ประโยคนี้ทำให้ฉู่ชิงหวงคล้ายกับโดนทุบเข้าเต็มแรงจนมึน แม้นางจะมิได้ชอบพอโจวอ๋องซื่อจื่อผู้นี้ ทว่าเขามาซ้ำเติมนางเอาตอนนี้ ไม่แล้งน้ำใจเกินไปหน่อยหรือ!
“ซื่อจื่อ ท่านไตร่ตรองให้ดีก่อนเถิด!” ฉู่ชิงหวงเอ่ยขึ้นทันที หากนางเสียโจวอ๋องซื่อจื่อที่เป็นคู่หมั้นผู้นี้ไป เกรงว่านางจะไม่เพียงอยู่ในจวนอย่างยากลำบาก แต่จะมีภัยถึงชีวิตด้วย!
“ข้าอยากถอนหมั้นมานานแล้ว บัดนี้เจ้าทำเรื่องโหดร้ายเช่นนี้ ชายาข้าจะเป็นสตรีเลวร้ายถึงเพียงนี้ได้อย่างไร ดังนั้นข้าจึงมาถอนหมั้นด้วยตัวเองถึงที่นี่!” เขาเอื้อนเอ่ยด้วยท่าทีปลอดโปร่ง ราวกับไม่ได้กำลังพูดเรื่องคอขาดบาดตาย แต่กำลังพูดเรื่องที่ไม่ได้สลักสำคัญอันใดเท่านั้น!
“ซื่อจื่อ สัญญาหมั้นนี้...” เสนาบดีฉู่ลังเลเล็กน้อย เพราะหากโจวอ๋องซื่อจื่อผู้นี้เกิดถอนหมั้น ความสัมพันธ์ระหว่างจวนเสนาบดีกับจวนโจวอ๋องก็ต้องเป็นอันจบสิ้น
“ท่านเสนาบดีฉู่ไม่ต้องกังวลไป ข้าเพียงถอนหมั้นฉู่ชิงหวงเท่านั้น ชายาข้าไม่อาจเป็นหญิงใจไม้ไส้ระกำเช่นนี้ เพราะฉะนั้นข้าจะอยากถอนหมั้นฉู่ชิงหวง แล้วสู่ขอคุณหนูสี่ฉู่ชิงเยว่แทน” กล่าวถึงตรงนี้ โจวอ๋องซื่อจื่อก็ทอดสายตาอ่อนโยนดุจสายน้ำไปมองฉู่ชิงเยว่ที่ยืนอยู่ด้านข้าง แววตานั้นเต็มไปด้วยรักใคร่
ฉู่ชิงเยว่หน้าแดงระเรื่อแล้วก้มหน้าลงอย่างเขินอาย แค่มองก็รู้แล้วว่าทั้งสองตกลงปลงใจกันมาตั้งนานแล้ว มีเพียงคนเก่าเท่านั้นที่ยังโง่งม ถึงได้ไม่เคยรู้อะไรมาก่อน วันนี้เรื่องออกมาเช่นนี้ เกรงว่าพวกนางคงวางแผนกันมาก่อนแล้ว
“ได้!” เสนาบดีฉู่ตอบอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ขอเพียงยังมีการหมั้นหมายอยู่ และเจ้าสาวยังเป็นคุณหนูจวนเสนาบดีก็พอแล้ว อีกทั้งเขาก็ยังเห็นว่าชิงเยว่ของเขาต่างหากคือคนที่เหมาะสมจะเป็นชายาซื่อจื่อที่สุด ส่วนฉู่ชิงหวงนั้น เขาปรายตามองอย่างรังเกียจเดียดฉันท์แค่แวบเดียวเท่านั้น “ในเมื่อซื่อจื่อกับเยว่เอ๋อร์ผูกสมัครรักใคร่กัน ข้าจะขัดขวางได้อย่างไร ฉู่ชิงหวง เจ้าจงนำของแทนใจออกมาให้น้องสาวของเจ้าเสีย”
ฉู่ชิงหวงแค่นหัวเราะเย้ยหยัน ก่อนจะโยนของแทนใจที่ว่านั้นลงพื้นอย่างไร้เยื่อใย ไม่ต่างจากโยนขยะทิ้งอย่างไรอย่างนั้น โจวอ๋องซื่อจื่อขมวดคิ้วเครียด ก่อนจะหันไปมองฉู่ชิงหวงอย่างไม่พอใจ ทว่านางกลับไม่มองเขาแม้แต่หางตา บุรุษในโลกนี้ล้วนแต่ไม่จริงใจ ทั้งเสนาบดีฉู่ ทั้งโจวอ๋องซื่อจื่อ ล้วนแต่ไม่ต่างกัน!
“ท่านพี่ ท่านโยนเช่นนี้ได้อย่างไรกัน หากแตกหักเสียหายจะทำอย่างไร!” ฉู่ชิงเยว่รีบหยิบป้ายหยกขึ้นมาวางลงบนมือของโจวอ๋องซื่อจื่อ
เขาจับมือฉู่ชิงเยว่เอาไว้ ก่อนจะวางป้ายหยกนั้นลงบนมือนางอีกที “เยว่เอ๋อร์ ที่เป็นของแทนใจของข้า”
“ท่านซื่อจื่อ รบกวนท่านช่วยเอาของแทนใจที่เป็นของท่านแม่ข้าคืนมาด้วย” น้ำเสียงของฉู่ชิงหวงเย็นเยียบราวกับน้ำค้าง หากเขาไร้ใจนางก็เลิกรากับเขา เขาเป็นพวกคนไม่จริงใจ มีหรือที่นางฉู่ชิงหวงจะตามตอแยเขาไม่เลิกรา
โจวอ๋องซื่อจื่อแค่นหัวเราะ ก่อนจะโยนขอแทนใจที่ฉินฮูหยินให้เป็นหลักประกันในตอนนั้นลงกับพื้นจนแตกละเอียด ฉู่ชิงหวงมองป้ายหยกที่ถูกเขวี้ยงแตกละเอียดนั้น ชั่วขณะนั้นเองก็มีประกายความเดือดดาลวูบผ่านมาในแววตาของนาง เพียงแต่ถูกนางซ่อนไว้อย่างแยบยลเท่านั้น คนพวกนั้นกำลังยั่งนางด้วยสายตาให้นางโกรธและอาละวาด จากนั้นก็จะได้โอกาสกำจัดนาง ยามนี้ในจวนเสนาบดีไม่มีใครปกป้องนางได้แม้แต่ผู้เดียว นางจึงได้แต่ทนเท่านั้น!
ฉู่ชิงหวงเก็บป้ายหยกที่แหลกละเอียดนั้นมาใส่ไว้ผ้าเช็กหน้า “ลูกขอตัวก่อน”
“เจ้าไปเถิด” เสนาบดีฉู่จะมองนางก็ยังรู้สึกขัดหูขัดตา ราวกับนางไม่ใช่ลูกสาวของเขา แต่เป็นศัตรูของเขาอย่างไรอย่างนั้น ขณะที่โจวอ๋องซื่อจื่อนั้น พอเห็นว่านางกัดริมฝีปากตัวเองจนเลือดออกก็ยิ้มอย่างได้ใจ ฉู่ชิงหวงมีทำตัวกำเริบเสิบสานทำให้เขาชิงชังนัก บัดนี้ได้เห็นนางทำท่าทางเจียมเนื้อเจียมตัว ได้แต่อดทนอดกลั้น เขาก็รู้สึกอารมณ์ดียิ่งนัก
“ข้าขอตัวก่อน”
“ซื่อจื่อเดินทางดี ๆ น่ะ ลุงฝูไปส่งซื่อจื่อที”
“ซื่อจื่อเชิญทางนี้ขอรับ”
ฉู่ชิงหวงกลับมาที่เรือนของตัวเอง มีเพียงหนิงจูสาวใช้ส่วนตัวของนางเท่านั้นที่รีบออกมาต้อนรับ “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่เจ้าคะคุณหนู เมื่อวานท่านไปทำคลอดให้อนุของท่านแม่ทัพใหญ่ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลยเป็นวัน ฮูหยินก็ให้คนมาลงกลอนปิดเรือนเอาไว้ไม่ให้บ่าวออกไป คุณหนูไม่เป็นอันใดใช่ไหมเจ้าคะ?”
ฉู่ชิงหวงเห็นความเป็นห่วงอย่างชัดเจนในแววตาของสาวใช้ จึงส่งยิ้มให้อย่างอ่อนแรง “หนิงจู ข้าไม่เป็นไร”
“คุณหนู ไม่เป็นอันใดจริง ๆ หรือเจ้าคะ?” หนิงจูประคองฉู่ชิงหวงเข้าไปด้านใน ก่อนจะรินน้ำชาให้นาง พอเห็นนางดื่มลงไปแล้วสีหน้าดีขึ้น ถึงได้เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
ฉู่ชิงหวงหัวเราะอย่างขมขื่น “หนิงจู ติดตามเจ้านายอย่างข้า คงทำให้พวกเจ้าต้องลำบากแล้ว”
“คุณหนู บ่าวไม่ได้ลำบากเลยสักนิด ท่านเป็นอะไรกันแน่เจ้าคะ อย่าเงียบแบบนี้สิเจ้าคะ คุณหนูเป็นเช่นนี้ทำให้บ่าวเป็นห่วงยิ่งนัก” หนิงจูกุมมือที่เย็นเยียบราวกับน้ำแข็งของฉู่ชิงหวง “คุรหนูทำไมมือท่านถึงได้เย็นเช่นนี้ล่ะเจ้าคะ ฮูหยินต่อว่าท่านอีกแล้วใช่หรือไม่?”
