วิญญาณสาวร่างกายเปียกปอน คอยติดตามอดีตว่าที่สามี เธอไม่รู้ว่าตนเองตายเพราะอะไร อุบัติเหตุ หรือฆาตกรรม มีเพียงแฟนสาวของอดีตสามีที่จะช่วยเธอได้ แต่เธอก็เกลียดผู้หญิงคนนี้ เกลียดที่สุด
วิญญาณสาวร่างกายเปียกปอน คอยติดตามอดีตว่าที่สามี เธอไม่รู้ว่าตนเองตายเพราะอะไร อุบัติเหตุ หรือฆาตกรรม มีเพียงแฟนสาวของอดีตสามีที่จะช่วยเธอได้ แต่เธอก็เกลียดผู้หญิงคนนี้ เกลียดที่สุด
“นังพิม นังพิ๊ม แกอยู่ไหนแล้วเนี่ย พวกชั้นรอจนจะได้ผัวเป็นตัวเป็นตนกันแล้วนะ”
เสียงสาวประเภทสองนามว่าแนทซี่ดังออกมจากลำโพงรถเสียงดังลั่น
“ถึงแล้ว ถึงแล้ว กำลังจะถอยรถจอด แค่นี้ก่อนนะแก”
หญิงสาววางสายพร้อมกับถอยรถเข้าที่จอดและรีบร้อนเปิดประตูออกมาโดยไม่ทันได้ระวัง ปึก เสียงประตูรถของเธอกระแทกกับที่จอดรถคันข้างๆอย่างแรง
“ตายๆ ตายแล้วนังพิม กระแทกแรงด้วยรถเค้าจะบุบไหมวะเนี่ย”
รำพึงรำพันพลางถลาลงมาจากรถแล้วค่อยๆเอามือลูบรถคันที่โดนกระแทก
“ฮือ รถแพงด้วย ใหม่กริ๊บเลย ฮือ บุบเลย ยี่ห้ออะไรเนี่ย” พิมพ์ใจก้มหน้าก้มตาเดินไปดูข้างท้ายรถ
“บีเอ็ม ป้ายแดงด้วย นังพิมตายแน่ เงินทั้งเดือนจะพอค่าซ่อมรถเค้าหรือเปล่าก็ไม่รู้ ฮือ”
ชายหนุ่มที่ยืนตรงประตูด้านคนขับของรถบีเอ็มดับเบิ้ลยู แปดซีรี่ส์ นิ่วหน้าใส่หญิงสาวที่กำลังรำพึงรำพันอยู่คนเดียวด้วยความระอาพลางนึกในใจว่าเดี๋ยวก็คงรีบถอยรถไปจอดที่อื่นหรือไม่ก็หนีเข้าร้านทำไม่รู้ไม่ชี้แน่ๆ แต่ผิดคาดเมื่อเขาเห็นหญิงสาวมุดกลับเข้าไปในรถแล้วหยิบกระดาษกับปากกาออกมาเขียนอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มจึงเริ่มพิจารณาหญิงสาวตรงหน้าด้วยความละเอียดอีกครั้ง ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนรูปร่างตามแบบสมัยนิยม เธอไม่ใช่คนผอมขาวหุ่นดีแบบที่ผู้หญิงทั่วๆไปนิยมมีแต่เธอเป็นคนผิวสีน้ำผึ้งที่มีเนื้อมีหนังดูกลมมนไปทั้งตัว เอวไม่ได้เล็กแต่ก็มีเอว ไม่ได้ผอมบางแต่ก็ไม่ได้อวบอ้วน ความสูงไม่เกินหัวไหล่เขาน่าจะสูงร้อยหกสิบกว่าๆ หน้ากลมใส่แว่นกระจกสีฟ้าแบบตัดแสงเวลาต้องใช้คอมพิวเตอร์นานๆ จูมกกับปากเล็กนิดเดียว คงแบบนี้กระมังที่เค้าเรียกกันว่าปากนิดจมูกหน่อย เธอรวบผมไปเกล้าเป็นหางม้าที่ด้านหลังจนหมด แถมยังติดกิ๊บดอกไม้สีส้มไว้ทั้งด้านซ้ายขวา คงเป็นคนขี้รำคาญไม่ชอบให้ลูกผมมะระหน้าตาแน่ๆ ชายหนุ่มยืนพิจารณาหญิงสาวในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์จนเพลินกระทั่งได้ยินเสียง
