/0/6367/coverbig.jpg?v=d42aef4780fead4ad554f4fadd6c9cee)
เขาคืออดีตมนุษย์เดินดินกินข้าวแกงแสนแพงใน กทม. และวันนี้เขากลับมายังประเทศไทยในฐานะ... ยมทูต!! เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว พร้อมกับการก่อตัวขึ้นของระเบิดเพลิงลูกมโหฬารตระการตา แบบที่ดาวเหนือไม่มีโอกาสจะได้พบเห็นง่ายๆ ในชีวิตการเป็นมนุษย์ ทำเอาหนุ่มน้อยถึงกับวิ่งสี่คูณร้อยหนีตายเอาชีวิตรอด ราวกับหลงลืมว่าตัวเองเป็นยมทูต และตายไปนานแล้ว "กลับมานี่เด็กใหม่ เอาเหยื่อนั่นไปส่งสูทแดงซะ!"
บทนำ
เอี๊ยดดดดด... ด!!
โครมมมมม!!
ภาพทุกอย่างตรงหน้าหนุ่มน้อยวัยเฉียดๆ 20 ดับวูบลง โดยที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า นั่นจะเป็นการมีชีวิตครั้งสุดท้ายในฐานะมนุษย์เดินดินกินข้าวแกงจานละ 60 บาท ในกทม.
"โทษที่เจ้าได้รับ รวมทั้งสิ้น..."
หลังจากนั้น เขาก็ถูกยมทูตสูทดำพาตัวลงมาพิจารณาโทษในนรก ไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่ายมทูตสมัยนี้จะเลิกสวมโจงกระเบนแดงกันแล้ว เขาล่ะอยากให้ไอ้ตู่กับไอ้วิตร เพื่อนสนิทของเขาลงมาเห็นจริงๆ ให้ตายเถอะ!
ชีวิตในนรกของเขา วนเวียนอยู่กับการใช้กรรม ผ่านวันเดือนปี ปีหนึ่งผ่านไป ปีสอง ปีสามค่อยๆ ผ่านไป และในที่สุด... วันแห่งอิสรภาพก็มาถึง
"ข้ามีเส้นทางให้เจ้าเลือกสองทาง นั่นคือการขึ้นไปเสวยสุขบนสวรรค์ 1 วัน กับการกลับไปเกิดใหม่บนโลกมนุษย์อีกครั้ง ในฐานะประชาชนคนไทย"
สิ่งที่ได้ยินทำเอาหนุ่มน้อยถึงกับนิ่วหน้า นี่มันใช่วันแห่งอิสรภาพแน่หรือ!?
"เอ่อ... ผมขอไปเกิดที่เมกา ญี่ปุ่น อังกฤษ สวิสเซอร์แลนด์ ออสเตรเลีย หรือไม่ก็... ภูฏานไม่ได้เหรอครับ?" เขาเอ่ยถามเสียงเบาเหมือนกลัวอีกฝ่ายได้ยิน แต่ถ้าฝ่ายนั้นดันหูดีได้ยิน เขาก็รู้คำตอบดีอยู่แล้ว
"ไม่ได้... เจ้ามีกรรมที่ยังต้องชดใช้ในประเทศนี้"
คำตอบนั้นทำเอาเขาย่นหน้า
"ที่ผ่านมาตูยังชดใช้กรรมไม่พออีกเหรอฟะ" เขาพึมพำ แต่อีกฝ่ายก็ดันหูดีครึ่งๆ กลางๆ ขึ้นมาอีก
"เจ้าว่าอะไรนะ?"
"เอ่อ... เปล่าครับ คือ... จะให้ไปเกิดก็ยังไม่อยาก แต่จะให้ไปเสวยสุขบนสวรรค์ตั้งวันนึง มันก็ดูน่าสมเพชไปอ่าครับ" หนุ่มน้อยหน้ามนตอบสิ่งที่อยู่ในใจ พร้อมกับถอนหายใจยาวๆ คล้ายหนักใจที่จะต้องเลือก
"ถ้าอย่างนั้น... ข้ามีทางที่สามจะให้เจ้าเลือกเดิน"
คำตอบนั้นทำเอาเขาชะงักไป
ตอนที่ 1
ปี 2565 ณ ดินแดนที่ถูกเรียกขานว่า... ประเทศไทย
โอ้เมื่อมีไฟ ไฟ ไฟ ลุกขึ้นแจ่มจ้ารอบตัวตลอดเวลา 24 ชั่วโมง นั่นหมายความว่าเจ้าอาจกำลังย่างกรายเข้ามาในเขต... ยมโลก
"อีก 1 เดือนข้างหน้า ชายผู้นี้จะถึงฆาต ยมทูตดาวเหนือ... เจ้าจงไปนำดวงวิญญาณของเขามารับโทษทัณฑ์ นี่คืองานแรกของเจ้า"
เสียงของท่านยมบาล ผู้อยู่ในชุดแจ็คเก็ตหนังสีดำซึ่งไม่ได้รูปซิป เผยให้เห็นกล้ามอกเป็นมัดๆ ดังกังวานอยู่เบื้องหน้ายมทูตฝึกหัดนาม 'ดาวเหนือ' หนุ่มน้อยร่างเล็กในชุดเชิ้ตดำ สูทดำปานนักธุรกิจ อายุอานามสักยี่สิบ เจ้าของดวงตาเรียวยาวภายใต้แว่นดำ และคิ้วหนาปานกลาง ที่ดูจะไม่เข้ากับปากนิดจมูกหน่อยสักเท่าไหร่ มิหนำซ้ำผิวของเขายังขาวซีดราวกับมีชีวิตอยู่แถบขั้วโลกเหนือ ไม่ใช่ยมโลกอันร้อนระอุแห่งนี้
"ขอรับ... ท่านยม" ยมทูตฝึกหัดดาวเหนือรับคำหนักแน่น ถึงอย่างนั้นดวงหน้าของเขาก็ยังดูอ่อนโยน นี่ถ้าไม่บอกว่าเขาเป็นยมทูตล่ะก็ เหล่าผู้รับโทษทัณฑ์ในนรกคงพากันเข้าใจว่า เขาเป็นไอดอลเกาหลีที่ถูกพาตัวมาตัดสินโทษ ข้อหาทำให้สาวๆ อกหักแหงๆ
