นายแพทย์จิรายุ พลพิพัฒกุลวานิช (ชื่อเล่นวายุ) อายุสามสิบปี รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา ร่างกายบึกบึนสมชายชาตรี ศัลยแพทย์หนุ่มทำงานที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ครอบครัวของเขาทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ความจริงแล้ววายุอยากเป็นสถาปนิก แต่ก็ขัดบิดามารดาไม่ได้เพราะเขาเป็นลูกชายคนรอง เมื่อบุพการีอยากให้เป็นหมอ ชายหนุ่มจึงก้มหน้าก้มตาทำตามความฝันของบิดามารดาอย่างหน้าชื่นอกตรม ในขณะที่พี่ชายได้ทำงานตามอาชีพที่ใฝ่ฝัน พายุถูกตามใจทุกอย่าง แต่พอหันกลับมามองที่เขา แม้แต่เรื่องหัวใจก็ไม่สามารถเลือกเองได้ หมอหนุ่มกำลังจะถูกคลุมถุงชนมีหรือที่เขาจะยอม เมื่อหัวใจของเขาเต็มไปด้วยเธอคนนั้น ผู้หญิงคนเดียวที่ทำให้หัวใจเขาเต้นแรงเวลาเข้าใกล้เธอ และไม่เคยมีใครทำให้เขาหวั่นไหวได้เหมือนเธอ นางสาวฝนสุดา ปัญญาเป็นเลิศ อายุยี่สิบปี หญิงสาวหุ่นเซ็กซี่หน้าตาดี เธอเป็นแอร์โฮสเตส บิดามารดาเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว เธอดั้นด้นส่งน้องสาวเรียนมหา'ลัยจนใกล้จบ ต่อให้เหนื่อยแค่ไหนบินกี่ไฟท์ก็ไม่เคยบ่น แต่พักหลังหลายเดือนมานี้เธอเทียวเข้าออกโรงพยาบาลเป็นประจำ ความใฝ่ฝันของหญิงสาว คือการมีครอบครัวที่อบอุ่นมีลูกที่น่ารัก แต่เมื่อคุณหมอวินิจฉัยโรค และบอกกับฝนสุดาว่าเธอมีโอกาสเสี่ยงสูงมาก อาจจะโดนตัดมดลูกทิ้งและไม่สามารถมีบุตรได้ เขาจึงแนะนำให้เธอรีบตั้งครรภ์ ก่อนที่จะไม่มีวันได้เป็นคุณแม่ แต่ทว่าเธอไม่เคยมีแฟน เมื่อหญิงสาวอยากมีลูกแต่ไม่อยากมีสามี เรื่องวุ่นๆ ระหว่างเขาและเธอ กำลังจะเกิดขึ้น ฝากติดตามด้วยนะคะ
บ้านหลังเล็กๆ ที่มีพื้นที่ไม่ถึงไร่ ซึ่งเป็นมรดกตกทอด ตั้งแต่สมัยรุ่นคุณปู่คุณย่า จนกระทั่งมาถึงรุ่นบิดามารดา และในเวลานี้มันก็ได้ตกเป็นของนางสาวฝนสุดาและนางสาวขวัญดาว สองพี่น้องที่แสนจะอาภัพ เมื่อทั้งคู่ไม่เหลือใคร บิดามารดาได้จากไปหลายปีแล้ว
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
"ดาวตื่นหรือยังวันนี้พี่มีไฟลต์บินเช้านะ ต้องรีบไปแล้ว" ฝนสุดาลากกระเป๋าเดินทาง มายืนเคาะประตูห้องน้องสาว เพื่อบอกลา ซึ่งเธอได้ทำเป็นประจำเวลาที่ต้องออกเดินทาง
"คราวนี้พี่ฝนจะไปกี่วันค่ะ" ขวัญดาวลุกจากเตียงเดินงัวเงีย เพื่อมาเปิดประตูให้กับพี่สาวแล้วถามออกไป ขณะที่เธอยังคงเอามือขึ้นมาขยี้ตาที่กำลังปรือขึ้น เพื่อให้ปรับแสงที่แยงมา
"คราวนี้พี่บินนานหน่อย ประมาณสิบกว่าวันถึงจะได้กลับ อย่าลืมให้น้ำอิงมานอนด้วย แล้วล็อกประตูบ้านให้ดีเข้าใจไหม" ฝนสุดารั้งน้องสาวเข้ามากอด พร้อมทั้งบอกให้เธอพาเพื่อนสนิทมานอนด้วย
