รักข้ามภพ พันธนาการเหนือกาลเวลา "ดอกลั่นทม... สัญลักษณ์แห่งการรอคอย... รอรักแท้ หรือ รอคอยใครสักคนมาคลายปมใจ?" เมื่อชายหนุ่มผู้รักความสงบ ดันย้อนเวลากลับไปสู่ยุครัชกาลที่ 5 พบกับชายหนุ่มรูปงาม เสียงเพลงไทยโบราณ และความวุ่นวายอลหม่าน รักแท้ที่ผลิบาน ท่ามกลางกลิ่นอายของอดีต แต่แล้ว... ความจริงอันโหดร้ายก็ปรากฏ เขาไม่ใช่คนของโลกนี้! ดอกลั่นทมจะเป็นกุญแจไขความลับ นำทางเขากลับสู่โลกเดิม หรือ... ทิ้งทุกสิ่งเพื่อรักแท้ที่รอคอยมายาวนาน ร่วมค้นหาคำตอบไปพร้อมกัน #ทวิลีลาวดี นิยายโรแมนติกคอมเมดี้พีเรียด ที่จะพาคุณดำดิ่งสู่โลกอดีต เต็มไปด้วยความอบอุ่น ลุ้นระทึก ขำกลิ้ง และความประทับใจ
ห้องขนาดหนึ่งคูณหนึ่งไม่กว้างมาก พนังสีฟ้าอ่อน เตียงขนาดห้าฟุตชิดกำแพง แสงแดดกับเสียงนกร้องที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างบานเกล็ดหัวเตียงทำให้ผมลืมตาตื่นขึ้น มือบางควานเข้าไปใต้หมอนหยิบโทรศัพท์สีดำขึ้นมาเปิดดูเวลา
[07.00]
ผมลุกขึ้นนั่งสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดแรงๆ ยกยิ้มให้กับการเริ่มต้นใหม่เหมือนทุกวัน ก่อนลุกหนีออกจากผ้าห่มสีน้ำเงินแสนสบายที่มีรอยขาดเล็กน้อย ลุกไปอาบน้ำแต่งตัว
ทุกอย่างเรียบร้อยภายในสิบนาที ผมสะพายเป้สีเหลืองสดใสที่สายขาดข้างหนึ่งขึ้นบ่าขวา หยิบกุญแจปิดประตูออกไปขึ้นรถเมล์
ปริ้นๆ
“พี่ยอดหล่อมากเลยอะแก ถ้าฉันรู้ก่อนนะจะยอมซ้ำชั้นเลย ซ้ำชั้นสักปีแลกกับได้มีเพื่อนผู้ชายหล่อๆแบบนี้ คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม” หญิงสาวผมสีน้ำตาลที่นั่งด้านหน้าผมสองคนคุยกันเสียงดัง
“เดี๋ยว...ช้าๆ ค่อยๆพูด ไหน เอามาดูสิ” เสียงเงียบไปชั่วอึดใจ “นี่รุ่นน้องภาคเราหรือ ทำไมฉันไม่เห็นรู้ ว่าเรามีรุ่นหน้าเบ้าหน้าเทพบุตรแบบนี้”
“ถ้าเป็นรุ่นน้องก็ดีสิแก เนี่ยพี่ยอดปีสองโบราณคดี”
“ก็เป็นน้องสิ แบบนี้แกยอมซ้ำชั้นสิบปีก็เปล่าประโยชน์”
“อย่าหาทำ ใครมองหน้าพี่ยอดแล้วเรียกน้องได้ กูก้มกราบเลยเอ้า งานดีขนาดนี้”
ผมหูผึ่งฟังสองสาวด้านหน้าคุยอย่างออกรสออกชาติ ดูเหมือนพวกเธอจะเป็นนักศึกษามหาลัยเดียวกัน นี่ถ้าไม่อยากเสียมารยาทผมคงตะโกนใส่หูสองคนนั้นด้วยความภูมิใจว่า
ผมนี่แหละที่นอกจากไม่เรียกไอ้ยอดว่าพี่แล้ว เดี๋ยวจะควงแขนไปเที่ยวให้ดูเลย!
