เสียงเหล่านกน้อยต่างร้องเพลงขับขานไปทั้งสวนกว้างใหญ่เหล่าดอกโบตั๋นสีสดแข่งกันชูช่อ กิ่งก้านของดอกท้อสีชมพูสดใสเบ่งบานไปทั่วบริเวณ ทว่าสวนงดงามนี้ไม่รู้ว่าจะทำให้บุรุษในชุดสีดำลวดลายมังกรสีเหลืองที่ยืนมองดอกบัวไหวๆ ในสระกว้างนั้นเพลิดเพลินตาหรือไม่ ทั้งข้างกายยังมีอีกสองบุรุษที่ยืนนิ่งด้วยความอดทนอยู่ด้านหลัง ใบหน้าอันหล่อเหลาหากกลับดูกระด้างเย็นชาดูคล้ายเทพเจ้าแห่งสงคราม ยืนเอามือไพล่หลังปล่อยให้หนึ่งในผู้คนรายงานไม่หยุดปาก ราวกับจะเปล่งเสียงแข่งกับเสียงนกที่กำลังขับขานบทเพลงอยู่ได้หรือไม่
"อ๋องแปดเคลื่อนไหวได้รวดเร็วปานนั้นแถมไม่รอบคอบ แต่ก็ย่อมต้องมีพิรุธให้ผิดสังเกต"บุรุษที่เอื้อนเอ่ยประโยคแรกน้ำเสียงนุ่มนวลแต่ทรงอำนาจจนคนรายงานหยุดเสียงพยักหน้าเห็นด้วยกับคำกล่าวนั้น
"พะย่ะค่ะหวางเย่*"คนหยุดรายงานขานรับ
"อี้จาง เรื่องที่เปิ่นหวางให้ไปสืบถึงไหนแล้ว"บุรุษในชุดดำลายมังกรหันกายกลับมาช้าๆ บรรจงวางถ้วยชาลวดลายวิจิตรลงด้วยกิริยานุ่มนวลไม่ติดขัด ทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้กลมไร้พนักหินอ่อนในศาลากลางสระบัว ทางเดินทอดจนถึงฝั่งยาวสลับคดเคี้ยวไปมาดูงดงามยิ่งนัก ใบหน้าคมคายยกยิ้มเล็กน้อย นิ้วเรียวงดงามอย่างคนไม่เคยตรากตรำงานหนักเคาะลงบนโต๊ะเป็นจังหวะ สายตาทอดยาวออกไปอย่างไร้จุดหมาย
"กราบทูลหวางเย่ ในเมืองมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนไม่ทราบสังกัด แต่สายของเราได้ส่งข่าวมาแล้วว่ามีการลอบสังหารอันนี้ช่างน่าแปลกใจยิ่ง เพราะคนที่ถูกลอบสังหารกลับเป็นชายคณิกาในหอจันทร์ส่องพะย่ะค่ะ"อี้จางรายงานต่อ มือเรียวหยุดเคาะสีหน้าเรียบเฉยขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วคลายออกเป็นเช่นเดิม
"มีเรื่องเช่นนี้? "
"พะย่ะค่ะแต่เสิ่นเล่ยได้ตามสืบจนรู้ความว่าเกี่ยวข้องท่านอ๋องแปดพระเจ้าค่ะ"เสิ่นเล่ยยกมือประสานกันยื่นออกมาด้านหน้าเพื่อรายงาน
"น่าสนใจ เปิ่นหวางต้องหาทางไปชมดูเสียแล้ว"จิ้นหยางขยับกายลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เขาเป็นองค์ชายที่ถือกำหนดจากกุ้ยเฟยของฮ่องเต้องค์เก่า บัดนี้องค์รัชทายาทได้ขึ้นครองราชย์แทน และเขาก็มีหน้าที่เป็นถึงที่ปรึกษาส่วนพระองค์ขององค์ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน การคานอำนาจในราชวงค์มีมาทุกยุคทุกสมัย เดิมทีฮ่องเต้องค์เดิมเรียกเขาเข้าเฝ้าเพื่อจะให้ได้ตำแหน่งไท่จื่อ หากเขาได้ปฏิเสธไปเพราะไม่อยากจะรับภาระอันหนักอึ้งของแผ่นดินเอาไว้ หลายครั้งหลายหนที่ถูกเรียกตัวเข้าเฝ้า เขาก็ยังยืนกรานคำเดิม ดังนั้นตำแหน่งไท่จื่อจึงตกเป็นขององค์ชายสี่แทน ครั้งนั้นฮ่องเต้องค์เดิมโกรธเกรี้ยวเป็นนักหนาที่จิ้นหยางอ๋องขัดพระราชประสงค์ หากคำหนึ่งที่เอ่ยทำให้องค์ฮ่องเต้ทรงยินยอมที่จะเปลี่ยนพระทัย เขาเองเป็นองค์ชายห้าความฉลาดปราดเปรื่องทั้งบู้และบุ๋น แถมความคิดลึกซึ้งเหมาะสมกับตำแหน่งไท่จื่อมากกว่าองค์ชายไหนๆ อ๋องแปดเกิดจากสนมปลายแถว พยายามจะหาทางตัดแข้งขัดขาฮ่องเต้องค์ปัจจุบันมาตลอด นี่จึงเป็นหน้าที่ของที่ปรึกษาต้องคอยสอดส่องเพื่อความปลอดภัยทั้งขององค์ฮ่องเต้และของตัวขององค์เองด้วย
"ไปเถอะวันนี้เราจะไปหอจันทร์ส่องกัน"จิ้นหยางก้าวเท้าเดินเร็วกลับเข้าไปยังจวนด้านในทั้งสองติดตามไม่ห่างกาย ระหว่างที่เดินตามหลังคนทั้งคู่ก็แอบสบตากันเล็กน้อยเหมือนเกี่ยงว่าผู้ใดจะเป็นคนคัดค้านเรื่องที่ท่านอ๋องจะออกไปยังหอคณิกา แต่แล้วคนที่มีน้ำหนักมากที่สุดกลายเป็นอี้จาง
"แต่ว่า..."อี้จางทำท่าจะคัดค้าน จิ้นหยางโบกมือเพียงครั้งเดียวก็ทำให้คนหุบปาก ครั้นเดินกลับเข้าไปด้านในจวนก็ปรากฏหญิงงามในชุดสีครามย่อกายถวายเคารพด้วยกริยาอ่อนช้อยนุ่มนวล กลิ่นถุงหอมในกายส่งกลิ่นคลุ้งจนฉุนจมูก
"หวางเย่"เสียงกังวานใสสะดุดหูใบหน้าแย้มยิ้ม งดงามจนยากจะหาสตรีนางใดมาเทียบเคียงได้ หากนัยน์ตาหาได้อ่อนหวานสมกับใบหน้านั้นไม่
"หวางเฟยมีเรื่องอันใดหรือไม่"จิ้นหยางเอ่ยปาก
"หม่อมฉันนำซุปเห็ดขาวมาถวายเพคะ"น้ำเสียงนุ่มนวลเอ่ยปาก
"ไยต้องนำมาเอง นางกำนัลขันทีหายไปที่ใดหมด"เขาเอ่ยถาม ใบหน้าเรียบเฉยจนเดาไม่ถูกว่าคิดสิ่งใดอยู่
"หม่อมฉันอยากปรนนิบัติด้วยตัวเองเพคะ"นางกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มค่อยเดินช้าๆ เข้ามาหยุดใกล้จิ้นหยางอ๋อง เขาเบนกายออกด้วยความนุ่มนวลเชื่องช้าให้อีกฝ่ายไม่ผิดสังเกตและขุ่นข้องหมองใจ
"ลำบากเจ้าแล้ว"จิ้นหยางกล่าวเสียงเรียบมิได้แย้มยิ้มตาม หากแต่ยินยอมให้พระชายาวางถ้วยซุปลงบนโต๊ะ ปล่อยให้คนสนิทยืนรออยู่ด้านหลังฉากพับเพื่อเตรียมเปลี่ยนเครื่องทรงเป็นชุดธรรมดา เปลี่ยนเป็นระวังแทนด้วยไม่รู้เล่ห์กลของผู้ที่เข้ามาใหม่ว่าต้องการสิ่งใดกันแน่
