สามชาติเวียนว่าย สองภพบรรจบ เพื่อหนึ่งปรารถนาในดวงใจ
สามชาติเวียนว่าย สองภพบรรจบ เพื่อหนึ่งปรารถนาในดวงใจ
“ด่านรัก!”
เหยียนหลัวหวางร้องตะโกนเสียงดังลั่น ดวงตาผู้ยิ่งใหญ่เเห่งเเดนยมโลกมองบุรุษเบื้องหน้าด้วยเเววเหลือเชื่อ นี่เทพนอกคอกผู้นี้คิดจะสร้างความวุ่นวายอะไรให้เเก่พวกเขาอีก
ยามนี้เเดนสวรรค์ถูกปกครองโดยเง็กเซียนฮ่องเต้ เหล่าเทพรุ่นใหม่ถือกำเนิดขึ้นปานดอกเห็ด ทว่าบรรดาเทพยุคเก่ากลับเริ่มเสื่อมถอย ในหมู่เทพบรรพกาลนอกขอบฟ้า หลายองค์บ้างถึงกาลเเตกดับ บางองค์ก็ลงไปเผชิญกับด่านเคราะห์เล่นเเก้เบื่อ
เเต่นั่นไม่ใช่กับผู้ที่กำลังอยู่ตรงหน้าเขา จอมเทพนอกฝั่งฟ้าผู้นี้หาได้เคยให้ความสนใจแก่ผู้ใด อีกทั้งยังมีความเป็นมาลึกลับเกินกว่าจะกล่าวถึง เพราะเทพบรรพกาลองค์นี้ถือกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไรนั้น ไม่มีผู้ใดสามารถให้คำตอบได้ เเม้เเต่เหล่าเทพในยุคก่อนด้วยกันเองก็ตาม
เนื่องด้วยเขานั้นไร้ตัวตนอย่างยิ่ง ทำให้แม้แต่บนหินสามชาติก็หาได้มีชื่อสลักดั่งผู้อื่น นับว่าเป็นเทพที่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ทั้งปวง ไร้ซึ่งความเป็นมา ไร้นามให้ขับขาน ดังนั้นเหล่าบรรดาเทพเซียนทุกตนจึงพากันขนานนามอีกฝ่ายว่า ‘ตี้จวิน’ จนติดปาก
เเต่พลังของเทพนอกฝั่งฟ้าผู้นี้กลับมิได้ไร้ตัวตนเหมือนสถานะของเขาแม้แต่น้อย เมื่อรวมเข้ากับนิสัย ‘มองหน้าเเปลว่าหาเรื่อง’ ของเจ้าตัว ทำให้แม้แต่องค์เง็กเซียนยังเอือมระอา คร้านจะข้องเกี่ยวด้วย
“ไม่ได้อย่างนั้นหรือ” เสียงทุ้มเอ่ยเรื่อยเอื่อยราวสายน้ำเย็นฉ่ำ
เหยียนหลัวหวางฟังแล้วนึกเคลิบเคลิ้ม ก่อนจะพลันสะบัดศีรษะเพื่อเรียกสติกลับคืน เพราะเขาเเละทุกคนในสามภพหกเเดนล้วนรู้ดี ภาพลักษณ์ที่มองเห็นอยู่นั้นเป็นเพียงสิ่งหลอกลวง ตี้จวินผู้นี้แท้จริงแล้วทั้งเอาแต่ใจและเผด็จการอย่างร้ายกาจในความเป็นจริง
“ใช่ว่าจะไม่ได้ เเต่ตี้จวินเองก็รู้ดีว่าบนหินสามชาตินั้นหามีชื่อของท่านสลักอยู่ไม่ เช่นนั้นแล้วจะไปมีชื่อคู่วาสนาท่านปรากฏได้อย่างไร เกรงว่าต่อให้ตี้จวินปรารถนาจะลิ้มรสด่านเคราะห์จากรักที่ไม่สมหวังนี้สักเพียงใด ตาเฒ่าจันทราก็มิอาจผูกด้ายเเดงให้ได้ตามประสงค์”
“เรื่องนี้หาได้ยากเย็นอันใด ข้าเพียงเเต่สร้างคู่วาสนาของตนเองขึ้นมาก็จบ หลังจากนั้นค่อยให้เจ้าเฒ่าจันทราจัดการผูกด้ายแดงเสีย”
เจ้าตัวกล่าวขึ้นอย่างไม่ยี่หระ พลางค้นหาข้าวของภายในแขนเสื้อตนเอง หมายใจสร้างคู่วาสนาแบบมักง่าย ทว่าสุดท้ายเมื่อไม่เจอของที่สามารถใช้ได้ ดวงตาคู่งามจึงเหล่มองไปที่ต้นกระบองเพชรบนโต๊ะทำงานคู่สนทนาอย่างมีเลศนัย ก่อนจะส่งยิ้มร้ายกาจไปยังผู้ที่เป็นเจ้าของมัน
