"พี่หยาง เดี๋ยว เดี๋ยว สงบใจก่อนข้าไม่ไหวแล้ว" "ไม่ได้" "..."
รัชศกเสวียนหลี ที่ 72 ปีเถาะธาตุไม้
ความตาย…
แท้จริงแล้วก็มีเพียงเท่านี้
จ้าวเสี่ยวหมิงยืนมองร่างของตนเอง ที่นอนแน่นิ่งอยู่บนฟูกกลางเตียงสี่เสา ท่ามกลางเปลวไฟสีดำทะมึน ลามเลียแผดเผาทีละนิด อย่างเหนื่อยหน่าย
ด้วยเหตุที่ว่าตนเองนั้น จงใจปลิดชีพด้วยการถอดดวงจิตออกมา เพื่อเดินทางไปยังปรโลกเพียงลำพัง เพราะมันเป็นหนทางเดียว ที่จะให้ตัวตนของเขาที่อยู่เหนือวัฏสงสาร ได้ดับสูญไปอย่าไร้ข้อกังขาใดๆ
เขายืนมองร่างของตนที่นอนแน่นิ่งอย่างระอา ก่อนจะพึมพำออกมาอย่างอ่อนใจว่า “ยิ่งใหญ่แล้วอย่างไร เป็นที่หนึ่งในใต้หล้าแล้วอย่างไร สุดท้ายก็แทบไม่มีสิ่งใดหลงเหลือให้เชยชม”
ด้วยความที่ตัวของเขานั้น คงอยู่บนผืนพิภพมาร่วมสามสิบเจ็ดฝน มองเห็นการแก่งแย่งช่วงชิงความเป็นหนึ่งมาอย่างยาวนาน ทั้งๆ ที่เหล่าผู้บำเพ็ญทั้งหลาย เคยกล่าวอ้างว่าเป็นผู้ฝึกตน ต่างหลุดพ้นจากทุกสรรพสิ่ง
ทว่ากลับหาได้มีผู้ใดปล่อยวางอย่างที่เคยเอื้อนเอ่ยประโยคออกมาแม้เพียงครึ่งคำ ไม่ว่าจะเป็นการแย่งชิงความเป็นใหญ่ในใต้หล้า รวมไปถึงการอยากครอบครองค่าทาสบริวาร ราวกับหมาล่าเนื้อ ไล่ตะครุบเหยื่ออย่างหิวกระหาย
จ้าวเสี่ยวหมิงยืนมองร่างของตนอีกเพียงครู่ ก็เยื้องย่างออกไปยังชานระเบียง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มกวาดมองโดยรอบบริเวณยอดเขาหวงซาน ท่ามกลางเวิ้งฟ้าที่ถูกปกคลุมไปด้วยม่านสีดำ มีเพียงเกล็ดหิมะสีใสโปรยปรายลงมาให้เห็นอย่างบางเบาสะท้อนให้เห็นรางๆ สายลมเย็นอ่อนๆ ยามต้นเหมันต์ฤดูแผ่ปกคลุมทุกหย่อมหญ้าแต่ก็มิอาจรับรู้ได้
เสียงของฝีเท้าของคนนับพันคู่รายล้อมยอดเขา เปลวไฟบรรลัยกัลป์โหมกระพือ โลมเลียอาคารที่ตั้งตระหง่านสีขาวดุจหิมะให้กลายเป็นสีดำทะมึน บุรุษวัยกลางคนนับสิบชีวิต ต่างพยายามฝ่าเขตอาคมที่จ้าวเสี่ยวหมิงร่ายไว้ เพื่อให้ตนเองได้รุกล้ำเข้ามาด้านในที่พำนักแห่งนี้ให้จงได้ แต่กระนั้นไม่ว่าจะพยายามเพียงใดก็ไร้ผล เพราะอาคมที่ร่ายไว้เป็นเกราะป้องกันผู้รุกรานเข้ามานั้น แข็งแกร่งเกินไป
จ้าวเสี่ยวหมิงทอดถอนลมหายใจพรืดใหญ่อยู่เพียงลำพัง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มมองออกไปยังลานกว้างนอกชานระเบียงด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ก็เห็นเพียงแต่เหล่าบรรดาผู้คนที่มิเจียมตน กำลังดาหน้าเข้ามาในกองเพลิง หมายจะให้ตัวเขานั้นยอมศิโรราบแต่โดยดี