"จะเสด็จออกไปข้างนอกจวนหรือเพคะ"มู่เหรินเป็นหวางเฟยที่รับพระราชทานมงคลสมรสให้ นางเป็นธิดาของมู่จิงผู้เป็นเสนาบดีฝ่ายขวาผู้ทรงอำนาจในราชสำนักไม่น้อย และมีฐานะเส้นสายโยงใยมากพอสมควรทำให้ยากต่อการต่อกร
"ดูแลเหล่าคนหลังจวนของเจ้าให้ดีเถิด"ถ้อยคำมิได้รุนแรง หากแต่มู่เหรินถึงกับต้องแอบเม้มปาก แม้น้ำเสียงของจิ้นหยางจะราบเรียบแต่ก็บอกเป็นนัยว่าห้ามสอดเรื่องนี้ นางได้แต่เก็บความเจ็บช้ำเอาไว้ในอก
"อี้จางเตรียมตัว"
"พะย่ะค่ะ"จิ้นหยางเดินหายไปในฉากพับ ปล่อยให้มู่เหรินได้แต่กล้ำกลืนความโกรธลงไว้ข้างใน การเป็นถึงหวางเฟยถึงแม้ว่าจะเป็นชายาเอกและได้รับพระราชทานงานอภิเษกแต่กลับไร้การเหลียวแลจากท่านอ๋อง จะมีเพียงค่ำคืนยามเข้าหอครั้งแรกที่ยอมสนิมสนมด้วยตามหน้าที่ หลังจากนั้นก็ไม่เคยได้ใกล้ชิดเฉกเช่นสามีภรรยาทั่วไปอีกเลย นางเคยลอบสังเกตว่าสวามีตนเองชอบตัดแขนเสื้อหรือไม่แต่หามีวี่แววว่าอีกฝ่ายจะเป็นเช่นนั้น
"หม่อมฉันทูลลาเพคะ"มู่เหรินย่อกายก่อนจะออกจากห้องบรรทมไปเงียบเชียบ สายตาหกคู่มองจนร่างงามลับหายไปจากสายตาแล้วถึงขยับการเคลื่อนไหว
"ไปกันเถอะ"บัดนี้จิ้นหยางอยู่ในชุดผ้าแพรเนื้อดีสีดำสนิท มือถือพัดที่สลักจากไม้จันเนื้อดีกระดาษที่วาดโดยจิตกรฝีมือเอกถูกกำขึ้นมาโบกช้าๆ ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ไม่มีเครื่องทรงราคาแพงแต่กลับฉายภาพลักษณ์โดดเด่นยิ่งนัก ร่างกายกำยำสูงใหญ่ดูไม่ขัดตาจะมีสิ่งมีค่าก็คือปิ่นที่เสียบกับมวยผมเป็นหยกมันแพะเนื้อขาวกับพู่หยกห้อยสีเดียวกันเท่านั้น
"กระหม่อมว่า..."เสิ่นเล่ยพยายามทักท้วง
"กริ่งเกรงอันใดกัน เจ้าไม่มีวรยุทธหรือข้าไม่มี"จิ้นหยางตวัดพัดให้หุบพับลงเสียงดัง ทั้งอี้จางและเสิ่นเล่ยถึงกับประสานมือก้มหัวลงนิ่ง นั่นแสดงให้รู้ว่าจิ้นหยางอ๋องผู้นี้เริ่มไม่พอพระทัยแล้ว
"ไป!! "ทั้งสามออกจากจวนคนตามหลังพกกระบี่ ต่างจากคนเดินนำหน้าที่มีแค่พัดเท่านั้นทั้งสามเดินท่องเที่ยวตามถนนเหมือนกับผู้คนต่างถิ่นแวะชมในตัวเมือง เสียงเสี่ยวเอ้อตามโรงเตี้ยมต่างตะโกนเรียกคนให้เข้าไปนั่งดื่มสุราน้ำชากันโหวกเหวก หอจันทร์ส่องเองก็ไม่แตกต่าง เพราะที่นี่มิใช่ว่าจะมีเพียงแค่คณิกาเพียงอย่างเดียว