“ผมยังไม่อยากมีลูก...” นพรดาสะดุดลมหายใจ หัวใจหนาววูบจนชาไปทั้งตัวเมื่อได้ยินคำนั้นจากปากเขา “บอสไม่อยากมีลูก หรือไม่อยากมีลูกกับเก้ากันแน่” “ก็ทั้งสองอย่าง ผมยังไม่พร้อมจะมีลูกหรือมีใครเข้ามาในชีวิตตอนนี้” นพรดาเม้มริมฝีปากแน่น ใจสั่นรัวๆ เมื่อได้ยินถ้อยคำแสลงหูจากปากคนไร้หัวใจ “เอาเถอะ ถ้าคุณมีลูกกับผมจริง เราค่อยว่ากันอีกทีแล้วกัน ถ้าคุณอยากเก็บเด็กไว้แต่เลี้ยงเองไม่ไหวหรือไม่อยากเลี้ยง ผมจะเอาเด็กมาเลี้ยงเอง” ถึงยังไงพ่อกับแม่ของเขาก็อยากมีหลานอยู่แล้วคงไม่ขัดข้องอะไร “แต่ถ้าคุณไม่ต้องการเก็บเด็กไว้ ผมก็ไม่ว่า และเคารพการตัดสินใจของคุณ แล้วก็จะให้เงินคุณก้อนหนึ่งเป็นค่าชดเชยในสิ่งที่คุณต้องเสียไป ถือว่าเป็นความรับผิดชอบจากผมแล้วกัน” นพรดาหันขวับไปมองเขาตาเขม็ง ในใจเริ่มเดือดปุดๆ “แล้วถ้าเก้าไม่ยอมเลือกสองทางนี้ล่ะคะ” “แล้วคุณต้องการอะไรกันล่ะ” “ถ้าเก้าบอกว่าต้องการคุณกับทะเบียนสมรสหนึ่งใบในฐานะเมียและแม่ของลูกคุณล่ะคะ บอสจะว่ายังไง” “ฝันไปเถอะ” “นั่นไม่ใช่คำขอร้อง แต่เป็นประโยคบอกเล่า” “ผมขอเตือนคุณไว้สักอย่างนะนพรดา หากคุณโลภมากและเรียกร้องสถานะเกินตัว คุณก็จะไม่ได้อะไรจากผมเลย แม้แต่ความเป็นพ่อของเด็กถ้าหากว่าคุณท้องขึ้นมาจริงๆ” “ได้ค่ะ งั้นคุณก็จำคำพูดนี้ไว้ให้ดีแล้วกันนะคะ ฉันจะไม่เรียกร้องอะไรจากคุณอีก และคุณเองก็ไม่มีสิทธิ์จะมาเรียกร้องอะไรจากฉันเหมือนกัน แล้วถ้าฉันเกิดมีลูกขึ้นมาจริงๆ ฉันก็จะบอกเขาว่าพ่อเขาตายไปแล้ว แต่ถ้าลูกอยากมีพ่อ ฉันก็จะหาพ่อใหม่ให้เขาสักคน อืม...แบบนี้ก็เข้าท่าดีเหมือนกันนะ” อย่านะ...อย่ามาเสียดายทีหลังก็แล้วกันคนใจร้าย!
หากมีใครสักคนถามว่าในชีวิตนี้อยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรมากที่สุดล่ะก็ นพรดา ธาราวงศ์ คงไม่ลังเลที่จะตอบว่า...
การหลวมตัวยอมมาเป็นเลขาของภาสกฤต คือสิ่งที่เธอทำพลาดที่สุดในชีวิต!
แม้ใครๆ จะบอกว่าเธอนั้นเป็นคนที่โชคดีมากที่ได้ทำงานใกล้ชิดกับเจ้านายหนุ่มรูปหล่อ พ่อรวย มากความสามารถอย่างหาตัวจับยาก แถมยังเป็นถึงประธานบริษัทใหญ่โตที่ติดอันดับหนึ่งในห้าของประเทศนี้ เขาเนื้อหอมขั้นเทพถึงกับมีสาวน้อยสาวใหญ่จ้องกันตาเป็นมัน ใครๆ ก็ล้วนอยากโชคดีได้เป็นตัวจริงของเขากันทั้งนั้น หรือไม่ได้เป็นตัวจริงก็ขอเป็นคู่ควงชั่วครั้งชั่วคราวเคียงข้างเขาสักครั้งก็ยังดี เอ้า!
