"พี่หยาง เดี๋ยว เดี๋ยว สงบใจก่อนข้าไม่ไหวแล้ว" "ไม่ได้" "..."
"พี่หยาง เดี๋ยว เดี๋ยว สงบใจก่อนข้าไม่ไหวแล้ว" "ไม่ได้" "..."
รัชศกเสวียนหลี ที่ 72 ปีเถาะธาตุไม้
ความตาย…
แท้จริงแล้วก็มีเพียงเท่านี้
จ้าวเสี่ยวหมิงยืนมองร่างของตนเอง ที่นอนแน่นิ่งอยู่บนฟูกกลางเตียงสี่เสา ท่ามกลางเปลวไฟสีดำทะมึน ลามเลียแผดเผาทีละนิด อย่างเหนื่อยหน่าย
ด้วยเหตุที่ว่าตนเองนั้น จงใจปลิดชีพด้วยการถอดดวงจิตออกมา เพื่อเดินทางไปยังปรโลกเพียงลำพัง เพราะมันเป็นหนทางเดียว ที่จะให้ตัวตนของเขาที่อยู่เหนือวัฏสงสาร ได้ดับสูญไปอย่าไร้ข้อกังขาใดๆ
เขายืนมองร่างของตนที่นอนแน่นิ่งอย่างระอา ก่อนจะพึมพำออกมาอย่างอ่อนใจว่า “ยิ่งใหญ่แล้วอย่างไร เป็นที่หนึ่งในใต้หล้าแล้วอย่างไร สุดท้ายก็แทบไม่มีสิ่งใดหลงเหลือให้เชยชม”
ด้วยความที่ตัวของเขานั้น คงอยู่บนผืนพิภพมาร่วมสามสิบเจ็ดฝน มองเห็นการแก่งแย่งช่วงชิงความเป็นหนึ่งมาอย่างยาวนาน ทั้งๆ ที่เหล่าผู้บำเพ็ญทั้งหลาย เคยกล่าวอ้างว่าเป็นผู้ฝึกตน ต่างหลุดพ้นจากทุกสรรพสิ่ง
ทว่ากลับหาได้มีผู้ใดปล่อยวางอย่างที่เคยเอื้อนเอ่ยประโยคออกมาแม้เพียงครึ่งคำ ไม่ว่าจะเป็นการแย่งชิงความเป็นใหญ่ในใต้หล้า รวมไปถึงการอยากครอบครองค่าทาสบริวาร ราวกับหมาล่าเนื้อ ไล่ตะครุบเหยื่ออย่างหิวกระหาย
จ้าวเสี่ยวหมิงยืนมองร่างของตนอีกเพียงครู่ ก็เยื้องย่างออกไปยังชานระเบียง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มกวาดมองโดยรอบบริเวณยอดเขาหวงซาน ท่ามกลางเวิ้งฟ้าที่ถูกปกคลุมไปด้วยม่านสีดำ มีเพียงเกล็ดหิมะสีใสโปรยปรายลงมาให้เห็นอย่างบางเบาสะท้อนให้เห็นรางๆ สายลมเย็นอ่อนๆ ยามต้นเหมันต์ฤดูแผ่ปกคลุมทุกหย่อมหญ้าแต่ก็มิอาจรับรู้ได้
เสียงของฝีเท้าของคนนับพันคู่รายล้อมยอดเขา เปลวไฟบรรลัยกัลป์โหมกระพือ โลมเลียอาคารที่ตั้งตระหง่านสีขาวดุจหิมะให้กลายเป็นสีดำทะมึน บุรุษวัยกลางคนนับสิบชีวิต ต่างพยายามฝ่าเขตอาคมที่จ้าวเสี่ยวหมิงร่ายไว้ เพื่อให้ตนเองได้รุกล้ำเข้ามาด้านในที่พำนักแห่งนี้ให้จงได้ แต่กระนั้นไม่ว่าจะพยายามเพียงใดก็ไร้ผล เพราะอาคมที่ร่ายไว้เป็นเกราะป้องกันผู้รุกรานเข้ามานั้น แข็งแกร่งเกินไป
จ้าวเสี่ยวหมิงทอดถอนลมหายใจพรืดใหญ่อยู่เพียงลำพัง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มมองออกไปยังลานกว้างนอกชานระเบียงด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ก็เห็นเพียงแต่เหล่าบรรดาผู้คนที่มิเจียมตน กำลังดาหน้าเข้ามาในกองเพลิง หมายจะให้ตัวเขานั้นยอมศิโรราบแต่โดยดี