“ป้ายหน้ามหาวิทยาลัยเป็ดสวรรค์” กระเป๋ารถเมล์ตะโกนเสียงดัง
ผมกระชับสายเป้สีเหลืองลุกขึ้นยืนเตรียมตัวลงจากรถ ไม่ลืมหันไปมองสองสาวแล้วยิ้มให้อย่างนึกขำในใจ พวกเธอคงเป็นแฟนคลับหน้าใหม่ หารู้ไม่ว่าคนที่เธอชื่นชอบ ความจริงแล้ว...เป็นแค่ คนไม่เอาไหน
แกร๊ก....แกร๊ก...แกร๊ก
“ไม่มา ยังไม่มา”
ผมบ่นพึมพำอยู่หน้าประตูห้องเรียนหลังจากยืนรากงอกมาไม่ต่ำกว่าสิบนาทีแล้ว นักศึกษาทยอยกันเข้าห้องเรียนกันหมด ยกเว้น...ผม
หงุดหงิดอะ อยากเข้าไปในห้องก็ทำไม่ได้ ยืนต่อไป อย่างน้อยก็ยังสายไม่ถึงสิบนาที ไม่งั้นเข้าก่อนได้โดนเจ้านั่นบ่นแน่
“ฮ่าๆๆ มารอคนหล่อหรือครับน้อง”
หลงตัวเองไม่เปลี่ยน
ผู้ชายผิวขาวตาสีน้ำตาลผมสีน้ำตาล มองผ่านๆเหมือนพวกเกย์รับด้วยหุ่นทรงนายแบบและดูสำอาง แต่ยังดีที่การแต่งตัวและท่าทางดูแมนเต็มร้อย สาวๆในมหาลัยเลยต่างพากันตั้งฉายาให้ว่า ‘ยอดสายลมแห่งความเจ้าชู้’
ผมยักใหล่เหวี่ยงเป้ให้มาข้างหน้า มือล้วงหยิบสมุดเล็กเชอร์ที่มีตรามหาวิทยาลัยสองเล่มให้อีกคนที่มัวแต่กดโทรศัพท์
“ยอดสมชื่อจริงๆ มาสายไม่พอยังมัวแต่ตอบแชทสาว เอาสมุดคืนไปเลย”
“ฮ่าๆ น้ำเพื่อนรักวันนี้เลิกเรียนเดี๋ยวกูฝากเหมือนเดิมนะ มึงก็รู้ว่ากูไม่มีเป้ มาเรียนก็เจอมึงอยู่ดี ฝากเก็บหน่อยนะเพื่อน”
ผมเป็นเด็กเรียน หน้าตาไม่จัดว่าดีมากแต่อย่างน้อยก็ไร้สิวดูสะอาดไร้หนวดเครา จริงๆเป็นกรรมพันธุ์พ่อผมก็ไม่มีหนวดเครา
ผมพยักหน้าตัดรำคาญ รีบพาตัวเองเข้าห้องเรียน
“เดี๋ยวก่อน”
ผมหันไปมอง มือยังค้างที่ลูกบิดประตู
“มึงไม่ปิดกระเป๋าอีกแล้วนะ เมื่อกี้ตอนยืนรอก็เปิดอ้าซ่า”
“มันมีของสำคัญที่ไหน สงสัยลืมปิดตั้งแต่ตอนควักเงินซื้อตั๋วรถเมล์” ผมฉีกยิ้มให้ “ขอบใจที่เตือน”
.......
ออด!