คงจะมีแต่เธอนี่แหละมั้งที่อยากหนีห่างผู้ชายแสนเพอร์เฟก อย่างเขาให้ไกลร้อยลี้พันลี้ หากว่างานดีรายได้งามสำหรับเด็กจบใหม่ในเมืองไทยตอนนี้มันหากันง่ายๆ น่ะนะ ถ้าจะถามหาเหตุผลว่าทำไมล่ะก็
นพรดาอยากจะกลอกตามองบน แล้วตะโกนบอกแม่พวกสาวๆ ที่ชอบฝันว่าตัวเองเป็นนางเอกนิยายซึ่งได้พระเอกรูปหล่อพ่อรวยมาเป็นหวานใจในตอนจบของนิยายพาฝันว่า...
พวกหล่อนมาเบิกเนตรดูเจ้านายของฉันให้ดีหน่อยไหม แล้วจะได้รู้ว่าเทพบุตรในฝันที่ว่า แท้จริงแล้วแค่แหกตา ภายใต้ภาพลักษณ์หล่อ หรู ดูแพง ไม่ต้องว่าใคร ตอนที่มาใหม่ๆ เธอเองก็เคยหลงรูปจนยอมหลวมตัวมาเป็นเลขาให้เขาเพราะหน้าตาอันหล่อเหลาเฉียบขาด กับมาดเท่ห์ๆ คูลๆ ดูน่าเข้าหา ถ้าได้ทำงานด้วยได้เห็นหน้าหล่อๆ นั่นทั้งวันทุกวันก็คงเหมือนขึ้นสวรรค์มีแต่กำไรไม่มีขาดทุนแน่นอน เอาอะไรกับสาวน้อยช่างฝันในตอนนั้นล่ะ
กว่าจะบรรลุสัจธรรมและรู้ว่าโดนจกตาว่าที่แท้เทพบุตรที่ว่าก็เป็นแค่ผู้ชายซังกะบ๊วยห่วยแตก ที่รักใครไม่เป็นนอกจากงานของเขา แถมยังเย็นชา และใจร้ายได้โล่
ไม่สิ! เขาไม่ใช่ใจร้ายธรรมดาแต่ร้ายเข้าขั้นไร้หัวใจเลยต่างหาก
กริ๊ง...
เสียงโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะดังขึ้น ทำให้คนเป็นเลขาที่กำลังรัวมือพิมพ์งานอย่างบ้าระห่ำถึงกับสะดุ้งโหยงรีบผวากดรับสายนรกนั่นทันที
“ค่ะบอส...”
“คุณนพรดา! ผมต้องการอ่านรายงานการประชุมชาตินี้นะไม่ใช่ชาติหน้า”
เอาแล้วไงท่าน!
เสียงเย็นเฉียบกดต่ำเขย่าขวัญที่เรียกชื่อเธอเสียเต็มยศนั่นทำให้เลขาสาวแทบจะประสาทเสีย การประชุมประจำวันเพิ่งเสร็จได้ไม่ถึงนาทีเลย เขาก็ทวงรายงานการประชุมจากเธอเสียแล้ว
จะบ้าตาย!
“เก้าส่งไฟล์ให้บอสแล้วค่ะเมื่อห้าวินาทีก่อน ส่วนตัวฮาร์ดก็อปปี้พิมพ์เสร็จแล้วกำลังจะ ตู๊ดๆ...” ยังพูดไม่ทันจบประโยค ปลายสายก็กดตัดการติดต่อไปดื้อๆ ให้เธอต้องกัดปากแน่น เริ่มนับหนึ่งถึงสิบในใจอีกรอบ
อีตาบ้านี่ ไม่รอให้เธอพูดจบก็วางสายใส่ คำว่ามารยาทน่ะเขาสะกดเป็นบ้างไหมวะ
วางสายไม่ถึงห้าวินาที เสียงกระชากวิญญาณนั่นก็ดังอีกรอบ
“ค่ะบอส”
“กาแฟผมอยู่ไหน”
“สักครู่นะคะบอส เก้ากำลังจะ...”
ตู๊ดๆ...