"นับเงิน... เจ้าจงพาดาวเหนือไปฝึกงานกับเจ้า จงสอนทุกสิ่งที่รู้ และจงเรียนรู้แม้ในสิ่งที่ไม่อาจสอน ถึงจะเป็นการทำหน้าที่ยมทูตครั้งแรก ก็อย่าให้มีความผิดพลาดเด็ดขาด"
นั่นคือคำสั่งสุดท้ายของท่านยม ก่อนที่หัวหน้ายมทูตสาวสุดอึ๋มในชุดเชิ้ตดำสูทดำรัดรูปจะพายมทูตหนุ่มร่างเล็กออกมาจากหน้าบัลลังก์พิพากษา
"ได้ยินแล้วใช่มะดาวเหนือ เราต้องไปโลกมนุษย์กับพี่ แล้วก็อย่าดื้ออย่าซนล่ะ" นับเงินพูดพลางเชิดอกตู้มๆ เด้งๆ ใส่ยมทูตรุ่นน้อง แล้วดึงมือเขาให้เดินตามเธอมา หญิงสาวรับหน้าที่ยมทูตมานานเกือบพันปี จนได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้ายมทูต ซึ่งต้องคอยฝึกฝนและดูแลเหล่ายมทูตฝึกหัดรุ่นใหม่อย่างดาวเหนือ ให้สามารถรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองได้แบบมืออาชีพ ไม่นำส่งดวงวิญญาณผิดฝาผิดตัว
"รุ่นพี่อย่าทำแบบนี้เลยครับ ผมเคยบอกไปแล้วว่าผมไม่ได้ชอบผู้หญิง" ดาวเหนือเอี้ยวตัวหนียอดอกที่พุ่งเข้ามาชี้อยู่ตรงหน้าเขา พลางปั้นหน้านิ่งเก็บความเซ็งเอาไว้ในใจ
"ย่ะๆ พ่อคนยึดมั่นในอุดมการณ์ เสียของหมด!" นับเงินสะบัดหน้าพรืดไปทางอื่น จนเส้นผมสลวยสวยเก๋ความยาวถึงก้นของเธอ ฟาดเข้าที่ใบหน้าของดาวเหนือ แม้จะไม่รู้สึกเจ็บ แต่หนุ่มน้อยก็อดสงสัยไม่ได้ว่า รุ่นพี่สาวเลี้ยงผมยาวๆ ไว้ใช้ลากคอดวงวิญญาณมนุษย์มายังยมโลกแห่งนี้รึเปล่า
...แต่อีกไม่นานเขาก็คงได้รู้ความจริงแล้วล่ะ!
"เรากำลังจะไปโลกมนุษย์กันแล้ว จับแขนพี่ไว้ ถ้าคลาดกันล่ะก็งานเข้าแน่" นับเงินบอกดาวเหนือ และไม่รอช้าที่จะเป็นฝ่ายควงแขนเขา ก่อนที่เขาจะทันได้เอื้อมมือมาสัมผัสโดนแขนเสื้อของเธอเสียอีก
"กระฉับกระเฉงหน่อยยมทูตฝึกหัดดาวเหนือ ถ้าเวลาส่งดวงวิญญาณคลาดเคลื่อน ความผิดพลาดแค่ 0.01 เปอร์เซ็นต์ อาจจะกลายเป็น 100 เปอร์เซ็นต์ก็ได้ จำไว้ให้ดีๆ" นับเงินอบรมยมทูตรุ่นน้องมือใหม่
"ครับ..." ดาวเหนือรับคำสั้นๆ แม้จะอยากอธิบายว่า ความเฉื่อยของเขาเกิดจากการต้องแตะตัวผู้หญิง ไม่ได้เกิดจากการหน่ายหน้าที่ แต่ดูเหมือนเงียบไว้จะดีกว่า
"แล้วก็... วันนี้พี่มีงานส่งดวงวิญญาณทั้งหมด 25 เคส ตามให้ทันล่ะ" นับเงินยิ้มหวานให้ดาวเหนือ ทว่านัยน์ตาเป็นประกายราวกับเริงร่าที่จะได้ล่า 'เหยื่อ' ทั้ง 25 คนที่กำลังจะหมดอายุขัยลงในวันนี้
"ครับ..." ดาวเหนือรับคำ ระหว่างที่วาร์ปจากยมโลกขึ้นมายังโลกมนุษย์ไปพร้อมๆ กับนับเงิน แน่นอนว่าตราบใดที่เธอยังควงแขนเขาเหนียวแน่นซะยิ่งกว่าติดกาวที่ผลิตจากปลิงขนาดนี้ ก็ไม่มีทางหรอกที่เขาจะตามเธอไม่ทัน
สองยมทูตปรากฏตัวอีกครั้งบนฟุตบาทพังๆ สภาพต่ำกว่ามาตรฐานในย่านธุรกิจใจกลางกรุงเทพมหานคร ท่ามกลางผู้คนพลุกพล่านที่เดินผ่านไปมา ไม่มีใครสนใจใคร ยกเว้นขอทานไร้ขาเสื้อผ้าสีซีดและขาดวิ่นริมฟุตบาท ที่เบนสายตาซึ่งสอดส่ายมองหาผู้มีจิตเมตตา มาหยุดอยู่ที่สองหนุ่มสาวยมทูตในชุดสูทดำ
"ทำบุญทำทานกับคนพิการ ได้บุญเยอะนะครับ... คุณผู้หญิง คุณผู้ชาย" ชายไร้ขาวัย 40 ปี พูดกับทั้งคู่ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
"เขามองเห็นเราด้วยเหรอครับรุ่นพี่" ดาวเหนือกระซิบถามนับเงิน ดวงตาภายใต้กรอบแว่นสีดำชำเลืองมองชายพิการคนนั้นด้วยความเห็นใจ
"เขาคือเหยื่อของวันนี้..."