ชั้นล่างเป็นที่ดื่มน้ำชาและอาหารเลิศรส ชั้นสองมีการขับกล่อมดนตรีจากอี้จี หากเลยไปด้านหลัง ถึงจะเป็นส่วนที่เหล่าชายและหญิงคณิกาทำหน้าที่ยามค่ำคืนในห้องที่ถูกแบ่งเป็นห้องเล็กๆ มากมายหลายห้อง ทั้งสามทรุดตัวลงนั่งชั้นสอง สามารถมองลงมายังชั้นหนึ่งได้ถ้วนทั่ว เสี่ยวเอ้อรีบเดินมาต้อนรับทันทีเช่นกัน เพราะคนผู้นี้ดูมีสง่าราศีย่อมแปลว่ามีเงินทองพอที่จะจับจ่ายของราคาแพงและทิปงามๆ ให้แน่นอน
"คุณชายรับอะไรดีขอรับ"
"อะไรก็ได้ที่นี่มีใครมีชื่อเสียงบ้าง"อี้จางเอ่ยปากถาม
"ย่อมมีๆ เรามีเหล่าอี้จีงดงาม บรรเลงเพลงไพเราะมาขับกล่อม อาหารขึ้นชื่อมากมายและสาวงามที่ดังไปถึงต่างเมืองล้วนแต่ตามที่นายท่านต้องการ มิทราบว่านายท่านต้องการห้องส่วนตัวหรือไม่"
"อืม เอาอย่างนี้ นายท่านของข้าไม่อยากได้สตรีมาขับกล่อม เลือกห้องที่ดีให้กับเราสามคนเชิญ นักดนตรีที่เป็นชายมาแทนเจ้ามีหรือไม่"เสิ่นเล่ยเอ่ยถาม
"ถ้าอย่างนั้นเชิญด้านในเถอะขอรับ ห้องที่ท่านเอ่ยถึงอยู่ทางนี้ เรามีคุณชายชุนหวงที่สามารถบรรเลงเพลงฉินได้ไพเราะนักอีกทั้งยังเก่งทางด้านกวีและศิลปะอีกด้วย ข้าจะตามเถ้าแก่เนี้ยให้ออกมาต้อนรับพวกท่าน"เสี่ยวเอ้อนำพามาถึงห้องที่บอกเอาไว้ เวลาไม่นานนัก ฉีเหนียงก็รีบมาปรากฏตัวสายตาของนางดุจเหยี่ยวมองหาเหยื่อ นางประเมินคนที่ยืนโบกพัดไปมาช้าๆ และคนที่ยืนเยื้องด้านหลังด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เพราะรู้แน่ว่าคนเหล่านี้เป็นผู้ดีมีเงินมาแต่กำเนิด หาใช่พึ่งเป็นเศรษฐีใหม่แน่ๆ
"คุณชาย"ฉีเหนียงเกาะแขนเสื้อจิ้นหยางเอาไว้ ใบหน้าพอกด้วยแป้งขาวโพลนชม้อยชม้ายชายตา ถึงแม้ว่านางจะอายุเข้ากลางคนก็ยังอดใจที่จะชื่นชมใบหน้าอันหล่อเหลานี้ไม่ได้
"ตามคน"อี้จางเอ่ยปาก ปรายตามองมือที่แตะต้องชายแขนเสื้อของจิ้นหยางด้วยสายตาไม่พอใจยิ่ง ฉีเหนียงพานพบผู้คนมากหลากหลายย่อมรู้ดีว่าควรแสดงออกถึงไหนก็ย่อกายลงเคารพ พร้อมกับเดินนำทั้งสามคนขึ้นสู่ชั้นสอง ระหว่างย่างกรายผ่านห้องที่แบ่งออกเป็นสัดส่วนเสียงหยาบโลนปนเสียงครวญครางแว่วออกมาเป็นระยะตามทางที่เดิน
"โปรดรอซักครู่นะเจ้าคะ เราจะตามคนมาบรรเลงเพลงเดี๋ยวนี้"ฉีเหนียงย่อมรู้ว่าคนที่ตามมาไม่ใช่ชุนหวงแน่นอน เพราะขานั้นถึงแม้ว่าจะยอมมาขับกล่อมดนตรีให้ แต่ก็ใช่ว่าจะสั่งการได้ง่ายพอเห็นเงินสองก้วนที่อี้จางส่งให้ก็ตาวาวสมองไม่คิดหน้าคิดหลังอีกแล้ว
"เร็วๆ "
"เจ้าค่ะๆ "นางหายลับพ้นไปจากสายตา จิ้นหยางเดินเข้าไปสำรวจภายในห้องที่แยกออกมาจากผู้คนที่กำลังดื่มกินอย่างออกรส
"สถานที่ไม่เลว"
"พะย่ะค่ะ"เสิ่นเล่ยเอ่ยปากตอบรับ ทั้งสามทรุดตัวลงนั่งรอคอยอาหารและสุรา ไม่นานเสี่ยวเอ้อก็นำเข้ามาวางไว้ให้ เสียงพิณจึงค่อยเริ่มบรรเลง เสียงพิณอ่อนหวานแผ่วพลิ้วไพเราะลื่นหูยิ่ง
"ผู้นั้นใคร"เสิ่นเลยถามเสี่ยวเอ้อ
"นั่นคือเอ้อจงขอรับ"
"นี่คือดาวที่นี่หรือไร"
"มิใช่ขอรับ คนมีชื่อเสียงที่สุดคือคุณชายชุนหวง แต่เขามักจะทำตามอำเภอใจบางครั้งก็ยินยอมบรรเลงบางครั้งก็ไม่ยินยอม นั่นแล้วแต่อารมณ์ขอรับ"
"เราต้องการเขา"อี้จางเอ่ยปาก
"คงมิได้ขอรับ ขนาดเถ้าแก่เนี้ยไปเรียกด้วยตนเองก็ยังไม่ออก นั่นมาย่อมไม่มา"เสี่ยวเอ้อส่ายหน้า ทันใดนั้นกระบี่ก็ถูกชักออกจากฝักจี้ที่ลำคอของเสี่ยวเอ้อทันที เขาถึงกับตัวสั่นด้วยความตกใจ
"เดี๋ยวนี้! "เป็นเสิ่นเล่ยที่ตวาดเสียงดัง เสี่ยวเอ้อถึงกับหน้าซีดเผือดละล่ำละลักบอก
"ขอรับๆ "ร้อนถึงฉีเหนียงและฉีเฮ่อที่วิ่งเข้ามาดูว่าเกิดเรื่องใดขึ้น
"อันใด เกิดเรื่องอันใด"ฉีเฮ่อเปิดปากถามด้วยหน้าตาดุดันตามนิสัย
"พวกเจ้าดูถูกพวกเราขนาดไหน มิใช่ว่าบอกกล่าวแล้วหรือไรว่าต้องการสิ่งที่ดีที่สุด สุราและอาหารย่อมเลิศรส แต่ผู้ขับกล่อมดนตรีกลับเอาผู้ไม่ประสามากระนั้นหรือ"อี้จางเอ่ยโผงผาง
"มิกล้าๆ ข้าน้อยมิกล้า เราจะรีบเรียกชุนหวงออกมาเดี๋ยวนี้ขอรับ"ฉีเฮ่อรีบเอ่ยสะกิดฉีเหนียงและเสี่ยวเอ้อให้รีบออกจากห้องไป แต่ทว่าพวกเขาก็ยังไม่กล้าออกไปโดยพละการ เพราะคนทั้งสามดูแล้วเป็นผู้ทำจริงหาใช่ดีแต่ใช้ปากข่มขู่
"ดี!! "ทั้งสองสำทับ ปล่อยให้จิ้นหยางนั่งหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงอาการใดๆ คนหอจันทร์ส่องเหลือบสายตาสบกัน พอได้ยินเสียงกระแทกกระบี่ลงกับโต๊ะก็รีบออกไปทันทีเหมือนคนกลัวตาย
"อาจจะไม่สามารถออกมาพะย่ะค่ะ ข่าวรายงานว่าคนบาดเจ็บมิใช่น้อย"อี้จางรายงาน
"อืม..รอดู"จิ้นหยางครางรับ เพียงไม่นานกลับมีเสียงฉินบรรเลงแผ่วๆ เข้ามา น้ำเสียงราวกับปุยนุ่นเอ่ยลอดมาจากนอกห้อง ไพเราะเสนาะหูยิ่งนัก หากหลับตาฟังคงคิดว่าอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ สายลมโบกโชยชวนหลงใหลยิ่ง
