“เป็นอะไรคะ...ไข้กลับมาหรือเปล่า” มือเล็กยื่นไปแตะหน้าผากของชายหนุ่มอย่างร้อนใจเพราะความเป็นห่วง แต่หัวใจดวงน้อยของหญิงสาวก็ต้องไหววูบหล่นกับพื้นเมื่อมือหนาของอนรรฆปัดมือเล็กของเธอออก “กะ...เกิดอะไรขึ้นคะ” “เก่งนี่...ตีหน้าได้เนียนสนิท...คิดจะโกหกฉันไปอีกนานแค่ไหน” หัวใจดวงน้อยของกมิตตราไหววูบหล่นไปกองกับเท้าทั้งดวง “ทะ...ทำไมคุณเอียนพูดแบบนั้นคะ” ถามไปแล้วหญิงสาวก็ต้องกลั้นหายใจรอคำตอบของอีกฝ่าย ก่อนที่ซองสีน้ำตาลสำหรับใส่เอกสารจะถูกโยนมาตรงหน้าเธอ “นี่ใช่ไหม...สิ่งที่เธออยากได้” น้ำเสียงราบเรียบกับสายตาเย็นชาของอนรรฆมันทำให้กมิตตราแทบจะหายใจไม่ออก “มันซื้อเธอเท่าไร บอกฉันมาสิ...เผื่อฉันจะเสนอเงินในราคาที่สูงกว่ามัน ตัวเธอราคาเท่าไร...กมิตตรา เธอถึงได้ยอมทรยศความไว้ใจของฉัน” ซองเอกสารสีน้ำตาลถูกเขวี้ยงใส่หน้ากมิตตราอย่างแรงด้วยน้ำมือของอนรรฆ “อยากได้ไอ้เอกสารนี่มากใช่ไหม ได้...ถ้าเธออยากได้นักฉันก็จะให้...แต่มีข้อแลกเปลี่ยนนะ” ความหวาดหวั่นของกมิตตราฉายชัดในดวงตาคู่ที่ฉ่ำด้วยหยาดน้ำตาอย่างเห็นได้ชัด “คะ...คุณทำอะไร ยะ...อย่าทำอะไรแก้มเลยนะคะ” เสียงสั่นสะท้านถามออกมาเพียงแผ่วเบาเมื่อเห็นมือหนากระชากสาบเสื้อของตัวเองจนกระดุมหลุดหล่นกระจายลงบนพื้นไปคนละทิศละทาง ดวงตาวาวโรจน์พุ่งมองมาที่เธอ “ยะ...อย่าทำอะไรแก้มเลยนะคะ แก้มขอร้อง” กมิตตรายกมือขึ้นไหว้อ้อนวอน “ไง ตัวสั่นระริกเลย...กลัวหรือว่าตื่นเต้นกันล่ะ” น้ำเสียงเยาะหยันของอนรรฆบีบเค้นหัวใจของเธออย่างแรง “คุณเอียนขา...แก้มขอโทษ อย่าโกรธแก้มเลยนะคะ แก้มจำเป็นจริง ๆ อย่าทำอะไรแก้มเลยนะคะ แก้มกลัว...” เสียงสะอื้นวอนขอของกมิตตราไม่ได้ทำให้อนรรฆใจอ่อนลงแม้แต่น้อย “กลัว...กลัวอะไร เธอควรจะดีใจสิที่ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสสนองตัณหาของนายอนรรฆ เอียน แบรนดอน เจ้าพ่อธุรกิจคอมพิวเตอร์ ที่เธอยอมเอาตัวเองเข้าแลกเพราะเงิน” “มะ...ไม่จริงนะคะ...พวกนั้นขู่แก้ม จะทำร้ายน้อง ๆ ของแก้ม...แก้มถึงต้องทำแบบนี้ แก้มไม่ได้อยากหลอกคุณเอียนนะคะ ไม่ได้อยากหลอกทุกคน” “หยุดพูดเถอะ...ฉันสะอิดสะเอียนกับคำพูดมารยาจอมปลอมของเธอจริง ๆ” ดวงตาวาวโรจน์ของอนรรฆลุกโชนขึ้นเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นของกมิตตราพูดออกมาแบบนั้น อนรรฆมองผู้หญิงใต้ร่างอย่างสมเพช กมิตตราที่เคยหยิ่งในศักดิ์ศรี เงินไม่สามารถซื้อเธอได้ แม้จะเป็นแค่เด็กกำพร้าไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ไม่ได้ร่ำรวย ผู้หญิงที่เขาชื่นชมคนนั้นหายไปไหน ทำไมถึงได้เหลือเพียงผู้หญิงโกหกหลอกลวง และซื้อได้ด้วยเงินคนนี้ ดวงตาแดงก่ำของอนรรฆมองหญิงสาวใต้ร่างอย่างสมเพช “ถือเสียว่าฉันซื้อเธอด้วยใบประมูลนั่นละกัน...