เหยียนหลัวหวางสะดุ้งเฮือก ในใจเกิดความตระหนกจนถึงขีดสุด รีบเอื้อมมือคว้ากระถางใบเล็กๆ นั้นมาถือเอาไว้อย่างหวงแหน
“ไม่ได้เด็ดขาด นี่เป็นของฝากจากสหายที่อยู่แดนไกลของข้าเชียวนะ”
พญายมราชกัดฟันแน่น เอ่ยขึ้นอย่างไม่ยินยอม ลองคิดดูสิว่าการจะนำต้นไม้จากโลกเบื้องบนลงมา มันยากลำบากขนาดไหน และในบรรดาต้นไม้ที่สหายของเขานำมาให้ ก็มีเพียงแค่ ‘อิ๋งอิ๋ง’ กระบองเพชรน้อยนี่เท่านั้น ที่สามารถทานทนต่อปราณหยินอันหนักหน่วงของยมโลกได้
เเต่กว่าที่จะมาเเข็งเเรงออกดอกสีชมพูสดใสให้ได้เชยชมเเบบนี้ เขาต้องเเอบหนีไปด้านบนเพื่อให้เเสงเเก่นางทุกวันเทียวนะ เเล้วไหนจะยังน้ำที่ใช้รดนั่นอีก ถึงแม้อิ๋งอิ๋งน้อยจะเป็นเเค่ต้นกระบองเพชรธรรมดาในโลกมนุษย์ แต่เขาก็ขโมยน้ำทิพย์จากสระมรกตขององค์เง็กเซียนมารดนางโดยตลอด
เขาต้องปกป้องอิ๋งอิ๋งน้อยเอาไว้ให้ได้ เพราะฉะนั้นย่อมไม่มีทางมอบต้นกระบองเพชรน้อยที่ตนเองนั้นแสนจะทะนุถนอมให้เจ้าเทพอันธพาลตรงหน้านี่อย่างเด็ดขาด บอกได้คำเดียวเลยว่า...
ไม่-มี-วัน!
“ส่งมา อย่าให้ข้าต้องเอ่ยซ้ำ รู้ใช่ไหมว่าเจ้าเด็กเง็กเซียนก่อนหน้านี้ออกว่าราชการไม่ได้ไปกี่วัน”
“...”
เคยเห็นผู้ใดข่มขู่พญายมราชไหมเล่า ถ้าไม่เคยเห็นก็เคยกันเสียเถอะ...ไอ้เทพจอมเอาแต่ใจ เอะอะก็จะใช้กำลังบังคับ
“อย่าจับนางแรงนักนะตี้จวิน อิ๋งอิ๋งเพิ่งออกดอกเป็นครั้งแรก ประเดี๋ยวดอกนางจะหลุดเอา”
สุดท้ายเพื่อป้องกันไม่ให้ยมโลกของตนถูกจอมเทพผู้ชั่วร้ายรังควาน เหยียนหลัวหวางจึงได้เเต่ยอมเสียสละต้นกระบองเพชรน้อยในมือ เขามองกลีบดอกสีชมพูที่สั่นระริกนั้นด้วยท่าทีประหนึ่งจะขาดใจ
'โธ่...อิ๋งอิ๋งน้อยของข้า'
เจ้าของร่างสูงยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ต้นไม้บนฝ่ามือนั้นดูแปลกตาดีเหลือเกิน นิ้วเรียวยาวประหนึ่งหยกงามไล้ลงบนกลีบสีชมพูแผ่วเบา หนามแหลมที่อยู่รอบๆ เจ้าต้นไม้น้อยก็พลันกางออกคล้ายต้องการปกป้องตนเองจากผู้รุกราน ขณะเดียวกันก็รู้สึกราวกับว่าเจ้าดอกน้อยๆ นั้นกำลังเกิดความเอียงอาย ยามสัมผัสจึงรู้สึกได้ถึงอาการไหวสั่นระริกของกลีบดอก จนคนลูบพลันเกิดความรู้สึกอยากกลั่นแกล้งขึ้นมาในอก
“อืม...เอาเป็นเจ้านี่ก็แล้วกัน” เทพบรรพกาลผู้เอาแต่ใจเอ่ย พลางยกมืออีกข้างขึ้นมาสะบัดวูบหนึ่ง
ฉับพลันกระบองเพชรน้อยในกระถางก็หายวับไป บนฝ่ามือของเขาปรากฏกลุ่มแสงสีขาวนวลจับตัวเป็นก้อนกลมขนาดไม่ใหญ่มากนักแทนที่ หลังจากนั้นร่างสูงจึงยื่นส่งสิ่งที่อยู่ในมือให้เหยียนหลัวหวางพลางกล่าวกำชับ
