อวิ๋นซือเป็นบุตรสาวของขุนนางใหญ่กับภริยาเอก นางเพียบพร้อมคู่ควรกับฐานะฮูหยินใหญ่ วัยสิบห้าหญิงสาวขึ้นเกี้ยวสีเเดงหลังใหญ่ ใช้แปดคนหามเข้าสู่ตระกูลสามี วัยสิบเจ็ดนางถือหนังสือหย่าออกจากจวนอย่างทระนง เป็นฮูหยินใหญ่เเล้วอย่างไร เมื่อในใจสามียังสู้อนุคนหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ
ย่างเข้าเดือนสิบ สายลมเหมันต์เริ่มพัดพา ปุยหิมะสีขาวร่วงหล่นจากผืนฟ้าสีคราม เกี้ยวสีแดงหลังใหญ่ตัดกับสีเขียวของทิวทัศน์รอบด้าน มีบุรุษร่างกำยำแปดคนหามพร้อมกับก้าวเดินเป็นจังหวะ ขบวนเจ้าสาวผู้เพียบพร้อมครบถ้วนสมฐานะกำลังมุ่งสู่ปลายทางด้วยใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม
ด้านในเกี้ยวมีร่างบอบบางของเจ้าสาวคนงามนั่งอย่างสงบ บรรยากาศรอบด้านอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของงานมงคล เสียงเครื่องเป่าดังสูงต่ำเป็นทำนองสลับกับเสียงตีฆ้องเป็นจังหวะ ทว่าสีหน้าคนข้างในกลับเต็มไปด้วยความกังวล
เกี้ยวแดงหลังใหญ่โคลงเคลงไปมาชวนให้รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย หญิงสาวพยายามข่มอาการเหล่านั้นพลางตั้งสติ นี่คืองานแต่งของนางจะให้ความหวั่นวิตกมาทำลายไม่ได้ เพราะวันนี้คือวันสำคัญที่สุดในชีวิต มิอาจพลาดได้โดยเด็ดขาด
วันที่นางจะกลายเป็นฮูหยินใหญ่ ก้าวเข้าสู่เส้นทางสายภรรยาหลวงที่ต้องคอยดูแลทั้งสามีและอนุอีกหลายคน
นางคืออวิ๋นซือ บุตรสาวเพียงคนเดียวของใต้เท้าอวิ๋นเสนาบดีกรมคลังแห่งแคว้นกับฮูหยินใหญ่จางซื่อ ที่บอกว่าเป็นบุตรสาวคนเดียวนั้นหาใช่ว่าบิดามีบุตรแค่นางหรอกนะ แต่หมายถึงคนเดียวที่มีกับฮูหยินใหญ่ต่างหาก เพราะบิดาของอวิ๋นซือมีสามภรรยากับสี่อนุอย่างครบครัน และยังไม่รวมสาวใช้อุ่นเตียงที่มีมากมายเสียจนนางผู้เป็นลูกนับญาติไม่ถูก
นางจางซื่อมีอวิ๋นซือเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว อีกทั้งยังมิอาจตั้งครรภ์สายเลือดชายเพื่อสืบทอดวงศ์ตระกูลได้ ทำให้ฐานะฮูหยินใหญ่ในจวนไม่มีความหมายนัก ผู้ที่มีอำนาจในจวนแท้จริงกลับเป็นฮูหยินสามที่มีบุตรชายถึงสองคน ทว่าเมื่อไม่นานมานี้เจียงฮูหยินรองก็คลอดทายาทชายมาอีกคน ทำให้การแย่งชิงอำนาจภายในจวนดุเดือดขึ้นไปอีก