ราคามันเกือบพันล้านเลยนะ...ผู้หญิงอย่างเธอหาอีกกี่ชาติก็ไม่มีใครเป็นพ่อบุญทุ่มเท่าฉันหรอกกมิตตรา” พูดจบมือหนาทั้งสองข้างของอนรรฆก็ดึงสาบเสื้อของกมิตตราออกจากกันอย่างแรง เผยให้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ด้านใน ในขณะที่หญิงสาวใต้ร่างดิ้นรนพร้อมกับวอนขอเขาอย่างน่าสงสาร แต่อนรรฆหาได้ฟังไม่ “จะดีดดิ้นเพิ่มราคาให้ตัวเองหรือยังไง เรียกมา...กมิตตรา ฉันทุ่มไม่อั้นอยู่แล้ว” แววตาหวาดกลัว เสียงร่ำไห้ มือบางที่ยกขึ้นไหว้วอนขออนรรฆ ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มใจอ่อนลงแม้แต่น้อย แววตาเย็นชามุ่งร้ายมองมาที่เธอเขม็ง ในนั้นมีแต่ความโกรธและเกลียดชัง “คุณเอียน...อย่าทำอะไรแก้มเลยนะคะ แก้มกลัวแล้ว แก้มขอร้อง” กมิตตราสะอื้นไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้คิดแบบเดียวกับเธอ ตอนนี้อนรรฆเหมือนสัตว์ร้ายดี ๆ นี่เอง ไม่มีอะไรมาดลใจให้เขาเปลี่ยนใจได้ เสียงกมิตตรากรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียงเมื่อใบหน้าคมเข้มก้มลงซุกไซ้กับซอกคอของเธอ โดยที่มือทั้งสองข้างของเขาตรึงข้อมือทั้งสองข้างของเธอให้กางออกบนเตียงกว้าง ไม่ให้เธอดิ้นรนหนีรอดจากเขาไปได้ “อย่า...อย่านะ” เสียงกรีดร้องวอนขอของกมิตตราถูกปิดด้วยริมฝีปากหนาของอนรรฆที่บดขยี้อย่างไร้ความปรานี เพียงครู่เดียวกลีบปากบางของกมิตตราก็ช้ำบวมเจ่อ รสเค็มที่ลิ้นของเธอสัมผัสได้มันทำให้เธอรู้ว่านั่นคือเลือด ร่างบางพยายามดิ้นรนเอาตัวรอดแต่มันกลับไม่ได้ผล หยาดน้ำตาแห่งความเจ็บปวด หวาดกลัว ไหลรินจากหางตาไม่ขาดสาย
บทที่ 1 เริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด
คิ้วเรียวราวกับปีกนกของสาวน้อยคนหนึ่งขมวดเข้าหากัน เมื่อท้องฟ้าที่เคยสวยงามเมื่อสักครู่แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นมืดครึ้ม สายลมที่พัดโชยเอื่อยเปลี่ยนเป็นแรงจนโบกสะบัดเส้นผมยาวสลวยจรดกลางแผ่นหลังบอบบางปลิวสยายจนเจ้าตัวต้องใช้โบว์มัดผมที่ใส่ข้อมือเอาไว้ออกมารัด ไม่ให้สายลมตีผมเธอจนยุ่ง ดวงตากลมโตประดุจกวางป่าล้อมกรอบด้วยแพขนตาสีดำสนิทเหมือนเส้นผมหรี่ลงเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นละอองปลิดปลิวเข้าดวงตาทั้งสองข้างของเธอ กมิตตราเร่งฝีเท้าของตัวเองให้เร็วขึ้นเพราะถ้าขืนช้าไปกว่านี้เธอคงหนีไม่ทันฝน