คำตอบของหัวหน้ายมทูตสาวทำเอาดาวเหนือถึงกับชะงัก แต่นั่นก็ยังไม่เท่ากับอาการชะงักในความเฉยเมยและเย็นชาของเธอ
"จะเกิดอะไรกั...บ..." ดาวเหนือตั้งท่าจะถามต่อไปอีก ถ้านับเงินไม่ใช้ยื่นนิ้วชี้ของเธอมาแตะริมฝีปากของเขาเสียก่อน
"อย่าพึ่งกวน พี่กำลังใช้สมาธิ" เธอยิ้มหวานปิดท้าย แล้วเบนสายตากลับไปยังถนนเบื้องหน้า ที่ซึ่งรถยนต์มากมายกำลังคืบคลานเรียงรายต่อแถวกันข้ามผ่านสี่แยกไฟแดง 3 นาที ไฟเขียว 3 วิ ขณะที่ดาวเหนือรีบเช็ดริมฝีปาก ตรงที่นิ้วชี้เรียวยาวสัมผัสเมื่อครู่ ราวกับว่าการกระทำนั้นจะทำให้เขา... ผื่นขึ้น
วาบ!
รถหรูคันหนึ่งแล่นเข้ามาเทียบข้างฟุตบาท เป็นเวลาเดียวกับที่แสงเล็กๆ สะท้อนเปลวแดดส่องประกายชั่ววินาทีหนึ่งจากหน้าต่างบานหนึ่งของตึกร้างใกล้ๆ แม้เหล่ามนุษย์ที่ต่างกำลังดำเนินชีวิตประจำวันของตนจะไม่ทันสังเกตเห็น แต่มันไม่อาจเล็ดรอดสายตาของสองยมทูตไปได้
"มาแล้วสินะ... เหยื่อของฉัน" นับเงินยิ้มมุมปาก นัยน์ตาที่เคยส่องประกายแวววาว เวลานี้สุกสกาวยิ่งกว่าหลอดไฟแอลอีดียี่ห้อไหนๆ ทันทีที่เธอเห็นชายผิวขาวร่างท้วม หน้าเหลี่ยม ตาหยี จมูกชมพู่ กับหูแหลมรีคล้ายค้างคาว ในชุดสูทลงจากรถหรู ท่ามกลางบอดี้การ์ดสูทดำที่เตรียมตั้งขบวนรายล้อมรักษาความปลอดภัย ทว่า...
ปัง!
กระสุนลูกเล็กจากระยะไกลพุ่งเข้าทะลุทะลวงสูทตัวหนาที่เจ้าของร่างท้วมสวมใส่ ก่อนที่เขาคนนั้นจะล้มลง เลือดสีแดงสดค่อยๆ ซึมออกมาย้อมเชิ้ตขาวภายในสูทดำ
"นายอนุยุทธ เชี่ยวชาญกัญชง ถูกยิงตัดขั้วหัวใจเสียชีวิต... คอนเฟิร์มเคส" นับเงินรายงานกับเครื่องบันทึกภาพรูปลูกตาในมือ ส่วนมืออีกข้างก็ตะปบคอเสื้อสูทของดาวเหนือพาวาร์ปเข้าไปที่จุดเกิดเหตุ และแม้จะไม่ทันได้ตั้งตัว แต่หนุ่มน้อยยมทูตฝึกหัดก็ตื่นเต้นสุดๆ ที่กำลังจะได้เห็นวิธีการนำส่งดวงวิญญาณลงนรกของหัวหน้าสาว
เธอ... จะใช้ผมยาวๆ รัดคอวิญญาณที่กำลังหลุดออกมาจากร่างนั่น แล้วลากลงไปเข้าเฝ้าท่านยมใช่ไหม!?