เมื่อเห็นภาพต่างๆ ฉายเข้ามาในคลองจักษุ เขาก็แค่นเสียงในลำคอออกมาดัง ‘เหอะ’ เสียหนึ่งที แล้วค่อยเอ่ยพึมพำเสียงเบาต่อว่า “ไม่ว่าใครก็อยากให้ข้าตาย” ก่อนจะหลุบตามองไปยังผู้คนนับพันที่อยู่เบื้องล่าง ก็อดไม่ได้ที่จะแค่นหัวเราะในลำคอออกมาอีกหน
ยามได้เห็นหลายสิบชีวิตตรงเบื้องล่าง ซึ่งครั้งเก่าก่อนนั้นเคยเป็นศิษย์ที่เขาสอนสั่งมาเองกับมือ และบุรุษอีกหลายสิบชีวิตล้วนเคยเป็นสหายที่เขาเคยช่วยเหลือในยามทุกยากลำบากหนักหนา อีกทั้งยังมีหลายต่อหลายคนที่เขาให้ความสำคัญ
‘รสชาติยามถูกคนที่เคยเชื่อใจทรยศหักหลัง…มันช่างเจ็บปวดบาดลึกเสียยิ่งกว่าตายหลายเท่านัก’
จ้าวเสี่ยวหมิงผรุสวาทออกมาภายในใจ ก่อนจะส่ายศีรษะไปมาอย่างระอา เมื่อได้เห็นการกระทำที่เรียกว่า ไร้ประโยชน์ต่อหน้าตน เขาจึงเอ่ยพึมพำด้วยความรู้สึกที่สุดจะทน “ข้าล่ะไม่เข้าใจเลยจริงๆ เหตุใดถึงอยากให้ข้าศิโรราบนัก ทั้งๆ ที่รู้ว่าอย่างไรเสียก็ไม่มีทางทำได้” กล่าวเพียงแค่นั้น จ้าวเสี่ยวหมิงก็หมุนตัวกลับ ก่อนจะเยื้องย่างเข้ามาด้านใน จากนั้นร่างโปร่งแสงก็ค่อยๆ เลือนหายไป
เพียงไม่นานหลังจากนั้น ร่างโปร่งใสก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าประตูบานใหญ่
ดวงวิญญาณมากมาย ค่อยๆ ทยอยเข้าไปด้านในอย่างเชื่องช้า จ้าวเสี่ยวหมิงจึงเงยหน้ามองไปยังปราการตรงหน้า แล้วทอดถอนลมหายใจพรืดใหญ่อีกหนอย่างอ่อนใจ
“ข้าเลือกหนทางนี้เอง จะห่วงหาอาทรสิ่งใดบนพื้นพิภพเล่า”
จบคำเขาก็เดินไปยังประตูบานใหญ่ ทว่าดวงวิญญาณยังไม่ทันจะก้าวข้ามธรณีประตูไปยังอีกฟากหนึ่งแต่อย่างใด ก็มีบุรุษร่างสูงใหญ่ร่างกายเป็นสีแดงชาดทั่วทั้งร่าง ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเสียก่อน
เมื่อเห็นเช่นนั้น จ้าวเสี่ยวหมิงก็พลันชะงักค้างฝีเท้าไว้ ก่อนจะเบนสายตามองไปยังบุรุษร่างใหญ่ตรงหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย แล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสุภาพและแผ่วเบา “ท่านคือเฮาหนี่ ใช่หรือไม่”
“ย่อมใช่” บุรุษร่างสูงใหญ่กล่าวตอบเพียงประโยคสั้นๆ นัยน์ตาสีแดงฉานสบมองมายังใบหน้าของจ้าวเสี่ยวหมิงฉายแววเรียบเฉยไร้อารมณ์ “เจ้าเข้าใจถูกแล้วจอมมารฝูหมิง ข้าผู้นี้มีนามว่าเฮาหนี่ เป็นผู้ช่วยดูแลเหล่าดวงวิญญาณที่เข้าออกปรโลกแห่งนี้”
‘หากเป็นเช่นนั้นไยต้องขวางทางข้ากันเล่า มิเห็นหรอกหรือว่ามีผู้คนรอคอยเข้าไปอยู่มากเพียงใด’