“โอ๊ย...พี่ฝนขา อย่าเพิ่งตกลงมานะคะ ขอให้แก้มกลับถึงบ้านก่อน”
แต่ดูเหมือนพี่ฝนของกมิตตราจะไม่ให้ความร่วมมือ เพราะตอนนี้พี่ฝนเริ่มตกมาเป็นละอองฝอย ๆ เสียแล้ว เมื่อไม่กี่นาทีก่อนตอนที่เธอกำลังปั่นจักรยานไปยังตลาดนัดเล็ก ๆ ข้างหมู่บ้านซึ่งตลาดแห่งนี้จะมีทุกวันพุธ มีทั้งอาหารคาวหวานจากแม่ค้าที่อาศัยอยู่ละแวกนี้ ตอนนั้นอากาศยังดีอยู่เลย ท้องฟ้าแจ่มใสจนไม่ส่อแววว่าจะมีฝนตกด้วย ดวงตากลมโตมองข้าวของหน้าตะกร้าจักรยานด้วยสีหน้าที่ร้อนรน เธอต้องรีบนำผักสดพวกนี้ไปให้คุณแม่อธิการทำกับข้าวให้น้อง ๆ ของเธอที่กำลังรอกินข้าวอยู่ กมิตตราเองก็เหมือนกับน้อง ๆ พวกนั้นของเธอที่เกิดและเติบโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในโบสถ์คริสตจักรเซบัสเตียนของเมืองเชียงใหม่ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบิดาและมารดาของเธอเป็นใคร รู้แต่เพียงว่าคุณแม่อธิการจันดากับคุณแม่อธิการเภตราเป็นผู้เลี้ยงดูคอยสั่งสอนส่งให้เธอได้เล่าเรียนจนจบปริญญาตรี กมิตตรากำลังหางานทำซึ่งงานเดี๋ยวนี้มันก็หายากเหลือเกิน แต่เธอก็ไม่เกี่ยงเพียงเพื่อจะได้มีเงินมาช่วยส่งเสียเลี้ยงดูน้อง ๆ ที่น่าสงสารของเธอ ช่วยเหลือคุณแม่อธิการแบ่งเบารายจ่ายบ้างก็ยังดี
เท้าเล็กพยายามเร่งฝีเท้าจูงจักรยานคันเล็กของตัวเองไปข้างหน้าให้เร็วขึ้น แต่ตรงหน้าเธอนั้นเป็นถนนใหญ่ถึงแม้จะเป็นถนนทางลัดไม่ค่อยมีรถหนาแน่นเหมือนถนนหลักแต่ก็ต้องระมัดระวัง ร่างบางถึงกับสะดุ้งสุดตัว มือเล็กปล่อยจักรยานที่จับเอาไว้ล้มกระแทกพื้น ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองฝ่าละอองฝนด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเสียงเบรกของรถคันหนึ่งดังลั่นยาวเหยียด เสียงเหล็กกระทบของแข็งจนเกิดประกายไฟก่อนจะพลิกคว่ำหลายตลบบนท้องถนน กมิตตราไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองทรุดลงไปนั่งกับพื้นถนนได้อย่างไร รู้เพียงแต่ว่าตอนนี้สายตาของเธอกำลังมองจ้องรถคันนั้นนอนหงายท้องบนถนนด้วยความตกตะลึง
รถบรรทุกขนาดใหญ่หรือที่เรียกว่ารถสิบล้อหยุดจอดห่างจากเธอไปเล็กน้อยและตอนนั้นนั่นเองที่เธอได้ยินเสียงคุยกันบนรถ เท้าของเธอเย็นเฉียบทันทีเมื่อได้ยินข้อความที่สองคนนั่นคุยกัน
“อัด...มึงว่ามันจะตายไหม”