พรึ่บพรั่บ ฉึบๆ เอี๊ยด
พอเสียงสัญญาณดังบอกเวลานักศึกษาก็พากันลุกขึ้นเก็บข้าวของรีบออกจากห้องไม่เว้นแม้แต่คนข้างๆผมที่นั่งเรียนไปตอบแชทสาวไป
“มึง กูกลับก่อนนะ รีบ อะนี่สมุด อย่าลืมเก็บดีๆปิดกระเป๋าด้วย” คนตัวโตปาดผมหนึ่งทีก่อนจะวางสมุดสองเล่มที่โต๊ะผม
“เฮ้อ เอาเถอะ พรุ่งนี้เจอกันแปดโมง คงไม่สายนะ”
“หา! พรุ่งนี้คนหล่ออย่างกูมีนัดโว้ย”
“ไม่ได้ พรุ่งนี้เราสองคนต้องไปสำรวจโบราณสถานบ้านเรือนไทยมาเขียนรายงาน เทอมนี้มึงก็รู้ว่าใครสอน กูไม่อยากหลุดทุน”
“ฮ่าๆ เด็กเรียนอย่างมึงๆไม่หลุดทุนหรอกน่า ไว้วันหลังนะ พรุ่งนี้กูนัดสาวไว้ ไปช้าสักก็ได้”
“ไม่ได้ อย่ามาต่อรอง”
“งั้นมึงไปหาซื้อเสื้อใหม่ไหม อย่าใช้แต่ของมือสอง เสื้อมึงเนี่ยเหลืองจนจะเน่าอยู่แล้ว กูไม่กล้าเดินด้วย เดี๋ยวสาวหนี”
เฮ้อ....มันยังใส่ได้จะซื้อทำไม
ผมลุกขึ้นยืนเมินคนที่ชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูด ไม่ได้โกรธอะไรนะครับ แต่เพราะเป็นเพื่อนกันไงเลยรู้ว่าถ้าคุยต่อต้องลงท้ายด้วยการเทนัดผมแน่ๆ
.......
“ที่นี่ดู...ไม่เหมือนบ้านเรือนไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 เลยนะ ปูพวกนนี้มันมาจากไหน ไม่ใช่ว่าถูกบูรณะก่อนขึ้นทะเบียนหรอกนะ”
บ้านเรียนไทยสองชั้นทรงตัวที่ด้านหน้าเป็นบันไดสองข้างเทลงตรงกลางใต้บันไดปีกซ้ายเป็นซุ้นประตูเข้าไปยังห้องด้านใน ให้ความรู้สึกเหมือนบ้านทรงตะวันตกที่ทำจากไม้เสียมากกว่า ผมพยายามชะเง้อคอมองเข้าไปในตัวบ้าน โดยเฉพาะห้องชั้น 1 เสียดายที่ข้างในมันมืด แถมยังมีรั้วกั้นเขตสงวนห้ามเข้าอีก
ดั้นด้นมายี่สิบกิโล สงสัยจะไม่คุ้ม
“ฮ่าๆๆ มาน้อง เดี๋ยวพี่จะเล่าให้ฟัง”
ผมละสายตาจากบ้านหลังโตตั้งตระหง่านมามองคนข้างๆ ทำหน้าเชิดดูภูมิอกภูมิใจมเสียเหลือเกิน เฮ้อ..เกินเยียวยา
“สมัยรัชกาลที่ 5 รับอิทธิพลหลายอย่างมาจากทางยุโรป ไม่ใช่แค่ปูนนะ จะอิฐ คอนกรีตหรือเสริมเหล็กทำหลังคารูปโดมก็ไม่แปลกหรอก”
“...”
