แม้คนส่วนใหญ่จะคิดว่า ผู้ชายวัยสี่สิบกว่าๆ อาจจะดูแก่เกินไปสำหรับผู้หญิงที่อายุเพิ่งจะยี่สิบสอง ทว่านั่นไม่ใช่ความคิดของปอไหมอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็ไม่ใช่สำหรับผู้ชายที่สายตาของเขามีแต่ความไม่ไว้วางใจในตัวเธอ สำหรับเขาแล้ว เธอคือเด็กแก่แดดปากกล้า แต่เขากลับโอบกอดร้อยรัดและจุมพิตเธออย่างเร่าร้อน แล้วปอไหมจะทำอย่างไรกับหัวใจของตัวเองดีเล่ากับความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เธอไม่เคยเห็นว่าเขาแก่ หน้ำซ้ำยังเต็มไปด้วยแรงดึงดูดและชอบทำให้เธอหัวใจเต้นแรงเล่นอยู่บ่อยๆ แต่สำหรับเขาล่ะ…เธอเด็กและนิสัยแย่เกินไปหรือเปล่า แล้วไหนจะสถานะอันหมิ่นเหม่ระหว่างเธอและเขาที่คนรอบข้างอาจมองว่าไม่เหมาะสม หรือเธอควรพาตัวเองออกไปให้ห่าง แต่มันช่างยากเหลือเกิน ในเมื่อหัวใจก่อเกิดความรู้สึกที่เรียกว่า ‘รัก’ ไปแล้ว ร่างสูงเดินนำมานั่งลงบนเตียง หัวใจของปอไหมยิ่งเต้นแรงมากกว่าเดิม เมื่อเขาขยับเข้ามาใกล้จนเกือบชิดและจับคางมนของเธอให้หันไปสบตา “ฉันต้องใช้ถุงยางหรือเปล่า” ราชันย์ถามทั้งๆ ที่ปกติเวลามีอะไรกับผู้หญิงเขาก็ป้องกันทุกครั้ง ทว่ากับเด็กสาวคนนี้เขาเกิดอยากจะฉีกกฏของตัวเองขึ้นมาดื้อๆ แม้รู้ดีว่าเธอไม่ได้สะอาดสะอ้านอะไร “ไม่ต้องหรอกค่ะ ปอมียาคุม” ปอไหมพูดราวกับพวกมืออาชีพที่พกพายาเม็ดเล็กๆ เหล่านั้นเป็นประจำ แต่เธอไม่ได้มียาตัวนี้เหมือนผู้หญิงเหล่านั้น เธอใช้มันควบคุมฮอร์โมนตามที่หมอสั่งเท่านั้น แต่ในยามนี้มันกลับช่วยให้เธอไม่ต้องวิตกกังวล และพูดตอบโต้ผู้ชายตรงหน้าได้อย่างคล่องปาก “ลืมไปว่ามืออาชีพ งั้นเราเริ่มกันเลยเป็นไง จะได้ไม่ต้องเสียเวลา” จบคำวงแขนแกร่งก็ตวัดกอดคอดและประกบจูบริมฝีปากอิ่มสีชมพูอ่อนของเธอทันที หญิงสาวที่ริเล่นกับไฟนิ่งงันและตัวแข็งไปครู่หนึ่ง ถึงนี่จะไม่ใช่จูบครั้งแรกและเคยจูบกับเขามาแล้ว แต่จูบของเขามันทำให้ร่างกายของเธอตื่นเร้าไปหมด “เผยอปากออกสิปอไหม อย่ามัวแต่เล่นตัว ถ้าอยากได้เงินเพิ่มเดี๋ยวฉันจ่ายให้ทีหลัง” “ปอไม่ได้จะ...” เธอกำลังจะบอกว่าไม่ได้เล่นตัวและไม่ได้อยากได้ค่าตัวเพิ่ม แต่ราชันย์ไม่ได้สนจะฟัง เพราะเขาฉวยโอกาสนั้นประกบปากลงใหม่และฉกลิ้นเข้าไปในโพรงนุ่มชื้นทันที