จ้าวเสี่ยวหมิงสบถด่าอยู่ในใจ หลังจากได้ยินคำเอ่ยออกมาจากปากบุรุษร่างสูงใหญ่ หนำซ้ำยังไม่ยอมถอยห่างให้เขาก้าวเข้าไปอีกฝั่ง เอาแต่ยืนขวางทางเสียอย่างนั้น
ทว่ายังไม่ทันที่จะเอื้อนเอ่ยประโยคคำใดออกมา บุรุษตรงหน้าก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อนว่า “ข้าหาได้ขวางทางเจ้าหรอกจอมมารฝูหมิง”
“แล้วเหตุใดท่านถึงไม่ให้ข้าข้ามไปฝั่งนั้นเสียทีเล่า มิเห็นหรือว่ามีคนต่อแถวรอข้าอยู่ข้างหลังอีกมาก”
“เพราะเหตุใดนั้นน่ะหรือ เจ้ายังมีหน้ามาถามข้าอีกรึจอมมารฝูหมิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลังจากเจ้าถอดจิตเพื่อจะทำลายชีวิตตน ต้องมีผู้คนอีกเท่าไร เดือดร้อนด้วยเรื่องที่เจ้าทำเช่นนี้ลงไป หนำซ้ำยังมีคนอีกคนคอยเรียกหาเจ้าอยู่นั่นอีก” เฮาหนี่ยังเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเข้มอย่างมิพึงใจ เขามองบุรุษตรงหน้าด้วยสายตาเอือมระอาเต็มทน
เมื่อเห็นว่าจ้าวเสี่ยวหมิงหาได้รู้สึกสะทกสะท้านในสิ่งที่เอื้อนเอ่ยออกมาไม่ สุดท้ายมิอาจทานทนเฮาหนี่จึงตวาดเสียงดังใส่อีกหน “ความวุ่นวายทั้งหมดนี้ที่เกิดขึ้น ล้วนต้องขอบใจเจ้า”
ยามได้ยินประโยคที่กล่าวออกมาจากปากของเฮาหนี่ จ้าวเสี่ยวหมิงก็มิอาจกลั้นหัวเราะได้อีก จนหลุดขำเสียงดัง “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” แล้วกล่าวต่อทั้งน้ำตา “ท่านเอาสิ่งใดมาเอ่ย ข้าถอดจิตเพื่อดับชีวิตตนเนี่ยนะ ถึงกับทำให้ผู้คนเป็นต้องเดือดร้อน” ก่อนจะยกมือทั้งสองกุมท้องของตนเอง พลางหัวเราะร่วนจนตัวงออย่างชอบใจ จากนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นๆ อย่างมิอาจกลั้นไหว “แล้วยังมีคนคอยเรียกหาข้าอีกนั่นเล่า คนสารเลวชั่วช้าเช่นข้าเนี่ยน่ะหรือ จะมีใครอยากให้ฟื้นขึ้นมาก่อความวุ่นวายกัน”
ในครานั้นเองเฮาหนี่ก็มิอาจจะข่มโทสะภายในใจได้อีก เขาจึงกระทืบเท้าลงพื้นอย่างแรง แล้วยกนิ้วชี้ของตัวเองชี้ไปยังใบหน้าของจ้าวเสี่ยวหมิงด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด ก่อนจะตวาดเสียงดังลั่นใส่ “บ๊ะ…เจ้าจอมมารไร้สำนึก เจ้าเอ่ยมาได้อย่างไรว่าสิ่งที่เจ้าได้ทำลงไป จะไม่มีผู้อื่นเดือดร้อนกัน เจ้ารู้หรือไม่ว่า บัดนี้มีผู้ไม่ประสงค์ดีได้ช่วงชิงร่างของเจ้าไปใช้ในทางที่มิชอบเสียแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ไอ้ผู้นั้นมันใช้ร่างของเจ้าสังหารผู้คนบริสุทธิ์มากมายเพียงใด เจ้ายังคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยได้อีกหรือ”