นี่ผมหูฝาดไปไหมเนี่ย เพื่อนผมรู้เรื่องอื่นนอกจากเรื่องหญิงด้วยหรือ เหลือเชื่อจริงๆ สงสัยผมต้องมองเขาใหม่เสียแล้ว
“ทำไมมองกูงั้น? หึ หลงในความหล่อของกูแล้วล่ะสิ ฮ่าๆๆๆ”
“ก่อนหน้านี้ใครๆก็บอกว่ามึงเรียนผิดคณะ กูเองยังเห็นด้วย...เอ่อ นิดหนึ่ง ก็เห็นเข้ายิมน่าจะเหมาะไปเรียนวิทยาศาสตร์การกีฬามากกว่า”
ปึก
ยอดเข้ามาตบไหล่ผมฉาดหนึ่ง หัวเราะจนไหล่สั่น
“ฮ่าๆ หลงเสน่ห์ในมัดกล้ามของกูสินะ”
“เอ่อ คือว่า...เริ่มสำรวจกันดีกว่า เดี๋ยวจะเที่ยง”
“ฮ่าๆๆ ดีๆ เผื่อเสร็จไว กูจะได้ไปหาสาวไวขึ้น”
เฮ้อ ผมก็อยากไปว่ายน้ำเล่นที่สระว่ายน้ำมหาลัยเหมือนกัน
ผมเดินสำรวจรวบตัวอาคารอยู่พักใหญ่ บริเวณรอบตัวบ้านบางส่วนถูกกั้นและติดป้ายห้ามถ่ายรูปเนื่องจากบ้านหลังนี้มีอายุมากกว่า160ปี ด้านล่างมีความเป็นปูน เสียดายที่เข้าไปสำรวจห้องชั้นล่างไม่ได้เลยไม่รู้ว่าเป็นห้องอะไร หลังสำรวจรอบตัวบ้านเรียบร้อย ผมก็เดินขึ้นชั้นสองที่เป็นโซนไม้เรือนไทย ด้านบนนี้ยังมีสถาปัตย์กรรมและร่องรอยการตกแต่งแบบไทยเดิม
“ทำไมเย็นดีจัง อากาศแบบนี้ มีขนมไทยตั้งโต๊ะสักชุดคงเข้ากับบรรยากาศ แต่เห็นฝุ่นแล้วก็...ฮ่าๆๆ เอ๊ะ ห้องนั้นห้ามเข้า” ผมเดินเข้าไปใกล้ๆห้องทางปีกขวาของเรือน ประตูเปิดอ้าอยู่ ด้านในเหมือนจะเป็นห้องพระเก่า เพราะยังมีพวกโต๊ะหมู่บูชาผุๆตั้งให้เห็นที่ปลายหางตา วินาทีนั้นผมได้ยินเสียงตึ้งมาจากในห้อง เกือบจะก้าวเท้าไปดูแต่ยั้งตัวเองทัน
“สงสัยเป็นพวกหนูละมั้ง”
ฟิ้ว
“กลิ่นอะไรหอมจัง”
สายลมเย็นเตะกลิ่นหอมๆโชยเข้าจมูก ผมเดินตามกลิ่นลงมาถึงชั้นล่าง ด้านหลังเรือนพบต้นลีลาวดีต้นหนึ่งแผ่กิ่งก้านสาขาและผลิดอกส่งกลิ่นรัญจวน กลิ่นของมันบวกอากาศยามเย็นที่นี่ทำให้ผมวางเป้สีเหลืองโปรดลงข้างๆเอนหลังพิงอย่างช่วยไม่ได้ เปลือกตาหนักๆเริ่มปิดลง ในเสี้ยววินาทีนั้น ก่อนที่สติจะดับวูบ ผมได้ยินเสียงคนผู้หนึ่งพูดอะไรบางอย่าง
“มาสิ”
เสียงทุ้มๆเย็นๆของชายปริศนาดังระยะใกล้เสียดายที่กำลังงุนงงจนไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร
…….โปรดติดตามตอนต่อไป…….
“ฮวาหลวน ลูกต้องช่วยงานเย็บปักของตระกูล” “ไม่มีทางหรอกแม่”ของมีคมสำหรับผม มันคือไวอากร้าน่ะสิ!แต่ใครจะไปคิดว่า…“ขนาดเกิดใหม่ ยังโดนสั่งให้เย็บผ้าอีก!”“ไม่ทำ ตัดนิ้ว” แม่ทัพใหญ่แม้จะทำเสียงดุ