วันที่ 11 เมษายน หนึ่งวันก่อนสงกรานต์
วันนี้การจราจรดูแน่นขนัดมากกว่าปกติ โดยเฉพาะในเวลาเย็นๆ แบบนี้ รถยิ่งหนาตาและแล่นได้ช้าลงเรื่อยๆ ทั้งนี้เป็นเพราะผู้คนต่างกำลังเดินทาง บ้างก็มุ่งหน้าออกต่างจังหวัดเพื่อกลับถิ่นฐานบ้านเกิด บ้างก็ออกไปเพื่อท่องเที่ยวพักผ่อนในช่วงวันหยุดยาวที่กำลังจะมาถึง
ในขณะที่คนส่วนใหญ่กำลังเร่งรีบ ร่างบางที่อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนของสาววัยยี่สิบสองกลับกำลังเดินเอื่อยๆ อยู่บนฟุตบาทอย่างไม่ได้เร่งรีบ ตาคู่สวยเหลือบมองป้ายชื่อคลินิกเสริมความงาม ก่อนจะผลักเข้าไปด้วยความไม่มั่นใจนัก เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอเข้ามาสถานที่แบบนี้
ปอไหมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องได้เข้ามาใช้บริการเสริมความงามเลย เพราะเธอพอใจในรูปลักษณ์แบบที่ธรรมชาติสร้างมาอยู่แล้ว แต่ ‘สิว’ คือสาเหตุหลักที่ทำให้เธอต้องเข้าคลินิกเสริมความงามแห่งนี้ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยมีปัญหาเกี่ยวกับผิวหน้ามาก่อน
ร่างบางนั่งลงที่เก้าอี้พลาสติกเคลือบมันสีฟ้าหลังจากที่ลงทะเบียนคนไข้เรียบร้อยแล้ว เธอกวาดตามองไปรอบๆ ก็เห็นว่าคนมารอคิวเยอะพอสมควร หญิงสาวจึงนั่งรออยู่นานเกือบหนึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงคิวเข้าพบหมอ
มือเล็กผลักประตูเข้าไป นั่งตรงข้ามกับหมอ ก่อนจะเริ่มเล่าถึงปัญหาให้หมอหนุ่มวัยสามสิบต้นๆ ซึ่งหน้าใสกิ๊กสมกับเป็นหมอเฉพาะทางด้านผิวหนัง ตาคู่สวยแอบมองหน้าหล่อๆ ใสๆ ของหมออย่างเพ่งพิศ ขณะหมอตรวจสภาพผิวหน้าให้ พลางคิดในใจเงียบๆ คนเดียวโดยไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าว่า หมอก็ดูหล่อดี หล่อแบบดารานักร้องเกาหลี ซึ่งบางคนอาจชอบผู้ชายแบบหมอ แต่สำหรับเธอกลับชอบผู้ชายสูงๆ เข้มๆ ดุๆ เฮี้ยบๆ เหมือนกับ...