"พะ... พะ... พวกเธอเป็นใคร!?" ดวงวิญญาณหน้าตาซีดเซียวอมเขียวของนายอนุยุทธ หันขวับมาหานับเงินและดาวเหนือด้วยอากานตกใจสุดขีด
"นายอนุยุทธ เชี่ยวชาญกัญชง" นับเงินจ้องหน้าเหยื่อของเธอ ทำเอาอีกฝ่ายเลิกลั่ก หันรีหันขวางเรียกหาบอดี้การ์ดเสียงลั่น
"เฮ้ย! พวกแกมัวทำอะไรอยู่ ทำไมปล่อยให้พวกนี้มันมาถึงตัวฉันได้"
เสียงนั้นดังพอจะเรียกคนทั้งถนนให้หันมามอง หากว่านั่นไม่ได้เป็นเพียงแค่เสียงของคนตายล่ะก็นะ
"เสียใจด้วยนะ พวกเขาไม่ได้ยินคุณหรอก เอาล่ะ... ไปกันได้แล้ว ฉันยังต้องขึ้นมารับวิญญาณอื่นอีก" นับเงินเปลี่ยนสรรพนามบุรุษที่ 3 เล็กน้อย ระหว่างที่เธอดึงแส้สีดำสนิทออกมาจากแขนเสื้อสูท ยิ่งทำให้ดาวเหนือตื่นเต้นสุดๆ เขาเดาว่าเธอคงจะใช้แส้นั่นฟาดนายอนุยุทธให้ยอมศิโรราบตามลงไปในนรกแต่โดยดีแน่ๆ
"บะ... บะ... บ้าน่า!! ฉันยังไม่ตายสักหน่อย ฉันจะตายได้ยังไง โกหก!! เธอโกหกฉั...น..." วิญญาณชายร่างท้วมตั้งท่าจะโวยวาย แต่กลับต้องชะงักไปกับสายตาที่จ้องมองมาของหัวหน้ายมทูตสาว ดวงตาของเธอในเวลานี้ ดูราวกับกำลังจะฉีกเขาออกเป็นชิ้นๆ หากว่าเขา... ยังไม่ยอมปิดปากกว้างๆ นั่นให้สนิท
"ฉันไม่ได้ว่างหรอกนะ ถ้าไม่อยากตายรอบสองก็หุบปาก แล้วตามฉันมา!" นับเงินตวัดแส้ในมือที่กลับกลายเป็นงูสีดำสนิทตัวเท่าแขน ตรงเข้าพันข้อมือของนายอนุยุทธ ทำเอาอีกฝ่ายร้องลั่นด้วยความหวาดกลัว
"ฉะ... ฉะ... ช่วยด้วย!! ฉันไม่ไป ฉันยังไม่อยากตาย งูนี่มันจะกัดฉัน เอามันออกไป เอามันออกปายยยย ม่ายยยยย... ฮือออออ!!" ชายร่างท้วมร้องลั่นและร้องไห้ เมื่องูเจ้ากรรมดันแกล้งยื่นหัวของมันเข้ามาใกล้หน้าเหลี่ยมๆ ของเขา มิหนำซ้ำมันยังแลบลิ้นมาแตะจมูกชมพู่ของเขาด้วย
"เจ้านิล! ปิดปากมัน เอาให้สนิท อย่าให้มีเสียงลอดนะ" นับเงินออกคำสั่ง หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เสียงร้องโวยวายเมื่อครู่ก็เงียบลง โดยปราศจากแม้เสียงอู้อี้ของชายผู้ถูกงูยมทูตรัดรอบใบหน้าและลำคอ
"น่าขนลุกชะมัด" ดาวเหนือพึมพำ ทุกอย่างผิดจากที่คาดคิดไปมาก แต่ก็ใช่ว่าเขาจะอยากหนีไปจากหน้าที่นี้หรอกนะ แค่นึกสงสัยนิดหน่อยเท่านั้น
"แล้ว... ผมจะจับวิญญาณลงนรกยังไงล่ะครับ ผมไม่ได้มีแส้งูเหมือนหัวหน้าสักหน่อย" เขาถามขึ้น ระหว่างที่ทั้งคู่พาวิญญาณของนายอนุยุทธลงไปพิจารณาโทษในนรก
"ก่อนเริ่มงานวันแรก เธอจะต้องไปสุ่มกาชาปองงูที่แดนอสรพิษ เจ้านั่นจะเป็นคู่หูเธอไปตลอดอายุขัยของการเป็นยมทูต" นับเงินตอบคำถามยิ้มๆ ไม่มีวี่แววอารมณ์เสียๆ ที่ตกค้างจากการรับมือดวงวิญญาณขี้โวยวายให้เห็น
"กาชาปองงู?" ยมทูตดาวเหนือนิ่วหน้าทวนคำ พร้อมกับพยายามนึกภาพตาม ถึงยังไงเขาก็คิดว่ามันคงไม่ใช่ตู้กาชาปองหยอดเหรียญสุ่มงูแน่ๆ
"ฝากด้วยนะ ยังเหลืออีก 24 เคส ดาวเหนือ... ไปกันได้แล้ว!"