คำถามของวิทย์ทำให้อัดต้องชะโงกหน้ามองผ่านบานกระจกรถที่เลื่อนลงเพียงแค่ครึ่ง เรียวปากของมันยกสูงขึ้นอย่างเยาะหยันเมื่อเห็นสภาพรถที่หงายท้องอยู่กลางถนน
“จะเหลือเรอะ...ถ้าไม่ตายมันก็เลี้ยงไม่โตล่ะ”
วิทย์มองหน้าเพื่อนก็จะยิ้มออกมาอย่างเห็นด้วย ประกายตาวาวโรจน์เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมไม่มีความสำนึกผิดในสิ่งที่ตัวเองทำแม้แต่น้อย
“ฉันอยากเห็นหน้าไอ้เอียนมันนัก...ถ้ามันเห็นสภาพศพพ่อมัน...มันจะทำหน้ายังไง”
สองหนุ่มหัวเราะกันอย่างสะใจในขณะที่หญิงสาวอีกคนหนึ่งนั่งกองกับพื้นถึงกับอ้าปากค้าง หมายความว่าอย่างไร...สองคนนี้ตั้งใจที่จะทำให้อุบัติเหตุนั้นเกิดขึ้น เร็วเท่าความคิดหญิงสาวลุกขึ้นมาเตรียมที่จะวิ่งหนีออกไปเพราะถ้าเธอได้ยินความลับของพวกมันแล้วมันคงไม่เอาเธอไว้แน่ และการขยับกายของเธอไม่ได้เล็ดลอดสายตาของอัดที่กำลังมองไปรอบด้านเลย
“ซวยแล้วไอ้วิทย์ มีคนเห็นพวกเรา”
วิทย์หันขวับมามองทางด้านหลังผ่านบานกระจกของรถบรรทุกเมื่อได้ยินคำพูดของอัดตะโกนดังออกมา
“ไม่เป็นไร...เหยียบมันให้ติดถนนแค่นี้ก็หมดเรื่อง”
วิทย์พูดกับอัดด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม เปลี่ยนเป็นเกียร์ถอยหลังพร้อมกับเหยียบคันเร่งถอยรถบรรทุกอย่างสุดแรงหวังจะจัดการปิดปากคนที่รู้เห็นเรื่องนี้ให้สิ้นซาก เสียงเหยียบคันเร่งและแรงรถที่ถอยหลังทำให้กมิตตราเร่งฝีเท้าตัวเองมากยิ่งขึ้น หัวใจดวงน้อยของเธอหายวับไปทั้งดวงเมื่อคิดได้ว่ารถบรรทุกคันนั้นตั้งใจจะถอยมาชนเธอ แต่ก็เหมือนโชคช่วยเมื่อได้ยินเสียงแตรรถยนต์ดังยาวเหยียดของรถยนต์อีกคันหนึ่งที่กำลังขับผ่านมา
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วยค่ะ”
เสียงร้องของกมิตตราดังลั่นอย่างขอความช่วยเหลือกับผู้ที่ผ่านมา หัวใจที่หายวับไปทั้งดวงเมื่อสักครู่ค่อย ๆ ชื้นขึ้นมาเมื่อคิดว่าตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ตามลำพัง ร่างบางที่เริ่มเปียกชื้นสั่นสะท้านด้วยความโล่งอกทรุดนั่งกับพื้นถนนอย่างไม่มีแรงจะวิ่งต่อ เพราะตอนนี้ขาทั้งสองข้างของเธอชาจนไม่มีแม้แต่แรงจะยืน รถบรรทุกที่กำลังถอยหลังไล่บี้เธออยู่หยุดชะงักจนได้ยินเสียงล้อรถยนต์บดกับพื้นถนนเสียงดัง ก่อนที่มันจะพุ่งไปข้างหน้าและขับหายไปท่ามกลางสายฝนที่เริ่มตกหนาตาขึ้น
“คุณ...เป็นอะไรหรือเปล่า”
เจ้าของรถกระบะที่มาใหม่ลงมาจากที่นั่ง คนขับมองภาพหญิงสาวที่กำลังทรุดนั่งพื้นด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ถ้าเขาตาไม่ฝาดรถบรรทุกสิบล้อนั่นตั้งใจจะถอยมาทับหญิงสาวคนนี้แน่