ไวน์ นักศึกษาปี 2 เดือนคณะผู้ปฏิญาณตนว่าจะโสดตลอดไป เจ้าของใบหน้าหล่อออกหวานนิดๆแบบเกาหลี คนที่วันๆอยู่กับการวิ่งไปแย่งคอมตัวแรงเพื่อดูหุ้นไม่ก็จมหัวอยู่ที่ร้านหมูกะทะ เรื่องโน่นนี่ไม่สนก็จริง แต่ใครอย่ามาปากหมาใส่แล้วกัน แปลงร่างเป็นพิตบูทันที เบียร์ เอกอินเตอร์บริหาร คุณชายตระกูลดังขี้รำคาญ ใบหน้าหล่อคมที่ใครๆก็บอกว่าควรขึ้นตำแหน่งเดือนมหาลัย คุณชายที่ขับรถหรู ใช้ของแบรนด์เนมทั้งตัว แต่ติดที่ปากเสีย ขี้เหวี่ยง ไม่คบค้าสมาคมกับใคร ขู่ได้แม้กระทั่งอธิการบดี ꧁{★… ★}꧂ ไอ้ผู้ชายปากหมานั่นใครวะ หยิ่งฉิบหาย พอแหย่เขาแล้วเขาไม่เล่นด้วย ไวน์เลยตามตอแยทุกวิถีทาง แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้คิดอะไรนะ ด่าเขาปาวๆ บอกแค่จะเอาของมาคืน! เบียร์เห็นก็เลยแก้เผ็ด วุ่นวายดีนัก ตีหัวรวบเข้าบ้านเลยแล้วกัน “อย่าดื้อ หมอสั่ง” “หรือวะ หมอสั่งให้กูอยู่กับมึงนานขนาดนี้เลย?” ฟอด!!! คุณตำรวจ มีคนลวนลาม! “ไอ้เห้เบียร์!!” ꧁{★… ★}꧂ Trigger Warning ***สำหรับนักอ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน*** นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหาติดเรท 18+ คำหยาบคาย และฉากไม่เหมาะสม. โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน. *พฤติกรรมบางอย่างไม่ควรลอกเลียนแบบ
เหมยลี่ อายุ 25 ปี คุณหนูผู้ร่ำรวย สาวตากลมตัวเล็กผิวขาวมาดซีอีโอนุ่มนิ่ม เธอใช้เงินบัลดาลทุกอย่างตามใจ ไม่แคร์โลก ใครจะรู้ว่าภายใต้หน้ากากของซีอีโอสาวสุดเพอร์เฟค จะเต็มไปด้วยเรื่องราวของนิยายในหัว แถมมีอยู่เรื่องเดียวซะด้วย งานนี้งานการไม่ทำมันแล้ว มู่จิน พระเอกนิยายติงต๊อง ที่ฆ่าเมียตัวเองตายในคืนเข้าหอ ชายหนุ่มร่างใหญ่เจ้าของเรือนผมดำยาวและสันกรามทรงเสน่ห์ เขามีประวัติความเป็นมาหรือเรื่องราวของเขาเป็นมาอย่างไร ไม่มีผู้ใดรู้ได้ เขาเบื่อหน่ายโลกใบนี้เต็มทน ชีวิตคนสำหรับเขาก็เป็นเพียงเศษหญ้าเท่านั้น ꧁⊱ ⊰꧂ เพราะถูกรถชนตายตอนที่เพิ่งอ่านนิยายจบรอบที่ 99 ยังไม่ครบร้อย พอลืมตามาก็อยู่ในร่างตัวประกอบ ไม่ใช่นางเอกไม่พอยังต้องแต่งงานกับคนบ้า 'เหมยลี่' คนนี้เลยต้องพยายามฆ่าเจ้าบ่าวในห้องหอ ก่อนที่เธอจะถูกเขาฆ่าตามบทในนิยายอีกครั้ง แต่แล้ว ความพยายามของเธอก็ไร้ค่า เธอตายอีกครั้งแล้วไม่ได้กลับโลกเดิม แต่ย้อนกลับมาที่คืนเข้าหอ ทว่าทำไมรอบนี้คุณพระเอกเจ้าบ่าวมองเธอตาเยิ้มขนาดนั้นล่ะเนี่ย ꧁⊱ ⊰꧂ Trigger Warning ***สำหรับนักอ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน*** นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหาติดเรท 18+ คำหยาบคาย และฉากไม่เหมาะสม. โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน. *พฤติกรรมบางอย่างไม่ควรลอกเลียนแบบ*