"โอเคค่ะ พี่รีบไปเถอะเดี๋ยวตกเครื่อง ใครมารับ ให้ดาวไปส่งไหม" ขวัญดาวเองก็ห่วงใยพี่สาวไม่น้อยเช่นกัน เพราะทุกวันนี้ที่เธอได้เรียนในคณะที่ใฝ่ฝัน ก็เพราะพี่สาวคนนี้ ที่ยอมเหนื่อยบินกี่ไฟลต์ก็ไม่เคยบ่น
"ดาวเตรียมตัวไปเรียนเถอะ พี่นั่งแท็กซี่ไปได้ ลุงเจ้าประจำที่เคยโทรให้มารับสงสัยแกมารอหน้าบ้านแล้ว พี่ไปนะ"
"โชคดีนะคะ ขอกอดหน่อย" ขวัญดาวโผเข้าไปซบอกอุ่นของพี่สาว เพราะคราวนี้ฝนสุดาไปหลายวัน ทั้งที่พี่สาวก็มักจะไปแบบนี้เป็นประจำแต่ทุกครั้งก็ทำให้ขวัญดาวรู้สึกใจหายไม่ได้
"ดูแลตัวเองด้วยพี่ไปแล้วนะ"
"บ๊าย บายค่ะพี่"
เมื่อสองพี่น้องร่ำลากันเสร็จ ฝนสุดาก็เดินออกไปทันที ซึ่งมีรถแท็กซี่จอดรออยู่หน้าบ้าน เมื่อเธอขึ้นมาบนรถ หญิงสาวๆ ได้นั่งเหม่อมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย บ่อยครั้งเธอก็รู้สึกเหนื่อยล้ากับงานที่ทำ แม้ว่าจะเป็นอาชีพในฝัน แต่บางครั้งฝนสุดาก็อดคิดไม่ได้ว่า เธออยากจะเป็นนางฟ้าจริงๆ หรือเปล่า
"โอ๊ย... ทำไมรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ที่ท้องแบบนี้อีกแล้วนะ" ฝนสุดาร้องออกมาเบาๆ พร้อมกับเอามือกุมลงไปที่ท้องน้อย ในขณะที่ใบหน้าของเธอนั้นได้ฉายแววความเจ็บปวดออกมาอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าเธอจะพยายามกินยา แต่มันยังคงเจ็บอยู่ไม่หายสักที แต่ก็พอทนได้
"เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ลุงเห็นหนูเอามือกุมที่ท้องนานแล้ว บินไหวไหมล่ะ ไปหาหมอก่อนไหม" ลุงคนขับแท็กซี่ที่คุ้นเคยกันดี ได้เอ่ยถามฝนสุดาออกมาด้วยความห่วงใย เพราะเขาเห็นเธอเป็นเหมือนลูกหลานคนหนึ่ง
"ขอบคุณมากนะคะลุง ฝนไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ แค่ปวดท้องน้อยนิดหน่อย กินยาเดี๋ยวก็หาย" ฝนสุดาฉีกยิ้มกว้าง พร้อมกับตอบคำถามลุงแท็กซี่ออกไป ซึ่งในเวลานี้หญิงสาวเองก็ไม่รู้ว่า จะทนกับความรู้สึกเจ็บแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน เพราะถ้าหากเธอเป็นอะไรไป น้องสาวจะอยู่ได้ยังไง นั่นคือสิ่งที่ฝนสุดากำลังเป็นกังวล มากกว่าห่วงตัวเองซะอีก
เมื่อรถแท็กซี่แล่นเข้ามาจอดภายในสนามบิน ฝนสุดาได้จ่ายเงินให้กับคุณลุงขับแท็กซี่ เมื่อ หญิงสาวได้ลงจากรถเธอลากกระเป๋าเดินทาง เข้าไปภายในอาคารสนามบิน พร้อมกับความรู้สึกที่เจ็บจี๊ด ตรงบริเวณท้องน้อยอีกตามเคย แต่เธอก็พยายามไม่ใส่ใจ เพราะคิดว่าทานยาลงไปเดี๋ยวก็หายเหมือนกับทุกครั้งที่เป็น
เมื่อถึงเวลาต้องขึ้นไปสำรวจความเรียบร้อย ซึ่งเหล่าบรรดาแอร์โฮสเตสและสจ๊วต สิ่งที่ต้องทำและคำนึงถึง อันดับแรกคือความปลอดภัยทุกคนต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเอง ทั้งตรวจหาวัตถุระเบิด เช็กวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งเครื่องดับเพลิงและอะไรอีกจิปาถะ