“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ...พี่...มีรถโดนชน”
กมิตตรารีบบอกผู้ใจดีที่มาช่วยเธอไว้อย่างรวดเร็ว เพราะถ้าขืนช้ากว่านี้เธอไม่รู้ว่าคนที่อยู่ในรถคันนั้นจะยังปลอดภัยอยู่หรือเปล่า หญิงสาวจึงรีบวิ่งไปยังรถที่หงายท้องอยู่กลางถนนพร้อมกับเจ้าของรถกระบะที่มาช่วยเธอเอาไว้ด้วยสีหน้าที่ร้อนรน ในขณะที่ผู้มีพระคุณของเธอกลับหยิบโทรศัพท์ออกมา เธอไม่รู้ว่าเขาโทร. หาใครแต่คาดคะเนได้ว่าคงเรียกหน่วยกู้ภัยฉุกเฉินมาช่วยเหลือ
เสียงครางอย่างเจ็บปวดดังออกมาเบาหวิว มือของคนเจ็บพยายามเคาะกระจกที่แตกร้าวไปทั่วทั้งบานแต่ยังไม่หลุดออกเป็นชิ้น ๆ เพราะการยืดเกาะของฟิล์มติดรถยนต์บวกกับประสิทธิภาพของกระจกที่ได้คุณภาพนั่นเอง เพื่อขอความช่วยเหลือบอกคนที่อยู่ด้านนอกว่ายังมีคนบาดเจ็บอยู่ด้านใน
“พี่คะ...ทางนี้ค่ะ มีคนติดอยู่ในรถ”
เจ้าของรถกระบะที่มาช่วยเหลือเธอเอาไว้รีบมาดูยังที่เกิดเหตุ ก่อนจะหันซ้ายขวาไปหยิบท่อนไม้พอเหมาะและตะโกนดังลั่นเพื่อให้คนเจ็บที่อยู่ด้านในหลบไปก่อน
“คุณ...เขยิบหนีไปก่อน ผมจะใช้ไม้เคาะกระจกพวกนี้ออก”
ไม่นานเศษกระจกเหล่านั้นก็หลุดออกมาเป็นชิ้น ๆ ร่วงกราวบนท้องถนน ชายร่างหนาคนที่ช่วยเหลือเธอเอาไว้ตะโกนถามคนเจ็บอีกครั้ง
“คุณ...คุณได้รับบาดเจ็บตรงไหนอีกหรือเปล่า ถ้าผมดึงคุณออกมาคุณไหวไหม”
สิ้นสุดคำถามคนบาดเจ็บด้านในก็ตะโกนตอบชายหนุ่มร่างหนาผู้ใจดีนั้นทันที
“ผมเจ็บที่ขาอย่างเดียว...เหมือนขาจะหัก”
“ถ้าอย่างนั้นผมดึงคุณออกมานะ”
ผู้ใจดีเอื้อมมือไปดึงร่างสูงของผู้บาดเจ็บออกมาทันที กมิตตรายกมือขึ้นแตะปากตัวเองด้วยความตกใจเมื่อเห็นรอยเลือดไหลเป็นทางยาวเหนือคิ้วของคนเจ็บ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดเรียกสติตัวเองให้กลับคืนมา เธอต้องมีสติ ถ้าเป็นอย่างนี้เธอไม่สามารถช่วยเหลือคนอื่นได้แน่ ร่างบางเดินไปรอบรถเพื่อมองผู้บาดเจ็บคนอื่นอีก แต่หญิงสาวก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นร่างสิ้นลมหายใจใต้พวงมาลัยรถ ร่างบางผงะออกเล็กน้อย แต่เสียงร้องขอความช่วยเหลือยังคงดังลอยตามลมมาเป็นระยะ กมิตตราเรียกสติตัวเองให้คืนมา หญิงสาวกวาดสายตามองไปทั่วบริเวณ ดวงตากลมโตของหญิงสาวต้องเบิกกว้างขึ้นอีกครั้งเมื่อเหลือบเห็นร่างหนาที่นอนจมกองเลือดไกลจากรถที่เกิดเหตุเพียงแค่สามเมตร ร่างบางถลาเข้าไปหาร่างของผู้บาดเจ็บคนนั้นทันที