เตียวเฉิน ก่อนตายเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ในโลกใหม่ เขาเป็นพระรองมาดแมนแม้ตัวจะไม่มีกล้ามแซงหน้าพระเอก ในเมื่อเกิดมาหล่อ รวย หน้าตาการศึกษาดี แต่ข้างในวิญญาณไม่มีความรู้สักกะติ๊ด เขาจึงพยายามใช้สมองอันน้อยนิดหาหนทางรอด ด้วยการ มุดโพลงหมาลอดออกไปเป็นขอทานเสียเลย มู่จิน พระเอกของโลกใบนี้ นักธุรกิจและผู้มีอำนาจที่สุดในเมือง ชายหุ่นกล้ามที่ชอบใส่สูทผูกไทป์ แล้วหมกตัวอยู่แต่ในบ้าน สีหน้าของเขาเยือกเย็นตลอดเวลา อะไรๆในโลกก็น่ารำคาญไปหมด ยกเว้นวันที่เห็นตัวอะไรปีนเข้าบ้าน ꧁{★… ★}꧂ เกิดใหม่ก็ต้องดิ้นรนหนีออกจากบ้าน พอนึกไปแล้ว เข้าร่างพระรองมาได้ไม่กี่เดือน แต่เดี๋ยก็ถึงเวลาที่พระเอกนายเอกเขาก็จะเจอกันแล้ว ผมก็ชิงหนีออกไปเป็นขอทานก่อนน่ะสิ เรื่องอะไรจะอยู่รอแบดเอ็น เอ๊ะ ผู้ชายที่เปลื่อยกายนั่นหน้าคุ้นๆ ทำไมบ้านที่ผมปีนกำแพงเข้าไปมันดันเป็นบ้านพระเอกล่ะ ซวยแล้ว งั้นตีเนียนไม่รู้ไม่ชี้ก่อนแล้วกัน ทั้งที่ตั้งใจจะอยู่ที่นี่อีกนิดเดียวแท้ๆ พวกคนใช้เองก็บูลลี่กันอยู่ได้ ผมมั่นใจว่าพระเอกต้องโยนผมออกไปในไม่ช้า เขาน่ะระแวงผมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่... แปลกๆ นะ ขอทานแล้วได้เสื้อผ้า อาหาร เพชรพลอย ที่แปลกกว่าคือ พอผมอาละวาทพังบ้าน เกิดอะไรขึ้นรู้ไหม เจ้าของบ้านซื้อเฟอร์ใหม่มาให้พังเพิ่มน่ะสิ วันๆหัวจะปวด เขาจับผมมัดตั้งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในห้องทำงาน แล้วก็เอาแต่นั่งครุ่นคิดว่าพรุ่งนี้จะเอาอะไรมาให้ตอนผมขอทานดี ผมนี่ขมวดคิ้วเลย ꧁{★… ★}꧂
เมื่อคู่แห่งโชคชะตา4ขวบ อัลฟ่าพัมธุ์แท้คนสุดท้าย ผู้เพรียบพร้อมด้วยเงินและอำนาจ วันหนึ่งลูกน้องก็พังประตูเข้ามาบอกว่า เจอคู่โชคชะตาเขาแล้ว ทว่า จะป้ำลูกยังไง ก็เนื้อคู่เขาใส่ชุดอนุบาลหมีน้อยกอดตุ๊กตา
อาหลีพยายามหาหลัวในฝันผ่านตู้ปลากัด ใครที่เดินผ่านปลากัดแล้วจ้องตาเขาตอน9โมงตรงคนนั้นคือ เนื้อคู่ ...เจ้าของร้านเอือมจนขี้เกียจไล่ มาบ่อยแค่ไหนถามใจเธอดู แต่โชคชะตาก็เล่นตลกเมื่อเนื้อคู่ไม่ชอบป้าบ!