เมื่อเห็นภาพต่างๆ ฉายเข้ามาในคลองจักษุ เขาก็แค่นเสียงในลำคอออกมาดัง ‘เหอะ’ เสียหนึ่งที แล้วค่อยเอ่ยพึมพำเสียงเบาต่อว่า “ไม่ว่าใครก็อยากให้ข้าตาย” ก่อนจะหลุบตามองไปยังผู้คนนับพันที่อยู่เบื้องล่าง ก็อดไม่ได้ที่จะแค่นหัวเราะในลำคอออกมาอีกหน
ยามได้เห็นหลายสิบชีวิตตรงเบื้องล่าง ซึ่งครั้งเก่าก่อนนั้นเคยเป็นศิษย์ที่เขาสอนสั่งมาเองกับมือ และบุรุษอีกหลายสิบชีวิตล้วนเคยเป็นสหายที่เขาเคยช่วยเหลือในยามทุกยากลำบากหนักหนา อีกทั้งยังมีหลายต่อหลายคนที่เขาให้ความสำคัญ
‘รสชาติยามถูกคนที่เคยเชื่อใจทรยศหักหลัง…มันช่างเจ็บปวดบาดลึกเสียยิ่งกว่าตายหลายเท่านัก’
จ้าวเสี่ยวหมิงผรุสวาทออกมาภายในใจ ก่อนจะส่ายศีรษะไปมาอย่างระอา เมื่อได้เห็นการกระทำที่เรียกว่า ไร้ประโยชน์ต่อหน้าตน เขาจึงเอ่ยพึมพำด้วยความรู้สึกที่สุดจะทน “ข้าล่ะไม่เข้าใจเลยจริงๆ เหตุใดถึงอยากให้ข้าศิโรราบนัก ทั้งๆ ที่รู้ว่าอย่างไรเสียก็ไม่มีทางทำได้” กล่าวเพียงแค่นั้น จ้าวเสี่ยวหมิงก็หมุนตัวกลับ ก่อนจะเยื้องย่างเข้ามาด้านใน จากนั้นร่างโปร่งแสงก็ค่อยๆ เลือนหายไป
เพียงไม่นานหลังจากนั้น ร่างโปร่งใสก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าประตูบานใหญ่
ดวงวิญญาณมากมาย ค่อยๆ ทยอยเข้าไปด้านในอย่างเชื่องช้า จ้าวเสี่ยวหมิงจึงเงยหน้ามองไปยังปราการตรงหน้า แล้วทอดถอนลมหายใจพรืดใหญ่อีกหนอย่างอ่อนใจ
“ข้าเลือกหนทางนี้เอง จะห่วงหาอาทรสิ่งใดบนพื้นพิภพเล่า”
จบคำเขาก็เดินไปยังประตูบานใหญ่ ทว่าดวงวิญญาณยังไม่ทันจะก้าวข้ามธรณีประตูไปยังอีกฟากหนึ่งแต่อย่างใด ก็มีบุรุษร่างสูงใหญ่ร่างกายเป็นสีแดงชาดทั่วทั้งร่าง ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเสียก่อน
เมื่อเห็นเช่นนั้น จ้าวเสี่ยวหมิงก็พลันชะงักค้างฝีเท้าไว้ ก่อนจะเบนสายตามองไปยังบุรุษร่างใหญ่ตรงหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย แล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสุภาพและแผ่วเบา “ท่านคือเฮาหนี่ ใช่หรือไม่”
“ย่อมใช่” บุรุษร่างสูงใหญ่กล่าวตอบเพียงประโยคสั้นๆ นัยน์ตาสีแดงฉานสบมองมายังใบหน้าของจ้าวเสี่ยวหมิงฉายแววเรียบเฉยไร้อารมณ์ “เจ้าเข้าใจถูกแล้วจอมมารฝูหมิง ข้าผู้นี้มีนามว่าเฮาหนี่ เป็นผู้ช่วยดูแลเหล่าดวงวิญญาณที่เข้าออกปรโลกแห่งนี้”
‘หากเป็นเช่นนั้นไยต้องขวางทางข้ากันเล่า มิเห็นหรอกหรือว่ามีผู้คนรอคอยเข้าไปอยู่มากเพียงใด’