สำหรับเธอ ความรัก ไม่มีความแค้น สำหรับเขา รักที่มอบให้ คือความแค้นต้องชำระ เพราะความเข้าใจผิด ทำให้เขาเกลียดเธอ คิดเสมอว่าเธอคือผู้หญิงแสนร้ายกาจ หลอกลวงเขา เห็นเขาเป็นผู้ชายหน้าโง่ สำหรับเธอ เขาคือรักแรก รักเดียว และรักสุดท้าย ไม่ว่าเขาจะโกรธ จะเกลียดเธอเท่าไร เธอก็ยอม นั่นเป็นเพราะคำว่ารัก...คำเดียว แต่สำหรับเขา เธอคงเป็นได้แค่เครื่องระบายความแค้น
ต่อหน้าทุกคน เธอเป็นเลขานุการส่วนตัวของท่านประธาน โดยส่วนตัวแล้ว เธอเป็นภรรยาของเขา กู้เวยยีรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อเธอทราบว่าตนเองตั้งครรภ์ ทว่าเธอกลับเห็นฟู่จิงเฉินกับรักแรกของเขาสิทสนมกัน... เธอจากไปอย่างเศร้าใจและตัดสินใจที่จะให้พวกเขาสมหวัง ต่อมา เมื่อฟู่จิงเฉินมองดูท้องที่ยื่นออกมาของเธอ และถามอย่างตื่นเต้นว่า "้กู้เวยยี นี่คือลูกของใคร!" เธอตอบอย่างหัวเราะเยาะ "มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณด้วย อดีตสามี!"
"หัวใจ ความรัก และภักดี เขาจะเลือกอย่างไหน" “ไอ้เพชรแกเอาไป นี่เมียแก!” หญิงสาวที่อยู่ในชุดนอนมีร่องรอยฉีกขาด ถูกผลักเข้าไปในกระท่อมเก่าซอมซ่อของพัชระหรือทุกคนเรียกกันว่า เพชร ซึ่งเป็นเพียงช่างคนหนึ่งในไร่ชาของที่นี่ “คุณจันทร์นี่มันอะไรกันครับ” เจ้าของหนวดเคราครอบหน้าหันไปมองคนบนพื้นแล้วหันมาถามนางจันทร์นิล ด้านหลังก็มีลูกน้องของเจ้านายอีกสองคน “นังอ้อนมันร่านไง มันมาอ่อยผัวลูกสาวฉัน ไอ้เพชรฉันยกนังอ้อนให้แกจัดการ” นางจันทร์นิลชี้นิ้วใส่ลูกเมียน้อยของสามีอย่างจงเกลียดจงชัง “จัดการยังไงครับคุณจันทร์” พัชระได้ยินว่าคนที่ตนแอบรักถูกทำร้าย แววตาของเขาก็ประกายแข็งกร้าวขึ้นด้วยความโกรธ “ก็จัดการมันให้เป็นเมียแกซะ เดี๋ยวนี้เลย!” (เมียร้อนจำยอมรัก)
ถึงจะโกรธ เกลียด เคียดแค้นแค่ไหน แต่หัวใจไม่อาจต้านรักได้ ----------------------------------------- ไรยาค่อยๆ คลานไป ทันทีที่เจ้าบ่าวหันหน้ามา เพื่อจะยื่นมือให้เธอจับ จะได้ไม่ล้มนั้น ยิ่งจะทำให้เธอเกือบล้มไปเพราะเขาแล้ว ในหัวสมองก็ประมวลผลออกมาได้คำตอบทันที ว่าคนที่เธอเฝ้าครุ่นคิดว่าเป็นใครมาตลอดสองอาทิตย์นั้น แท้จริงก็คือใครกันแน่ในที่สุด ‘Mr. H. Hhemmhawattana ก็คือหรัญญ์ เหมวัฒน์’ ‘หรือพี่ฮั้นท์ของสาวๆ ที่เธอมักจะได้ยินเรียกขานกันนี่เอง’ ‘เขากลายมาเป็นเจ้าบ่าวเธอได้ยังไง’ ‘เขาจะมาแต่งงานกับเธอทำไม’ เท่าที่รู้มา เขาไม่ได้ร่ำรวยระดับร้อยล้านพันล้านแน่ๆ แล้วเขาไปทำอะไรมา ถึงได้มีเงินมากมายขนาดเอามาทุ่มซื้อหุ้นบริษัทของพ่อเธอได้ ไหนจะไถ่บ้านคืนให้ และอีกหลายต่อหลายอย่างที่เขาจ่ายไป รวมทั้งแหวนเพชรน้ำงามและไม่น่าจะต่ำกว่าห้ากระรัตบนพานดอกไม้ตรงหน้าเธออีก ---------------------------------------------------------------------------------------- ฮั้นท์ (หรัญญ์ เหมวัฒน์) นักธุรกิจหนุ่ม ผู้มีชีวิตที่พลิกผันจากเลวร้ายกลับกลายเป็นดี ซึ่งเขาเองก็ตั้งตัวไม่ทัน แต่ทั้งหมดนั้น มาจากความดี ความขยันหมั่นเพียรของเขา บวกกับโชคช่วย ถึงเวลาที่เขากลับมายืนอยู่จุดเดิม ในฐานะใหม่ ที่ใครต่อใครต่างงุนงง โดยเฉพาะเพื่อนๆ หรือแม้แต่กับผู้หญิงที่เคยเมนเขามาแล้ว และเขาก็จะทำให้ผู้หญิงพวกนั้นได้รู้ ว่าไม่ควรเมินเขาจริงๆ ---------------------- ย้า (ไรยา เจริญรัตชตะ) ทายาทนักธุรกิจหลายร้อยล้าน ที่ชีวิตพลิกผัน จากดีกลายเป็นเลวร้ายในไม่กี่ปี จนเธอกับครอบครัวก็ตั้งตัวไม่ติด รับภาวะย่ำแย่แทบไม่ทัน และถึงเวลาที่เธอจะต้องเลือก ระหว่างช่วยกู้ทุกอย่างของครอบครัวคืน กับทิ้งทุกอย่างไปแบบไม่เหลียวหลัง เพื่อไปเลียแผลหัวใจจากชายที่เธอรักแทบตาย สุดท้ายเธอจะเลือกทางเดินยังไง จะไปต่อหรือพอแค่นี้ ---------------------------------------------------------------------------------------- เมียแต่งท่านประธาน Chairman's Wife ตอนแรกคิดว่าจะให้นิยายที่เรื่องนี้มีแค่ชื่อภาษาอังกฤษเท่านั้นค่ะ ที่เหลือให้รี้ดไปตีความเอาเอง ว่าควรจะใช้ภาษาไทยว่าอะไรดี ระหว่าง แรงรัก - รั้งรัก - รังรัก และใช้นามปากกาพิมรภัค แต่สุดท้ายก็คิดชื่อใหม่ได้แล้วค่ะ และตัดสินใจใช้นามปากกาหลัก นั่นคือ กันเกราค่ะ เพราะแว้ปไปเขียนอวตารหลายเรื่องแล้ว และไม่ได้ออกนามปากกานี้นานแล้ว ส่วนแนวก็จะเพิ่มดราม่าเข้าไปอีก ซึ่งจะเป็น Signature ของกันเกราอยู่แล้ว รี้ดอยากได้มาม่าเจ้มจ้นแค่ไหน บอกกันได้เด้อ ----------------------------------------------------------------------------------------
สายตาที่ประสานกันมันบอกอย่างชัดเจนว่าตอนนี้ชายหนุ่มนั้นลืมคำว่าผู้ปกครองกับเด็กในปกครองไปแล้ว **************** หญิงชายสมัยนี้มันเท่าเทียมกันนะบัว เธอคิดว่าจะนอนกับฉันและทิ้งฉันไปง่ายๆ แบบนั้นเหรอ ไม่มีทางหรอก เธอต้องรับผิดชอบทั้งตัวฉันและความรู้สึกของฉัน