อวิ๋นซือไม่แยแสการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นของคนเหล่านั้น สิบห้าปีที่เติบโตในจวนเสนาบดี ภาพที่นางเห็นมีเพียงมารดาที่ต้องคอยรองรับอารมณ์ของบิดา รับใช้บรรดาฮูหยินรอง รวมทั้งดูแลอนุและเหล่าสาวใช้ที่บิดาโปรดปราน นั่นคือฐานะฮูหยินใหญ่ ทว่าทำงานไม่ต่างจากคนใช้ที่ต้องคอยดูแลทุกเรื่อง ความสำคัญของมารดาที่มีในใจบิดามิสู้อนุคนหนึ่งเลยด้วยซ้ำ
ฮึ! นี่ละชะตาของคนเป็นฮูหยินใหญ่ ภรรยาหลวงที่บุรุษทั้งหลายตบแต่งพวกนางเข้ามาเป็นเมียเอกเพื่อเชิดหน้าชูตา
ท่ามกลางปุยหิมะและสายลมเหมันต์ ในที่สุดขบวนเจ้าสาวก็เดินทางมาถึงที่หมาย เกี้ยวเจ้าสาวถูกวางลงบนพื้น พร้อมเสียงแม่สื่อร้องขานบอกพิธีการให้เจ้าบ่าวเตะเกี้ยวข่มภรรยาตามธรรมเนียม
อวิ๋นซือคลี่ยิ้มบางใต้ผ้าคลุมลายนกยวนยางคู่ ธรรมเนียมประเพณีช่างน่าขบขันนัก บุรุษมีค่ากว่าสตรี สามีคือฟ้า ภรรยาคือดิน แต่งถูกต้องตามพิธีการหมายถึงภรรยาเอก แต่งด้อยลงมาคือภรรยารอง ถัดมาอีกนิดก็เป็นอนุ แต่ไม่ว่าคนไหนก็คือภรรยาที่ต้องเห็นสามีเป็นฟ้าอยู่ดีมิใช่หรือ
ขนาดนี้แล้วยังต้องข่มอีกหรืออย่างไร
ระหว่างที่นางกำลังอยู่ในภวังค์ความคิด ด้านนอกก็เสร็จสิ้นธรรมเนียม มือใหญ่ที่ได้รูปสวยงามของบุรุษถูกยื่นเข้ามา อวิ๋นซือสูดลมหายใจเข้าเบาๆ ก่อนจะยกมือขาวนุ่มของตัวเองวางทับลงไป
ร่างสูงประคองเจ้าสาวของตัวเองเข้าสู่ด้านใน ฝ่ามือที่เกาะกุมกันให้สัมผัสที่แตกต่างในความรู้สึกของทั้งคู่ คนหนึ่งสัมผัสถึงความนุ่มนวลของมือน้อยนั้น อีกคนรู้สึกถึงความแข็งแกร่งของบุรุษเพศจากความสากกระด้าง อวิ๋นซือหลุบตาลงต่ำยามที่ก้าวเท้าตามแรงจูง
เขาเป็นบุรุษคนแรกนอกจากบิดาที่นางจับมือ และจะเป็นคนแรกในอีกหลายๆ เรื่องด้วย หวังเพียงว่าในอนาคตต่อไปข้างหน้า อีกฝ่ายจะให้เกียรติกันบ้าง เท่านี้ก็พอใจแล้วสำหรับนาง
ในที่สุดพิธีการแต่ละขั้นตอนก็ผ่านไปและเสร็จสิ้น ค่ำคืนที่มีค่าดั่งทองพันตำลึงเงียบสงัด สาวใช้และแม่สื่อออกไปกันหมดแล้ว ร่างบอบบางนั่งเกร็งเล็กน้อย สองมือที่กุมประสานกันของนางชื้นไปด้วยเหงื่อ ร่างสูงของคนที่เป็นสามีหมาดๆ ก้าวมายืนด้านข้าง มือเรียวสวยดุจหยกช่วยนางปลดเครื่องประดับบนศีรษะออกอย่างอ่อนโยน หญิงสาวขบริมฝีปากสะกดอาการอึดอัดในใจ รอจนเขานำทุกอย่างออกจากผมจนหมด