หยางจื้อซี เด็กกำพร้าจากศตวรรษที่21 ถูกองค์กรมืดเลี้ยงดูจนเติบโตและทำให้เธอกลายเป็นมนุษย์กลายพันธ์ ในระหว่างที่ถูกส่งตัวไปทำภารกิจลับ เธอกลับถูกคนในองค์กรมืดหักหลังและถูกฆ่าโดยเพื่อนสนิทที่เธอไว้ใจมากที่สุด ก่อนสิ้นใจเธอถามเพื่อนสนิทว่าทำไม แต่ไม่ได้รับคำตอบจากปากของอีกฝ่าย สิ่งที่เธอได้รับคือรอยยิ้มที่ดูถูกเหยียดหยามและ คำว่า “โง่” จากปากของอีกฝ่ายเท่านั้น หลังจากที่ตายไปแล้วสิ่งที่เธอคิดไว้ คงจะเป็นนรกหรือที่ไหนสักแห่งที่เป็นโลกหลังความตาย แต่ทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนัน เธอตื่นขึ้นมาในร่างของ หยางจื้อซี เด็กหญิงอายุ เพียง 13 ขวบปีในหมู่บ้านป่าหมอก ในดินแดนโบราณล้าหลังที่ไม่มีในประวัติศาสตร์ คล้ายกับว่าเป็นโลกคู่ขนานที่อยู่อีกมิติหนึ่ง เธอตื่นขึ้นมาในบ้านที่ผุพัง ครอบครัวยากจน มีแม่ที่อ่อนแอและเจ็บป่วย มีพี่น้องที่อายุน้อย มีปู่ย่าตายายที่เห็นแก่ตัวและใจร้าย มีลุงที่เห็นแก่ได้ป้าสะใภ้ที่เต็มไปด้วยความละโมบโมบโลภมาก หยางจื้อซี คิดว่านับจากนี้ไปชีวิตจะต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง หากใครมารังแกก็แค่ทุบตี เธอไม่เชื่อว่าด้วยพลังที่ติดตัวเธอมาจากชาติที่แล้วจะไม่สามารถอยู่รอดได้ในโลกล้าหลังแห่งนี้
ซูมู่หยูคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลที่พลัดพรากจากกันไปนาน หลังจากกลับมาสู่ครอบครัว เธอพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาใจญาติๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวตน เกียรติศักดิ์ หรือผลงานการออกแบบ เธอก็ถูกบังคับให้มอบสิ่งเหล่านี้ให้กับลูกสาวบุญธรรม อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้รับความรักและการดูแลจากครอบครัวแต่อย่างใด แต่กลับโดนเอาเปรียบตลอด นับแต่นั้นเป็นต้นมา มู่หยูไม่ยอมให้ใครอีกเลย และตัดความรู้สึกและความรักทั้งหมดออกไป ปัจจุบันเธอเป็นสายดำระดับเก้า เชี่ยวชาญภาษาถึงแปดภาษา เป็นผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และนักออกแบบระดับโลก ซูมู่หยูกล่าวว่า "จากนี้ไป ฉันเป็นหนึ่งของตระกูลซู"
ลู่เจียหง นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังในยุคปัจจุบัน จับผลัดจับพลูลงลิฟต์ก็โผล่ไปยังยุคโบราณ แถมยังอยู่ในชุดเจ้าสาวอีก ถ้าประหลาดแค่นั้นไม่พอคงไม่เป็นไร ถ้าไม่พบว่าตัวเองกำลังถูกตามล่าจากว่าทีสามีที่ยังไม่ทันเข้าหอ งานนี้นางถือคติไม่ยุ่งเกี่ยวต่างคนต่างอยู่ แต่ท่านอ๋องผู้นั้นก็เอาแต่วนเวียนอยู่ข้างตัวนางไม่หยุด แบบนี้นางจะหย่าสำเร็จได้ตอนไหนกัน!!
"นางเป็นบุตรีผู้สูงศักดิ์ของฮูหยินเอกของจวนเสนาบดี นางมีหน้าตาโดดเด่น ทั้งอ่อนโอนและมีน้ำใจไมตรีต่อผู้อื่น แต่... นางทำดีต่อป้าของนาง นางกลับฆ่าแม่ของนางตาย นางรักเอ็นดูน้องสาวของนาง แต่น้องสาวกลับแย่งสามีของนางไป นางคอยสนับสนุนและดูแลสามีของนางอย่างสุดหัวใจ แต่สามีกลับทำให้นางตายทั้งกลม...ตระกูลฝ่ายมารดาของนางก็ถูกประหารชีวิตทั้งตระกูลด้วย นางตายตาไม่หลับและสาบานว่าหากมีชาติหน้า นางจะไม่เมตาตาต่อใครอีก ใครก็ตาม กล้ามาทำร้ายข้า ข้าจะล้างแค้นด้วยชีวิตทั้งตระกูลของพวกเจ้า เมื่อเกิดใหม่อีกครั้ง นางอายุได้สิบสี่ปี นางสาบานว่าจะต้องเปลี่ยนชะตากรรมและแก้แค้นชาติก่อน ป้านางใจ้ร้าย นางจะใจร้ายกลับยิ่งกว่านาง นางคิดจะได้ครองตำแหน่งฮูหยินงั้นเหรอ บอกเลยไม่มีทาง! ส่วนน้องสาวชอบผู้ชายชั่ว ๆ นักไม่ใช่หรือ ได้!ข้าจะยกให้เลย ส่วนชายชั่วนั่น ข้าจะทำให้เจ้าไม่สามารถมีทายาทได้อีกตลอดทั้งชาติ!แต่ข้าจะแก้แค้น เหตุใดเจ้าต้องมาช่วยข้าด้วย?"