“ข้าจะไปดื่มน้ำแกงยายเมิ่งแล้ว เจ้าก็จงเร่งนำนางไปเกิดให้โดยเร็วเถิด จะได้รีบเริ่มด่านเคราะห์รักนี้ให้จบเรื่องราว” ออกคำสั่งจบผู้พูดก็เดินอาภรณ์ปลิวออกจากห้อง
เหยียนหลัวหวางพลันเกิดความสงสัย อดร้องถามขึ้นมามิได้ “ตี้จวิน ท่านไม่เคยสนใจความเป็นไปของโชคชะตาแล้ว เพราะเหตุใดท่านถึงอยากลงไปเผชิญด่านเคราะห์กันเล่า”
“ข้าเเพ้พนันเดินหมากกับเจ้าเด็กเง็กเซียน เจ้านั่นตั้งเงื่อนไขให้ข้าลงไปเผชิญด่านเคราะห์จากรักที่ไม่สมหวัง” เอ่ยจบก็เดินจากไปทันที
เหยียนหลัวหวางฟังแล้วยืนนิ่งอยู่กับที่ ผ่านไปสักพักหนึ่งถ้อยคำก่นด่าสารพัดจึงถูกพ่นออกมาแทบไม่หยุดหายใจ ทำเอาองค์เง็กเซียนที่กำลังประชุมชาวสวรรค์อยู่ถึงกับไอสำลักไม่หยุดเช่นกัน
เง็กเซียนบ้านั่นต้องการหาเรื่องไล่เจ้าเทพอันธพาลลงไปโลกมนุษย์ก็แล้วไปเถอะ แต่ทำไมถึงกลายเป็นเขาที่ต้องเสียสละอิ๋งอิ๋งน้อยไปด้วยเล่า ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด
หลังจากยืนขุดบรรพชนเง็กเซียนขึ้นมาทักทายถึงสามรุ่นจนเป็นที่พอใจ เหยียนหลัวหวางจึงประคองก้อนเเสงในมือออกจากห้อง ไอ้อาลัยมันก็อาลัยอยู่หรอกนะ แต่ถ้าเขาส่งอิ๋งอิ๋งน้อยไปเกิดช้า ทางโน้นเกิดหงุดหงิดขึ้นมาจะลำบากตนเองเอาได้
‘อิ๋งอิ๋ง ข้าขอโทษด้วย เพื่อความสงบของแดนสวรรค์และยมโลก จำเป็นต้องให้เจ้าเสียสละเเล้ว’
“ไม่รู้ว่าเป็นบุญหรือกรรม ที่เจ้าต้องไปเป็นคู่วาสนาให้เจ้าเทพจอมวายร้ายนั่นแบบนี้ เอาเถอะอิ๋งอิ๋ง...สู้ๆ นะ”
อวิ๋นซือเป็นบุตรสาวของขุนนางใหญ่กับภริยาเอก นางเพียบพร้อมคู่ควรกับฐานะฮูหยินใหญ่ วัยสิบห้าหญิงสาวขึ้นเกี้ยวสีเเดงหลังใหญ่ ใช้แปดคนหามเข้าสู่ตระกูลสามี วัยสิบเจ็ดนางถือหนังสือหย่าออกจากจวนอย่างทระนง เป็นฮูหยินใหญ่เเล้วอย่างไร เมื่อในใจสามียังสู้อนุคนหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ
อดีตนางไร้สามารถ ไม่กล้าแม้แต่จะปลิดชีพตนเอง ทว่าโชคชะตากลับนำพาวิญญาณมายังชาติภพใหม่ จากที่ไม่เคยมีกลับกลายเป็นมีพร้อม คนสำคัญที่มิเคยพานพบ นางพร้อมรักษาในชาตินี้
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
หลังจากที่แต่งงานเข้ามาในตระกูลมู่ หลินซีได้ทำหน้าที่เป็นคุณนายมู่ที่ยอมอดทนกับทุกอย่างโดยไม่ปริปากเป็นเวลาสามปี เธอรักมู่จิ่วเซียว จึงยอมอดทนดูแลเขาอย่างเต็มใจ แม้ว่าเขาจะมีคนอื่นอยู่ข้างนอกก็ตามแต่เขากลับไม่เคยเห็นค่าของเธอ เหยียบย่ำความรักของเธอให้แหลกสลาย และถึงขั้นปล่อยให้น้องสาวของเขามอมเหล้าเธอแล้วส่งไปยังเตียงของลูกค้า