เมื่อถูกชี้หน้าด้วยเพลิงโทสะ จ้าวเสี่ยวหมิงถึงกับสะดุ้งโหยงอย่างตกใจ เรียวคิ้วกระตุกยิกไปเสียหลายหน แล้วร้องอุทานออกมาเสียงดัง “อึ๋ย!” ยามถูกเฮาหนี่กล่าวหาด้วยน้ำเสียงมิพึงใจ
ด้วยเหตุที่ว่าเขาถูกกล่าวหา ทั้งๆ ที่ยังมิทันได้ทำสิ่งใด แม้ตนเองจะพยายามขบคิดอยู่หลายตลบ เพื่อหาข้อแก้ต่างให้กับตน แต่ท้ายที่สุดก็ระลึกได้ว่าก่อนที่จะถอดดวงจิตออกมา เขานั้นได้จุดเพลิงโลกันตร์ไว้รอบกายเองกับมือ
และด้วยเหตุนี้คงไม่มีสรรพสิ่งไหนรอดพ้นจากเพลิงโลกันตร์นี้ไปได้ ยามนี้ร่างกายไม่แคล้วคงแหลกเหลวไม่เหลือรูปร่างให้ผู้ใดได้มาสิงสู่แล้วเป็นแน่
พอคิดมาถึงตรงนี้จ้าวเสี่ยวหมิงจึงเอ่ยแย้งออกไป “ช้าก่อนท่านเฮาหนี่ ท่านเอาสิ่งใดมาเอ่ย ในเมื่อในยามนี้ร่างกายของข้า คงมอดไหม้ด้วยเพลิงโลกันตร์ไปแล้วกระมัง หากเป็นเช่นนั้นจะมีผู้ใดอีกเล่า ที่จะมาช่วงชิงร่างของข้าไปใช้ได้อีก”
ได้ยินเช่นนั้นเฮาหนี่ถึงกับตวาดด้วยเพลิงโทสะเป็นทบทวี “เจ้าคิดว่าร่างตนเองเป็นอะไร เป็นหุ่นไม้ไผ่รึ ถึงได้มอดไหม้ด้วยเพลิงโลกันตร์” เมื่อจ้าวเสี่ยวหมิงมิได้ระวังเรื่องเหล่านี้ให้รอบคอบเอาเสียเลย
ด้วยความที่ตัวตนของบุรุษผู้นี้เป็นถึงครึ่งมารครึ่งเซียน ซ้ำยังบำเพ็ญฌานจนบรรลุระดับสูงสุดไปแล้ว ร่างกายจึงแข็งแกร่งหาได้มีสิ่งใดทำลายได้ง่ายนัก
เพียงแค่เพลิงโลกันตร์ที่ร่ายเอาไว้รอบกาย มันจะไปทำลายร่างให้มอดไหม้ได้เสียที่ไหน หากต้องการจะทำลายร่างอย่างแท้จริงแล้ว จักต้องจ้วงทะลวงออกมาจากด้านใน หาไม่แล้วก็ไม่ต่างจากการเอาเปลวเพลิงลนเล่นบนฝ่ามือ
ทว่ายามได้มองใบหน้าของจ้าวเสี่ยวหมิง เฮาหนี่ก็ทำได้เพียงทอดถอนลมหายใจพรืดใหญ่ออกมาอย่างระอา แล้วจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายว่า “เพราะคิดเช่นนี้อย่างไรเล่า เรื่องราวจึงบานปลายถึงเพียงนี้”
“แล้วท่านจะให้ข้าทำอย่างไรเล่า ในเมื่อข้ามิได้รู้เลยสักนิด ว่าจะมีผู้ที่คิดจะชิงร่างของข้าถึงเพียงนี้”
สิ้นคำของจ้าวเสี่ยวหมิง เฮ่าหนี่ก็สบมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่ใส แล้วอดไม่ได้ที่จะทอดถอนลมหายใจออกมาอีกหน ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ข้าจะส่งเจ้ากลับไป เพื่อให้เจ้ารับผิดชอบในสิ่งที่ตนกระทำ”
ได้ยินเช่นนั้นจ้าวเสี่ยวหมิงจึงร้องเสียงดังลั่นออกมา “เดี๋ยวๆ แล้วข้าจะกลับไปได้อย่างไร ในเมื่อมีคนแย่งร่างของข้าไปแล้ว”