จ้าวเสี่ยวหมิงสบถด่าอยู่ในใจ หลังจากได้ยินคำเอ่ยออกมาจากปากบุรุษร่างสูงใหญ่ หนำซ้ำยังไม่ยอมถอยห่างให้เขาก้าวเข้าไปอีกฝั่ง เอาแต่ยืนขวางทางเสียอย่างนั้น
ทว่ายังไม่ทันที่จะเอื้อนเอ่ยประโยคคำใดออกมา บุรุษตรงหน้าก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อนว่า “ข้าหาได้ขวางทางเจ้าหรอกจอมมารฝูหมิง”
“แล้วเหตุใดท่านถึงไม่ให้ข้าข้ามไปฝั่งนั้นเสียทีเล่า มิเห็นหรือว่ามีคนต่อแถวรอข้าอยู่ข้างหลังอีกมาก”
“เพราะเหตุใดนั้นน่ะหรือ เจ้ายังมีหน้ามาถามข้าอีกรึจอมมารฝูหมิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลังจากเจ้าถอดจิตเพื่อจะทำลายชีวิตตน ต้องมีผู้คนอีกเท่าไร เดือดร้อนด้วยเรื่องที่เจ้าทำเช่นนี้ลงไป หนำซ้ำยังมีคนอีกคนคอยเรียกหาเจ้าอยู่นั่นอีก” เฮาหนี่ยังเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเข้มอย่างมิพึงใจ เขามองบุรุษตรงหน้าด้วยสายตาเอือมระอาเต็มทน
เมื่อเห็นว่าจ้าวเสี่ยวหมิงหาได้รู้สึกสะทกสะท้านในสิ่งที่เอื้อนเอ่ยออกมาไม่ สุดท้ายมิอาจทานทนเฮาหนี่จึงตวาดเสียงดังใส่อีกหน “ความวุ่นวายทั้งหมดนี้ที่เกิดขึ้น ล้วนต้องขอบใจเจ้า”
ยามได้ยินประโยคที่กล่าวออกมาจากปากของเฮาหนี่ จ้าวเสี่ยวหมิงก็มิอาจกลั้นหัวเราะได้อีก จนหลุดขำเสียงดัง “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” แล้วกล่าวต่อทั้งน้ำตา “ท่านเอาสิ่งใดมาเอ่ย ข้าถอดจิตเพื่อดับชีวิตตนเนี่ยนะ ถึงกับทำให้ผู้คนเป็นต้องเดือดร้อน” ก่อนจะยกมือทั้งสองกุมท้องของตนเอง พลางหัวเราะร่วนจนตัวงออย่างชอบใจ จากนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นๆ อย่างมิอาจกลั้นไหว “แล้วยังมีคนคอยเรียกหาข้าอีกนั่นเล่า คนสารเลวชั่วช้าเช่นข้าเนี่ยน่ะหรือ จะมีใครอยากให้ฟื้นขึ้นมาก่อความวุ่นวายกัน”
ในครานั้นเองเฮาหนี่ก็มิอาจจะข่มโทสะภายในใจได้อีก เขาจึงกระทืบเท้าลงพื้นอย่างแรง แล้วยกนิ้วชี้ของตัวเองชี้ไปยังใบหน้าของจ้าวเสี่ยวหมิงด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด ก่อนจะตวาดเสียงดังลั่นใส่ “บ๊ะ…เจ้าจอมมารไร้สำนึก เจ้าเอ่ยมาได้อย่างไรว่าสิ่งที่เจ้าได้ทำลงไป จะไม่มีผู้อื่นเดือดร้อนกัน เจ้ารู้หรือไม่ว่า บัดนี้มีผู้ไม่ประสงค์ดีได้ช่วงชิงร่างของเจ้าไปใช้ในทางที่มิชอบเสียแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ไอ้ผู้นั้นมันใช้ร่างของเจ้าสังหารผู้คนบริสุทธิ์มากมายเพียงใด เจ้ายังคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยได้อีกหรือ”