“สิวของคุณน่าจะเกิดจากความเครียด พักผ่อนน้อย ก็เลยทำให้ร่างกายและฮอร์โมนแปรปรวน หมอจะให้คุณทานยาคุมกำเนิดเพื่อปรับฮอร์โมน ยังไงช่วงนี้ใช้เครื่องสำอางอะไรก็ให้ระวังหน่อยนะครับ หรือถ้าไม่ใช้เลยจะดีมาก”
ความคิดของปอไหมหยุดชะงัก ความสนใจกลับมาอยู่ที่สภาพปัญหาผิวหน้าตัวเองอีกครั้ง หลังจากหมอตรวจเสร็จและอธิบายถึงต้นเหตุและแนวทางการรักษาให้ฟัง
“หนูไม่แต่งหน้าอยู่แล้วค่ะ ว่าแต่หนูต้องทานยาไปตลอดมั้ยคะคุณหมอ”
“ไม่หรอกครับ อาจจะแค่ช่วงระยะหนึ่ง รอให้ฮอร์โมนปรับระดับได้ คุณก็ไม่ต้องทานแล้ว และก็ไม่ต้องกลัวอ้วนนะ ยาตัวนี้ไม่มีผลข้างเคียงแบบนั้น เพียงแค่คุณอาจจะดูมีน้ำมีนวลขึ้นนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
ได้ฟังเช่นนั้นปอไหมค่อยสบายใจขึ้นมาบ้าง เธอขอบคุณหมอแล้วออกไปรับยาและจ่ายเงินที่หน้าเคาน์เตอร์ด้านนอก ผู้ช่วยหมออธิบายวิธีกินให้ฟังอย่างละเอียด ปอไหมยัดถุงยาใส่กระเป๋า พร้อมกันนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น เท้าเล็กๆ จึงรีบก้าวออกจากคลินิก ก่อนจะกดรับสายที่โทร.เข้ามาอย่างไม่ลังเล เพราะเห็นว่าเป็นเบอร์โทร.ของเพื่อนสนิท
“ว่าไงอุ๋ม”
“ปออยู่ไหน” เสียงที่สวยสมตัวของคนพูดถามกลับมาทันทีหลังจากที่ปอไหมตอบรับ
“เรามาหาหมอน่ะ มาปรึกษาหมอเรื่องสิวน่ะแหละ ว่าแต่อุ๋มโทร.หาเรามีอะไรหรือเปล่า”
“พรุ่งนี้ปอจะไปเล่นน้ำสงกรานต์ที่ไหน”
“ว่าจะไปแถวๆ ข้าวสารแหละ พอดีหยีโทร.มาชวน ว่าแต่ถามทำไม อย่าบอกนะว่าอุ๋มจะไปด้วย” ปอไหมถามเล่นๆ ไปอย่างนั้น เพราะรู้ดีว่าอุมารินทร์ไม่มีทางได้ออกนอกบ้านไปไหนแน่ๆ โดยเฉพาะช่วงเทศกาลแบบนี้ เพราะพ่อของอุมารินทร์หวงลูกสาวมาก ไม่เคยอนุญาตให้ออกไปเที่ยวนอกบ้านไม่ว่าเนื่องในโอกาสอะไร ดังนั้นอุมารินทร์จึงแทบไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ ส่วนใหญ่พ่อของเธอจะพาไปเที่ยวต่างประเทศซะมากกว่า
“เราอยากไปด้วย ปอพาเราไปด้วยสิ”
“ไปได้เหรออุ๋ม แน่ใจนะว่าพ่อไม่ว่า”
เมื่อพูดถึงพ่อของอุมารินทร์ ปอไหมก็เผลอย่นจมูกคนเดียวอย่างอดไม่ได้ ราชันย์ยังหนุ่มอยู่มาก หน้าตารูปร่างราวกับผู้ชายวัยสามสิบต้นๆ ทั้งที่อายุจริงของเขาน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับอาของเธอ เขาจัดได้ว่าเป็นผู้ชายที่หล่อเหลาคนหนึ่ง ยิ่งเป็นลูกครึ่งด้วยก็ยิ่งทำให้เขาดูคมคาย รูปร่างสูงสง่าภูมิฐาน แม้จะอยู่ในชุดลำลองเขาก็ยังดูเนี้ยบ เครื่องหน้าสมเป็นบุรุษรูปงามทุกชิ้น คิ้วเข้ม จมูกโด่ง เรียวปากหยักลึก คางบุ๋มนิดๆ แต่ส่วนที่โดดเด่นที่สุดในความคิดของปอไหม ก็คือแววตาคมดุสีอำพันของเขาที่เหมือนจะสะกดคนได้ จึงไม่แปลกเลยที่จะมีสาวน้อยสาวใหญ่มาหลงเสน่ห์มากมาย แต่ความชื่นชมทั้งหมดที่มีให้เขาก็ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง และปอไหมก็ไม่เคยย่างกรายไปที่บ้านของอุมารินทร์อีกเลย เพราะไปครั้งแรกก็ปะทะคารมกับพ่อเพื่อนอย่างเผ็ดร้อน