"อุ้ย...อืม" ฝนสุดาร้องออกมาเบาๆ แต่ทว่าน้ำเสียงของเธอนั้นกลับดูเจ็บปวด
"เป็นอะไรหรือเปล่าฝน ปวดท้องอีกแล้วใช่ไหม มิราบอกหลายครั้งแล้วว่าให้ไปหาหมอยังไม่ไปอีกเหรอ" เพื่อนสนิทของหญิงสาวถามออกมาด้วยความห่วงใย เมื่อเธอเห็นฝนสุดาทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เหมือนกับว่าเธอกำลังเจ็บปวด
"ฝนตั้งใจว่ากลับจากบินเที่ยวนี้ จะไปพบหมอแล้วแหละ แต่ตอนนี้ยังไหว มันรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ เป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น" หญิงสาวพูดพร้อมกับยิ้มร่าให้กับมิรา เพราะเธอกลัวว่าเพื่อนจะไม่สบายใจ
"บินได้ใช่ไหม ถ้าไม่ไหวก็บอก เรายังมีเวลาเหลืออีกสามสิบนาที"
"อืม... มิราไม่ต้องเป็นห่วงหรอกเราไหว แค่นี้สบายมาก"
"แน่ใจ" น้ำเสียงของมิราที่ถามเพื่อนออกไปเหมือนเธอไม่อยากจะเชื่อ ในสิ่งที่ฝนสุดาพูดออกมา
"อื้ม...ฝนไหว" ฝนสุดาฉีกยิ้มร่าให้กับเพื่อนเพื่อยืนยันว่าเธอนั้นไหวจริงๆ
~เที่ยวบิน~
การประกาศบนเครื่องบินดังขึ้น เพื่อให้ผู้โดยสารได้ทราบถึงระยะเวลาในการบิน รวมถึงรายละเอียดต่างๆ เมื่อได้เวลาบิน ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง โดยเฉพาะฝนสุดา เธอมีหน้าที่ดูแลและคอยบริการ ผู้โดยสารชั้นเฟิร์สคลาส ซึ่งชั้นนี้ค่อนข้างจะเป็นส่วนตัว เพราะผู้โดยสารแต่ละคนนั้น ค่อนข้างมีฐานะ ส่วนมากจะเป็นนักธุรกิจ คุณหมอ เหล่าบรรดาคนไฮโซทั้งหลาย พูดง่ายๆ ก็คือคนธรรมดาฐานะปานกลางอย่างเรา แทบจะไม่มีปัญญาได้นั่ง เพราะตั๋วค่าโดยสารนั้นค่อนข้างแพงหกหลักขึ้นเลยทีเดียว
"ผู้โดยสารรัดเข็มขัดให้เรียบร้อยด้วยนะคะ คุณคะ..." น้ำเสียงหวานของฝนสุดาดังขึ้น แต่ทว่าหมอหนุ่มกลับนั่งเหม่อคิดอะไรไปไกล เมื่อเขานั้นจำใจต้องออกเดินทางไปรับใครบางคนมาที่บ้าน ตามคำสั่งของมารดา
"คุณคะ"
"เอ่อ...อ้อ ขอโทษครับ" หมอหนุ่มหันหน้ามาสบตากับฝนสุดาพอดี เขาไม่เคยเจอผู้หญิงคนไหนสะดุดตาเท่าเธอมาก่อน อาจจะมีผู้หญิงหลายคนที่สวยเซ็กซี่มากกว่าเธอหลายเท่า แต่เขากลับ ไม่รู้สึกสะดุดตาเท่ากับหญิงสาวในเวลานี้
"รัดเข็มขัดด้วยค่ะ" ฝนสุดาพูดพร้อมกับฉีกยิ้มให้กับชายตรงหน้า รอยยิ้มของเธอกลับทำให้เขารู้สึกประทับใจมากขึ้น ซึ่งความเป็นจริงแล้ว ผู้หญิงน้อยคนที่จะทำให้เขารู้สึกพิเศษแบบนี้
"ขอบคุณครับ" ชายหนุ่มกล่าวกลับไปด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม เพราะเขาแทบจะไม่เคยยิ้มให้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อน ชีวิตที่อยู่ภายใต้กรอบ และขอบเขตที่ไม่เคยมีความเป็นส่วนตัว จึงทำให้เขานั้นกลายเป็นผู้ชายเย็นชาไปโดยปริยาย
งานด้านบริการ รวมถึงการสอดส่องดูแลและสังเกตพฤติกรรมของผู้โดยสาร ที่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก ใครหลายคนต่างก็คิดว่าการเป็นแอร์โฮสเตสและสจ๊วตนั้นสุขสบาย แต่ความเป็นจริงมันก็เป็นงานที่เสี่ยงและอันตราย หลายครั้งที่ฝนสุดาอยากจะลาออกไปทำธุรกิจส่วนตัว แต่เธอก็ยังคงรักในอาชีพนี้อยู่มาก จึงอยากจะทำอีกสักพัก จึงค่อยตัดสินใจทำอะไรที่มันเป็นหลักเป็นแหล่ง พอที่จะทำให้เธอมีรายได้ ซึ่งไม่ต้องลำบากในช่วงบั้นปลายของชีวิต เพราะเธอไม่เคยคิดที่จะมีผู้ชายมาเลี้ยงดู
"คุณจะรับเครื่องดื่มอะไรดีคะ" ฝนสุดาเอ่ยถามออกไปด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ซึ่งปกติไม่ว่าผู้โดยสารชั้นเฟิร์สคลาสหรือธรรมดาเธอก็บริการด้วยหัวใจ หญิงสาวให้ความสนใจผู้โดยสารทุกคนอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกันอยู่แล้ว
"ผมขอเป็นแชมเปญแล้วกัน" หมอหนุ่มยังคงพูดออกมาด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย แต่เขากลับแอบชำเลืองมองไปที่ใบหน้างามด้วยความรู้สึกหวั่นไหวในหัวใจ
"โอ๊ย..." ฝนสุดาร้องออกมาเบาๆ เมื่อรู้สึกเจ็บจี๊ดที่ท้องน้องอีกครั้ง
"คุณเป็นอะไรหรือเปล่า" หมอหนุ่มถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล เมื่อเขาเห็นหญิงสาวฉายแววความเจ็บปวดออกมาทางสีหน้า
"ดิฉันไม่เป็นไรค่ะขอบคุณนะคะ ได้แล้วค่ะ ขอให้แฮปปี้กับการเดินทางครั้งนี้นะคะ" หญิงสาวเสิร์ฟแชมเปญคู่กับกานาเป เธอไม่ได้สนใจในรูปลักของหมอหนุ่มเลยสักนิด นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าหญิงสาวคุ้นชินกับการบริการชายหนุ่มรูปงาม หรือไม่ก็มีหัวใจที่ชินชา เมื่อเธอนั้นไม่เคยคิดอยากจะรักใคร เพราะไม่อยากพาใจไปเจ็บ เนื่องจากเห็นเพื่อนรักอย่างมิราเจ็บเจียนตาย จากการที่โดนผู้ชายอย่างกัปตันหนุ่มทรยศความรักที่มีให้กันมาเกือบสิบปี สุดท้ายแล้วเขาก็เลือกผู้หญิงคนใหม่ ปล่อยให้มิราร้องไห้ฟูมฟายเกือบบ้าตายอย่างไม่ไยดี
ในเมื่อความปรารถนาสูงสุดของอีกฝ่ายไม่ใช่ครอบครัว เธอจึงกลายเป็นคนที่เขาอยากเขี่ยทิ้งไปให้พ้นตัว เหตุผลที่เขาก้าวเข้ามาในชีวิตของเธอ ใช้ถ้อยคำหวานหลอกล่อจนหญิงสาวตายใจ ในที่สุดเธอก็ได้ตัดสินใจแต่งานกับเขาอย่างไม่มีข้อแม้ใด ๆ ท้ายที่สุดแล้วความจริงก็ปรากฏขึ้น เพราะปรเมศเข้าใจผิด คิดว่าเขมิกาคือสาเหตุที่ทำให้ผู้เป็นมารดาของเขาต้องจากโลกนี้ไปโดยไม่ได้เอ่ยคำบอกลา “เขมท้อง!” หญิงสาวตัดสินใจพูดเรื่องทารกน้อยในครรภ์ เพราะลึก