เมื่อถูกชี้หน้าด้วยเพลิงโทสะ จ้าวเสี่ยวหมิงถึงกับสะดุ้งโหยงอย่างตกใจ เรียวคิ้วกระตุกยิกไปเสียหลายหน แล้วร้องอุทานออกมาเสียงดัง “อึ๋ย!” ยามถูกเฮาหนี่กล่าวหาด้วยน้ำเสียงมิพึงใจ
ด้วยเหตุที่ว่าเขาถูกกล่าวหา ทั้งๆ ที่ยังมิทันได้ทำสิ่งใด แม้ตนเองจะพยายามขบคิดอยู่หลายตลบ เพื่อหาข้อแก้ต่างให้กับตน แต่ท้ายที่สุดก็ระลึกได้ว่าก่อนที่จะถอดดวงจิตออกมา เขานั้นได้จุดเพลิงโลกันตร์ไว้รอบกายเองกับมือ
และด้วยเหตุนี้คงไม่มีสรรพสิ่งไหนรอดพ้นจากเพลิงโลกันตร์นี้ไปได้ ยามนี้ร่างกายไม่แคล้วคงแหลกเหลวไม่เหลือรูปร่างให้ผู้ใดได้มาสิงสู่แล้วเป็นแน่
พอคิดมาถึงตรงนี้จ้าวเสี่ยวหมิงจึงเอ่ยแย้งออกไป “ช้าก่อนท่านเฮาหนี่ ท่านเอาสิ่งใดมาเอ่ย ในเมื่อในยามนี้ร่างกายของข้า คงมอดไหม้ด้วยเพลิงโลกันตร์ไปแล้วกระมัง หากเป็นเช่นนั้นจะมีผู้ใดอีกเล่า ที่จะมาช่วงชิงร่างของข้าไปใช้ได้อีก”
ได้ยินเช่นนั้นเฮาหนี่ถึงกับตวาดด้วยเพลิงโทสะเป็นทบทวี “เจ้าคิดว่าร่างตนเองเป็นอะไร เป็นหุ่นไม้ไผ่รึ ถึงได้มอดไหม้ด้วยเพลิงโลกันตร์” เมื่อจ้าวเสี่ยวหมิงมิได้ระวังเรื่องเหล่านี้ให้รอบคอบเอาเสียเลย
ด้วยความที่ตัวตนของบุรุษผู้นี้เป็นถึงครึ่งมารครึ่งเซียน ซ้ำยังบำเพ็ญฌานจนบรรลุระดับสูงสุดไปแล้ว ร่างกายจึงแข็งแกร่งหาได้มีสิ่งใดทำลายได้ง่ายนัก
เพียงแค่เพลิงโลกันตร์ที่ร่ายเอาไว้รอบกาย มันจะไปทำลายร่างให้มอดไหม้ได้เสียที่ไหน หากต้องการจะทำลายร่างอย่างแท้จริงแล้ว จักต้องจ้วงทะลวงออกมาจากด้านใน หาไม่แล้วก็ไม่ต่างจากการเอาเปลวเพลิงลนเล่นบนฝ่ามือ
ทว่ายามได้มองใบหน้าของจ้าวเสี่ยวหมิง เฮาหนี่ก็ทำได้เพียงทอดถอนลมหายใจพรืดใหญ่ออกมาอย่างระอา แล้วจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายว่า “เพราะคิดเช่นนี้อย่างไรเล่า เรื่องราวจึงบานปลายถึงเพียงนี้”
“แล้วท่านจะให้ข้าทำอย่างไรเล่า ในเมื่อข้ามิได้รู้เลยสักนิด ว่าจะมีผู้ที่คิดจะชิงร่างของข้าถึงเพียงนี้”
สิ้นคำของจ้าวเสี่ยวหมิง เฮ่าหนี่ก็สบมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่ใส แล้วอดไม่ได้ที่จะทอดถอนลมหายใจออกมาอีกหน ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ข้าจะส่งเจ้ากลับไป เพื่อให้เจ้ารับผิดชอบในสิ่งที่ตนกระทำ”
ได้ยินเช่นนั้นจ้าวเสี่ยวหมิงจึงร้องเสียงดังลั่นออกมา “เดี๋ยวๆ แล้วข้าจะกลับไปได้อย่างไร ในเมื่อมีคนแย่งร่างของข้าไปแล้ว”