ฉู่ชิงหวงส่ายหน้า ท่านพ่อกักบริเวณนาง แม่ลูกแซ่หวังนั่นย่อมไม่ปล่อยให้โอกาสดี ๆ อย่างนี้หลุดลอยไปแน่ นางเสียทั้งตำแหน่งในสำนักหมอหลวง และตำแหน่งชายาซื่อจื่อไปแล้ว แม่ลูกนั่นจะต้องฉวยโอกาสตอนที่นางล้มเอาชีวิตนางแน่ ยามนี้คนที่จะช่วยนางได้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น ก็คือฮูหยินผู้เฒ่า
ฉู่ชิงหวงมองหนิงจูแล้วกัดฟัน นางค่อย ๆ เขียนบางอย่างลงใส่มือของหนิงจูอย่างระมัดระวัง หนิงจูตกใจเล็กน้อยหากก็มิได้เอ่ยคำใด ก่อนจะตั้งใจมองตัวอักษรที่ฉู่ชิงหวงเขียนแล้วพยักหน้า
“ลอบออกไปเงียบ ๆ อย่าให้ใครเห็นเป็นอันขาด จำไว้ให้ดี จะต้องแสดงท่าทีจริงใจ บอกนางว่าข้าสำนึกผิดแล้ว” จากนั้นฉู่ชิงหวงก็เข้าไปหยิบหนังสือสวดมนต์ที่เขียนด้วยลายมือมาให้หนิงจู “จำไว้ว่าให้รีบไปรีบกลับ หากช้าเกรงว่าจะต้องมาเก็บศพข้าแล้ว”
หนิงจูตกใจจนหน้าถอดสี แต่นางก็รู้ดีว่าเรื่องนี้สำคัญยิ่งนัก ฉู่ชิงหวงเรียกหนิงปี้สาวใช้อีกคนหนึ่งเข้ามา แล้วให้หนิงจูออกไป “หนิงบี้ เมื่อวานฮูหยินคงทำให้พวกเจ้าลำบากหรือไม่”
“เรียนคุณหนู ฮูหยินไม่เคยทำให้พวกเราลำบากหรอกเจ้าค่ะ เพียงแต่ปิดเรือนแล้วลงกลอนไว้ ไม่ให้พวกเราออกไปเท่านั้นเจ้าค่ะ” หนิงปี้ตอบอย่างเคารพนบนอบ แม้ฉู่ชิงหวงจะทำตัวกำเริบเสิบสาน ทว่ากับสาวใช้อย่างพวกนางแล้วกลับไม่เคยทำรุนแรงเลยสักครั้ง
“บัดนี้ท่านพ่อกักบริเวณข้า ต่อไปพวกเราคงออกไปข้างนอกไม่ได้อีกสักระยะ” ฉู่ชิงหวงยิ้มขมขื่น “เจ้าจงไปบอกคนอื่น ๆ ว่า พวกนางจะทำอะไรก็ให้ระวังหน่อย อย่าไปหาเรื่องคนพวกนั้น จะได้ไม่เสียเปรียบพวกนาง”
“คุณหนู เหตุใดท่านเสนาบดีต้องกักบริเวณท่านด้วยล่ะเจ้าค่ะ?” หนิงบี้ถามด้วยความตกใจ แม้ท่านเสนาบดีจะลำเอียงรักคุณหนูใหญ่กับคุณหนูสี่ แต่ก็ไม่เห็นต้องกักบริเวณคุณหนูสักหน่อย คุณหนูเป็นถึงว่าที่ชายาซื่อจื่อ ท่านเสนาบดีคิดจะล่วงเกินจวนโจวอ๋องหรืออย่างไรกัน?
“ก็เพราะว่าคุณหนูของเจ้าไม่เพียงถูกโจวอ๋องซื่อจื่อถอนหมั้น กระทั่งตำแหน่งขุนนางในสำนักหมอหลวงก็ยังถูกปลดแล้วอย่างไรเล่า” ฉู่ชิงหวงหัวเราะเฝื่อน ๆ “ต่อไปพวกเจ้าติดตามข้าคงต้องลำบากแล้ว”
“คุณหนู ในเมื่อเป็นเช่นนี้จะประการดีเจ้าคะ โจวอ๋องซื่อจื่อถอดหมั้นคุณหนูได้อย่างไรกัน พวกท่านหมั้นกันตั้งแต่อยู่ในท้องเลยนะเจ้าคะ เหตุใดเขาต้องถอนหมั้นด้วย? หนิงบี้ร้อนใจ สตรีนางหนึ่งหากถูกถอนหมั้นแล้ว ต่อไปก็ยากนักจะหาสามีดี ๆ อีกได้!
