ฉู่ชิงหวงไม่แปลกใจเลยสักนิด ซูยู่เอ๋อร์เป็นแค่อนุนางหนึ่งเท่านั้น ต่อให้ท่านแม่ทัพจะโปรดปรานนางสักเพียงใด นางก็ไม่อาจไปขัดผลประโยชน์ผู้ใดได้ แต่ซูยู่เอ๋อร์กลับใส่ร้ายฉู่ชิงหวง นั่นก็หมายความว่านางถูกคนบงการ ยามนี้คนที่อยู่เบื้องหลังผู้นั้น ก็ย่อมต้องฆ่านางปิดปากเพื่อปกป้องตัวเองอยู่แล้ว!
“น้อมรับคำสั่งเจ้าคะ”
ซูยู่เอ๋อร์ตายในห้องของตัวเอง หลังจากที่นางทำร้ายแม่นมที่มาตรวจร่างกายนางจนสลบแล้ว นางก็ตรงกลับห้องของตัวเองทันที นางคิดจะเก็บของมีค่าแล้วหนีไปขอความช่วยเหลือจากคนที่บงการนางอยู่เบื้องหลัง เพียงแต่ในเมืองหลวงนี้ ผู้ใดจะกล้าล่วงเกินจวนท่านแม่ทัพใหญ่ที่กำลังได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทกัน เพราะฉะนั้นซูยู่เอ๋อร์จึงถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะต้องถูกฆ่าปิดปาก
ฉู่ชิงหวงใช้ผ้าเช็ดหน้าแพรห่อมือตัวเองไว้แล้วจับชีพจรซูยู่เอ๋อร์ “ศพยังอุ่นอยู่ คาดว่าน่าจะตายได้ราวหนึ่งชั่วยาม ที่หน้าอกมีบาดแผลจากการถูกกริชแทงให้ตายในคราวเดียว แต่ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ก่อนตาย คาดว่าผู้ลงมือน่าจะเป็นคนที่ผู้ตายรู้จักและคุ้นเคยดี และน่าจะแทงสังหารผู้ตายขณะที่ยังไม่ทันระวังตัว”
“เจ้าชันสูตรศพเป็นด้วยหรือ?” อ๋องเก้ามองแววตาฉู่ชิงหวงแล้วก็พลันรู้สึกแปลกใจ เจ้าหน้าที่ชันสูตรกับหมอแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่สตรีนางนี้กลับชันสูตรศพได้ด้วย!
“ท่านอ๋องเพคะ การรักษาคนกับการชันสูตรศพล้วนมีปลายทางอย่างเดียวกัน ก็คือตรวจร่างกายคน เพียงแต่อย่างแรกทำเพื่อคนเป็น อย่างหลังทำเพื่อคนตาย” ฉู่ชิงหวงลุกขึ้นหันไปมองเจี่ยงซางหวู่ “ฆาตกรน่าจะยังอยู่ในจวน ขอท่านแม่ทัพโปรดตรวจค้นดู ฆาตกรเป็นบุรุษ สูงเจ็ดฉื่อสองชุ่น และถนัดซ้าย”
เจี่ยงซางหวู่มองนางด้วยสายตาตกตะลึง “เจ้ารู้ด้วยหรือว่าฆาตกรเป็นใคร?”
“ข้าเพียงแต่สรุปจากหลักฐานที่ทิ้งไว้บนศพเท่านั้น ท่านแม่ทัพแค่ทำการตรวจค้นตามที่ชิงหวงบอก หลังจากหาตัวได้แล้ว ชิงหวงย่อมมีคำอธิบายให้กับท่าน!”
เจี่ยงซางหวู่แม้จะยังสงสัยอยู่บ้าง แต่ก็รีบให้คนไปตรวจค้นทันที ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็จับคนที่มีลักษณะอย่างที่ฉู่ชิงหวงบอกมาได้ ซ้ำคนผู้นั้นยังเป็นองครักษ์ในจวนแม่ทัพอีกด้วย
“บอกมา เหตุใดเจ้าต้องฆ่าซูยู่เอ๋อร์ด้วย?”
“ท่านแม่ทัพขอรับ ข้าน้อยถูกใส่ความ ข้าน้อยมิได้สังหารยู่ฮูหยิน ท่านแม่ทัพ ท่านต้องเชื่อข้าน้อยนะขอรับ ข้าน้อยลาดตระเวนอยู่ตลอด จะสังหารยู่ฮูหยินได้อย่างไรขอรับ” องครักษ์ผู้นั้นยังคงพูดจาเล่นลิ้นอยู่อย่างนั้น ส่วนเจี่ยงซางหวู่แต่ไหนแต่ไรก็เชื่อมั่นในคนของตัวเองมาตลอด จึงอดมองฉู่ชิงหวงด้วยสายตาเคลือบแคลงสงสัยไม่ได้
ฉู่ชิงหวงหยุดยืนอยู่ตรงหน้าองครักษ์ผู้นั้น “เจ้าชื่ออะไร?”
ข้าน้อยหวังจื้งขอรับ” องครักษ์ผู้นั้นก้มหน้าตอบ
ฉู่ชิงหวงพยักหน้า “เจ้าบอกว่าเจ้าไม่ได้ฆ่ายู่ฮูหยินใช่หรือไม่?”
“ขอรับ ข้าน้อยไม่ได้ทำ”
“และเจ้าก็ไม่เคยสัมผัสกับยู๋ฮูหยินด้วยใช่หรือไม่?”