ๆ แล้วยังแอบหวังที่จะได้อยู่กับครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา อารมณ์ของเขมมิกาแปรปรวน เธอเองไม่อาจควบคุมได้ บางทีก็คิดอยากอยู่ประเดี๋ยวก็อยากไป “กี่เดือน” “หกสัปดาห์แล้วค่ะ” “เด็กคนนี้เป็นลูกของใคร” “คุณปรเมศ!” เขมมิการู้สึกผิดหวังในตัวชายหนุ่ม เขาไม่ควรตั้งคำถามนี้กับเธอ “เอาเด็กนั่นออกซะ! นี่คือเงินที่ผมจะจ่ายให้กับคุณ นับจากนี้ไปเราสองคนเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าสำหรับกัน” “คุณคิดดีแล้วใช่ไหมคะ” “ผมไม่เคยลังเลที่อยากเก็บเด็กคนนี้เอาไว้เลยสักนิด” คำตอบที่ได้ทำเอาหญิงสาวพูดไม่ออก มันจุกในอกเสียจนเธอแทบเสียสติ แต่ก็กลับมาได้เพราะทารกน้อย เธอต้องปกป้องเด็กคนนี้ให้ถึงที่สุด ปรเมศจะต้องเสียใจกับถ้อยคำที่เขาพูดกับเธอในวันนี้
น้ำเหนือ ธนาลักษณ์ (อายุ 32ปี) ชายหนุ่มผู้ถูกเลือกให้ผิดหวังจากความรัก จนเขาคิดว่าตัวเองไม่เหมาะที่จะรักใคร สุดท้ายชายหนุ่มก็เลือกที่จะหยุด แต่ไม่ใช่การยุติเรื่องบนเตียง เขาเลือกที่จะซื้อกินมากกว่า เพราะเขาเชื่อว่าผู้หญิงเก้าสิบเก้าจุดเก้าเก้าเปอร์เซ็นต์เลือกเงินมากกว่าความรัก เฉกเช่นอดีตคนรักของเขาที่หนีไปแต่งงานกับเศรษฐีดูไบ จนทำให้เขากลายเป็นผู้ชายไร้หัวใจมาจนถึงทุกวันนี้ ทานตะวัน ประสบโชคดี(อายุ 20ปี) ชื่อนี้มาจากดอกทานตะวัน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อมั่น ความมั่นคง รักเดียว ใจเดียว แต่ชีวิตของเธอกลับพบเจอแต่ปัญหา หลังจากบิดาติดการพนันอย่างหนัก ดาวเรืองผู้เป็นมารดาจึงคิดหาทางออก โดยการนำลูกสาวไปฝากไว้กับคุณนายจันทร์ฉาย (ทวดเล็ก) เพราะกลัวมารุตจะขายลูกสาวให้กับเจ้าหนี้ของเขา ซึ่งล้วนมากด้วยอิทธิพลในธุรกิจสีเทา
นารา หญิงสาวต่างจังหวัดอายุยี่สิบปี รูปร่างผอมเพรียวแลดูสมส่วน เธอเป็นหญิงสาวน่ารัก มองโลกในแง่ดี บ๊องแบ๊ว ใครเห็นต่างก็ชอบในความสดใสน่ารักของเธอ แต่ใครเล่าจะรู้ลึกๆ แล้ว หญิงสาวแค่สร้างมันขึ้นมา เพื่อเป็นกำแพงในใจที่ปวดร้าว เมื่อบิดากับมารดาต้องหย่ากัน เธอเจ็บลึกไปถึงก้นบึ้งหัวใจ แต่ยังทำตัวสดใสร่าเริง เพื่อให้มารดากับน้องชายรับรู้ว่าเธอสามารถ ที่จะเป็นเสาหลักที่ดีและแข็งแรงให้กับครอบครัวได้ พอจบมัธยมปลาย เธอตัดสินใจเรียนต่อแค่อนุปริญญา เพราะหวังว่าเรียนจบมาแล้วจะได้หางานทำทันที เพื่อให้น้องชายเพียงคนเดียวที่อายุห่างกันกับเธอเพียงแค่สองปีได้เรียนต่อ และแล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่นาทีน้องชายคนเดียวของเธอสอบติดแพทย์ นาราไม่ลังเลเลย เมื่อเรียนจบเธอรีบเดินทางไปหาป้าที่กรุงเทพฯทันที ทั้งที่ขาดการติดต่อกันมานานหลายปีแล้ว