เสียงของนับเงินปลุกดาวเหนือให้ตื่นจากภวังค์ความคิด เขาเหลือบมองงูเจ้านิลของรุ่นพี่สาวซึ่งกำลังคลายร่างที่รัดหน้าและคอของนายอนุยุทธออก ก่อนจะเลื้อยกลับเข้าไปในแขนเสื้อสูทของนับเงิน แล้วหนุ่มน้อยก็อดทำท่าขนพองสยองเกล้าไม่ได้
"เดี๋ยวก็ชิน แรกๆ ฉันก็เป็นแบบนายนั่นแหละ" ผู้คุมสูทแดงหน้าหล่อ ผิวเข้มเยี่ยงชายไทยแท้ไร้เลือดผสม ยักคิ้ว ยิ้มมุมปากให้ดาวเหนือ ก่อนจะดึงปากกาด้ามแดงจากกระเป๋าเสื้อ ควงปากกาหนึ่งครั้งให้มันเปลี่ยนเป็นกระบอง ฟาดใส่วิญญาณของนายอนุยุทธที่ดิ้นพราดๆ อยู่บนพื้นดินสีดำปนแดงอันร้อนระอุ แล้วลากเหยื่อคนล่าสุดของตัวเองออกไป โดยไม่รอให้ดาวเหนือตอบประโยคบอกเล่านั้น
"เอ้าๆ มัวโอ้เอ้ เดี๋ยวก็ทิ้งไว้นี่หรอก" นับเงินคว้าคอเสื้อดาวเหนือ ทำเอาเขาเซถลา กว่าจะรู้ตัวอีกที ทั้งคู่ก็กลับมาปรากฏกายบนโลกมนุษย์แล้ว ทว่าคราวนี้ไม่ใช่ย่านธุรกิจของกรุงเทพมหานคร
"อ้าว... แล้วขอทานคนนั้นล่ะครับ?" ดาวเหนือถามขึ้น ด้วยจดจำได้ว่าคนคนนั้นมองเห็นพวกเขาก็เพราะกำลังจะถึงฆาตในวันนี้
"ยังไม่ถึงคิว" นับเงินตอบสั้นๆ แล้วพาดาวเหนือวาร์ปต่อมายืนตรงรถเข็นขายลูกชิ้นริมฟุตบาทเอียงๆ มีน้ำขัง ทำเอาเขางุนงงหนักขึ้น
"รุ่นพี่หิวเหรอครับ?" ดาวเหนือชำเลืองมองลูกชิ้นปลาในหม้อทอด แต่แล้ว... เพียงเสี้ยววินาที
จากยมทูตสู่หัวหน้าแก๊งมาเฟีย ผู้วางแผนยึดครองกะลาแลนด์ด้วยอำนาจแห่งความกาว ภาคต่อของเมื่อผมตาย... แล้วกลายเป็นยมทูต ที่ไม่จำเป็นต้องอ่านต่อกัน
กี่ภพชาติจะผ่านไป แต่ข้าก็ไม่อาจลืมได้ว่าจะมีชีวิตเพื่อจะได้พบและรักเจ้าอีกสักครั้ง... เรื่องราวการระลึกชาติของอดีตองค์ฟาโรห์หนุ่ม เจ้าของพีระมิดบนทะเลทรายขาว ผู้ไม่เคยปรากฏพระนามบนจารึกใด กับหญิงสาวสามัญชนผู้กุมหัวใจของพระองค์
หลิวซือซือผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่นอกจากรูปร่างหน้าตาที่สวยหยดย้อยแล้ว แทบจะไม่มีความสามารถหรือความโดดเด่นในเรื่องอื่น และหากจะว่ากันไปหญิงสาวก็เป็นคนที่ค่อนข้างใสซื่อบริสุทธิ์อยู่ไม่น้อย เพราะได้รับการรับเลี้ยงประดุจไข่ในหินจากผู้เป็นพ่อและแม่ที่มีฐานะไม่ธรรมดา เธอรักในอาชีพนักแสดงแม้พ่อแม่จะคัดค้านแต่สุดท้ายก็ตามใจเธอเพราะไม่ต้องการให้ลูกสาวเสียใจ อยู่มาวันหนึ่งด้วยบทบาทที่ต้องแสดงในซีรีส์ย้อนยุค ทำให้พ่อของเธอหาขลุ่ยโบราณเล่มหนึ่งมาให้ ตั้งแต่ได้รับขลุ่ยมาหลิวซือซือก็มักฝันประหลาด ว่าเธอได้พบผู้ชายคนหนึ่งในเขาเป็นแม่ทัพอยู่ระหว่างสงครามอีกทั้งตนเองยังมีโอกาสช่วยเขาหลายครั้ง ที่น่าประหลาดใจคือ ฝันนั้นของเธอเหมือนจะเป็นความจริงไปแล้ว เขาคือใครและเกี่ยวข้องกับเธอด้วยเหตุใด ทำไมเธอจึงมักฝันประหลาดเช่นนี้???