“เจ้าหิวหรือไม่”
เขาถามน้ำเสียงทุ้มนุ่มนวล เสียงนั้นกังวานทว่าอ่อนโยนอย่างยิ่ง จนอวิ๋นซืออดเงยหน้าขึ้นลอบมองอีกฝ่ายไม่ได้ ใบหน้าเขาให้ความรู้สึกไม่ต่างจากเสียง งดงาม คมสัน และสดใสราวกับสายน้ำที่เย็นฉ่ำ ดวงตาคมฉายแววอบอุ่น เพียงแค่สบมองก็ทำให้คนเคลิบเคลิ้ม ปากแดงฟันขาวและท่าทางอมยิ้มน้อยๆ นั่นก็ชวนให้รู้สึกหลงใหลได้
เมื่อเห็นเจ้าสาวเหม่อลอยราวกับถูกมนตร์สะกด หลันชิงอมยิ้มอารมณ์ดี เขาหัวเราะเสียงทุ้มละมุนหูพลางก้าวมาคว้าจอกสุราบนโต๊ะ แล้วยื่นส่งให้นางจอกหนึ่ง พออวิ๋นซือรับมาถือ อีกฝ่ายก็คล้องแขนไขว้ดื่มทันที
สุรารสแรงบาดคอ อวิ๋นซือดื่มรวดเดียวหมดจอก จากนั้นใบหน้างดงามก็แดงก่ำลงมาถึงลำคอ นางกะพริบตาถี่ๆ เมื่อความรู้สึกมึนงงเข้าจู่โจม หลันชิงหัวเราะเอ็นดูในความคออ่อนของภรรยา เขาจับจูงนางมานั่งที่โต๊ะอาหารก่อนจะชักชวนให้กิน
กินอาหารคาวแล้วก็ต้องมีของหวานตบท้าย สำหรับหลันชิง ของหวานก็คืออวิ๋นซือนั่นเอง สุราฤทธิ์แรงและบุรุษรูปงามราวกับภาพฝันทำให้รู้สึกมึนเมากว่าปกติ กว่านางจะทันรู้สึกตัว แผ่นหลังเปลือยเปล่าก็สัมผัสกับที่นอนเย็นเยียบแล้ว
ดรุณีน้อยวัยสิบห้าไร้ประสบการณ์ได้แต่ตอบสนองอย่างเงอะงะ บุรุษหนุ่มผู้ช่ำชองใช้ความชำนาญหลอกล่อให้นางเผลอไผล ก่อนที่จะกรีดร้องเมื่อรู้สึกถึงความปวดร้าว
ทว่าไม่นานความเชี่ยวชาญของหลันชิงก็ทำให้นางตอบสนองอีกครั้ง เมื่อความเจ็บปวดคลายลง ความรู้สึกแบบใหม่ที่ไม่เคยสัมผัสก็เร่งเร้า อวิ๋นซือเผลอปลดปล่อยเสียงหวานที่วาบหวามจนตัวเองยังอดตกใจไม่ได้
ภายนอกสายลมเหมันต์พัดกระโชก หิมะที่โปรยปรายลงบนพื้นกลายเป็นพรมสีขาวสะอาดตา ตัดกับสีแดงสดของกลีบเหมยฮวาที่ร่วงหล่น ราวกับผืนผ้าบนเตียงนอนของคู่บ่าวสาว
ในห้องนอนที่ร้อนผ่าวจนสายลมและไอหิมะยังต้องล่าถอย สองร่างแนบแน่นเกี่ยวกระหวัดรัดรึง เตียงนอนหลังใหญ่โยกไหวส่งเสียงประท้วง ทว่าผู้เป็นนายกลับไม่คิดจะใส่ใจ
อวิ๋นซือเหลือบมองผ่านหน้าต่างที่เปิดรับสายลมเย็นฉ่ำ ภาพสุดท้ายที่นางเห็นนอกหน้าต่างคือ ผืนหิมะสีขาวที่ตัดด้วยกลีบเหมยฮวาสีแดงสด จากนั้นคนบนร่างก็ทาบริมฝีปากลงมา พร้อมกับความรัญจวนที่อีกฝ่ายสร้างขึ้น ดวงตาสุกใสเกิดละอองน้ำจนพร่ามัว เสียงหนึ่งพลันดังแว่วขึ้นมาในหัว