เหมือนเดิม ไม่รอให้เธอพูดจบก็ตัดสาย ชาติที่แล้วเขาเป็นกรรไกรหรือไงนะ ถึงขยันตัดได้ตัดดี
เธอก็ได้แต่นินทาในใจและปากขมุบขมิบท่องคาถาสำหรับมนุษย์เงินเดือนต่อไป ในเมื่อเธอไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดนี่นาจะทำไงได้ นอกจากทนก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป
หญิงสาวยื่นมือไปรวบกระดาษแผ่นสุดท้ายที่เพิ่งออกจากเครื่องพริ้นเตอร์มาเข้าเล่มอย่างคล่องแคล่วว่องไว ส่วนกาแฟน่ะวางใจได้ หลังจากมาเป็นเลขาให้เขาได้ไม่ถึงเดือน เธอก็สำเร็จเคล็ดวิชาชงไว เพราะใส่แค่กาแฟออแกนิกคั่วบด รสเข้มไปสองช้อนชาครึ่ง ไม่ใส่น้ำตาล ไม่ใส่ครีม ผสมกับน้ำร้อนในอุณหภูมิแปดสิบองศาเซลเซียสเป๊ะ ห้ามร้อนไป ห้ามเย็นไปกว่านี้ ไม่งั้นได้ชงใหม่อีกรอบ เพราะพ่อเจ้าประคุณไม่ยอมดื่ม แต่จัดการเททิ้งลงถังขยะให้เธอเห็นต่อหน้ากันเลยทีเดียว แต่เหตุการณ์แบบนั้นเท่าที่จำได้เธอเคยโดนแค่สองครั้งเท่านั้นตอนมาใหม่ๆ
ใครๆ ก็ชมว่าเธอคือเลขาที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดเท่าที่บริษัทเคยมีมา หัวไว เรียนรู้เร็ว ทำงานคล่องแคล่ว แต่ละเอียดรอบคอบเป็นที่สุด และเป็นคนเดียวที่ไม่เคยเป่าปี่เสียน้ำตาหน้าห้องให้ใครเห็น แม้จะโดนเจ้านายโรคจิตขยันโขกสับข่มขวัญกันเช้ากลางวันเย็นบางทีก็แถมรอบค่ำอีกรอบ
พอเบื่อหน่ายมากๆ เธอเลยทำเรื่องขอย้ายไปทำงานแผนกอื่นที่ประสาทกินน้อยกว่า เขาก็ดันไม่ยอมอนุมัติให้ย้ายสักที อ้างแต่ว่าจะย้ายได้ก็ต่อเมื่อเขาหาเลขาใหม่มาแทนได้และเธอต้องช่วยเทรนด์งานให้อย่างน้อยก็สามสี่เดือนจนกว่าจะมั่นใจว่าคนมาใหม่จะรู้งานรู้ใจเจ้านายสุดโหด
แต่รอไปเถอะว่าเขาจะหา เธอก็รอจริงๆ นั่นแหละ รอจนอดไม่ไหวเลยเข้าไปเสนอหน้าถาม ก็ได้คำตอบสุดกวนประสาทกลับมาว่า...