หลังจากแต่งงานกันสามปี เจียงหยุนถังพยายามสุดความสามารถเพื่อช่วยชีวิตสามีที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยไม่คาดคิด ว่าเขาได้ละทิ้งเธอเหมือนกับขยะ รับรักแรกของเขากลับประเทศและตามใจเธอทุกอย่าง เจียงหยุนถังที่ท้อใจตัดสินใจหย่า และทุกคนต่างก็หัวเราะเยาะเธอที่กลายเป็นภรรยาที่ถูกทอดทิ้งจากตระกูลเศรษฐี อย่างไรก็ตาม เธอกลับเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างกะทันหันเป็นหมอเทวดาที่พบเจอยาก "Lillian"แชมป์แข่งรถที่มีฐานแฟนคลับจำนวนมาก และยังเป็นนักออกแบบสถาปัตยกรรมระดับโลกอีกด้วย ชายร้ายหญิงชั่วคู่นั้นเยาะเย้ยเธอว่า เธอจะไม่มีวันหาคู่รักได้ใ แต่ไม่คาดคิดว่าลุงของอดีตสามีของเธอ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดทำกแงทัพกลับมาเพียงเพื่อขอแต่งงานกับเธอ
เจ้าของร่างเดิมถูกท่านย่าตัวเอง ขายให้ชายพิการด้วยเงินเพียงห้าตำลึง จึงคิดสั้นไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทำให้วิญญาณของเซี่ยซือซือทะลุมิติมาเข้าร่างแทน ชีวิตในโลกนี้บิดามารดาล้วนตายไปแล้ว เหลือเพียงน้องสาวกับน้องชายร่างกายผอมแห้งหิวโซสองคน เธอต้องช่วยพวกเขาให้รอด ก่อนจะถูกคนชั่วพวกนี้ขายทิ้งไปแบบเธอ 1 : ทะลุมิติ แคว้นจ้าว หมู่บ้านตระกูลแซ่อวี่ ภายในบ้านสกุลเซี่ย “ท่านพี่รีบกินเร็วเข้า” เสียงเด็กเล็กดังก้องอยู่ข้างหูอย่างน่ารำคาญ ว่าแต่ฉันมีน้องชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รู้สึกได้ถึงอะไรแข็ง ๆ มาแตะที่ริมฝีปาก ทว่ายังลืมตาไม่ขึ้น “ท่านพี่กินสิ ๆ” เซี่ยซือซือรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะ พยายามที่จะเปิดดวงตาขึ้นมอง เจ้าของเสียงเล็ก ๆ ด้านข้าง “ท่านพี่ ๆ ท่านพี่อย่าตายนะ ลืมตาสิท่านพี่” “นังตัวดีออกมาเดี๋ยวนี้นะ !” เสียงเอะอะโวยวายดังหนวกหูเซี่ยซือซือเป็นอย่างมาก ปัง ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อย ๆ เซี่ยซือซือลืมตาขึ้นจนได้ พลันสมองกลับมีเรื่องราวพรั่งพรูเข้ามาไม่ขาดสาย จนต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด อ๊าก ! “พี่รอง !” เด็กน้อยเซี่ยซือหยางในวัยสามหนาวเรียกพี่สาวพร้อมเบะปากอยากร้องไห้ “ท่านพี่ !” เซี่ยซานซานทิ้งบานประตูที่ตัวเองดันไว้ หันกลับมาดูพี่สาวด้วยความตกใจ “ท่านพี่ ๆ ท่านเป็นอะไร อย่าทำให้พวกข้าตกใจสิท่านพี่ !” ผลัวะ ! มีคนถีบประตูบานเก่าผุพังเข้ามาภายในห้อง เด็กทั้งสองรีบเข้าไปขวางผู้บุกรุกไม่ให้ทำร้ายพี่สาว แม่เฒ่าเซี่ย เซี่ยจิ่วเม่ย หน้าตาแลดูดุร้าย ไม่ใช่หญิงชราใจดีแต่อย่างใด ด้านหลังของแม่เฒ่าเซี่ยยังมีลูกสะใภ้บ้านใหญ่ กับบ้านรองเดินตามมา ท่าทางดุดันเอาเรื่อง “ไอ้พวกบ้านสามตัวดี กล้าลักขโมยอาหารเอาไว้กินเอง ยังเห็นแม่เฒ่าอย่างข้าอยู่ในสายตาหรือไม่ ไอ้พวกหมาป่าตาขาว ดูซิวันนี้ข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร” “ท่านย่าพวกข้าไม่ได้ขโมยนะ นี่เป็นหมั่นโถวของท่านพี่ ท่านพี่ไม่สบายข้าแค่เก็บไว้ให้ท่านพี่เท่านั้นเอง” เซี่ยซานซานยังเป็นเด็กหญิงวัยสิบหนาว แต่นางข่มความกลัวตอบโต้ผู้ใหญ่ในบ้านออกไป “หึ กฎบ้านก็มีบอกอยู่แล้วถ้าพลาดมื้ออาหารไปก็คืออด แต่พวกเจ้ากลับแหกกฎ แอบยักยอกอาหารเก็บไว้กินเอง ยังมีหน้ามาเถียงท่านแม่อีก ท่านแม่ท่านต้องลงโทษคนบ้านสามนะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ยอมจริง ๆ ด้วย ตอนนั้นยวี่เฟยของข้านางได้พลาดมื้อเย็นไป