อุมารินทร์เคยเล่าให้ฟังว่า พ่อกับแม่ของอุมารินทร์เป็นนักเรียนนอกทั้งคู่ ราชันย์เป็นลูกครึ่งไทยอังกฤษ ใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศตั้งแต่เด็ก ไอคิวสูงมากจนสามารถเรียนจบปริญญาโทตั้งแต่อายุยี่สิบเอ็ด ส่วนแม่ของเธอเป็นลูกสาวในตระกูลผู้ดีเก่าของไทย ทั้งสองพบรักกันตอนเรียนและแต่งงานกันที่อังกฤษทันทีที่เรียนจบเพราะแม่ของอุมารินทร์ตั้งท้อง หลังจากนั้นไม่นานทั้งคู่ก็พาลูกสาววัยสองขวบกลับมาที่เมืองไทย เพราะราชันย์ต้องบริหารกิจการของครอบครัวต่อจากบิดาที่จากไปอย่างกะทันหัน
เธอ...รักอย่างภักดีและเจียมใจ เขา...จ้องแต่จะทำลาย เลยทำทุกอย่างเพื่อหลอกให้รัก สุดท้าย...สิ่งที่เธอได้รับการตอบแทน จากรักที่แสนภักดีก็คือคำว่า ง่าย ที่เขาตะโกนใส่หน้าอย่างไม่คิดแม้แต่จะสงสาร
ศาสตรา ภูวเดชาธร คือผู้ชายที่ ภัคธีมา บอกตัวเองว่าเขาช่างร้ายกาจสมกับชื่อ ผู้ชายคนนี้พร้อมจะฟาดฟันให้เธอย่อยยับแหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทั้งๆ ที่เธอคือว่าที่น้องสะใภ้ หรือเขารังเกียจว่าเธอจน ไม่คู่ควรกับคนในตระกูลภูวเดชธรเจ้าของไร่ที่ใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่ เขาจึงกีดกันเธอกับน้องชายเขาทุกวิถีทาง แม้ภัคธีมาพยายามจะไม่ข้องแวะกับเขา หากทว่าในที่สุด โชคชะตาก็กลั่นแกล้ง ให้ต้องตกไปอยู่ในบ่วงพันธนาการของเขาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ภัคธีมาจึงได้แต่นับวันรอ… รอวันที่กริชผู้แข็งกร้าวอย่างเขาจะปลดปล่อยเธอให้เป็นอิสระ แต่ครั้นเมื่อถึงเวลาจริงๆ มันกลับไม่ง่ายเลย เพราะหัวใจที่แสนอ่อนไหวถูกบ่วงเสน่หาร้อยรัดเอาไว้อย่างแน่นหนา
ร่างบางดำดิ่งลึกลงเรื่อยๆ ร่างกายทุรนทุรายเพื่อความอยู่รอด แต่ใจเธอยอมแพ้แล้ว มันอึดอัด มันหนาวเหน็บ นี่สินะความตาย ความตายของเธอที่พี่อิสร์ต้องการ เอมทำให้แล้วนะคะ หวังว่าการกระทำของเอมในครั้งนี้ จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เอมทำให้พี่อิสร์มีความสุข ขอให้ความรักความแค้นระหว่างเราจบลงแค่นี้ เอมเจ็บ เจ็บจนไม่อยากจะหายใจแล้วเช่นกัน ขอบคุณที่บอกให้เอมมาตาย มันน่าจะเป็นหนทางดับทุกข์ที่ดีที่สุดของเอมแล้ว ลาก่อนค่ะพี่อิสร์...
