ขณะที่เสียงร้องปรามของขันทีดังแว่วมานั้นเอง ประตูห้องทรงอักษรก็ถูกเปิดเข้ามา เด็กหนุ่มอายุราว 17-18 แต่งกายด้วยชุดที่ตัดจากผ้าแพรต่วนสีม่วงตลอดทั้งร่าง ด้านนอกยังสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีขาวราวกับหิมะทับด้วยอีกชั้นหนึ่ง ช่างดูราวกับหมีไร้หางที่บุกเข้ามาพร้อมกับหอบไอเย็นเข้ามาด้วย
“เสด็จพ่อ เสด็จพ่อ ดูเสื้อขนสัตว์ที่ลูกได้มาใหม่นี่สิพะยะค่ะ งดงามมากใช่หรือไม่?”
ฮ่องเต้วัยชราเห็นเสื้อขนสัตว์ปุกปุยที่อีกฝ่ายยื่นมาตรงหน้าแล้วก็สีหน้าเครียดขรึม “เจ้าแปด เจ้าไม่เห็นหรือว่าพ่อกำลังหารือธุระกับอาเก้าของเจ้าอยู่?”
“เช่นนั้นหรือพะยะค่ะ? ลูกผิดไปแล้วพะยะค่ะ” องค์ชายแปดหัวเราะคิกคักพลางขยับเข้าไปใกล้ฮ่องเต้วัยชราแล้วเงยหน้าขึ้น “ลูกรบกวนเสด็จพ่อกับเสด็จอาเก้า เสด็จพ่อทรงตีลูกเถอะพะยะค่ะ”
“เจ้าลิงไร้ทะโมนเช่นเจ้านี่นะ นับวันยิ่งไม่รู้ความขึ้นเรื่อย ๆ จริง ๆ ” ฮ่องเต้ถลึงตามององค์ชายแปด พระองค์ชักจะจนใจกับลูกชายที่ชอบโอ้อวดผู้นี้แล้วจริง ๆ “ยังไม่รีบออกไปอีก หากยังก่อเรื่องวุ่นวายอยู่ที่นี่อีก ดูสิว่าเราจะเรียกเสด็จแม่ของเจ้ามาลงโทษเจ้าหรือไม่”
“อย่านะพะยะค่ะเสด็จพ่อ ลูกจะไปเดี๋ยวนี้แล้วพะยะค่ะ!” องค์ชายแปดว่าพลางรีบเดินออกไป ทว่าทันใดนั้นเองเขาก็สบสายตาเข้ากับฉู่ชิงหวงที่กำลังก้มหน้าคุกเข่าอยู่กับพื้นพอดี เขาพลันยิ้มกว้างอย่างสดใสจนเผยให้เห็นฟันเขี้ยวทั้งสองข้าง ก่อนจะรีบวิ่งออกไป
“เจ้าลิงทะโมนนี่!” ฮ่องเต้วัยชรายิ้มไม่หยุด พระพักตร์พระองค์เผยให้เห็นว่าทรงรักและเอ็นดูองค์ชายแปดมากเพียงใด ทว่าพอสายพระเนตรทอดลงมามองฉู่ชิงหวงที่คุกเข่าอยู่กับพื้นไม่พูดไม่จา ก็เปลี่ยนไปเป็นล้ำลึกเกินจะคาดเดา “ฉู่ชิงหวง เจ้าโทษเราหรือไม่?”
ฉุ่ชิงหวงตอบอย่างตื่นตระหนก “ทูลฝ่าบาทเพคะ จะฝนตกฟ้าผ่าล้วนต้องขอบคุณสวรรค์ ฝ่าบาทจะลงโทษอย่างไรก็ล้วนเป็นพระมหากรุณาธิคุณ หม่อมฉันซาบซึ้งอย่าหาที่สุดมิได้เพคะ”
ฮ่องเต้หรี่พระเนตรลงมอง ”เจ้านับว่าเป็นคนที่น่าสนใจยิ่งนัก ในเมื่อเจ้าสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้ตัวเองได้ ไหนจะมีอ๋องเก้ากับแม่ทัพใหญ่ช่วยขอร้องแทนเจ้าอีก เรื่องนี้ก็ให้แล้วกันไปเถิด เจ้ากลับไปได้แล้ว”
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณเพคะ” ฉู่ชิงหวงค้อมศีรษะขอบพระทัย ย่อกายแล้วปลีกตัวออกไป ท่าทางเช่นนั้นของนางทั้งเจียมเนื้อเจียมตัวและเคารพนบนอบ ช่างแตกต่างจากตอนอยู่ที่จวนแม่ทัพลิบลับ สตรีนางนี้ช่างแสดงละครเก่งนัก!