"คุณต้องการเจ้าสาว ส่วนฉันก็ต้องการเจ้าบ่าว ทำไมเราไม่แต่งงานกันล่ะ?" ภายใต้เสียงเยาะเย้ยของทุกคน ถังเลี่ยน ซึ่งถูกคู่หมั้นของเธอทอดทิ้งในพิธีแต่งงาน กลับแต่งงานกับเจ้าบ่าวพิการข้างบ้านที่ถูกรังเกียจ ถังเลี่ยนคิดว่าอวิ๋นเซินเป็นชายหนุ่มที่น่าสงสาร และเธอสาบานว่าจะให้ความรักใคร่แก่เขาและตามใจเขาหลังแต่งงาน ใครจะรู้ว่าเขาแกล้งเป็นแบบนั้น... ก่อนแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "เธอต้องสนใจเงินของผมถึงยอมแต่งงานกับผม ผมจะหย่ากับเธอหลังจากที่ผมใช้ประโยชน์เธอเสร็จ" หลังแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "ภรรยาของผมต้องการหย่าทุกวัน แต่ผมไม่อยากหย่า ทำอย่างไรดีล่ะ"
ตลอดระยะเวลาสามปีที่หยุยเอินแต่งงานกับฝู้ถิงหย่วน เธอพยายามทำหน้าที่ภรรยาให้ดีที่สุด เธอคิดว่าความอ่อนโยนของตนจะสามารถละลายใจที่เย็นชาของฝู้ถิงหย่วนได้ แต่ต่อมาเธอก็รู้ตัวว่าไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน ผู้ชายคนนี้ก็ไม่มีวันจะตกหลุมรักเธอได้ ด้วยความสิ้นหวังของเธอ สุดท้ายเธอตัดสินใจที่จะยุติการแต่งงานครั้งนี้ ในสายตาของฝู้ถิงหย่วน หยุยเอิน ภรรยาของเขาเป็นผู้หญิงที่โง่ ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าภรรยาของเขาจะกล้าโยนใบหย่าใส่เขาต่อหน้าคนมากมายในงานเลี้ยงวันครบรอบฝู้ซื่อ กรุ๊ป หลังจากหย่าร้าง ทุกคนต่างคิดว่าพวกเขาจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป แต่เรื่องราวระหว่างทั้งสองคงไม่ได้จบลงอย่างง่าย ๆ แบบนี้ หยุยเอินได้รับรางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และคนที่เป็นผู้มอบถ้วยรางวัลให้กับเธอก็คือฝู้ถิงหย่วน หยุยเอินคิดไม่ถึงว่าผู้ชายที่สูงส่งและแสนเย็นชาคนนี้จะลดตัวลงอ้อนวอนเธอต่อหน้าผู้ชมทั้งหมด"หยุยเอิน ก่อนหน้านี้คือผมผิดเอง ขอโอกาสให้ผมอีกครั้งได้ไหม"หยุยเอินยิ้มด้วยความมั่นใจ"ขอโทษนะคุณฝู้ ตอนนี้ฉันสนใจแต่เรื่องงาน"ชายหนุ่มคว้ามือเธอไว้ ดวยตานั้นเต็มไปด้วยความผิดหวัง หยุยเอินสบัดมือเขาและเดินจากไปโดยปราศจากความลังเลใด ๆ