เธอหวังจะไปขออาศัยระหว่างที่หางานทำ ชีวิตของเธอจะผกผันแปรเปลี่ยนหักเหเพียงใด เมื่อเดินทางมากรุงเทพฯ ครั้งนี้ ภูตะวัน พ่อเลี้ยงหนุ่ม หล่อล่ำสูงขาวกล้ามโต หุ่นนายแบบ อายุสามสิบห้าปี ที่มีไร่องุ่นส่งออกรายใหญ่ของประเทศ ไร่ของเขาอยู่ทางภาคเหนือ แต่ทว่าโรงงานผลิตไวน์อยู่แถวชานเมือง เขาเป็นนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อไฟแรง ที่บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ต่างหมายตา แต่เขากลับไม่เคยประกาศหรือควงผู้หญิงคนใดให้เห็นเลยสักราย สถานะของเขาคือโสด ชายหนุ่มเคยมีแฟน แต่รักครั้งนั้นมันยังฝังใจ เมื่อแฟนสาวอันเป็นที่รักนอกใจ หนีไปแต่งงานกับหนุ่มลูกครึ่ง เมื่อครั้งที่เธอไปเรียนต่อต่างประเทศ ความสนิทชิดใกล้หรือที่เขาเรียกว่ารักแท้แพ้ใกล้ชิด มันเลยทำให้ความรักของเขาและเธอขาดสะบั้นลงไม่เป็นท่า แต่ตอนนี้เรื่องวุ่นๆ กำลังจะเกิดขึ้นกับเขา แน่นอนมันอาจจะไม่สงบอีกต่อไป และชีวิตของเขาต้องกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เมื่อเธอคนนั้นเดินเข้ามาในบ้านของชายหนุ่ม
นายนิโคลัส เคลดัลซ่าร์ คนสนิทมักเรียกเขาว่านิค อายุ 32 ปี เขาเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์น่าค้นหา ด้วยหน้าตาที่เป็นลูกครึ่งไทยอังกฤษ ยิ่งทำให้น่าหลงใหล เขามีรูปร่างสูงใหญ่กำยำ จมูกโด่งเป็นสันนัยน์ตาสีฟ้า สะกดทุกสายตาที่จ้องมอง เขามีน้องสาวหนึ่งคนชื่อนิโคล เมื่อบิดาเสียชีวิตลงด้วยโรคร้าย เขาจึงกลับมาดูแลและสานต่อธุรกิจที่เมืองไทย ครอบครัวของเขาทำเกี่ยวกับผลไม้แปรรูปหลายชนิด เขาเป็นชายหนุ่มที่สาวๆ ต่างก็หมายตา แต่ดูเหมือนว่าเขานั้นจะไม่เคยมองใคร นอกจากเธอผู้หญิงคนนั้น หล่อนขอให้เขาช่วยเป็นแฟนเธอแค่คืนเดียว โดยที่เขานั้นได้เสนอข้อแลกเปลี่ยน ด้วยการมีสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับเธอ ภายใต้เงื่อนไขแค่วันไนท์สแตนด์ จบแล้วแยกทางไม่มีอะไรค้างคาใจ และที่เขานั้นต้องแปลกใจคือเธอยอมตกลงอย่างง่ายดาย ที่สำคัญกว่านั้นนิโคลัสยังได้เป็นผู้ชายคนแรกของเธอ นางสาวพริมโรส มารยาทงามเลิศ ทุกคนมักจะเรียกเธอว่าพิมพ์ เธออายุ 23 ปี เรียนมหา'ลัยปีสุดท้าย อีกไม่นานเดือนกว่าก็จะจบแล้ว เธอเป็นสาวสวยหุ่นเซ็กซี่ ลูกครึ่งไทยเยอร เธอถูกอบรมเลี้ยงดูแบบไทยแท้ มารดาของเธอสอนให้รักนวลสงวนตัว เมื่อนางเคยพลาดพลั้งมีอะไรกับบิดาของพริมโรสจนตั้งครรภ์ เพราะความรักทำให้คนตาบอด เมื่อมารดาของเธอได้รู้ความจริงว่าชายอันเป็นที่รักนั้น เขาแค่หลอกลวงหวังแค่เสพสมจากกายของเธอ เขาไม่ยอมรับทารกน้อยในครรภ์ แต่นางก็อดทนกล้ำกลืนเลี้ยงดูพริมโรสจนเติบใหญ่ ได้อย่างสง่างามเธอสวยอย่างมีคุณภาพและทรงคุณค่าในตัว แต่ทว่าทุกอย่างกลับซ้ำรอยเดิม เมื่อพริมโรสเสียใจที่แฟนหนุ่มคบหาดูใจกันมานานถึงเจ็ดปี ตั้งแต่สมัยมัธยมปลายจวบจนจะจบปริญญาตรี แค่เธอไม่ยอมชิงสุกก่อนห่าม เขากลับประชดด้วยการนอกกายนอกใจเธอ มิหนำซ้ำผู้หญิงคนนั้นคือเพื่อนสนิทของพริมโรส หญิงสาวเสียใจจนแทบเสียสติ และแล้วเธอก็ประชดแฟนเก่าด้วยการหาใครสักคนมาเป็นแฟน เธอหวังเพียงแค่อยากแสดงให้เขาได้รู้ว่าเธอนั้นไม่แคร์ จนกระทั่งเธอยอมตกปากรับคำ มีสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับนิโคลัสผู้ชายที่พบกันในผับ ที่สำคัญเธอนั้นไม่รู้จักกับเขามาก่อน.. ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ
เหมราช ชาติดำรงกุลชัย ชายหนุ่มรูปงามที่สาวๆ ต่างก็หมายตา หนึ่งในนั้นชื่อว่าคาเรนสาวลูกครึ่ง ที่สวยหุ่นเซ็กซี่ หล่อนมาฝึกงานที่บริษัทเขา จากนั้นหญิงสาวก็ทำความคุ้นเคย จนกระทั่งสนิทกัน เหมราชไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอนั้น อยู่ในสถานะไหน แต่เธอก็เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขานั้นควงไปไหนมาไหนบ่อยที่สุด แต่ทว่าวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้นกับครอบครัวของเขา เมื่อบิดาล้มป่วยแล้วเสียชีวิตลงกะทันหัน การเงินที่บริษัทเริ่มมีปัญหา แต่ก็มีเพื่อนสนิทของบิดายินดีที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเขา โดยมีข้อแลกเปลี่ยน ให้เหมราชแต่งงานกับพิ้งค์พลอยลูกสาวของเพื่อนบิดา ที่เธอนั้นมีอายุห่างมากกว่าชายหนุ่มถึงสิบสองปี เมื่อเขาไม่มีทางเลือก และดูเหมือนว่าเธอเองก็ไม่ได้รักเขา เหมราชจึงตัดสินใจแต่งงานกับเธอเพียงเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่แล้วเขากลับตกหลุมรักภรรยาของตัวเอง ขณะที่เธอนั้นเฉยชาและหมางเมินใส่เขา เหมือนกับว่าเธอนั้นไร้หัวใจ ซึ่งซึ่งภายในใจของเธอนั้นมีชายอีกคนอยู่ตลอดเวลา ฝากเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ
นายอามันต์โด้ เดฟวารา มีชื่อไทยว่านักรบหนุ่ม นักธุรกิจเนื้อหอมลูกครึ่งไทยอังกฤษ อายุสามสิบปี สูงใหญ่หล่อล่ำเป็นที่หมายตาของสาวน้อยสาวใหญ่ เมื่อเขาเข้าใกล้ผู้หญิงคนไหนทุกคนมักจะหลงใหลในเสน่ห์ของอาร์มันโด้ ที่มีความเป็นชายเนื้อแน่นกำยำกล้ามเป็นมัดๆ การกลับมาเมืองไทยครั้งนี้ เพราะปมในอดีต ที่ทำให้เขามีความรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดายมาหลายสิบปี ซึ่งปมแค้นครั้งนี้ อาร์มันโด้จะไม่มีวันให้ครอบครัวของเธอนั้นมีความสุข อยู่บนกองเงินกองทองที่บิดาของเธอ เคยคดโกงตระกูลบิดาและมารดาของเขาไป จนบุพการีต้องฆ่าตัวตาย