“อุ๊ย คุณเป็นเจ้าของรถคันนี้หรือเปล่าคะ”
หญิงสาวตกใจเมื่อกำลังจะนำกระดาษที่เขียนชื่อและเบอร์โทรพร้อมทั้งคำขอโทษและขอชดใช้ไปเหน็บกับที่ปัดน้ำฝนแล้วพบว่าชายหนุ่มยืนจ้องเธอผ่านแว่นกันแดดสีดำอยู่ เธอส่งยิ้มเก้อๆไปให้เขาพลางนึกในใจ
‘ต้องอ่อนน้อมเข้าไว้ เค้าจะได้ลดค่าซ่อมให้เรา’
“สะ สวัสดีค่ะ ชั้นชื่อพิมนะคะ พิมพ์ใจค่ะ นี่เป็นเบอร์โทรของชั้น ถ้าคุณเอารถไปซ่อมแล้วเค้าคิดค่าเสียหายเท่าไหร่ก็โทรมาบอกนะคะ ชั้นยินดีชดใช้”
พูดพร้อมกับยื่นกระดาษส่งให้ชายหนุ่ม
“แล้วก็ต้องขอโทษคุณอีกครั้งนะคะที่ไม่ระวังทำรถคุณบุบ เสียเวลาคุณต้องไปซ่อมอีก ขอโทษนะคะ”
หญิงสาวยกมือไหว้สวยงามแล้วอ้าปากค้าง เมื่อเธอมองเห็นหญิงสาวใส่ชุดสีฟ้าเนื้อตัวผมเผ้าเปียกน้ำจนน้ำหยดลงมาตามเส้นผมยืนอยู่ด้านหลังชายหนุ่มเจ้าของรถ เธอพยายามไม่มองสบตาผีสาวตนนั้นแล้วหันหลังกลับวิ่งเข้าร้านไปทันที อลันมองตามหลังหญิงสาวที่จู่ๆก็ยืนมองเค้าอ้าปากค้างแล้ววิ่งหนีเข้าร้านไปดื้อๆพลางส่ายหัวแล้วขึ้นรถขับออกไป โดยไม่รู้เลยว่ามีวิญญานสาวตัวเปียกน้ำตามเขาอยู่ตลอดเวลา
“แก นังพิม ทางนี้ๆ”
พิมพ์ใจมองตามเสียงที่เรียกและมือที่โบกไหวๆตรงโต๊ะด้านใน วันนี้เธอมีนัดกับกลุ่มสาวแซ่บ เพื่อสนิทมากสมัยเรียนมหาวิทยาลัยและยังคงสนิทมากแม้จะเรียนจบมาได้สองปีแล้ว เพื่อนของเธอทั้งสี่มีเพียงเธอกับน้ำฝนที่เป็นผู้หญิงแท้ ที่เหลืออีกสามเป็นผู้ชายทางร่างกายแต่จิตใจเป็นสาวอ่อนไหวเสียยิ่งกว่าเธอกับน้ำฝนเสียอีก
“ไงหล่อนกว่าจะเสด็จมาได้นะ พวกชั้นนั่งรอจนจะมีผัวคนที่สองแล้ว”
“เกินไปย่ะนังเยลลี่ ผู้เค้านั่งกินข้าวของเค้าอยู่เฉยๆ แกน่ะพยายามจะหันไปอ่อยเค้าเอง เดี๋ยวชั้นจะฟ้องผัวแก”
“หยุดกัดกันได้แล้วนังเยลลี่กับนังฝน แกสองคนกัดกันตั้งแต่ปีหนึ่งจนตอนนี้พวกแกไม่เบื่อกันมั่งรึไงฮึ”
แนทซี่ทนเห็นทั้งคู่แหย่กันไปมาไม่ไหว
“ไม่เบื่อ ชั้นมีความสุขทุกครั้งที่เห็นนังเยลลี่มันแพ้ราบคาบให้แก่ความเก่งกล้าของชั้น” น้ำฝนลอยหน้าลอยตาตอบ
“จ้า แกมันเก่ง แกมันฉลาด แกมันเริ่ด เก่งแต่กับพวกชั้น แต่พออยู่กับพี่พฤกษ์นะแหม อยากจะแหมไปให้ถึงเชียงใหม่”