ท่านก็ไม่ให้นางกินนะเจ้าคะ” สะใภ้บ้านรองนามว่าจงอี้ซิน ย้อนรำลึกถึงเรื่องลูกสาววัยแปดปีของตัวเองขึ้นมา “ดูเจ้าเด็กพวกนี้สิท่านแม่ กางแขนปกป้องพี่สาวตัวเอง ช่างน่าสมเพชไม่รู้จักสำเหนียกกำลังตัวเอง ถุย !” หลินพ่านเอ๋อสะใภ้บ้านใหญ่มองดูเด็กทั้งสองพร้อมถ่มน้ำลายใส่ตรงหน้า แม่เฒ่าเซี่ยมองลูกสะใภ้ทั้งสองสลับกันไปมา เดินตรงไปกระชากหมั่นโถวเย็นชืดแถมแข็งปานหิน ออกจากมือของเซี่ยซือหยาง “แง ๆ ๆ” เด็กน้อยถูกแย่งของกินของพี่สาวไป ถึงกับแผดเสียงร้องลั่น “เจ้าคนชั่ว ! เอามานะ ของท่านพี่ข้า” กำปั้นน้อย ๆ ทุบไปยังต้นขาของแม่เฒ่เซี่ย “เจ้าเด็กเนรคุณกล้าตีข้ารึ นี่นะ !” แม่เฒ่าเซี่ยเตะทีเดียวเซี่ยซือหยางก็กระเด็นไปติดกับผนังห้อง “น้องเล็ก !” เซี่ยซานซานรีบวิ่งไปอุ้มน้องชายขึ้นมากอดไว้ด้วยความตกใจ “ท่านย่า น้องเล็กยังเด็กไม่รู้ความ เหตุใดท่านถึงได้ใจร้ายเช่นนี้” “แง ๆ ๆ” เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยฟังแล้วน่าสงสารจับใจ ดวงตาที่ปิดไว้ก่อนหน้าของเซี่ยซือซือ ลืมขึ้นหลังจากค้นพบว่า ตัวเองได้ทะลุมิติมายังอดีตอันไกลโพ้นแล้วจริง ๆ หลังจากหลับตาลืมตาอยู่หลายหน เรียบเรียงความคิดที่ไหลเข้ามาไม่ยอมหยุด เมื่อค่อย ๆ จัดการกับมันได้ ความเจ็บปวดที่ศีรษะก่อนหน้าจึงบางเบาลง และมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเฉยชา ครบสูตรของการทะลุมิติจริง ๆ มีท่านย่าผู้ชั่วร้าย ขนาบข้างด้วยป้าสะใภ้เลวทั้งสอง ครั้นหันไปมองน้องสาวในวัยสิบขวบของตัวเองกับน้องชายตัวน้อย ทั้งตัวดำเมี่ยมเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเดือน ร่างกายผอมแห้งเหลือแต่กระดูก เสื้อผ้าเก่าขาดมีรอยปะชุนเต็มไปหมด เส้นผมแห้งกรังเหมือนไม่ผ่านน้ำมานาน ยกมือของตัวเองขึ้นมาดู ไม่ได้มีสภาพต่างกันแม้แต่น้อย ครั้นเงยหน้ามองป้าสะใภ้ใหญ่ร่างกายอวบอ้วนเต็มไปด้วยก้อนไขมัน ป้าสะใภ้รองแม้ไม่ได้อ้วนแต่ก็ไม่ได้ผอม ยิ่งแม่เฒ่าเซี่ยด้วยแล้ว ร่างกายบึกบึนเหมือนคนกินดูอยู่ดีมาตลอด “ท่านแม่ดูอาซือมองท่านสิเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่เห็นสายตาเย็นเยียบของคนที่นอนอยู่บนเตียงก็อดแปลกใจไม่ได้ ดูเยือกเย็นจนไม่น่าไว้ใจ “เจ้าอย่าคิดว่ากระโดดน้ำตายแล้วทุกอย่างจะจบนะอาซือ ข้ารับเงินคนบ้านถานมาแล้ว ถ้าเจ้าตายข้าจะให้อาซานไปแทนเจ้า” คำพูดของแม่เฒ่าเซี่ยทำให้ดวงตาของเซี่ยซือซือเบิกกว้าง ท่านย่าของนางขายนางให้คนบ้านถานในราคาแค่ห้าตำลึง เจ้าของร่างเดิมไม่อยากไปเป็นเมียคนพิการ เลยไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทว่าเธอที่มาจากยุคปัจจุบันกลับเข้ามาแทนที่เจ้าของร่างนี้ เจ้าของร่างเดิมว่ายน้ำไม่เป็น จึงได้ขาดอากาศตายใต้น้ำ แต่เธอที่เข้ามาสวมร่างกลับพาร่างนี้ขึ้นมาจากน้ำได้ โชคชะตาคงเล่นตลกให้เธอกับเจ้าของร่างเดิมมีชื่อเดียวกัน “ท่านย่าอาซานยังเด็กนัก ท่านอย่าได้ทำเช่นนั้นเลย” นานมากกว่าที่นางจะเอ่ยออกมา “มันอยู่ที่เจ้าอาซือ ข้าขอเตือนเอาไว้ อีกสองวันคนบ้านถานจะมารับตัวเจ้าแล้ว อย่าให้เกิดเรื่องขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งอาซานไปแทนเจ้า แล้วขายซือหยางทิ้งเสีย” แม่เฒ่าเซี่ยจ้องหน้าเซี่ยซือซือแบบอาฆาต เด็กนี่ก่อนหน้าดูอ่อนแอไร้ทางสู้ ทำไมวันนี้ถึงได้ดูแปลกตาไปนัก “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านจะลงโทษคนบ้านสามเรื่องหมั่นโถวนี่อย่างไรเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่ยังไม่ยอมปล่อยสามพี่น้องไปง่าย ๆ “พรุ่งนี้งดอาหารบ้านสาม” แม่เฒ่าเซี่ยเอ่ยแล้วหันหลังเดินออกจากห้องของเด็กน้อยทั้งสามไป โดยมีสะใภ้ใหญ่เดินตามไปด้วย “พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม จำใส่หัวเอาไว้ดี ๆ ด้วยล่ะ” สะใภ้รองหมุนตัวตามหลังไปติด ๆ “ท่านพี่ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ข้ากับน้องเล็กจะทำอย่างไร ถ้าท่านไม่อยู่” เซี่ยซานซานปล่อยเสียงร้องไห้ในทันที