หาแล้ว แต่ยังไม่มีใครมีคุณสมบัติเข้าตาซักคน
เวรของกรรม...กรรมก็เลยมาตกที่กรูนี่ไง ต้องก้มหน้ารับใช้เจ้านายผีบ้าต่อไป
โปรยปราย ครั้งหนึ่งเขาเคยไล่ส่งเธอให้ออกไปจากชีวิตไม่ต้องมาให้เห็นหน้า แล้วเธอก็หายไปสมใจเขาจริงๆ ทำให้เขารู้ว่ามันเหงาแค่ไหนที่ไม่มีเธออยู่ ครั้งนี้เธอกลับมาเป็นคนใหม่ที่ไม่สนใจไม่คอยวิ่งไล่ตามกวนใจเขาอีกต่อไป กลับเป็นเขาเองที่อยากเข้ามาวุ่นวายวอแว และทวงคืนเธอกลับมาอยู่ข้างกายอีกครั้ง แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงเล่า เมื่อวันนี้ข้างกายเธอไม่ได้มีแค่เขาแต่มีหนุ่มอีกหลายคนที่อยากเข้ามาท้าชิงหัวใจเธอเช่นกัน แถมเจ้าตัวแสบก็ทำเหมือนไม่อยากใกล้พี่ชายตัวร้ายอย่างเขาอีกแล้ว แม้ต้องอยู่บ้านเดียวกันก็ตาม แต่เธอก็เอาแต่หลบหน้าชนิดที่ว่าหากเขาเข้าประตู เธอก็จะปีนหน้าต่างหนีออกไปไม่ให้เขาได้พบง่ายๆ เหมือนวันเก่า แถมมีกองหนุนคือพ่อแม่ของเขาที่ในอดีตเคยอยากจับเขาคลุมถุงชนแต่งกับลูกเพื่อนรักใจจะขาด แต่มาวันนี้ กองเชียร์กลับแปรพักตร์มารับบทเป็นกองห้าม “แกจะรักใครก็รักไปพ่อกับแม่ไม่ว่า ไม่ขัดขวาง เพียงบอกมาคำเดียวว่ารักพวกเราจะไปสู่ขอให้” จิรายุยิ้มกริ่มสมใจ แต่ทว่ารอยยิ้มนั้นอยู่เพียงไม่ถึงเสี้ยววินาทีก็หายไปเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของแม่ “ยกเว้นคนเดียวที่แกห้ามแตะต้องเด็ดขาดคือหนูดรีมของฉัน คนนั้นฉันจะเก็บไว้ให้ผู้ชายดีๆ ที่ไม่ใช่แก!” อ้าวแม่! แล้วแบบนี้เมื่อไหร่ล่ะที่เขาจะได้หัวใจเธอกลับมาครองอีกครั้งกันเล่า... เรามาลุ้นกันว่ารากรักที่มันหยั่งลึกในใจสองหนุ่มสาวคู่นี้ มันจะเหนียวแน่นแข็งแรงพอให้เขาทั้งสองได้ลงเอยกันได้ไหมนะ มาเอาใจช่วยกันค่า
“น้าภพของพริวไม่เห็นแก่ตรงไหนเลย” “ตอนนี้ยังไม่แก่ แต่อีกสักสิบปีข้างหน้าก็อายุนำพริวไปตั้งโยชน์แล้ว ถึงตอนนั้นพริวจะยังรักคนแก่คนนี้หรือเปล่า หืม...” ดวงตาคมกริบทอดมองแม่สาวน้อยวัยทีนคนสวยของเขาอย่างลึกซึ้ง “ไม่รู้สิคะ พริวขอดูความประพฤติก่อน ถ้าน้าภพนอกลู่นอกทางก็ไม่แน่” ดวงตาซุกซนสบตาเขาอย่างยั่วเย้า “แก่ป่านนั้น แค่พริวคนเดียวน้าก็คงหมดแรงตายคาอกแล้วมั้ง” “คำก็แก่สองคำก็แก่ เห็นพริวรักคนที่หน้าตาหรืออายุเหรอคะ นี่ต่างหาก...” เด็กสาวใช้นิ้วชี้จิ้มลงที่หน้าอกข้างซ้ายของเขา “พริวรักน้าภพที่ตรงนี้ที่...หัวใจ” ชายหนุ่มยิ้มอบอุ่น ลูกเลี้ยงสาวของเขาช่างน่ารักเหลือเกิน โอ้ย...เขาอยากรักเด็กขึ้นมาอีกแล้ว “แล้วพริวอยากรู้ไหมว่านอกจากหัวใจแล้วน้าอยากรักพริวที่ตรงไหนอีก” ดวงตาเจ้าเล่ห์ลุกวาว ***************************************** ‘ธนภพ’ พระเอกเรื่องนี้มีดีที่ดีกรีความหื่น และแซ่บเว่อร์ไม่แพ้ใคร ส่วน ‘ภาวิดา’ นางเอกของเราถึงจะอายุยังน้อยแต่นางก็ไม่ได้ไร้เดียงสาหน่อมแน้มจนน่าหมั่นไส้เสียทีเดียว ฉะนั้นใครที่ไม่นิยมแนวประมาณนี้จะผ่านไปก็ไม่ว่ากันนะคะ แต่ก่อนผ่านแนะนำว่าให้ลองอ่านตัวอย่างก่อนสักนิด และโปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจตีจากกันไปทั้งที่ยังไม่รู้จักกันนะคะ น้าภพขอร้อง (แอบกัดผ้าเช็ดหน้าตาปรอย)