“อย่าพูดอีกเลย เจ้าไปเรียกทุกคนมา ข้ามีเรื่องจะสั่ง” ฉู่ชิงหวงสูดลมหายใจเข้าลึก นางหวังว่านางหวังจะอดทนอีกสักหน่อย มีเวลาให้หนิงจูได้เชิญฮูหยินผู้เฒ่ากลับมาเสียก่อน ไม่อย่างนั้นชีวิตน้อย ๆ ของนางคงเป็นอันได้จบสิ้นแน่!
เพียงไม่นานหนิงปี้ก็เรียกสาวใช้ในเรือนเข้ามาทั้งหมด แล้วบอกพวกนางว่าฉู่ชิงหวงถูกกักบริเวณ นับจากนี้ไม่อาจออกนอกเรือนหยูถิงได้แม้แต่ก้าวเดียว และบอกเรื่องที่นางถูกถอนหมั้นและถูกปลดออกจากสำนักหมอหลวงไปพร้อมกัน
“ตอนนี้พวกเจ้าก็รู้สถานการณ์ของข้าแล้ว ติดตามข้าวันหน้าคงไม่ได้สุขสบาย หากใครอยากไปจากเรือนนี้ของข้า ข้าจะให้เงินพวกเจ้าสองเบี้ย พวกเจ้าอยากจะไปที่ใดก็สุดแล้วแต่พวกเจ้า แต่ถ้าใครอยากจะอยู่ต่อ ข้าจะพยายามดูแลพวกเจ้าให้ดี เพียงแต่คุณหนูที่สูญเสียทั้งความโปรดปรานและตำแหน่งเช่นข้า คงทำให้พวกเจ้าสุขสบายเช่นเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว มีผู้ใดอยากจะไปจากที่นี่หรือไม่?”
สิ้นคำฉู่ชิงหวง บ่าวรับใช้ทั้งเรือนก็ต่างมองหน้ากัน ฉู่ชิงหวงในฐานะที่เป็นธิดาของภรรยาเอก จึงมีสาวใช้ข้างกายสองคน สาวใช้ขั้นรองสองคน สาวใช้ขั้นสามสองคน สาวใช้ที่คอบทำความสะอาดพื้นเรือนอีกสามคน และหญิงชราอีกหนึ่งคน
เพียงไม่นาน สาวใช้กวาดพื้นกับหญิงชรานางนั้นก็ก้าวออกมาด้วยกัน เดิมทีพวกนางมาที่เรือนหยูถิงนี่ก็เพียงเพราะฉู่ชิงหวงกำลังจะได้แต่งงานกับโจวอ๋องซื่อจื่อ เป็นว่าที่ชายาซื่อจื่อ ทำงานอยู่ข้างกายนางย่อมได้เชิดหน้าชูตาไปด้วย แต่บัดนี้นางถูกถอนหมั้น ทั้งยังถูกปลดจากการเป็นขุนนาง นางคงไม่อาจพลิกสถานการณ์กลับมาได้อีกแล้ว
“หนิงปี้ เอาเงินสองเบี้ยมอบให้พวกนาง”
“เจ้าค่ะ คุณหนู” หนิงปี้เอาเงินให้พวกนางคนละสองเบี้ย จากนั้นคนทั้งสามก็รีบเก็บของออกจากอาคารหรงจิงไป ฉู่ชิงหวงมองดูคนที่เหลือ ก่อนจะถามขึ้นอีกครั้ง “มีใครอยากจะไปอีกหรือไม่?”
“บ่าวไร้สามารถ ไม่อาจรับใช้คุณหนูได้แล้ว ขอคุณหนูโปรดอภัยด้วย” สาวใช้ขั้นรองฮว้านชุนกับอวี่ชิวคุกเข่าลงโขกศีรษะกับพื้นทันที หนิงบี้ทำท่าจะเอ่ยขึ้น ทว่ากลับถูกฉู่ชิงหวงปรามไว้เสียก่อน แล้วบอกให้นางเอาเงินสองเบี้ยให้พวกนางไป
“แล้วพวกเจ้าสองคนเล่า? ไม่ไปหรือ?” ฉู่ชิงหวงเห็นสาวใช้ขั้นสามสองคนยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว คนหนึ่งคือเอ่อร์ตง ส่วนอีกคนคือเอ่อร์เซี่ย