เมื่อเด็กที่อยู่ในอุปการคุณของผู้เป็นบิดาทำท่าว่าจะเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นแม่เลี้ยงของเขา ภาคิม วัชรอาชา ผู้ชายที่แสนจะหยิ่งยโสจึงยอมไม่ได้ สู้ให้บิดามีนางบำเรอเป็นร้อยเหมือนกับนางในฮาเร็มของสุลต่านยังจะดีเสียกว่าให้เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างนั้นมาร่วมสกุล เขาสลัดคู่ควงทุกคนทิ้งแทบจะทันทีแล้วหันมามุ่งมั่นกับการกำจัดว่าที่แม่เลี้ยงและจัดการลงทัณฑ์ผู้หญิงไม่เจียมตัวให้รู้สำนึกว่าอย่างมากเธอก็เป็นได้แค่ ‘นางบำเรอ’ เท่านั้น วิโรษณา ดุษยา เพื่อตอบแทนบุญคุณของผู้มีพระคุณ สาวน้อยไร้เดียงสาจึงต้องยอมตกเป็น ‘เมียบำเรอ’ ของผู้ชายกักขฬะไร้หัวใจโดยไม่ยอมปริปากบ่น และไม่แม้แต่จะเรียกร้องความสมเพชใดๆ จากเขา เพราะรู้ว่าในสายตาของซาตานร้าย ผู้หญิงข้างถนนอย่างเธอมีค่าไม่ต่างอะไรกับขยะชิ้นหนึ่งเท่านั้น “คุณภาคิม ได้โปรดอย่าทำกับปุ้มแบบนี้” “ฉันมีสิทธิ์ลงโทษเธอตามวิธีของฉันวิโรษณา” เสียงเขาแหบกระเส่า วิโรษณาดิ้นอย่างกระสับกระส่าย ทำไมเขาไม่ลงโทษเธอด้วยการเฆี่ยนตี หรือให้อดข้าวอดน้ำ ขังไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันก็ได้ เขาไม่รู้หรือไงว่าทำแบบนี้ร่างกายของเธอปั่นป่วนและกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยความทรมานอันแสนวาบหวาม ลิ้นร้อนดั่งไฟนาบจุมพิตทั่วทุกอณูเนื้อของดอกไม้แสนฉ่ำหวาน ก่อนจะแทรกลิ้นชื้นเข้าไปรุกรานความอ่อนนุ่มที่นิ้วเรียวของเขาได้สัมผัสมาแล้วก่อนหน้านี้ สาวน้อยพยายามตั้งสติไม่ปล่อยการกระทำไปตามอารมณ์เร่าร้อนที่กำลังรู้สึกอยู่ แต่ลิ้นอุ่นจัดของคนแสนชำนาญก็แทรกลึกเข้าไปในความอ่อนนุ่มกลางกายด้วยจังหวะอันร้ายกาจอย่างไม่หยุดหย่อน ใบหน้าสวยแดงซ่านด้วยอารมณ์ร้อนแรง มือเล็กจิกลงบนที่นอนและขยุ้มจนยับย่นเพื่อระบายความซ่านสยิวที่กำลังโรมรันกายสาวอย่างหน่วงหนัก ร่างบางกระตุกไหว คิ้วสวยขมวดนิ่วด้วยอารมณ์สะท้านซ่าน หลงใหลไปกับสัมผัสของเขาจนเผลอยกสะโพกขยับไปมาเบาๆ ปลายลิ้นหนาลากถูไถขึ้นลงตามกลีบกุหลาบแสนสวยที่เปียกชุ่มไปด้วยความฉ่ำหวาน สองขาเรียวสั่นระริกๆ เมื่อชายหนุ่มเริ่มออกแรงกดปลายลิ้นแตะต้องแรงขึ้น
เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับว่าที่เจ้าบ่าวในคืนแต่งงาน ทำให้พรรษรดาต้องเข้าพิธีกับน้องชายของเจ้าบ่าวแทน แม้วิวาห์ครั้งนี้จะเป็นเพียงวิวาห์สมมติในความรู้สึกของเขาและเธอ หากทว่าความรู้สึกที่เก็บซ่อนไว้ข้างในนั้นต่างหากที่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เธอจะกล้าบอกความในได้อย่างไร