“ใครว่าข้าจะส่งเจ้ากลับไปร่างเดิมของเจ้ากัน” เฮาหนี่เอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อนสิ่งใด “แล้วก็เลิกซักไซ้ข้าเสียที เรื่องทางโลก ข้าไม่อาจยุ่งไปมากกว่านี้ หากจะโทษก็โทษที่ตัวเจ้าไร้ความรอบคอบเถอะ” กล่าวจบบุรุษร่างใหญ่ก็ง้างฝ่าเท้าขึ้นมา ก่อนจะประเคนใส่ยอดอกของจ้าวเสี่ยวหมิง อย่างไม่รั้งรอ
ร่างกายโปร่งแสงที่ถูกฝ่าเท้าข้างนั้นกระแทกอย่างจัง พลันกระเด็นกลับมายังพื้นพิภพอย่างรวดเร็ว
อวิ๋นหลาน นักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งศตวรรษที่ 25 ได้ข้ามภพและเกิดใหม่ในร่างของหญิงสาวผู้ไร้ประโยชน์ซึ่งมีชื่อเดียวกันในจวนเทพเจ้าแห่งสงคราม รากวิญญาณถูกทำลายไป? บำเพ็ญวิชาไม่ได้? คู่หมั้นถอนหมั้น? ทุกคนหัวเราะเยาะนาง? การควบคุมอสูร ยาพิษ ยาลูกกลอนปีศาจ อาวุธลับ...นางจัดการได้อย่างสบายๆ อดีตผู้ไร้ค่า แต่บัดนี้มาแก้แค้นชาาเจ้าชู้ เอาคืนทุกคนที่รังแกตนเอง ได้ประสบความสำเร็จ และขึ้นไปสู่จุดสูงสุด ผู้แข็งแกร่งอย่าคิดจะทำอะไรตามใจ ผู้อ่อนแออย่าท้อแท้ กล้ามารุกรานข้า งั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือนก็แล้วกัน เขาเป็นจ้าวแห่งอาณาจักรปีศาจ ชอบเอาใจนาง นางฆ่าคน เขาช่วยปิดปาก นางทำลายศพ เขาช่วยกำจัดหลักฐาน เขายอมทำทุกอย่างเพื่อนาง ชีวิตนี้ยอมร่วมทุกข์ร่วมสุขไม่ทอดทิ้งกัน
นาธัชชาถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจจากผู้เป็นพ่อ เพียงเพราะเธอมีส่วนทำให้แม่ต้องตาย ใครจะคิดว่าชีวิตเด็กเจ็ดขวบ จะถูกโชคชะตาเล่นตลกครั้งแล้วครั้งเล่า และพลิกผันจนกลายเป็น 18 มงกุฏ เพื่อความอยู่รอดของชีวิต ฟาเบียน (อายุ 35 ปี) ชายหนุ่มรูปหล่อทายาทคนโตแห่งมาร์ตินกรุ๊ป เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีธุรกิจโรงแรมทั้งที่ไทยและฝรั่งเศส ชีวิตของเขามีพร้อมทุกอย่างแต่กลับไร้เงาของสาวข้างกาย ใครๆ ก็พูดว่าเขาตั้งมาตรฐานผู้หญิงที่จะมาเป็นคู่ชีวิตไว้สูง บางคนบอกว่าระดับเขาต้องได้ผู้หญิงระดับนางงามที่มีมงกุฏการันตีความสวย ซึ่งมันก็คงจะจริง เพราะสาวที่เข้ามาพัวพันเป็นสาวสวยที่มีมุงกุฏการันตี และไม่ได้มีแค่มงกุฏเดียว เพราะเธอเป็น 18 มงกุฏ นาธัชชา (อายุ 20 ปี) นาธัชชาหรือหนูนา เด็กหญิงผู้เผชิญกับชีวิตที่แสนรันทดตั้งแต่อายุแค่เจ็ดขวบ เธอถูกพ่อแท้ๆ ยัดเยียดให้เป็นตัวซวย เพียงเพราะมีส่วนทำให้แม่ต้องตาย ชีวิตของเธอต้องพลิกผันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นกราฟชีวิตที่มีแต่จะตกต่ำ จนถึงขั้นต้องเป็น 18 มงกุฏ เพียงเพราะความอยู่รอดของชีวิต ความแตกต่างและความห่างชั้นทางสังคม จะชักนำให้เขาและเธอมาเจอกันได้อย่างไร เรามาติดตามไปพร้อมๆ กันค่ะ - ฟาเบียน ลูกชายคนโตของ เซดริก และมาลารินทร์ จากเรื่อง Malalin of love ร้อยรักมาลารินทร์ - นาธัชชา หรือหนูนา ตัวละครใหม่ คำเตือน -นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นมาเพื่อความบันเทิงเท่านั้น มิได้มีเจตนาชี้นำหรือเป็นตัวอย่างให้นำไปใช้ในชีวิตจริง -นิยายอาจมีเนื้อหาบางช่วงบางตอนที่ไม่เหมาะสม ทั้งเรื่องเพศ และมีคำหยาบคาย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน - นิยายเรื่องนี้เหมาะสมกับผู้อ่านที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป
"ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ" "โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ" ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร "คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ" ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า "ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?" นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน
รูรักอันบริสุทธิ์เมื่อถูกปลายลิ้นร้อนของชายหนุ่มเป็นครั้งแรกดูเหมือนว่าจะตอบสนองได้เป็นอย่างดี ร่องของนางขมิบรัว สะโพกของนางยกขึ้นยังเด้งเข้าไปหาปากร้อน ฝ่าบาทเก่งกาจยังสามารถแยงลิ้นเข้าไปในรู อันซูเซี่ยถูกทาขี้ผึ้งหอมรอบปากทาง ขี้ผึ้งนี้นอกจากจะมีรสชาติดีส่งเสริมรสน้ำรักของนางแล้วยังมีคุณสมบัติอันวิเศษ แม้จะเป็นหญิงพรหมจรรย์ก็จะไม่รู้สึกเจ็บปวด และเผลอทำร้ายฝ่าบาทจนบาดเจ็บ อี้หลงดูดแบะขาของนางให้กว้างขึ้นแล้วรวบขึ้นไปให้ขาชี้ฟ้า จากนั้นมุดใบหน้าลงมาอย่างหลงใหล “หอมอร่อยเหลือเกิน รู้สึกเหมือนดื่มสุราไม่เมามาย อ้า ข้าชอบยิ่ง หอยของฮองเฮาช่างใหญ่โต ดูโคกเนื้อโยนีแทบจะล้นริมฝีปากของข้า สีแดงเช่นนี้คงไม่เคยผ่านสิ่งใดมาก่อน บริสุทธิ์ยิ่งนัก ซี้ด” นางดิ้นเร่าอยู่ในปาก ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรนอกจากเชื่อฟังในคำของฝ่าบาท “อืม อร่อยยิ่งนัก อ้า ข้าไม่ไหวแล้วขอดูหน้าฮองเฮาของข้าหน่อยเถิด” ดูเหมือนว่าร่องรักของนางยังขมิบ นางไม่อยากให้เขาเงยหน้าขึ้นจากตรงนั้นด้วยซ้ำ อยากถูกปลายลิ้นเลียเช่นนั้นจนกว่านางจะได้รับการปลดปล่อย “อ้า ฝ่าบาทเพคะ อย่าหยุดเพคะ อื้อ” นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรักสำหรับผู้ใหญ่ มี 2 เล่มจบ เป็นนิยายแบบพล็อตอ่อน เน้นฉากรักบนเตียงของตัวละครเป็นหลัก เหมาะสำหรับผู้มีอายุ 25 ปีขึ้นไป ไม่เหมาะสำหรับสายคลีนใส ๆ นะคะ หากใครไม่ชอบอ่าน NC เยอะ ๆ กรุณาเลื่อนผ่าน เพราะเรื่องนี้เน้น NC เป็นหลักค่ะ ซีไซต์ นักเขียน
เส้าหยวนหยวนแต่งงานกับแม่ทัพเทพทรงพลังที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนส่งผลกระทบต่อทางจิตใจหลังจาดที่เธอย้อนเวลา เธอไม่ต้องการเข้าไปพัวพันกับการสมรู้ร่วมคิด และต้องการร่วมมือกับเขาเพื่อแสวงหาอิสรภาพ เธอก่อตั้งธุรกิจ รักษาโรคของคนไข้ และช่วยชีวิตผู้คน เป็นคนที่ยอดเยี่ยม กลายเป็นผู้ช่วยที่ดีของแม่ทัพ แต่ต่อมาแม่ทัพกลับคืนคำ ไหนตกลงไว้ว่าจะหย่าล่ะ?
หนานอันพริตตี้สาวสู้ชีวิตอายุยี่สิบปีแอบชอบผู้ชายคนหนึ่งอย่างหนักและอยากได้เขามาเป็นแฟนใจจะขาด แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจเธอ หญิงสาวได้ไปดูดวงแม่หมอคนนั้นจึงบอกให้เธอมาขอพรที่ศาลเจ้าเล็ก ๆ ในอำเภอแห่งหนึ่งที่ห่างไกลเพื่อให้เธอสมหวังและต้องไปในวันที่ฟ้ามืดที่สุดของเดือนในอีกสองวันข้างหน้าถึงจะเห็นผล หนานอันเชื่อแม่หมอเพราะอยากได้ผัว เธอจึงไม่รอช้ารีบคว้ากระเป๋าเป้เดินทางมายังศาลเจ้าทันที เมื่อหนานอันเข้าไปภายในศาลเจ้าก็พบว่า มีสตรีสูงวัยคนหนึ่งอายุราวหกสิบกว่าปีกำลังกวาดศาลเจ้าอยู่ ...... "ได้ของสิ่งนี้ไปต้องสมหวังอย่างแน่นอน" คุณยายพูดพร้อมกับรอยยิ้ม น้ำเสียงนี้ฟังดูเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง หนานอันยิ้มให้คุณยายจู่ ๆ ขนแขนของเธอก็ตั้งชันขึ้นมา เธอกำลังจะลุกขึ้นในตอนนั้นก็เกิดฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมา หนานอันหวีดร้องด้วยความตกใจทว่าเมื่อหันไปมองคุณยายเธอไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว หนานอันประหลาดใจมากร้องเรียกคุณยายอยู่หลายคำ แต่ว่าในตอนนี้เธอก็ไม่มีเวลาให้คิดสิ่งใดแล้วเพราะเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้นเมื่อฟ้าผ่าลงมาที่ศาลเจ้าเข้าอย่างจังหนานอันที่อยู่ด้านในจึงถูกฟ้าผ่าไปด้วยและสติดับวูบลงไปทันใด ไม่รู้ว่านานเท่าใดที่หนานอันตกอยู่ในความมืดมิด และเมื่อเธอตื่นขึ้นมาทุกอย่างรอบกายของเธอก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป...