ฉันเผลอไปเหยียบเท้ารุ่นพี่ปีสี่ที่ขึ้นชื่อว่า ‘ขาโหดของคณะวิศวะ’ เข้าโดยบังเอิญ ก่อนที่พี่เขาจะหันมายิ้มพร้อมกับประโยคนิ่งๆแต่สิงไปด้วยไอสังหารว่า “เหยียบตีนพี่..อยากลองดีเหรอครับน้อง? :) ”
ฉันเผลอไปเหยียบเท้ารุ่นพี่ปีสี่ที่ขึ้นชื่อว่า ‘ขาโหดของคณะวิศวะ’ เข้าโดยบังเอิญ ก่อนที่พี่เขาจะหันมายิ้มพร้อมกับประโยคนิ่งๆแต่สิงไปด้วยไอสังหารว่า “เหยียบตีนพี่..อยากลองดีเหรอครับน้อง? :) ”
[หอเป็นยังไงบ้างลูก?]
เสียงของหญิงวัยกลางคนถามผ่านสายโทรศัพท์ซึ่งคนถือกำลังใช้มันแนบกับหูพร้อมกับใช้ไหล่หนีบเอาไว้กันมันร่วงลงพื้นอยู่ ดวงตากลมโตกวาดมองไปทั่วมหาวิทยาลัยที่ตัวเองสอบเข้าได้ ก่อนจะเอ่ยตอบปลายสาย
“ก็โอเคค่ะแม่ หอสะอาดมากกกกก”
มือข้างหนึ่งของเธอถือกองหนังสือกองโตที่เพิ่งไปซื้อมาจากบรรณสาร ส่วนมืออีกข้างก็กำลังถือกระเป๋าสะพายพะรุงพะรังของตัวเอง
[อยู่ได้ใช่ไหมฟิล์ม?] คนในสายถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
เป็นธรรมดาที่คนเป็นแม่จะห่วงลูก ยิ่งเป็นลูกสาวคนเดียวที่ต้องออกไปเผชิญโลกอันโหดร้ายด้วยตัวเอง คนเป็นแม่ก็ยิ่งห่วงมากขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว
“อยู่ได้ค่ะแม่ เดี๋ยวฟิล์มไปเรียนก่อนนะคะแม่ มันจะสายแล้ว” เธอรีบบอกอย่างว่องไวเมื่อสายตาเหลือบไปมองนาฬิกาที่ข้อมือ
08 : 19 น.
หัวใจของสาววัยแรกแย้มกระหน่ำเต้นด้วยความรัวเร็ว เธอมีเรียนตอนแปดโมงยี่สิบ แต่นี่แปดโมงสิบเก้า แค่วิ่งไปได้ไม่ถึงสิบก้าวก็หมดเวลาแล้ว แถมตอนนี้ตึกเรียนอยู่ที่ไหนเธอยังไม่รู้แน่ชัดเลยด้วย
[โอเค ดูแลตัวเองด้วยนะลูก] เสียงปลายสายบอกทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนที่สัญญาณจะถูกตัดไป
สาวน้อยรีบยัดโทรศัพท์มือถือของตัวเองลงกระเป๋าสะพายด้วยความเร็วแสง ก่อนที่เท้าจะติดสปริงแล้ววิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต เธอตายเพราะหายใจไม่ทันน่ะไม่เป็นไร แต่ถ้าวันแรกไปเรียนสายมีปัญหาแน่นอน
เพราะกฎของมหาวิทยาลัยที่นี่คือคะแนนความประพฤติหนึ่งร้อยคะแนนเต็ม ถ้ามีคะแนนสะสมน้อยกว่ายี่สิบคะแนนเตรียมโดนไล่ออกได้เลย!
เข้าเรียนสายก็โดนหักไปห้าสิบคะแนน!