เธอแค่อยากลองใจโดยการให้ของขวัญสุดพิเศษกับคนรัก แต่...เขาดันไม่ดีใจ แล้วมาบอกให้เราอยู่ห่างกันสักพัก ทั้งๆ ที่รู้ว่าเธอท้องลูกของเขา ผัวเฮงซวยเอ๊ย!!! อยากไปก็ไป ฉันจะหาพ่อใหม่ให้ลูก ไปแล้วอย่ามาหอนทีหลังนะ ชิ! "นี่พี่จะโทษว่ามี่ตั้งใจปล่อยท้องงั้นเหรอ" "เปล่า พี่ไม่ได้คิดแบบนั้น แต่ว่า...พี่ยังไม่พร้อมจะแต่งงานหรือมีลูกตอนนี้ มี่เข้าใจพี่หน่อยได้ไหม" มิรันดาสะอึกเมื่อได้ฟังเหตุผลห่วยแตกของเขา คำว่าไม่พร้อมนั่นคืออะไร "พี่ไม่พร้อมแต่งงาน ไม่พร้อมมีลูก แต่พร้อมจะไปจากมี่ นี่หรือเปล่าที่พี่อยากให้มี่เข้าใจ" หญิงสาวเอ่ยทั้งน้ำตาที่ไหลรินกลบภาพคนรักตรงหน้าจนมองไม่เห็นความรักในดวงตาคู่นั้นอีกแล้ว คนหนึ่งหมดรัก หมดใจ แต่อีกคนกลับยังรักหมดใจ ใครควรเจ็บกว่าถ้าไม่ใช่เธอ "พูดกันให้รู้เรื่องตอนนี้เลยดีกว่า ในเมื่อพี่รู้ว่ามี่กำลังจะมีลูก พี่ก็ยังอยากไปอยู่ใช่ไหม" คำถามนั้นแทงใจดำของเขาอย่างจัง จนปฏิเสธไม่ได้ มิรันดาเหยียดยิ้มทั้งน้ำตา เพียงแค่มองตาเธอก็ได้คำตอบจากเขา อยู่กันมาสี่ปีไม่นับที่คบกันมาตอนสมัยเรียนอีก เธอรู้ใจเขาทุกอย่าง แค่มองตาก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร รู้สึกยังไง ไม่ต้องพูดออกมาด้วยซ้ำ "งั้นพี่ก็ไปเถอะ อยากจะอยู่ห่างแค่ไหน เอาที่พี่สบายใจเลย ไม่ต้องห่วงมี่ ของขวัญชิ้นนี้ในเมื่อพี่ไม่ต้องการงั้นก็ทิ้งไปเถอะ"
“ท้อง! อย่าบอกนะว่าลูกผม!” ราวกับถูกลากไปตบกลางสี่แยก จารุพัชรรู้สึกหน้าชาเห่อไปทั้งแถบแม้จะยังไม่โดนตบก็เถอะ เธอมีอะไรกับเขาตั้งหลายยกขนาดนั้นแล้วจะให้เป็นลูกใครล่ะ “ลูกแมวมั้งคะ” พอเห็นสายตาเขียวปั๊ดที่พร้อมจะขย้ำหัวเธอได้ทุกเมื่อ “อยู่ในท้องฉันก็ต้องเป็นลูกฉันสิคะ! ลูกฉันคนเดียว” “คุณเป็นปลากัดหรือไง ถึงได้จ้องตากันแล้วท้องเองได้” ก็ถ้ากัดได้ เธอก็อยากกัดหัวเขาเนี่ยแหละคนแรก กวนประสาทดีนัก “ก็คุณบอกฉันเองเมื่อกี้ว่า...อย่าบอกนะว่าท้องลูกผม ฉันก็ไม่บอกแล้วนี่ไงจะเอาอะไรอีกคะ” พูดมาขนาดนี้ เธอก็พอรู้แล้วล่ะว่าเขาไม่ได้ต้องการเธอกับลูก ยังดีที่เขาไม่ใจร้ายบอกให้เธอไปเอาเด็กออก แค่นี้ก็บุญแล้ว “เฮ้อ...