ว่าแท้จริงแล้วผู้ชายที่เธอมีใจใฝ่ปองและอยากแต่งงานด้วยจริงๆ ก็คือเขา ในเมื่อผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าสามี เอาแต่เฉยเมยเย็นชาใส่ ซ้ำยังเอ่ยปากขอหย่าอยู่หลายครั้ง พรรษรดาจะจัดการปัญหาหัวใจครั้งนี้อย่างไรดี ในเมื่อยิ่งเขาทำให้เจ็บ หัวใจไม่รักดีก็ยิ่งรักเขามากขึ้นๆ เธอควรรั้งเขาไว้ให้เป็นสามีในนามเพื่อทรมานใจกันเล่นๆ หรือว่าปล่อยเขาไปให้สมรักกับผู้หญิงอื่นตามที่เขาร้องขอ ***ตัวอย่าง*** “ฉันรักเธอพรรษรดา ฉันรักเธอ รักเธอคนเดียว” เขาสารภาพออกมาเสียงแหบห้าว นัยน์ตาหม่นมัวไปด้วยแรงรักแรงปรารถนาที่อัดแน่นอยู่ข้างใน “คุณภู...” “หัวเราะสิ หัวเราะเยาะฉัน หัวเราะไอ้ผู้ชายหน้าโง่ที่มันเป็นทาสรักของเธออย่างโงหัวไม่ขึ้นมาตลอดหลายปี หัวเราะเยาะไอ้ผู้ชายหน้าโง่ที่ตัดใจไม่ได้เสียที” คำสารภาพของเขาเหมือนระลอกคลื่นยักษ์ที่กระแทกโครมเข้าใส่หัวใจดวงน้อยของพรรษรดา เธอถึงกับร้องไห้สะอึกสะอื้นเพราะแบกรับความรู้สึกอันท่วมท้นนั้นไม่ไหว “ฉันมันคงน่าสมเพชมากสินะ” ร่างใหญ่ขยับตัวเหมือนจะถอดถอนออกไป แต่พรรษตวัดขารัดรอบเอวสอบไว้แน่น ทำให้เขาดำดิ่งเข้ามาฝังลึกอยู่ในช่องสาวอีกครั้ง “อย่าบังอาจลุกจากตัวพรรษ” เธอแหวใส่เขาเสียงดังลั่น ตัวสั่นเทาเพราะความรัญจวนและความเต็มตื้นในหัวใจ “พรรษรดา...” “อย่าคิดว่าจะผลักไสพรรษง่ายๆ อีก รู้มั้ยว่าพรรษรอนานแค่ไหน รู้ไหมว่าต้องเสียน้ำตาไปกี่ครั้งเมื่อคิดว่าตัวเองรักคุณภูข้างเดียว อย่ามาบอกรักพรรษ ล้อเล่นกับหัวใจพรรษแล้วหนีไปง่ายๆ อีก พรรษไม่ยอมอีกแล้ว คราวนี้พรรษจะตามรังควานไปตลอดชีวิตเลย อย่าหวังว่าจะได้มีโอกาสมีความสุขกับผู้หญิงคนไหน อย่าหวังว่าจะได้บอกรักใครอีก เพราะคำว่ารักของคุณภูจะเป็นของพรรษคนเดียวตลอดไป”
ในเมื่อเธอเป็นเมียที่ได้มาจากการทรยศ ความรู้สึกเดียวที่เธอจะได้รับจากเขาก็มีแค่ ความชัง เท่านั้น อย่างหวังว่า เขาจะเลิกชัง อย่าหวังว่า เขาเหลียวแล อย่าหวังว่า จะได้แม้แต่เศษเสี้ยวความรักของเขา นภัทรบอกตัวเองเช่นนั้น อย่างหนักแน่นอยู่เสมอ แต่ความเกลียดชังโกรธแค้นของเขามันน้อยลงตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือเป็นเพราะนัยน์ตาเศร้าๆ ซื่อๆ ของเด็กคนนั้น ที่มันค่อยๆ เขย่าความเย็นชาในหัวใจเขา ให้กลายเป็นความรู้สึกอื่น