“นังเยลลี่ แกจะแหมไปตอนนี้เลยก็ได้นะ ชั้นไม่ว่าอะไร”
“นังฝน แกจะไล่ชั้นไปเหรอห๊ะ นังเพื่อนทรยศ”
“ทำ……”
“โอ๊ย พอๆ พอทีแกจะกัดกันจนร้านปิดเลยไหมฮะ”
น้ำฝนกับเยลลี่ได้แต่ทำปากหมุบหมิบเมื่อโดนแนทซี่เบรค
“แล้วทำไมแกถึงมาช้าล่ะนังพิม” โรสเพื่อนผู้เกือบมีสาระที่สุดในกลุ่มเอ่ยปากถาม
“ชั้นเพิ่งเคลียร์บัญชีที่ผู้จัดการสุมมาให้เสร็จน่ะสิ ต้องรีบทำเพราะพรุ่งนี้ต้องส่งให้ผู้จัดการแล้ว”
“แล้วเค้าให้มาตั้งแต่วันไหนล่ะ ปกติแกไม่เคยดองงานไม่ใช่เหรอ”
“ให้มาเมื่อวันศุกร์น่ะโรส แต่มันจัดมาไม่เป็นระเบียบเลย ชั้นต้องมาจัดเรียงใหม่อีกทีด้วยเลยช้ากันไปใหญ่”
เพื่อนในโต๊ะส่ายหัวด้วยรู้ว่าผู้จัดการแผนกบัญชีบริษัทที่พิมพ์ใจทำอยู่นั้นแย่แค่ไหน เมื่อเห็นเพื่อนเริ่มเครียดแนทซี่เลยเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อไม่ให้งานกร่อย
“แต่ผู้คนเมื่อกี้แซ่บมากจริงๆนะแก น่าจะเป็นพวกลูกครึ่ง หน้าตาออกฝรั่งหล่อเวอร์ อร๊าย ใจชั้นจะละลาย”
“นังแนทซี่ แกมีผัวแล้ว ให้โอกาสชั้นมั่งก็ได้นะหล่อน” พิมพ์ใจขัดเพื่อนขึ้นมาด้วยความหมั่นไส้
แหม กี่คนๆมันก็จะเอาซะหมดแล้วอย่างนี้เมื่อไหร่เธอถึงจะได้ผู้มาครอบครองมั่งล่ะ
“เอ แต่หน้าฝรั่ง ตัวสูงๆใส่เสื้อยืดสีน้ำเงินใช่มะ”
“ใช่ นังพิมแกรู้ได้ไงอย่าบอกนะว่าแกแจกเบอร์ให้เค้าไปแล้ว”
“ช่าย แล้วแกจะทำไมมีปัญหาไรป่ะ”
“อ๊าย นังพิม เดี๋ยวนี้แกใจกล้าหน้าด้านขนาดนี้เลยเหรอ กลัวมีผัวไม่ทันเพื่อนๆหรือไงแก แหม ไวไฟนะเดี๋ยวนี้”
แนทซี่กรีดร้องท่ามกลางอาการตกตะลึงของเพื่อนๆที่เห็นพิมพ์ใจกล้าให้เบอร์ผู้ชาย
“ไม่ได้แรดโว้ย แค่ชั้นรีบลงจากรถจนเปิดประตูรถไปกระแทกรถเค้าบุบน่ะสิ พูดแล้วเศร้า รถบีเอ็มป้ายแดงด้วยชั้นยังไม่รู้เลยว่าต้องจ่ายค่าซ่อมเท่าไหร่ เครียดเลยโว้ย” หญิงสาวคร่ำครวญโวยวายจนเพื่อนๆเบ้ปาก
“ไม่ใช่แผนแกที่เห็นคนหล่อเลยอยากจะมีปฏิสัมพันธ์ต่อเนื่องกับเขาหรอกนะ”
“แกจะบ้าเหรอนังเยลลี่ ใครอยากจะต่อเนื่องด้วยชั้นไม่เอาหรอกแก มีเจ้าของตามมาซะขนาดนั้นชั้นไม่ขอสู้” พิมพ์ใจส่ายหน้าเป็นพัลวัน
“แต่พวกเราเห็นเค้ามานั่งกินข้าวอยู่คนเดียวนะ แกรู้ได้ไงว่ามีเจ้าของ”