เมื่อพวกเขาพบกันอีกครั้ง ฟู่หนานเซียวก็ขจัดความหวาดระแวงและความเย่อหยิ่งให้หมดแล้ว และกอดเมิ่งชิงหนิงอย่างแน่น "กลับมาอยู่กับผมดีมั้ย?" เธอเคยเป็นเลขาของเขา และเป็นคู่นอนของเขาในตอนกลางคืนด้วย ใช้ชีวิตแบบนี้กินเวลาสามปี เมิ่งชิงหนิงทำตามที่เขาบอกโดยตลอด ราวกับสัตว์เลี้ยงที่ว่าง่าย จนกระทั่งฟู่หนานเซียวประกาศว่าเขากำลังจะแต่งงานกับคนอื่น เธอจึงตัดสินใจให้พ้นจากความรักที่ไร้ค่าของตนเองและเตรียมจะจากไป แต่ใครจะไปรู้ว่า มีเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความพัวพันของเขา การตั้งครรภ์ของเธอ และความโลภของแม่เธอค่อยๆ ผลักเธอลงสู่นรก สุดท้ายก็โดนทรมานอย่างหนัก เมื่อเธอกลับมาในอีกห้าปีต่อมา เธอก็ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป แต่เขาตกอยู่ในความบ้าคลั่งห้าปี
ชูจี้ถูกเก็บไปอุปการะตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งถือเป็นความฝันของเด็กกำพร้าทั่วไปอย่างชูจี้ แต่ชีวิตหลังจากนั้นมันไม่ได้มีความสุขดั่งที่ชูจี้คิดฝันไว้เลย เธอต้องอดทนถูกเย้ยหยันและการทำทารุณจากแม่บุญธรรมของเธอ แต่ก็ยังโชคดีที่เธอได้รับความเมตตาจากคนใช้สูงวัยคนหนึ่งในบ้านหลังนั้น ชึ่งเป็นคนคอยดูแลและเอาใส่เธอเหมือนแม่แท้ ๆ ของเธอ จนกระทั่งคนใช้จากไปด้วยอาการป่วย ชูจี้ก็ถูกบังคับให้แต่งกับผู้ชายที่ไม่เอาการเอางานแทนลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อแม่บุญธรรมของเธอเพื่อชดใช้ค่ารักษาพยาบาลของคนใช้ เรื่องราวจะเป็นเช่นเดียวกับซินเดอเรลล่าหรือไม่? อย่างไรก็ตาม ชายที่เธอจะแต่งงานด้วยนั้นไม่เหมือนเจ้าชายเลยสักนิดนอกจากรูปร่างหน้าตาของเขาที่สามารถเทียบเท่ากับเจ้าชายได้เท่านั้นเอง ลู่เหยี่ยนเป็นลูกชายนอกสมรสของครอบเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง เขาใช้ชีวิตไปวันๆ (พอลอดไปด้วยค่ะ)มาโดยตลอด ที่เขาตกลงแต่งกับชูจี้ก็เพราะอยากจะทำให้ความปรารถนาสุดท้ายของแม่ของเขาสมหวังเท่านั้น แต่ในคืนวันแต่งงาน เขากลับพบว่าเจ้าสาวคนนี้มีพฤติกรรมที่ผิดกับที่เคยได้ยินได้ฟังมา โชคชะตาจะบันดาลให้พวกเขาเป็นอย่างไร และลู่เหยี่ยนจะเป็นดั่งที่เราคิดหรือไม่ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือลู่เหยี่ยนมีหลายอย่างที่คล้ายๆ กับมหาเศรษฐีที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้อย่างพิลึก สุดท้ายแล้ว ลู่เหยี่ยนจะสามารถรู้ได้หรือไม่ว่าชูจี้ คือเจ้าสาวจำเป็นที่ต้องได้แต่งงานแทนพี่สาวของเธอ การแต่งงานของพวกเขาจะเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวสุดโรแมนติกหรือวิบากกรรมของชีวิต โปรด ติดตามและค้นหาชีวิตและเรื่องราวของทั้งสองคนด้วยกันเถอะ