‘วอนขอรักแท้ที่มั่นคง เพียงหนึ่งยวนยางยืนยงจนแก่เฒ่า’
หยาดน้ำใสพลันไหลรินจากหางตา รักแท้มั่นคงหนึ่งคู่นกยวนยาง ในอดีตเป็นนางที่เฝ้าท่องบทกลอนนี้เสมอมา
แต่เด็กสาววัยฝันผู้ใดบ้างเล่าจะไม่จะใฝ่หา…
อดีตนางไร้สามารถ ไม่กล้าแม้แต่จะปลิดชีพตนเอง ทว่าโชคชะตากลับนำพาวิญญาณมายังชาติภพใหม่ จากที่ไม่เคยมีกลับกลายเป็นมีพร้อม คนสำคัญที่มิเคยพานพบ นางพร้อมรักษาในชาตินี้
ในการแต่งงานที่ทำข้อตกลงไว้ เจียงหว่านเป็นฝ่ายที่มีใจให้อีกฝ่ายก่อน แต่ตอนที่เธอต้องการเผยเสี้ยนมากที่สุด เขากลับอยู่เคียงข้างคนรักในใจของเขา ในท้ายที่สุด เจียงหว่านก็ตัดสินใจหย่า และเริ่มต้นชีวิตใหม่ เมื่อเผยเสี้ยนรู้สึกตัวขึ้นมา เธอก็จากไปแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่เข้าคิวเพื่อรับป้ายหมายเลข เผยเสี้ยนหยิบเงินร้อยล้านออกมาและพูดว่า "หว่านหว่าน คู่รักก็ต้องเป็นคู่เดิมเราแต่งงานใหม่อีกครั้งได้ไหม"
จางหยู่เสวียน เดิมทีเป็นสตรีปากร้ายและถูกผีพนันเข้าสิงจนไม่ใส่ใจลูกและสามีที่เกิดอุบัติเหตุจนพิการไป สตรีนางนั้นก็เริ่มทอดทิ้งสามีแล้วเลือกที่จะทอดสะพานให้บัณฑิตหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง จนทำให้ภรรยาของเขาเกิดความหึงหวงผลักนางตกน้ำจนพบจุดจบที่น่าอดสู ทว่าเมื่อจางหยู่เสวียน นักฆ่าสาว เจ้าของรหัสหมายเลข 13 ในองค์กรนักฆ่าระดับโลกมีเหตุให้ถูกฆ่าตาย เนื่องจากไม่ยอมสังหารคนดี เธอจึงได้รับโอกาสใหม่จากสวรรค์เพื่อตอบแทนความดีครั้งนี้ในการมาเกิดใหม่ในร่างคนอื่นในยุคจีนโบราณ ทว่าเจ้าของร่างเดิมนั้นทำตัวเหลวแหลก ไม่เคยใส่ใจความรู้สึกของครอบครัว จนถึงขนาดคิดขายลูกกิน นักฆ่าสาวที่ข้ามเวลามาจากอนาคตจึงต้องทำทุกทางเพื่อแก้ไขเรื่องราวที่ยุ่งเหยิงนี้ ก่อนที่จะมีจุดจบเลวร้ายไม่ต่างไปจากเจ้าของร่างเดิม ชีวิตใหม่ครั้งนี้ นางจะใช้มันอย่างดีเพื่อดูแลครอบครัวนี้ให้มีความสุข และลบแผลใจแย่ๆ ให้หมดไปจากทุกคนในครอบครัว "ท่านแม่จะทิ้งเราเหรอ!" ไม่รู้เด็ก ๆ ที่วิ่งเล่นกันอยู่ด้านนอกเข้ามาได้ยินที่ประโยคไหน เข้าใจว่าผู้เป็นแม่จะออกไปและไม่กลับมาอีก สองพี่น้องกอดหมับที่ขามารดาคนละข้าง ทิ้งน้ำหนักลงพื้นเต็มที่ หากจะไปพวกเขาจะเกาะหนึบนางไปเช่นนี้ "ท่านแม่อย่าทิ้งข้าเลยนะเจ้า" ซ่งอวี้หลานร้องไห้โฮ น้ำตาทะลักออกจนชายชุดนางชุ่มในเวลาไม่กี่พริบตา ทางด้านซ่งหยวนหมิงก็รู้สึกว่าจะแพ้ไม่ได้ เลยกลั้นใจบีบน้ำตาจนหน้าแดง เห็นลูกทุ่มเทช่วยเขาขนาดนี้ ซ่งอี้หนานก็คุกเข่าลง ประคองมือนางไว้ไม่ปล่อย ใบหน้าคมคายจากมุมมองที่สูงกว่า ทำให้เขาดูคล้ายสุนัขตัวโต "ข้า เอ่อ" จางหยู่เสวียนพูดไม่ออก
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
นรีรัตน์ตอบตกลงทำตามสัญญาที่ว่าเธอจะแต่งงานกับชยุดและต้องมีลูกกับเขาภายในเวลาหนึ่งปี มิเช่นนั้น เธอจะต้องสูญเสียทุกอย่างในชีวิตของเธอไป แต่การกระทำมักทำยากกว่าคำพูดเสมอ การที่เธอต้องเผชิญกับการถูกกลั่นแกล้งให้ขายหน้าวันแล้ววันเล่า จนที่สุดเธอหมดความอดทนและไม่อยากจะยอมก้มหัวอย่างคนพ่ายแพ้อีกต่อไป ในวันที่เขาประสบอุบัติเหตุ เธอได้อุทิศเสียสละโดยไม่ได้นึกถึงความปลอดภัยของตนเองเพื่อช่วยชีวิตของเขาไว้ ถึงแม้ว่าในตอนนี้เธอยังคงมีชีวิตอยู่ แต่ในอีกไม่ช้าเธอจะหายตัวไปจากชีวิตของเขา ตราบจนถึงเวลาที่ลูกของพวกเขาเติบโตขึ้นมา และเมื่อถึงเวลานั้นโชคชะตาจะพัดพาให้พวกเขากลับพันผูกกันอีกครั้ง เดิมทีเธอจะกลับไปหาเขาก็ได้ แต่ตอนนี้เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่จะอุทิศทุกสิ่งอย่างเพื่อความรักในตัวเขาอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เธอพร้อมแล้วที่จะต่อสู้เพื่อลูกชายของตัวเอง
ต่อหน้าทุกคน เธอเป็นเลขานุการส่วนตัวของท่านประธาน โดยส่วนตัวแล้ว เธอเป็นภรรยาของเขา กู้เวยยีรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อเธอทราบว่าตนเองตั้งครรภ์ ทว่าเธอกลับเห็นฟู่จิงเฉินกับรักแรกของเขาสิทสนมกัน... เธอจากไปอย่างเศร้าใจและตัดสินใจที่จะให้พวกเขาสมหวัง ต่อมา เมื่อฟู่จิงเฉินมองดูท้องที่ยื่นออกมาของเธอ และถามอย่างตื่นเต้นว่า "้กู้เวยยี นี่คือลูกของใคร!" เธอตอบอย่างหัวเราะเยาะ "มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณด้วย อดีตสามี!"