“ใครว่าข้าจะส่งเจ้ากลับไปร่างเดิมของเจ้ากัน” เฮาหนี่เอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อนสิ่งใด “แล้วก็เลิกซักไซ้ข้าเสียที เรื่องทางโลก ข้าไม่อาจยุ่งไปมากกว่านี้ หากจะโทษก็โทษที่ตัวเจ้าไร้ความรอบคอบเถอะ” กล่าวจบบุรุษร่างใหญ่ก็ง้างฝ่าเท้าขึ้นมา ก่อนจะประเคนใส่ยอดอกของจ้าวเสี่ยวหมิง อย่างไม่รั้งรอ
ร่างกายโปร่งแสงที่ถูกฝ่าเท้าข้างนั้นกระแทกอย่างจัง พลันกระเด็นกลับมายังพื้นพิภพอย่างรวดเร็ว
นายปฐพี พลพิพัฒ อายุยี่สิบแปดปี ชายหนุ่มรูปหล่อ ร่างสูงใหญ่กำยำผิวขาว เขาเกลียดผู้หญิงทุกคนเข้าไส้ ใครเข้าใกล้ต่างก็ต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เขาคือปีศาจในคราบเทพบุตรชัดๆ แต่ทำไมนะจีน่าจึงตกหลุมรักเขา นางสาวจีน่า ไนลา อายุยี่สิบสี่ปี ใบหน้าของเธอนั้นคมเหมือนกับสาวลูกครึ่ง เพราะมารดาของเธอเป็นคนอังกฤษ บิดาของเธอชื่อสรวิช ซึ่งความสวยของจีน่านั้นไม่เป็นรองใคร ดวงตาของเธอกลมโตจมูกโด่งรับกับริมฝีปากได้รูปสีชมพูระเรื่อ ใครเข้าใกล้ต่างก็ชอบในความน่ารักสดใสของเธอ แต่ไม่มีใครรู้ว่าหญิงสาวได้เก็บเรื่องราวบางอย่างไว้ในใจตลอดเวลา เมื่อคนที่เธอตกหลุมรักเขากำลังจะแต่งงานด้วยเหตุผลบางอย่าง ที่สำคัญเจ้าสาวของเขานั้น คือพี่สาวแท้ๆ ของเธอ ความรักของเขาและเธอจะลงเอยยังไงฝากด้วยนะคะ
เมื่อเซิ่งหนิงเตรียมจะบอกฮั่วหลิ่นเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของเธอ ทว่ากลับพบเขาช่วยพยุงผู้หญิงอีกคนลงจากรถอย่างเอาใจใส่... เคยคิดว่าตนเองอยู่เคียงข้างฮั่วหลิ่นคอยดูแลเขามาสามปี สักวันหนึ่งเขาจะมาสามารถสร้างความประทับใจให้กับเขา แต่สุดท้ายเป็นตนเองที่คิดเองเออเองไปฝ่ายเดียว เซิ่งหนิงตายใจแล้วจากไป สามปีต่อมา ข้างกายของเธมีผู้ชายอีกคนหนึ่ง และฮั่วหลิ่นเสียใจมาก เจาพูดด้วยความโศกเศร้า "เซิ่งหนิง เรามาแต่งงานกันเถอะ" เซิ่งหนิงยิ้มอย่างเฉยเมย "ขออภัยนะคุณฮั่ว ฉันมีคู่หมั้นแล้ว"
+++++++++++++ “อือ... พริบีนา... จะ...เจ็บค่ะ” “ฉันชอบ... เวลาเธอเจ็บเพราะฉัน” สิ้นคำเขาก็ขบอีกครั้ง จนร่างของเธอเต็มไปด้วยรอยแดงๆ เหมือนกลีบกุหลาบช้ำๆ “คนบ้า!” “ฉันดูดเธอได้ทั้งคืน... ดูดแรงๆ ตลอดทั้งเนื้อทั้งตัว...” ‘รวิสรา’ ต้องตกใจจนแทบสิ้นสติ เมื่อจู่ๆ ‘พริบีนา เอล เชสตัค’ มกุฎราชกุมารผู้หล่อเหลาแห่งเอล มอร์เรเวีย ก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า