนให้คนที่มองนั้นก้าวเข้ามาใกล้ คล้ายดั่งว่านางมีความลับชวนให้ค้นหา ผิวนางขาวเนียน แก้มแตะแต้มด้วยสีแดงระเรื่ออย่างธรรมชาติ ปากบางได้รูปกระจับแต่ริมฝีปากอวบอิ่ม ยามนี้ริมฝีปากคู่นั้นเผยอออกเล็กน้อยชวนให้จินตนาการถึงความหวานชุ่มภายใน รอยยิ้มหวานสะเทิ้นอายระบายอยู่บนใบหน้าสะคราญนั้น
เสื้อคลุมเนื้อไหมละเอียดทิ้งน้ำหนักลงไปบนร่างเล็กบาง แลเห็นส่วนโค้งส่วนเว้าและความอวบอิ่มเกินความบางของร่างเล็ก ปลายเท้าเล็กเปลือยเปล่าโผล่ออกมาจากใต้เสื้อคลุม ท่าทางนางที่ยืนตรงดวงหน้างามสะคราญดูไว้ตัว หากแต่ดวงตาและริมฝีปากของนางกลับชวนให้บุรุษจินตนาการถึงบทรักที่ดุดัน
อย่างนี้สิเล่าที่เขาเรียกว่า ‘งามสยบเมือง’!
มู่จวิ้นเจี๋ยชะโงกกายไปข้างหน้าอย่างอดไม่ได้ ดวงตาเย็นชาคล้ายปรากฏแววพึงพอใจ มุมปากหยักขึ้นเล็กน้อย เขารู้สึกได้ถึงอาการคึกคักที่กำลังกลับคืนมาพร้อมๆ กับเลือดที่สูบฉีดในร่างกาย
“เจ้าชื่ออะไร? ไฉนแต่งกายเยี่ยงนี้?” เสียงทุ้มถาม
“หม่อมฉันมีนามว่าหงเหมยเพคะ” เสียงใสตอบคำถามของมู่จวิ้นเจี๋ย ประโยคแรกฉะฉาน แต่ประโยคที่ตามมาคล้ายลังเล “หม่อมฉันมีระบำมาถวายหวางเหยี่ยเพคะ”
“โอ๋ว ระบำอันใดใยแต่งกายเยี่ยงนี้?” มู่จวิ้นเจี๋ยถาม ด้วยสายตาที่เชี่ยวชาญกับเรือนร่างของสตรี เขาเห็นแล้วว่านางผู้นี้สัดส่วนดูไม่เลวเลย
“ชุดของหม่อมฉัน... ชุดของหม่อมฉันมีไว้ให้หวางเหยี่ยทอดพระเนตรแต่เพียงผู้เดียว ไม่เหมาะสำหรับสายตาผู้อื่นเพคะ”
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"
วิญญาณแพทย์นิติเวชที่มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 21 ได้เข้ามาอยู่ในร่างคุณหนูของจวนเสนาบดีอย่างบังเอิญ ผู้คนกล่าวหาว่านางไม่เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และทำให้บุตรชายของแม่ทัพตาย ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้ต้องการฆ่านางเพื่อให้คำอธิบายกับแม่ทัพ! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนหยิ่งยโสและเจ้ากี้เจ้าการ ทุกคนเกลียดนาง และครอบครัวของนางต้องการไล่นางออก! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนเลวทรามและไร้ความปรานี วางยาน้องสาว และพ่อของนางต้องการโบยนางจนตาย! ในความเป็นจริงหากอยากจะกล่าวหาผู้ใดสักคน มันก็หาข้ออ้างได้ทั่ว แต่นางเป็นคนไม่ยอมใคร นางผอมบางนางหนึ่งปลุกปั่นโลกด้วยความสามารถอันทรงพลังตนเอง ท่านอ๋องกล่าวว่า หากได้เจ้ามาครอบครอง ข้ายอมทรยศทุกคนในโลก นางกล่าวว่า เพื่อท่าน ต่อให้ทุกคนในโลกเกลียดข้า ข้าก็ยอม
เพิ่งหย่ากับอดีตสามีไปไม่นานแต่ปรากฏว่าตัวเองท้อง จะทำอย่างไรดี? หรือจะให้อดีตสามีรับผิดชอบ แต่ก็ไม่คิดว่าอดีตสามีมีคนรักใหม่ไปแล้ว ชีวิตของถังชีชีนั้นช่างสับสน ช่างน่าวิตกกังวลและไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เธอต้องคอยระวังไม่ให้คุณเฟิงรู้เรื่องการตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัย แต่ไม่คิดว่าจะถูกเขาบังคับถึงเพียงนี้ "เราหย่ากันแค่สี่เดือน แต่เธอกลับตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนแล้ว บอกมาดี ๆ ว่า ลูกเป็นของใคร!"
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
เสิ่นชิงกลายเป็นลูกสาวของชาวนาจากคุณหนูที่ร่ำรวยของตระกูลเสิ่นในชั่วข้ามคืน ลูกสาวตัวจริงใส่ร้ายเธอ คู่หมั้นของเธอทำให้เธออับอาย และพ่อแม่บุญธรรมของเธอก็ไล่เธอออกจากบ้าน... ทุกคนต่างรอที่จะหัวเราะเยาะเธอ ทว่าเธอกลับกลายเป็นทายาทของตระกูลเศรษฐีในเมืองอย่างกะทันหัน นอกจาดนี้ เธอยังมีตัวตนหลากหลาย เช่น หัวหน้าแฮ็กเกอร์ระดับนานาชาติ นักออกแบบเครื่องประดับชั้นนำ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ลึกลับ และอัจฉริยะด้านการแพทย์! พ่อแม่บุญธรรมเสียใจกับการตัดสินใจของตนและบังคับให้เธอแบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้เพราะพวกเขาเลี้ยงดูเธอมา เมื่อเสิ่นชิงหยิบกล้องออกมาแล้วบันทึกท่าทางอันน่าเกลียดของพวกเขา อดีตคู่หมั้นรู้สึกเสียใจและพยายามจะคืนดีกับเธอ เสิ่นชิงหัวเราะเยาะ "เขาคู่ควรงั้นเหรอ" จากนั้นก็ไล่เขาออกจากเมือง ในที่สุด ผู้มีอำนาจแห่งเมืองก็พูดอ้อนวอนเบาๆ "ไม่จำเป็นต้องแต่งเข้าตระกูลผม เดี๋ยวผมไปหาเอง"