“แฮ่กๆ!” เสียงหอบหายใจหนักหน่วงดังออกมาเป็นระยะๆ พร้อมกับเสียงสับฝีเท้าที่ดังตุบตับอยู่ตลอดเวลาก่อนที่จะหยุดวิ่งลงเมื่อถึงหน้าโรงอาหาร
ดวงตากลมโตกวาดมองไปยังตึกที่อยู่รอบๆ ตัว เธอเดินไปด้านหน้าสามก้าวพร้อมกับถอยหลังอีกสี่ก้าวก่อนจะหยิบช็อตโน้ตที่รุ่นพี่เขียนไว้ให้ขึ้นมาดู
‘เลี้ยวขวาหน้าโรงอาหาร มีต้นไม้ใหญ่อยู่หน้าตึกตรงข้ามกับโรงอาหาร เดินไปประมาณสามสิบก้าวจะเจอโต๊ะม้าหินอ่อน หมุนตัวสามร้อยหกสิบองศา เดินหน้าอีกร้อยก้าว ตรงหน้าจะเป็นตึก CL’
คิ้วเรียวขมวดมุ่นพลางมองไปยังโรงอาหารที่ตัวเองเดินมาถึง และถ้าจำไม่ผิด วันปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ รุ่นพี่ในมหาวิทยาลัยบอกว่าโรงอาหารมีถึงสามโรง!
เธอเลี้ยวขวาตามที่รุ่นพี่เขียนโน้ตไว้ให้เผื่อจะโชคดีไปถูกทางก็เป็นได้ พอเลี้ยวมาได้ก็กวาดตามองต้นไม้ใหญ่ที่หน้าตึกก่อนจะมองลาดยาวไปอีกสามสี่ตึกถัดไป ต้นไม้ใหญ่ที่ว่ามีทุกตึกเลยนะ!
ร่างเล็กเริ่มถอนหายใจ เธอเริ่มมองรอบๆ ตัวอีกครั้ง โต๊ะม้าหินอ่อนที่ว่ามันมีกระจายอยู่แทบจะทุกตารางกิโลเมตรในมหาวิทยาลัย!
นี่รุ่นพี่เขียนอะไรให้เธอเนี่ย!!!
เธอเดินถอยหลังอย่างเหนื่อยหน่าย
กึก!
ก่อนที่รองเท้าจะเหยียบลงบนอะไรแข็งแต่ทว่ามันกลับยืดหยุ่นจนรู้สึกได้ เธอหันกลับไปอย่างรวดเร็ว สิ่งแรกที่ปรากฏตรงหน้าคือแผงอกล่ำกำยำในแบบชายฉกรรจ์ ส่วนอย่างที่สองเธอเลือกที่จะก้มลงมองพื้น เท้าของคนตรงหน้าถูกเธอเหยียบเอาไว้ ร่างเล็กรีบผละออกมาด้วยความรวดเร็ว
เท้าของคนตรงหน้าแดงเถือกเนื่องจากถูกเธอเหยียบเข้าอย่างจัง แถมเขายังใส่รองเท้าแตะแบบหนีบ!
โอ้พระเจ้า!
“ขะ..ขอโทษค่ะ ขอโทษ” เธอรีบพนมมือไหว้คนตรงหน้าทันทีก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง
รอยยิ้มพิฆาตถูกสาดใส่จนเธอแทบจะยืนทรงตัวไม่ไหวเนื่องจากถูกเสน่ห์ของคนตรงหน้าเล่นงาน
“เหยียบตีนพี่..อยากลองดีเหรอครับน้อง? :)”
คนตัวสูงยื่นนิ้วก้อยออกมาตรงหน้าฉัน "ดีกัน" ไม่รู้ว่าทำไมการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ดูใส่ใจกับคนรอบข้างแบบนี้ของ 'พี่ปลื้ม' ถึงทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในใจอย่างบอกไม่ถูก...
“จะให้ฉันรับผิดชอบยังไงบอกมา” ผมเอ่ยถามร่างเล็กที่เอาแต่นอนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่บนเตียง ในขณะที่สายตาตัวเองเหลือบไปมองชุดนักเรียนม.ปลายที่กระจายอยู่ที่พื้น เออ! ม.ปลาย! เห็นคุกอยู่รำไรแล้วไอ้คินทร์!
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"
เพลิงกัลป์ / Ryuu ริว ซาโต้อิชิบะ หัวหน้าแก๊งมาเฟียใหญ่ในคราบคุณหมอ หล่อ เลว เถื่อน ร้ายกับทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งกับ เธอ "กฎของการเป็นของเล่นคือห้ามรักเขา" ลูกพีช รินรดา สวย เซ็กซี่ สดใส ร่าเริง ปากร้าย กล้าได้กล้าเสีย สายอ่อยตัวแม่ "ของเล่นที่มีหัวใจของผู้ชายที่ไร้หัวใจ"
เมื่อเซิ่งหนิงเตรียมจะบอกฮั่วหลิ่นเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของเธอ ทว่ากลับพบเขาช่วยพยุงผู้หญิงอีกคนลงจากรถอย่างเอาใจใส่... เคยคิดว่าตนเองอยู่เคียงข้างฮั่วหลิ่นคอยดูแลเขามาสามปี สักวันหนึ่งเขาจะมาสามารถสร้างความประทับใจให้กับเขา แต่สุดท้ายเป็นตนเองที่คิดเองเออเองไปฝ่ายเดียว เซิ่งหนิงตายใจแล้วจากไป สามปีต่อมา ข้างกายของเธมีผู้ชายอีกคนหนึ่ง และฮั่วหลิ่นเสียใจมาก เจาพูดด้วยความโศกเศร้า "เซิ่งหนิง เรามาแต่งงานกันเถอะ" เซิ่งหนิงยิ้มอย่างเฉยเมย "ขออภัยนะคุณฮั่ว ฉันมีคู่หมั้นแล้ว"
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
เดิมทีฟางจินซิ่วมีอวกาศติดตัวได้เปิดคลินิกการแพทย์แผนจีนในยุคปัจจุบันและเจริญรุ่งเรือง ไม่มีการแข่งขันหนัก และทำงานมีวันหยุด เธอใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่แล้วมีวันหนึ่งที่เธอตื่นขึ้นมากลับข้ามมิติกลายเป็นชาวนาที่ฟมู่บ้านยากจน อีกทั้งได้เจอภัยแล้ง จากนั้นก็โดนขาย โชคดีที่ครอบครัวที่ซื้อเธอแตกต่างจากที่เธอจินตนาการไว้ เธอไม่ได้ถูกทารุณกรรม แต่ได้รับการดูแลอย่างดี ในยุคแห่งความขาดแคลนอาหาร และมีภัยแล้ง ฟางจินซิ่วตัดสินใจตอบแทนความเมตตาของครอบครัวนี้ แม่สามีป่วยหนัก? สำหรับปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เธอเก็บสมุนไพรและแช่ในสระศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งรักษาเธอให้หายดีภายในไม่กี่นาที ที่บ้านไม่มีอาหาร? ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เธอไปล่าสัตว์กับครอบครัวและโชคก็เข้าข้างเธอ ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหน เหยื่อก็จะตกหลุมพรางเสมอ กินแต่เนื้อสัตว์โดยไม่มีผักหรือ? มันเป็นปัญหาเล็กๆ เทน้ำในสระศักดิ์สิทธิ์เพียงหยดเดียว ก็สามารถปลูกพืชได้ทุกชนิดและกินผักและผลไม้อะไรก็ได้ที่พวกเธอต้องการ ญาติที่อิจฉากำลังมาก่อเรื่องเมื่อเห็นว่าพวกเธอใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย สำหรับปัญหาเล็กน้อยนี้ เธอเรียกผู้ชายที่มีความแข็งแกร่งของเธอมาจัดการพวกเขา อะไร คุณถามว่าสามีของฉันทำไมเชื่อฟังได้ขนาดนี้? จงหวี่เดินเข้ามาด้วยสายตาเร่าร้อน "คุณภรรยา ตราบใดเจ้ายอมอยู่เคียงข้างข้าตลอดชีวิต ถึงเอาชีวิตข้าไปข้าก็ยอม"
© 2018-now MeghaBook
บนสุด