“เจ้าเก้า”
“พะยะค่ะ”
“เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ตั้งยี่สิบหกแล้ว ตอนเราอายุเท่าเจ้าก็มีองค์รัชทายาทแล้ว เห็นทีว่าเราควรพระราชทานสมรสให้เจ้าเสียแล้ว” ฮ่องเต้ชราทอดพระเนตรมองจวินโม่เฉินเงียบ ๆ “บุตรีคนเล็กของเจ้ากรมกลาโหมก็ไม่เลว เราจะเลือกวันพระราชทานสมรสให้เจ้าก็แล้วกัน เจ้าออกไปได้แล้ว”
พอออกจากวังหลวง ฉู่ชิงหวงก็ถึงได้เกิดความรู้สึกว่าตนเพิ่งเอาชีวิตจากภัยใหญ่หลวงมาได้ นางมองแสงอาทิตย์เจิดจ้าแล้วก็มักรู้สึกว่าเรื่องทุกอย่างนี้ไม่ใช่ความจริง ตั้งแต่ฟื้นคืนชีพมาอีกครั้งจนถึงตอนนี้ นางต้องเผชิญกับความเป็นความตายหลายต่อหลายครั้ง นางเพิ่งจะได้หายใจหายคอเอาก็ตอนนี้เอง การมีชีวิตรอดนี่ช่างเป็นเรื่องยากเย็นยิ่งนัก
นางยืนอยู่หน้าประตูวังที่ว่างเปล่า ทันใดนั้นริมฝีปากนางก็พลันหยักยิ้มเยาะขึ้นมา คนที่จวนเสนาบดีนี่ช่างเย็นชานัก ไม่มีใครสนใจว่านางจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรสักคน คนเดียวที่สนใจนางก็คือฮูหยินผู้เฒ่า ซึ่งยามนี้ก็ถูกนางยั่วโมโหจนต้องออกไปทำบุญไหว้พระไม่ยอมกลับมา
ทันใดนั้นเอง จวินโม่เฉินก็ออกมาเห็นฉู่ชิงหวงกำลังยกมือปิดหน้าเข้าพอดี จึงนึกว่านางร้องไห้อยู่ แต่พอเดินเข้าไปใกล้ ๆ ถึงได้เห็นว่านางหาได้กำลังร้องไห้ แต่กำลังยกมือขึ้นบังแดดที่กำลังแยงตาต่างหาก
“คารวะท่านอ๋องเก้าเพคะ ขอบพระทัยท่านอ๋องเก้าที่ช่วยชีวิตเพคะ” ฉู่ชิงหวงเห็นจวินโม่เฉินก็คุกเข่าโขกศีรษะกับพื้นเป็นการขอบคุณทันที ทว่าจวินโม่เฉินกลับไม่เหลือบมองแม้แต่หางตา ทิ้งให้ฉู่ชิงหวงคุกเข่าอยู่หน้าประตูวังราวกับคนโง่งมแล้วเดินจากไป
ฉู่ชิงหวงหมดคำพูด ก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นเองโดยเงียบ ๆ จากนั้นก็ปัดฝุ่นออกจากอาภรณ์ให้เรียบร้อยและยืนตัวตรง แล้วมุ่งหน้าไปยังจวนเสนาบดี แม้ทางจะไกลอยู่ไม่น้อย แต่สำหรับนางแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด
ฉู่ชิงหวงคิดไม่ถึงว่า จากประตูวังเดินไปถึงจวนเสนาบดีจะใช้เวลาถึงสอชั่วยามเต็ม ๆ นางเดินจนเจ็บเท้าไปหมด แต่พอก้าวเข้าไปในจวนก็ต้องพบกับใบหน้าเขียวคล้ำถมึงทึงของเสนาบดีฉู่ กับสายตาที่สุดแสนจะมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นของนางหวังและคนอื่น ๆ
“ท่านพ่อ!”
“นังลูกทรพี!” เสนาบดีฉู่คว้าถ้วยชาที่อยู่ข้างกายเขวี้ยงใส่ฉู่ชิงหวง นางเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อย ถ้วยชานั้นจึงเฉียดผ่านใบหูนางไป น้ำชาร้อน ๆ นั้นหกรดลวกตัวนาง ทว่านางกลับมิได้ร้องสักแอะ เพียงจ้องเสนาบดีฉู่ตรง ๆ เท่านั้น
“นังลูกทรพีนี่ช่างบังอาจนักนะ ถึงขนาดกล้าเอาคนทั้งตระกูลเป็นเดิมพันเพื่อเอาตัวรอด เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังเผชิญหน้ากับใครอยู่? ท่านอ๋องเก้า ท่านอ๋องเก้าที่ฆ่าคนโดยไม่กะพริบตาและเห็นชีวิตคนเป็นผักปลาผู้นั้น!” เสนาบดีฉู่โกรธจนตัวสั่น ผู้ใดบ้างไม่รู้ว่าท่านอ๋องเก้าทั้งเย็นชาไร้หัวจิตหัวใจและป่าเถื่อนบ้าเลือดเพียงใด แต่นังลูกทรพีนี้เพียงเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอด ถึงกับกล้าลากชีวิตคนทั้งตระกูลไปขอร้องท่านอ๋องเก้าด้วยกันกับนาง ช่างรนหาที่ตายนัก!
“ท่านพ่อ ลูกเพียงแต่ไม่อยากให้ชื่อเสียงของท่านพ่อต้องเสื่อมเสียเท่านั้น หากลูกต้องโทษลอบสังหารทายาทของท่านแม่ทัพแล้วล่ะก็ ท่านแม่ทัพก็ต้องพาลมาโกรธท่านพ่อ อีกทั้งฝ่าบาทก็ทรงโปรดและให้ความสำคัญกับท่านแม่ทัพใหญ่ออกปานนั้น หากลูกไม่พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง ท่านแม่ทัพจะต้องพาลโกรธท่านพ่อและทำให้ท่านเดือดร้อนแน่”
“เจ้ามันเถียงข้าง ๆ คู ๆ ” เสนาบดีฉู่ตบโต๊ะฉาด ตอนเกิดเรื่อง เขาก็ตัดขาดกับนางไปแล้ว ทั้งยังมอบตัวนางให้แม่ทัพใหญ่เจี่ยงซางหวู่จัดการไปแล้ว เจี่ยงซางหวู่จะยังกล่าวโทษเขาอีกได้อย่างไร “ข้ารู้ว่าเจ้ามันกำเริบเสิบสารมาตลอด แต่นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะกำเริบเสิบสานได้ถึงขนาดนี้ เจ้าถึงกับไม่สนใจชีวิตของคนทั้งตระกูล ข้าไม่มีลูกสาวที่ใจคอโหดเหี้ยมอำมหิตเช่นเจ้า!”