เพราะแอบรักกล้าตะวันมากนาน หวันยิหวาจึงทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ครองรักกับเขา โดยมีมารดาของเขาเป็นผู้ให้การสนับสนุน แต่สำหรับกล้าตะวันแล้ว หวันยิหวาคือนางมารร้ายที่ทำให้เขากับคนรักต้องเลิกรากัน ดังนั้นทุกวินาทีหลังจากงานวิวาห์นี้จบลง หวันยิหวาจะต้องได้รู้จักกับนรกอเวจีปอยเปตอย่างถ่องแท้เลยทีเดียว “อา... อ๊า...อา...” ลำคอระหงถูกซุกไซ้และดูดเม้ม เสื้อผ้าถูกดึงทึ้งออกไปจากร่างกาย จนในที่สุดก็เปลือยเปล่า กล้าตะวันเลียลงมาที่ไหปลาร้า และมาซบหน้าคลุกเคล้ากับร่องอกอวบ เขาดอมดมกลิ่นสาปสาวอย่างหิวกระหาย ขณะที่ฝ่ามือหนาวางทาบลงกับเต้านมอวบอัดข้างซ้ายของหล่อน “อา... อ๊า... ซี๊ดดดด” หล่อนเผยอปากครางลั่น เมื่อปทุมถันถูกฟอนเฟ้นบีบเคล้าหนักหน่วง ปลายนิ้วแข็งแรงถูไถเม็ดเต่งอย่างเมามัน หล่อนดิ้นเร่าๆ หยัดหน้าอกขึ้นหาสัมผัสจากฝ่ามืออบอุ่นด้วยความกระตือรือร้น
เธอก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่เคยสนใจ แต่ก็ยังดึงดันอยากจะอยู่ใกล้ ต่อให้เธอเป็นเมียแต่งเขาก็คงไม่มีวันเปลี่ยนใจ เพราะเหตุนี้เธอจึงตัดสินใจจากไปในคืนแต่งงาน "จากนี้ไปเราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก" 🥀
นางเจ็บปวดปางตายเมื่อเขาโยนร่างบอบช้ำทิ้งไว้หลังจวนโดยไม่แยแส เมิ่งลี่เฟยน้ำตาไหลพรากทว่ากลับไม่ทำให้คนที่เพิ่งเหยียบย่ำร่างกายเล็กเห็นใจแต่ประการใด"เฝ้านางเอาไว้ให้ดีอย่าให้ออกมาทำเรื่องชั่วอีก"
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
"คุณต้องการเจ้าสาว ส่วนฉันก็ต้องการเจ้าบ่าว ทำไมเราไม่แต่งงานกันล่ะ?" ภายใต้เสียงเยาะเย้ยของทุกคน ถังเลี่ยน ซึ่งถูกคู่หมั้นของเธอทอดทิ้งในพิธีแต่งงาน กลับแต่งงานกับเจ้าบ่าวพิการข้างบ้านที่ถูกรังเกียจ ถังเลี่ยนคิดว่าอวิ๋นเซินเป็นชายหนุ่มที่น่าสงสาร และเธอสาบานว่าจะให้ความรักใคร่แก่เขาและตามใจเขาหลังแต่งงาน ใครจะรู้ว่าเขาแกล้งเป็นแบบนั้น... ก่อนแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "เธอต้องสนใจเงินของผมถึงยอมแต่งงานกับผม ผมจะหย่ากับเธอหลังจากที่ผมใช้ประโยชน์เธอเสร็จ" หลังแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "ภรรยาของผมต้องการหย่าทุกวัน แต่ผมไม่อยากหย่า ทำอย่างไรดีล่ะ"
ในสายตาของเขา เธอเป็นคนขี้โกหก ในสายตาของเธอ เขาเป็นคนไร้หัวใจ เดิมทีถังหว่านคิดว่าเธอคือคนพิเศษหลังจากอยู่กับเสิ่นติงหลานมาสองปี แต่สุดท้ายก็พบว่าตัวเองเป็นแค่ของเล่นที่สามารถทิ้งได้อย่างตามใจเมื่อไม่มีค่าอีกต่อไป จนกระทั่งถังหว่านเห็นว่าเสิ่นติงหลานพาคนรักของเขาไปตรวจครรภ์ เธอจึงยอมแพ้แล้ว เธอหยุดติดตามเขาอีก แต่จู่ๆ เขากลับไม่ยอมปล่อยเธอไป "ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน ทำไมคุณไม่ปล่อยฉันไปล่ะ?" ชายผู้เคยหยิ่งยะโสขนาดนั้น ตอนนี้ก้มหัวลงและขอร้องว่า "หวานหว่าน ฉันผิดไปแล้ว โปรดอย่าทิ้งฉันไป"