หลินซีนั้นถึงเพิ่งจะตาสว่างเมื่อรู้ว่าความรักที่มีมานานนั้นช่างน่าขันและน่าเศร้าในใจของเขา เธอไม่ต่างอะไรกับผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เข้ามาเกาะเขา เธอจึงทิ้งข้อตกลงการหย่าไว้แล้วจากไปโดยไม่ลังเล มู่จิ่วเซียวมองดูเธอประสบความสำเร็จ กลายเป็นดวงดาวที่ส่องแสงในสายตาของผู้คนเมื่อได้เจอกันอีกครั้ง เธอเต็มไปด้วยความมั่นใจและสงบเสงี่ยม โดยมีผู้ชายที่มีฐานะสูงส่งอยู่เคียงข้าง มู่จิ่วเซียวมองดูใบหน้าของคู่แข่งหัวใจที่ดูคล้ายกับของเขามาก จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าในสายตาเธอ เขาเป็นเพียงตัวแทนของคนอื่นในมุมแห่งหนึ่ง เขาขวางทางเธอไว้ “หลินซี คุณเล่นตลกกับผมใช่ไหม”
เวินอี่ถงได้เห็นความรักอันลึกซึ้งของเจียงยวี่เหิง แต่ก็ได้สัมผัสกับการทรยศของเขาเช่นกัน เธอเผารูปแต่งงานของพวกเขาต่อหน้าเขา แต่เขากลับมัวแต่ง้อชู้ของเขา ทั้งๆ ที่เขาแค่มองดูแวบหนึ่งก็จะเห็น แต่เขากลับไม่สนใจเวินอี่ถงสุดจะทน ตบหน้าเขาอย่างแรง พร้อมอวยพรให้เขากับชู้ของรักกันยืนยาว แล้วเธอก็หันหลังสมัครเข้ากลุ่มวิจัยลับเฉพาะ ลบข้อมูลประจำตัวทั้งหมด รวมถึงความสัมพันธ์การแต่งงานกับเขาด้วย! ก่อนจากไป เธอยังมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เขาอีกด้วยเมื่อถึงเวลาที่จะเข้ากลุ่ม เวินอี่ถงก็หายตัวไป บริษัทของเจียงยวี่เหิงประสบปัญหาล้มละลาย เขาจึงออกตามหาเธอด้วยทุกวิถีทาง แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นใบมรณบัตรที่ต้องสงสัยเขาสติแตก “ฉันไม่เชื่อ ฉันไม่ยอมรับ!”เมื่อพบกันอีกครั้ง เจียงยวี่เหิงต้องตกใจที่พบว่าเวินอี่ถงเปลี่ยนตัวตนใหม่แล้ว โดยข้างกายมีผู้มีอำนาจที่เขาต้องยอมก้มหัวให้เขาอ้อนวอนอย่างสิ้นหวัง “ถงถง ผมผิดไปแล้ว คุณกลับมาเถอะ!”เวินอี่ถงเพียงยิ้มยักคิ้ว จับแขนของผู้มีอำนาจข้างๆ “น่าเสียดาย ตอนนี้ฉันอยู่ในระดับที่นายไม่อาจเอื้อมถึงแล้ว”
เพิ่งหย่ากับอดีตสามีไปไม่นานแต่ปรากฏว่าตัวเองท้อง จะทำอย่างไรดี? หรือจะให้อดีตสามีรับผิดชอบ แต่ก็ไม่คิดว่าอดีตสามีมีคนรักใหม่ไปแล้ว ชีวิตของถังชีชีนั้นช่างสับสน ช่างน่าวิตกกังวลและไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เธอต้องคอยระวังไม่ให้คุณเฟิงรู้เรื่องการตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัย แต่ไม่คิดว่าจะถูกเขาบังคับถึงเพียงนี้ "เราหย่ากันแค่สี่เดือน แต่เธอกลับตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนแล้ว บอกมาดี ๆ ว่า ลูกเป็นของใคร!"