ถ้าคุณห่วงว่าฉันกับลูกจะมาทำให้ชื่อเสียงพระเอกซุปเปอร์สตาร์ของคุณต้องพังพินาศล่ะก็ ขอให้คุณสบายใจได้ เพราะฉันไม่ทำอะไรสิ้นคิดแบบนั้นแน่ ต่อไปฉันจะไม่มาให้คุณเห็นหน้าอีก คราวนี้ฉันรับรองได้ ส่วนลูกในท้อง ฉันจะเลี้ยงเขาเอง ไม่ไปรบกวนคุณหรือทำให้แฟนสาวไฮโซของคุณเข้าใจผิดแน่ๆ ไม่ต้องห่วงนะคะ” “พูดจบหรือยัง” ธิเบศเอ่ยด้วยเสียงเย็นเฉียบ ตาเหยี่ยวคมจัดของเขาจ้องหน้าเธอราวกับจ้องเหยื่อพร้อมขย้ำได้ทุกเมื่อ “จบก็ได้ค่ะ เป็นอันว่าคุณเข้าใจแล้วเนอะ งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ” จ้องอะไรเบอร์นั้นนะ ตาดุชะมัด รีบชิ่งหนีก่อนจะโดนกินหัวดีกว่า “เดี๋ยว!” มือที่เตรียมเปิดประตูรถชะงักกึก “คะ...คุณมีอะไรอีกคะ” “ผมบอกคุณซักคำหรือยังว่าจะไม่รับผิดชอบลูก” “หา!” เธอหูฝาดไปใช่ไหม เขาจะรับผิดชอบลูกในท้องเธองั้นเหรอ เป็นไปได้หรือเนี่ย “ถ้าเขาเป็นลูกผมจริงๆ ผมจะรับผิดชอบเขาแน่” “หืม...” หมายความว่าไงวะเนี่ย ยิ่งฟังก็ยิ่งงง “เดี๋ยวนะคะ คุณบอกว่าถ้าเขาเป็นลูกคุณจริงๆ แปลว่าคุณไม่เชื่อว่าเด็กในท้องฉันเป็นลูกคุณงั้นสิ ฉันเข้าใจถูกไหม” “อืม...ก็ทำนองนั้น” คราวนี้ยิ่งกว่าโดนลากไปตบกลางสี่แยก แต่เหมือนโดนเขาสาดหน้าด้วยน้ำกรดซ้ำเข้าไปอีกถังใหญ่ จนหัวใจปวดแสบปวดร้อนไปหมด ตาบ้านี่คิดว่านอกจากเขา เธอยังไปนอนกับคนอื่นจนท้องแล้วมาโมเมว่าเป็นลูกเขาอย่างนั้นเหรอ… ++++++++++++++++++++++++++++
เว่ยเว่ย นักศึกษาฝึกงานทะลุมิติ เว่ยเว่ยขับเวสป้าตกเหว แต่ดันทะลุมิติตกน้ำอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม ที่กำลังหาปลาอยู่ที่บึงน้ำ ลู่เหวินเยียนอาศัยกับมารดาอยู่ที่กระท่อมเชิงเขา บิดาเสียชีวิตในสนามรบ เขามักจะออกไปล่าสัตว์ป่ามาขาย วันนี้เขามาดูกับดักปลาและบังเอิญเห็นบางสิ่งตกลงมาจากฟ้าต่อหน้าต่อตาเขา คำเตือน นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นตามจินตนาการของผู้แต่ง บุคคล สถาน องค์กรและเนื้อเรื่องทั้งหมดในนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องสมมติ ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ทางปัญญาตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์พ.ศ.2537และเพิ่มเติมพ.ศ.2538 ห้ามทำการคัดลอก หรือดัดแปลงเนื้อหาของนิยายโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของที่เป็นผู้แต่งเป็นลายลักษณ์อักษร
นาธัชชาถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจจากผู้เป็นพ่อ เพียงเพราะเธอมีส่วนทำให้แม่ต้องตาย ใครจะคิดว่าชีวิตเด็กเจ็ดขวบ จะถูกโชคชะตาเล่นตลกครั้งแล้วครั้งเล่า และพลิกผันจนกลายเป็น 18 มงกุฏ เพื่อความอยู่รอดของชีวิต ฟาเบียน (อายุ 35 ปี) ชายหนุ่มรูปหล่อทายาทคนโตแห่งมาร์ตินกรุ๊ป เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีธุรกิจโรงแรมทั้งที่ไทยและฝรั่งเศส ชีวิตของเขามีพร้อมทุกอย่างแต่กลับไร้เงาของสาวข้างกาย ใครๆ ก็พูดว่าเขาตั้งมาตรฐานผู้หญิงที่จะมาเป็นคู่ชีวิตไว้สูง บางคนบอกว่าระดับเขาต้องได้ผู้หญิงระดับนางงามที่มีมงกุฏการันตีความสวย ซึ่งมันก็คงจะจริง เพราะสาวที่เข้ามาพัวพันเป็นสาวสวยที่มีมุงกุฏการันตี และไม่ได้มีแค่มงกุฏเดียว เพราะเธอเป็น 18 มงกุฏ นาธัชชา (อายุ 20 ปี) นาธัชชาหรือหนูนา เด็กหญิงผู้เผชิญกับชีวิตที่แสนรันทดตั้งแต่อายุแค่เจ็ดขวบ เธอถูกพ่อแท้ๆ ยัดเยียดให้เป็นตัวซวย เพียงเพราะมีส่วนทำให้แม่ต้องตาย ชีวิตของเธอต้องพลิกผันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นกราฟชีวิตที่มีแต่จะตกต่ำ จนถึงขั้นต้องเป็น 18 มงกุฏ เพียงเพราะความอยู่รอดของชีวิต ความแตกต่างและความห่างชั้นทางสังคม จะชักนำให้เขาและเธอมาเจอกันได้อย่างไร เรามาติดตามไปพร้อมๆ กันค่ะ - ฟาเบียน ลูกชายคนโตของ เซดริก และมาลารินทร์ จากเรื่อง Malalin of love ร้อยรักมาลารินทร์ - นาธัชชา หรือหนูนา ตัวละครใหม่ คำเตือน -นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นมาเพื่อความบันเทิงเท่านั้น มิได้มีเจตนาชี้นำหรือเป็นตัวอย่างให้นำไปใช้ในชีวิตจริง -นิยายอาจมีเนื้อหาบางช่วงบางตอนที่ไม่เหมาะสม ทั้งเรื่องเพศ และมีคำหยาบคาย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน - นิยายเรื่องนี้เหมาะสมกับผู้อ่านที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
อวิ๋นหลาน นักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งศตวรรษที่ 25 ได้ข้ามภพและเกิดใหม่ในร่างของหญิงสาวผู้ไร้ประโยชน์ซึ่งมีชื่อเดียวกันในจวนเทพเจ้าแห่งสงคราม รากวิญญาณถูกทำลายไป? บำเพ็ญวิชาไม่ได้? คู่หมั้นถอนหมั้น? ทุกคนหัวเราะเยาะนาง? การควบคุมอสูร ยาพิษ ยาลูกกลอนปีศาจ อาวุธลับ...นางจัดการได้อย่างสบายๆ อดีตผู้ไร้ค่า แต่บัดนี้มาแก้แค้นชาาเจ้าชู้ เอาคืนทุกคนที่รังแกตนเอง ได้ประสบความสำเร็จ และขึ้นไปสู่จุดสูงสุด ผู้แข็งแกร่งอย่าคิดจะทำอะไรตามใจ ผู้อ่อนแออย่าท้อแท้ กล้ามารุกรานข้า งั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือนก็แล้วกัน เขาเป็นจ้าวแห่งอาณาจักรปีศาจ ชอบเอาใจนาง นางฆ่าคน เขาช่วยปิดปาก นางทำลายศพ เขาช่วยกำจัดหลักฐาน เขายอมทำทุกอย่างเพื่อนาง ชีวิตนี้ยอมร่วมทุกข์ร่วมสุขไม่ทอดทิ้งกัน
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
เกิดใหม่ในชาตินี้ นางแค่ต้องการอยู่อย่างสงบสุขปกป้องครอบครัวจากเรื่องร้ายที่จะเกิดขึ้น นางไม่อยากตกอยู่ในบ่วงรักอันทำให้ครอบครัวต้องพบกับวิบัติอีกต่อไปแล้ว... คำเตือน นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรักโรแมนติก ดราม่า มีฉากความรุนแรง ฉาก NC และมีฉากเศร้าสะเทือนใจ โปรดพิจารณาก่อนดาวโหลดนะคะ กราบขอบพระคุณค่ะ