คิณ อัคนี สุริยวานิชกุล ทายาทคนโตของสุริยวานิชกุลกรุ๊ป อายุ 26 ปี นักธุรกิจหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาราวกับเทพบุตร เย็นชากับผู้หญิงทั้งโลกยกเว้นเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น เอย อรนลิน "เมื่อเขาดึงเธอเข้ามาในวังวนของไฟรักที่แผดเผาหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้ไหม้ไปทั้งดวง" "เธอแน่ใจนะว่าจะให้ฉันช่วยค่าตอบแทนมันสูงเธอจ่ายไหวเหรอ?" เอย อรนลิน พิศาลวรางกูล ดาวเด่นของวงการบันเทิงที่ผันตัวไปรับบทนางร้าย เธอสวย เซ็กซี่ ขี้ยั่วกับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น "เขาคือดวงไฟที่จุดประกายขึ้นในหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้หลงเริงร่าอยู่ในวังวนแห่งไฟรัก" "อะ อึก จะ เจ็บ เอยเจ็บค่ะคุณคิณ"
ในเมื่อความปรารถนาสูงสุดของอีกฝ่ายไม่ใช่ครอบครัว เธอจึงกลายเป็นคนที่เขาอยากเขี่ยทิ้งไปให้พ้นตัว เหตุผลที่เขาก้าวเข้ามาในชีวิตของเธอ ใช้ถ้อยคำหวานหลอกล่อจนหญิงสาวตายใจ ในที่สุดเธอก็ได้ตัดสินใจแต่งานกับเขาอย่างไม่มีข้อแม้ใด ๆ ท้ายที่สุดแล้วความจริงก็ปรากฏขึ้น เพราะปรเมศเข้าใจผิด คิดว่าเขมิกาคือสาเหตุที่ทำให้ผู้เป็นมารดาของเขาต้องจากโลกนี้ไปโดยไม่ได้เอ่ยคำบอกลา “เขมท้อง!” หญิงสาวตัดสินใจพูดเรื่องทารกน้อยในครรภ์ เพราะลึก ๆ แล้วยังแอบหวังที่จะได้อยู่กับครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา อารมณ์ของเขมมิกาแปรปรวน เธอเองไม่อาจควบคุมได้ บางทีก็คิดอยากอยู่ประเดี๋ยวก็อยากไป “กี่เดือน” “หกสัปดาห์แล้วค่ะ” “เด็กคนนี้เป็นลูกของใคร” “คุณปรเมศ!” เขมมิการู้สึกผิดหวังในตัวชายหนุ่ม เขาไม่ควรตั้งคำถามนี้กับเธอ “เอาเด็กนั่นออกซะ! นี่คือเงินที่ผมจะจ่ายให้กับคุณ นับจากนี้ไปเราสองคนเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าสำหรับกัน” “คุณคิดดีแล้วใช่ไหมคะ” “ผมไม่เคยลังเลที่อยากเก็บเด็กคนนี้เอาไว้เลยสักนิด” คำตอบที่ได้ทำเอาหญิงสาวพูดไม่ออก มันจุกในอกเสียจนเธอแทบเสียสติ แต่ก็กลับมาได้เพราะทารกน้อย เธอต้องปกป้องเด็กคนนี้ให้ถึงที่สุด ปรเมศจะต้องเสียใจกับถ้อยคำที่เขาพูดกับเธอในวันนี้
"ความรักทำให้คนตาบอด" เซิงเกอละทิ้งชีวิตที่สงบสุขเพื่อแต่งงานกับชายคนนั้น ยินยอมทำตัวเหมือนคนรับใช้ที่ไร้ตัวตนมาสามปีเต็ม แต่ในที่สุดเธอก็ตระหนักว่าความพยายามของเธอ มันไร้ประโยชน์สิ้นดี เพราะในใจของสามีตัวเองมีแต่รักแรกของเขา เซิงเกอรู้สึกผิดหวังอย่างมาก และขอหย่าอย่างเด็ดขาด "ถึงเวลาแล้ว ฉันไม่ปกปิดอีกแล้ว จะบอกความจริงให้" ทันใดนั้น โลกออนไลน์ก็ระเบิดขึ้นทันที มีข่าวลือว่าสาวรวยพันล้านคนหนึ่งหย่าร้างแล้ว ดังนั้น ซีอีโอนับไม่ถ้วนและชายหนุ่มรูปงามต่างรีบเข้าหาเธอเพื่อเอาชนะใจเธอ เฝิงอวี้เหนียนเห็นดังนั้นจึงทนไม่ไหวอีกต่อไปเลยจัดงานแถลงข่าวในวันถัดไป โดยขอร้องอย่างจริงจังว่า: ผมรักเซิงเกอ ขอร้องคุณภรรยากลับบ้านนะ