และบอกว่าเขาคือเจ้าของที่แท้จริงของเพนต์เฮาส์หรูใจกลางปารีส ที่แม่ของเธอทิ้งเอาไว้ให้ ก่อนจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย หากเรื่องกลับวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม... เมื่อรู้ว่าน้องชายวัยขวบเศษของเธอ คือทายาทที่เกิดจากการขโมยสเปิร์มของเขา หญิงสาวจึงจำใจสุ่มเสี่ยงต่อความหวั่นไหว แล้วยอมใช้ชีวิตร่วมชายคาเดียวกัน กับเจ้าชายหนุ่มผู้เร่าร้อนตลอดหนึ่งสัปดาห์ เพื่อแย่งกรรมสิทธิ์ในตัวเด็กน้อย โดยไม่ให้สูญเสียพรหมจรรย์ของตัวเอง
เซียวหลิ่นตาบอดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ลูกสาวคนรวยทุกคนต่างหลีกเลี่ยงเขา มีแต่สวี่โยวหรานยอมแต่งงานกับเขาโดยไม่ลังเล สามปีต่อมา เซียวหลิ่นกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง จากนั้รเขา็ยื่นข้อตกลงการหย่าเพื่อยุติการแต่งงานนี้ เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า "ฉันพลาดกับชิงชิงมานนานมากพอแล้ว ฉันไม่อยากให้เธอต้องรอนานกว่านี้!" สวี่โยวหรานลงนามในข้อตกลงการหย่าโดยไม่ลังเล ทุกคนต่างก็หัวเราะเยาะเธอตลอด - หัวเราะเยาะว่าที่เธอแต่งเข้าตระกูลเซียวถือว่าเกาะผู้มีอิทธิพลเข้า จากนั้นก็มาหัวเราะเยาะเธอที่ถูกทอดทิ้ง เป็นหญิงที่ไร้ค่า แต่ทุกคนกลับไม่รู้ว่า เธอคือหมออัศจรรย์ที่รักษาดวงตาของเซียวหลิ่นให้หายดี เป็นผู้ออกแบบเครื่องประดับมูลค่าหลักร้อยล้าน ผู้เป็นมือหนึ่งแห่งหุ้นที่ครองตลาดหุ้น และแม้แต่แฮกเกอร์ระดับแนวหน้าและลูกสาวแท้ๆ ของผู้มีอิทธิพล อดีตสามีมาขอร้องขอคืนดี ซีอีโอผู้เผด็จการก็โยนเซียวหลิ่นออกไปนอกประตูอย่างเย็นชา "ดูดีๆ นี่ภรรยาของผม"
เซียวหนานอยู่ในระดับต่ำสุดขององค์กรลับที่แผ่ขยายสายข่าวไปทุกแว่นแคว้น นางเป็นเด็กกำพร้าไร้บิดามารดาที่ถูกเก็บมาให้เป็น นกกระจอกสืบข่าว เรียกได้ว่าเป็นชนชั้นที่วรยุทธ์ต่ำต้อยและต้องทำงานเอาตัวเข้าแลกเพื่อหาข่าวให้กับเบื้องบน ดังนั้นนกกระจอกเช่นนางจึงมีมากมายแทรกซึมเข้าไปในจวนขุนนางต่าง ๆ โดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ สิ่งที่นางฝึกฝนมาตลอดหลายปีมานี้ก็คือการเอาใจบุรุษ บำรุงร่างกาย ฝึกฝนศาสตร์ทั้งห้าให้เชี่ยวชาญ และฝึกวิชาเสพสังวาสให้บุรุษติดใจ แม้ว่าจะไม่เคยทำกับบุรุษจริง ๆ แต่ขนาดของแท่งหยกของบุรุษนางล้วนได้สัมผัสมาแล้วจากแท่งหยกของเทียมและแท่งหยกบุรุษของจริงที่นางไม่เคยเห็นหน้าว่าคนพวกนั้นคือผู้ใด เพราะพวกนางต้องมอบกายให้กับเหยื่อคนแรกที่นับว่าส่วนใหญ่จะเป็นชนชั้นสูง ดังนั้นจึงไม่อาจร่วมประเวณีกับบุรุษอื่นก่อนที่จะได้รับมอบเหยื่อจากนายใหญ่
หลินตงหยาง อายุ 27 ปี เติบโตมากับแม่เพียงสองคน ในวัยเด็กหลินตงหยางเคยมีพ่อผู้ให้กำเนิดแต่หลังจากที่พ่อได้งานใหม่ในเมืองหลวงพ่อที่เคยมีก็ไม่มีอีกแล้ว พ่อกลับมาหย่าขาดกับแม่ทันทีที่ไปทำงานในเมืองหลวงได้เพียง 2 เดือน ด้วยให้เหตุผลในการหย่าว่า แม่กับและเขาคือตัวถ่วงความเจริญในชีวิตพ่อ สาเหตุก็ไม่มีอะไรมากแค่พ่อหน้าตาหล่อเหลาและเป็นที่ถูกใจของลูกสาวหัวหน้างาน เพื่อตำแหน่งงานและความเป็นอยู่ที่สบายขึ้น พ่อเลือกที่จะทิ้งภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่ผ่านเรื่องยากลำบากมาด้วยกัน หย่าขาดกับภรรยาเพื่อไปแต่งงานใหม่ มีชีวิตใหม่ในเมืองหลวง โดยทิ้งคนข้างหลัง ทิ้งภรรยาที่เคยสาบานว่าจะอยู่ครองคู่กันตลอดไป ในปีที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัย แม่ก็ล้มป่วยและจากเขาไปในที่สุด สาเหตุที่หลินตงหยางเสียชีวิต เพราะทำงานหนัก อาชีพโปรแกรมเมอร์ตัวเล็กๆ อย่างเขา ต้องพยายามทำงานให้ได้ตามที่หัวหน้าสั่งมา ในที่สุดเขาก็พัฒนาเกมกำลังภายในของบริษัทได้สำเร็จ หลินตงหยางนอนหลับไปด้วยความสบายใจ แต่ทว่าพอเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที นี่ไม่ใช่คอนโดหรูย่านใจกลางเมืองปักกิ่ง หลังคามุงหญ้านี่คืออะไร มันควรจะเป็นเพดานสีขาวสิ เมื่อมองไปรอบๆ ห้องนี่คืออะไร นี่มันไม่ใช่ผนังที่ทำมาจากคอนกรีต มันคือดินเหนียว หลินตงหยางคิดว่าตัวเองฝันไป เขาหลับตาลงอีกครั้งแล้วลืมตาขึ้น ทุกอย่างยังเหมือนเดิม มารดามันเถอะ เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไมไ่ด้ฝัน ตอนนั้นเองเขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง และในหัวของเขามีภาพเหตุการณ์ของเด็กชายที่ชื่อเดียวกับเขา หลินตงหยาง อายุ 10 ขวบ เรื่องราวชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายไปของเด็กชาย ทำเอาหลินตงหยางกำมือแน่น ก่อนจะสบถออกมา “พ่อสารเลว เฉินซื่อเหม่ยชัดๆ” และตามมาด้วยเสียงร้องไห้ของน้องสาว สาเหตุที่เด็กชายหลินตงหยางเสียชีวิต เพราะถูกผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นย่าแย่งผักป่าและทุบตี ทั้งๆ ที่คนพวกนั้นได้ตัดขาดพับพวกเขาสามแม่ลูกแล้ว แต่ยังมิวายข่มเหงรังแก
© 2018-now MeghaBook
บนสุด