"ขออภัยคุณชายทั้งสาม ข้ามิอาจแสดงตัวได้ เพราะมิใคร่สบายเกรงจะทำให้พวกท่านไม่สบายตาตามไปด้วย จึงขอบรรเลงให้ท่านได้ฟังจากนอกห้องได้หรือไม่"น้ำเสียงนุ่มนวลกังวานใสเอ่ยถาม
"ถือว่าดูถูกคุณชายเราอย่างยิ่ง พวกเรามิได้อ่อนแอขนาดนั้น เชิญเข้ามาบรรเลงให้พวกเราฟังด้านในเถอะ"เป็นอี้จางที่ทักตอบ
"แต่ว่า..."ยังไม่ทันเอ่ยจบ ประตูก็ถูกเลื่อนออกด้วยแรงของเสิ่นเล่ย บานประตูเปิดกว้างจนมองเห็นใบหน้าซีดเซียวในชุดผ้าแพรสีขาว นั่งอยู่ชิดระเบียง ด้านหน้ามีฉินวางอยู่มือเรียวขาวผ่องวางอยู่บนสายฉิน ข้างกายมีชายหนึ่งหญิงหนึ่งยืนอยู่แต่งกายด้วยสีขาวเช่นกัน เส้นผมดำขลับปลิวสยายไปตามแรงลมกลิ่นหอมอ่อนๆ เป็นกลิ่นดอกท้อโชยมาบางเบาให้พอสดชื่น จิ้นหยางครั้นเมื่อมองเห็นเส้นผมยาวดำก็คล้ายจะตกตะลึงเล็กน้อย ยิ่งน้ำเสียงที่เปล่งออกมานุ่มนวลยิ่งทำให้นึกอยากเห็นใบหน้าให้ชัดเจนขึ้น
"เชิญด้านในเถอะ"เสิ่นเล่ยผายมือ ชุนหวงทำสีหน้าลำบากใจ เนื่องเพราะตนเองยังบาดเจ็บจากพิษ แต่ขัดฉีเฮ่อกับฉีเหนียงไม่ได้จำใจต้องฝืนสังขารมาบรรเลงฉินให้ผู้คนฟัง
"เกรงว่ามิสะดวกพวกเราต้องขออภัย"เป็นไน่ยไน่ยที่พูดขึ้น
"พวกเรามีเงินทองมากมาย ยินดีที่จะจ่ายเพียงแค่ขอฟังเพลงฉินที่เขาร่ำลือกันว่าไพเราะนักหนาได้หรือไม่ ถึงแม้นว่าคุณชายท่านนี้จะบรรเลงฉินให้ฟังได้ แต่ไม่เห็นหน้ามันก็กระไรอยู่จริงหรือไม่"อี้จางกล่าว
"เชิญด้านใน"น้ำเสียงราบเรียบยิ่ง แต่กลับแสดงถึงพลังอำนาจบางอย่าง ทั้งสามจึงมิกล้าโต้แย้ง ทั้งสองคนจึงได้แต่ค่อยประคองชุนหวงให้เดินเข้าไปด้านใน หลี่เจี๋ยนำฉินมาวางไว้ตรงหน้า ชุนหวงเหงื่อออกจากการฝืนเดินมานั่ง หยดน้ำพราวไปทั่วบริเวณไรผมแสงแดดยามสายสาดส่องเข้ามากระทบใบหน้า ยิ่งดูงดงามราวกับภาพวาด จินหยางนั่งนิ่งมิกล่าวซ้ำลอบสำรวจคนที่ตั้งท่าบรรเลงด้วยสายตายากที่จะอ่านว่าคิดการสิ่งใดอยู่
"เขาบาดเจ็บ"น้ำเสียงแผ่วเบาหากชัดเจนกับสองผู้ติดตาม
"พะย่ะค่ะสายข่าวของเรารายงานไม่พลาด"เสิ่นเล่ยกระซิบตอบ
"ตามให้รู้เรื่อง เปิ่นหวางต้องการรู้เรื่องราวของคนผู้นี้"จิ้นหยางกลับมานั่งตัวตรงอีกครั้ง ดวงตาคมกริบจ้องใบหน้าขาวผ่องจนอีกฝ่ายต้องเสหลบสายตา เพราะเดาไม่ถูกว่าผู้ที่ร่างกายกำยำดูมีสง่าราศีผู้นี้จับผิดเรื่องใดกันแน่