“ขอรับ!” หวังจื้งตอบอย่างเด็ดขาดหนักแน่น แต่ฉู่ชิงหวงกลับหัวเราะ นางเอื้อมไปคว้ามือข้างซ้ายขององครักษ์หนุ่ม “เช่นนั้นคราบเลือดที่เปื้อนแขนเสื้อเจ้านี้มันเรื่องอันใดกัน?”
หวังจื้งตื่นตะลึง เขารีบก้มมองที่หน้าอกตัวเองอย่างรวดเร็ว ถึงได้พบว่ามีคราบเลือดอยู่จริง ๆ องครักษ์หนุ่มพลันหน้าถอดสี “นี่เป็นเลือดข้าน้อยเอง...”
“โกหก!” ฉู่ชิงหวงแค่นหัวเราะ “บนตัวเจ้าไม่มีบาดแผลสักแห่งจะมีคราบเลือดได้อย่างไร อีกอย่าง ข้าตรวจดูอย่างละเอียดแล้ว รอยเท้าที่ฆาตกรทิ้งไว้มีดินโคลนแบบพิเศษผสมอยู่ด้วย คาดว่าเป็นดินโคลนสำหรับปลูกดอกไม้”
หวังจื้งก้มมองรองเท้าของตัวเองถึงได้พบว่าเปื้อนดินโคลนอยู่ไม่น้อย แต่คนที่เหยียบดินโคลนในจวนแม่ทัพไม่ได้มีแต่เขาแค่คนเดียวแน่ ทว่าขณะที่กำลังจะแก้ตัวขึ้นมานั้นเอง เขาก็ได้ยินฉู่ชิงหวงเอ่ยขึ้นต่อ “บอกมา บนตัวเจ้ามีรอยชาดทาปากของยู่ฮูหยินอยู่ด้วย ได้ยินว่ามีแค่ยู่ฮูหยินเท่านั้นที่มี”
หวังจื้งฟังถึงตรงนี้ก็รู้ว่าตัวเองไม่อาจพูดแก้ต่างอันใดได้อีก จึงรีบกัดลิ้นตัวตายทันทีโดยไม่หันไปมองหน้าเจี่ยงซางหวู่สักแวบหนึ่งด้วยซ้ำ เจี่ยงซางหวู่สีหน้าเขียวคล้ำเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง คิดไม่ถึงว่าอนุเขาแสร้งตั้งครรภ์ยังไม่พอ องครักษ์ของเขาก็ยังมีส่วนด้วย
“เจ้าไปได้แล้ว”
“ชิงหวงขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
“ฉู่ชิงหวง เจ้ายังไปไม่ได้ เจ้าต้องตามข้าเข้าวังไปรายงานต่อฝ่าบาท ในเมื่อเจ้าถูกใส่ความ และข้าเองก็ขัดราชโองการของฝ่าบาทเพราะเจ้า ดังนั้นย่อมต้องเข้าวังไปรายงานสักหน่อย”
“หม่อมฉันน้อมรับคำสั่งเพคะ” ฉู่ชิงหวงเดินตามอ๋องเก้าจากไปอย่างว่าง่าย ทิ้งให้เจี่ยงซางหวู่มองเงาแผ่นหลังที่ห่างออกไปของฉู่ชิงหวงด้วยแววตาซับซ้อน ทว่าท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา เพียงให้คนนำศพไปจัดการเท่านั้น
เรื่องที่เกิดขึ้นที่ลานประหารและจวนแม่ทัพหาได้หลุดรอดสายพระเนตรของฝ่าบาท พอท่านอ๋องเก้าพาฉู่ชิงหวงเข้าวัง ก็ต้องเจอเรื่องลำบากทันที
“เจ้าเก้า มาแล้วหรือ!” เพียงน้ำเสียงไม่เบาไม่หนักนั้น กลับทำให้ฉู่ชิงหวงทรุดตัวลงคุกเข่าทันที ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นอีก ทว่าท่านอ๋องเก้ากลับยืนอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทีมิได้อ่อนน้อม หากก็มิได้แข็งกระด้าง
“อืม” จวินโม่เฉินขานรับเพียง “อืม” สั้น ๆ แค่คำเดียว ฉู่ชิงหวงแทบอยากจะพุ่งใส่เข้าเสียให้ได้ ในที่สุดนางก็ได้รู้เสียทีว่าฝ่าบาททรงมีพี่น้องตั้งหลายคน แต่เหตุใดจึงอยากให้เขาตายแค่คนเดียว ก็เพราะว่าท่านอ๋องคนอื่น ๆ มิมีผู้ใดกล้าบังอาจกับพระองค์ถึงเพียงนี้อย่างไรเล่า เขาถึงขนาดขาน “อืม” ตอบคำถามพระองค์แค่คำเดียวกระนั้นหรือ?
“เจ้าพูดอย่างนี้ก็หมายความว่า เจ้าสำนึกผิดแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าผิดอันใด?” สีหน้าจวินโม่เฉินไม่แปรเปลี่ยน “ฉู่ชิงหวงนางบอกว่านางถูกใส่ความ และบัดนี้ความจริงก็พิสูจน์แล้วว่านางถูกใส่ความจริง ๆ ข้าก็เพียงจัดการไปตามเนื้อผ้าเท่านั้น!”
“เจ้ายังมีหน้ามากล่าวอ้างเหตุผลอีกงั้นหรือ!” ฮ่องเต้ในวัยชรายกม้วนฎีกาในมือขึ้นตั้งท่าจะจว้างใส่จวินโม่เฉิน แต่สุดท้ายก็โยนลงบนโต๊ะด้วยความเดือดดาล “เจ้าขัดราชโองการเรา เจ้า...”
“องค์ชายแปด ฝ่าบาททรงงานอยู่พะยะค่ะ ยังเข้าไปไม่ได้พะยะค่ะ...”