“ก็ชั้นเห็นไง ยืนตัวเปียกน้ำอยู่ข้างหลังเค้า หรือแกอยากจะได้เอาไม๊ล่ะนังโรส ถ้าเค้าโทรมาเรียกค่าซ่อมชั้นจะได้ติดต่อให้แก” “อ๊าย ไม่เอา โรสสู้คนแต่ไม่สู้ผีค่ะ แกหยุดพูดหยุดเล่าเลยนะนังพิม โธ่ หมดกันผู้ชายในฝันของโรส” โรสทำท่ารำพันช้ำใจยกผ้าเช็ดปากขึ้นมาซับน้ำตาทิพย์ที่ไม่ได้ไหลสักหยด
“ไม่มีใครอยากได้งั้นสั่งข้าวเหอะ หิวใส้จะขาดละ”
ตอนที่พูดไปพิมพ์ใจไม่เคยจะคิดแม้สักนิดว่าตนเองจะต้องมีปฏิสัมพันธ์ต่อเนื่องกับหนุ่มหล่ออีกหลายเรื่อง ไม่เคยคิดเลยจริงๆ
หลินตงหยาง อายุ 27 ปี เติบโตมากับแม่เพียงสองคน ในวัยเด็กหลินตงหยางเคยมีพ่อผู้ให้กำเนิดแต่หลังจากที่พ่อได้งานใหม่ในเมืองหลวงพ่อที่เคยมีก็ไม่มีอีกแล้ว พ่อกลับมาหย่าขาดกับแม่ทันทีที่ไปทำงานในเมืองหลวงได้เพียง 2 เดือน ด้วยให้เหตุผลในการหย่าว่า แม่กับและเขาคือตัวถ่วงความเจริญในชีวิตพ่อ สาเหตุก็ไม่มีอะไรมากแค่พ่อหน้าตาหล่อเหลาและเป็นที่ถูกใจของลูกสาวหัวหน้างาน เพื่อตำแหน่งงานและความเป็นอยู่ที่สบายขึ้น พ่อเลือกที่จะทิ้งภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่ผ่านเรื่องยากลำบากมาด้วยกัน หย่าขาดกับภรรยาเพื่อไปแต่งงานใหม่ มีชีวิตใหม่ในเมืองหลวง โดยทิ้งคนข้างหลัง ทิ้งภรรยาที่เคยสาบานว่าจะอยู่ครองคู่กันตลอดไป ในปีที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัย แม่ก็ล้มป่วยและจากเขาไปในที่สุด สาเหตุที่หลินตงหยางเสียชีวิต เพราะทำงานหนัก อาชีพโปรแกรมเมอร์ตัวเล็กๆ อย่างเขา ต้องพยายามทำงานให้ได้ตามที่หัวหน้าสั่งมา ในที่สุดเขาก็พัฒนาเกมกำลังภายในของบริษัทได้สำเร็จ หลินตงหยางนอนหลับไปด้วยความสบายใจ แต่ทว่าพอเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที นี่ไม่ใช่คอนโดหรูย่านใจกลางเมืองปักกิ่ง หลังคามุงหญ้านี่คืออะไร มันควรจะเป็นเพดานสีขาวสิ เมื่อมองไปรอบๆ ห้องนี่คืออะไร นี่มันไม่ใช่ผนังที่ทำมาจากคอนกรีต มันคือดินเหนียว หลินตงหยางคิดว่าตัวเองฝันไป เขาหลับตาลงอีกครั้งแล้วลืมตาขึ้น ทุกอย่างยังเหมือนเดิม มารดามันเถอะ เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไมไ่ด้ฝัน ตอนนั้นเองเขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง และในหัวของเขามีภาพเหตุการณ์ของเด็กชายที่ชื่อเดียวกับเขา หลินตงหยาง อายุ 10 ขวบ เรื่องราวชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายไปของเด็กชาย ทำเอาหลินตงหยางกำมือแน่น ก่อนจะสบถออกมา “พ่อสารเลว เฉินซื่อเหม่ยชัดๆ” และตามมาด้วยเสียงร้องไห้ของน้องสาว สาเหตุที่เด็กชายหลินตงหยางเสียชีวิต เพราะถูกผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นย่าแย่งผักป่าและทุบตี ทั้งๆ ที่คนพวกนั้นได้ตัดขาดพับพวกเขาสามแม่ลูกแล้ว แต่ยังมิวายข่มเหงรังแก
หลังจากเมา เธอก็ได้รู้จักกับคนใหญ่คนโตคนหนึ่ง เธอต้องการความช่วยเหลือจากเขา ส่วนเขาหลงเสน่ห์รูปร่างที่ดีและความสวยงามของเธอ พอเวลาผ่านไป เธอก็ตระหนักได้ว่าเขามีคนอยู่ในใจแล้ว เมื่อรักแรกของเขากลับมา เขาก็ไม่ค่อยได้กลับบ้าน แต่ละคืนเหวินม่านอยู่ในห้องว่างเปล่าด้วยคนเดียว แต่สุดท้ายแล้ว สิ่งที่เธอได้รับมาก็มีแต่เช็คใบหนึ่งและคำกล่าวลาเท่านั้น เดิมทีคิดว่าเธอจะร้องไห้โวยวาย แต่ไม่คาดคิดว่าเธอหยิบใบเช็คแล้วจากไปอย่างไม่ลังเล: "คุณฮั่ว ลาก่อน!"... พอพบกันอีกครั้ง เธอก็มีคนอยู่ข้างกายแล้ว เขาพูดด้วยตาแดงก่ำ: "เหวินม่าน ผมคบกับคุณมาก่อนนะ" เหวินม่านยิ้มเบา ๆ แล้วพูดว่า "ทนายฮั่ว คนที่บอกเลิก นั่นคือคุณเองนะ! ถ้าอยากจะเดทกับฉัน คุณต้องต่อคิว..." วันถัดมา เธอได้รับเงินโอนหนึ่งแสนล้านพร้อมแหวนเพชร ทนายฮั่วคุกเข่าข้างหนึ่ง: "คุณเหวิน ผมอยากจะแทรกคิว"
เซียวหนานอยู่ในระดับต่ำสุดขององค์กรลับที่แผ่ขยายสายข่าวไปทุกแว่นแคว้น นางเป็นเด็กกำพร้าไร้บิดามารดาที่ถูกเก็บมาให้เป็น นกกระจอกสืบข่าว เรียกได้ว่าเป็นชนชั้นที่วรยุทธ์ต่ำต้อยและต้องทำงานเอาตัวเข้าแลกเพื่อหาข่าวให้กับเบื้องบน ดังนั้นนกกระจอกเช่นนางจึงมีมากมายแทรกซึมเข้าไปในจวนขุนนางต่าง ๆ โดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ สิ่งที่นางฝึกฝนมาตลอดหลายปีมานี้ก็คือการเอาใจบุรุษ บำรุงร่างกาย ฝึกฝนศาสตร์ทั้งห้าให้เชี่ยวชาญ และฝึกวิชาเสพสังวาสให้บุรุษติดใจ แม้ว่าจะไม่เคยทำกับบุรุษจริง ๆ แต่ขนาดของแท่งหยกของบุรุษนางล้วนได้สัมผัสมาแล้วจากแท่งหยกของเทียมและแท่งหยกบุรุษของจริงที่นางไม่เคยเห็นหน้าว่าคนพวกนั้นคือผู้ใด เพราะพวกนางต้องมอบกายให้กับเหยื่อคนแรกที่นับว่าส่วนใหญ่จะเป็นชนชั้นสูง ดังนั้นจึงไม่อาจร่วมประเวณีกับบุรุษอื่นก่อนที่จะได้รับมอบเหยื่อจากนายใหญ่