เมื่อเธอโดนนอกใจจากคนที่รัก จึงหนีไปเริ่มต้อนชีวิตใหม่ที่ดูไบ และเธอก็ได้เจอกับหนุ่มอาหรับสุดแซ่บ ที่มายั่วยวนหลอกล่อให้เธอมีเซ็กส์ที่เร่าร้อนกับเขา และเขายังต้องการให้เธอท้องลูกของเขาอีก.... เรื่องย่อ.... “คุณอัสลาน… คุณออกไปห่างๆฉันหน่อยได้ไหม…ห้องครัวนี่มันก็กว้างมากเลยนะคุณ ทำไมคุณต้องมาใกล้ฉันขนาดนี้ด้วย…” “ก็ผมอยากจะดูว่าคุณใส่ยาเสน่ห์อะไรลงไปในอาหารหรือเปล่า เพราะช่วงนี้ผมรู้สึกโหยหาคุณตลอดเลย…” “ใครจะบ้ามาใส่ยาเสน่ห์ให้คุณกินล่ะ แค่นี้ฉันก็แทบไม่ได้นอนแล้ว… ขืนใส่ยาเสน่ห์ให้คุณกิน ฉันไม่นอนแกผ้าให้คุณเอาทั้งวันเลยเหรอ…” “หึๆ…ก็คุณมันน่ามั่นเขี้ยวนิ จะจับจะตบตรงไหนก็แน่นไปหมดเลย…แถมกลิ่นตัวก็หอมไปยันหอยเลย…อืม…พูดไปแล้วขอผมดมให้ชื่นใจหน่อยสิ วันนี้ทำงานมาโคตรเหนื่อยเลย…” “อื้อ…คุณจะทำอะไรน่ะคุณฮัสลาน นี่มันในห้องครัวนะคุณ…เดี๋ยวพวกแม่บ้านเดินเข้ามาจะทำยังไงคะ…ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลยค่ะ จะมาดมอะไรตรงนี้” “ก็ผมอยากดมตอนนี้ไงคุณ…เห็นหน้าคุณแล้วผมก็รู้สึกเสี้ยนจนทนไม่ไหวแล้วเนี่ย…ขอผมดมให้ชื่นใจหน่อยเถอะ” “อ้ะ….คุณอัสลาน….อื้อ….ทำไมคุณมันหื่นแบบนี้เนี่ย….เอามือของคุณออกไปนะ เดี๋ยวคนมาเห็น….อ้ะ…ซี๊ด…อ่าส์….” อัสลาน ราเชด บรูฮัมนี อายุ 37 ปี “อัสลาน...” หนุ่มนักธุรกิจชาวอาหรับที่หน้าตาหล่อเหลาราวกับเทพบุตรในนิยาย แต่ต้องมาคัดสรรหาเมียเพื่อจะมีลูกสืบทอดวงตระกูลตามคำสั่งของพ่อแม่ ทำให้เขานั้นเลี่ยงไม่ได้กับการที่จะหาเมียสักคนมารับหน้าที่นี้ แต่เขาดันไปถูกใจแม่สาวไทยใจแข็งเข้านี่สิ ไม่ว่าเขาจะเสนออะไรไปเธอก็ไม่ยอมที่จะมาเป็นเมียของเขาเลย เพียงเพราะว่าเขานั้นแก่กว่าเธอไม่กี่ปีเท่านั้น ทำให้เขาต้องใช้เล่ห์กลหลอกล่อเธอให้มาทำงานกับเขา ก่อนจะค่อยๆอ่อยแล้วก็รุกจัดการตะครุบเหยื่ออย่างเธอให้กลายมาเป็นนกน้อยในกรงทองของเขา…. มารียา เวทติวัตร อายุ 27 ปี “มีน มารียา…” สาวไทยหน้าคมที่มีหุ่นอวบอัดเป็นที่ยั่วน้ำลายของพวกหนุ่มนั้น กลับไม่ประสบความสำเร็จเรื่องความรักเอาซะเลย เธอจึงหนีจากความเสียใจแล้วมาหางานทำอยู่ที่ดูไบ...เพื่อจะลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเธอ และเธอก็ได้เจอกับเจ้านายขี้อ่อย ขี้ยั่ว ที่ไม่ว่าเธอจะทำอะไรหรือไปไหน เขาก็มักจะมายั่วน้ำลายทำให้หัวใจที่บอบช้ำของเธอนั้นปั่นป่วนอยู่เสมอ จนเธอถลำตัวมีอะไรกับเขาอย่างห้ามใจไม่อยู่ และเธอก็ได้รู้ว่าเขานั้นเป็นผู้ชายแก่ที่หื่นสุดๆเลย…แต่จะหื่นแค่ไหนต้องไปตามอ่านในนิยายนะคะ
© 2018-now MeghaBook
บนสุด