เพิ่งหย่ากับอดีตสามีไปไม่นานแต่ปรากฏว่าตัวเองท้อง จะทำอย่างไรดี? หรือจะให้อดีตสามีรับผิดชอบ แต่ก็ไม่คิดว่าอดีตสามีมีคนรักใหม่ไปแล้ว ชีวิตของถังชีชีนั้นช่างสับสน ช่างน่าวิตกกังวลและไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เธอต้องคอยระวังไม่ให้คุณเฟิงรู้เรื่องการตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัย แต่ไม่คิดว่าจะถูกเขาบังคับถึงเพียงนี้ "เราหย่ากันแค่สี่เดือน แต่เธอกลับตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนแล้ว บอกมาดี ๆ ว่า ลูกเป็นของใคร!"
เดิมทีนางเป็นทายาทของตระกูลแพทย์เทพ แต่จู่ๆ นางก็กลายเป็นบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเสนาบดีที่พ่อไม่สนใจใยดีและแม่ก็เสียชีวิตตั้งแต่ยังนางยังเด็ก ในวันที่นางย้อนยุค นางถูกใส่ร้ายว่าเป็นผู้ร้ายตัวจริงที่สังหารฮูหยินจวนโหว นางพยายามพลิกผัน พลิกสถานการณ์ และพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนาง นางคิดว่าภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้นจบลงแล้ว แต่นางไม่รู้ว่าสิ่งที่นางจะต้องเผชิญคือเหวอันไม่มีที่สิ้นสุด เป็นถึงบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเสนาบดีกลับมีอันตรายอยู้รอบตัวมากมาย ทุกคนก็รังแกนางได้ พ่อไม่สนใจนางจะเป็นหรือจะตาย แม่เลี้ยงและน้องสาวต่างแม่สนุกกับการทรมานนาง คู่หมั้นชั่วร้ายของนางอยากจะใช้นางเป็นประโยชน์เพื่อขึ้นไปที่สูง และแม้แต่น้องชายแท้ๆ ของนางยังทรยศนาง นางจึงเริ่มต่อสู้กับคนเจ้าเล่ห์ ข่มเหงแม่เลี้ยงของนาง และดูแลน้องชายและน้องสาวของนาง ดังนั้นนางวางแผนที่จะเล่นงานผู้ชายชั่ว เอาคืนแม่เลี้ยง และแก้แค้นน้องๆ ระหว่างที่นางแก้แค้นนั้น นางมีชีวิตที่มีความสุข แต่กลับไม่รู้ว่าไปยั่วยุคนใหญคนหนึ่งเข้าเมื่อไร เมื่อนางจะทำเรื่องไม่ดีหรือฆ่าคน เขาก็ช่วยนางหมด ในที่สุดนางก็อดไม่ได้ที่ถามออกมาว่า "ท่าน แม้ว่าข้าจะทำลายโลกที่ไม่มความยุติธรรมนี้ ท่านก็จะช่วยข้าเช่นกันหรือ" เขาทำหน้าใจเย็น "ตราบใดที่เจ้าอยู่เคียงข้างข้า แม้ว่าจะเป็นโลกใบนี้ ข้าก็สามารถให้เจ้าได้"
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
© 2018-now MeghaBook
บนสุด