ก่อนจะทิ้งจดหมายผูกปมแค้นนี้เอาไว้ เพื่อรอวันให้ลูกชายได้ล้างแค้นทวงทุกอย่างคืนกลับมา นางสาวนารี กศิเทพพาณิชย์ อายุยี่สิบหกปี ลูกสาวคนเล็กของตระกูลกสิเทพพาณิชย์ ใครเล่าจะรู้ว่าเธอขมขื่นเพียงใด กับความทุกข์ตรม เมื่อบิดามารดารักลูกไม่เท่ากัน ทุกคนปฏิบัติกับเธอราวกับนารีเป็นทาสรับใช้ ทั้งที่เธอนั้นเป็นลูกในไส้ของแม่พิกุลกับพ่อศรเทพ แต่บิดากับมารดากลับรักลูกสาวคนรองกับพี่ชายคนโตมากกว่าเธอ ส่งเสียให้เรียน โรงเรียนดีๆ มหาวิทยาลัยดังๆ ไกลถึงเมืองนอกเมืองนา ส่วนนารีนั้น ตั้งแต่ประถม มัธยม จวบจนเข้ามหาวิทยาลัย โชคดีแค่ไหนที่ไม่ได้กู้ทุนรัฐบาลเรียน แม้จะได้เข้าศึกษา แต่บิดามารดาก็ได้ส่งเสียให้เรียนแค่โรงเรียนของรัฐ จวบจนจบปริญญาตรี มหาวิทยาลัยที่เรียนก็ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร แต่นารีกลับเรียนจบด้วยการคว้าเอาเกรดนิยมอันดับหนึ่งมาครองจนได้ แต่นั่นกลับไม่ได้สร้างความภาคภูมิใจให้กับครอบครัวเลยแม้แต่น้อย วันเกิดของรวีพิเศษกว่าทุกปี เนื่องจากวันนี้ มีแขกคนสำคัญมาร่วมงานด้วย เขานั้นคืออาร์มันโด้นักธุรกิจหนุ่มที่รวีนั้นหมายมั่นปั้นมือจะเอาชายหนุ่มมาเป็นคู่นอนให้ได้ แขกที่มาร่วมงานต่างก็แต่งองค์ทรงเครื่องประชันโฉมกันอย่างไม่มีใครยอมใคร โดยเฉพาะเจ้าของวันเกิด ที่ใส่ชุดราตรีเกาะอกสีแดงโชว์เต้าขาวอวบ เปิดแผ่นหลังโชว์เนื้อหนังมังสา จนใครต่อใครต่างก็ชื่นชมในความงามและเซ็กซี่ของรวี
เมื่อเธออายุยี่สิบ ชิงฉือได้รู้ว่าตนเองไม่ใช่ลูกโดยกำเนิดของตระกูลต้วน เธอถูกลูกสาวที่แท้จริงของตระกูลต้วนล้อมกรอบ จนถูกพ่อแม่บุญธรรมไล่ออกจากบ้านและกลายเป็นตัวตลกในเมือง เมื่อเธอกลับไปหาพ่อแม่ชาวนา จากนั้นก็พบว่าบิดาผู้ให้กำเนิดของเธอเป็นคนที่รวยที่สุดในเมืองเจียงเฉิงส่วนพี่ชายของตนเองเป็นอัจฉริยะในแวดวงต่างๆ ทุกคนมองดูเด็กสาวตัวเล็กคนนี้ด้วยความเห็นใจและถือว่าเธอเป็นสมบัติล้ำค่า แต่ค่อยๆ พบว่า... ที่แท้ว่าน้องสาวเป็นคนมากความสามารถ? อดีตแฟนหนุ่มผู้น่ารังเกียจหัวเราะเยาะ "อย่ามาตามเซ้าซี้ไม่เลิก ฉันมีแต่เมียนเมียนอยู่ในใจ!" คนใหญ่แห่งเมืองหลวงปรากฏตัว "เมียฉันจะเห็นหัวนายเหรอ?"
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
เพิ่งหย่ากับอดีตสามีไปไม่นานแต่ปรากฏว่าตัวเองท้อง จะทำอย่างไรดี? หรือจะให้อดีตสามีรับผิดชอบ แต่ก็ไม่คิดว่าอดีตสามีมีคนรักใหม่ไปแล้ว ชีวิตของถังชีชีนั้นช่างสับสน ช่างน่าวิตกกังวลและไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เธอต้องคอยระวังไม่ให้คุณเฟิงรู้เรื่องการตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัย แต่ไม่คิดว่าจะถูกเขาบังคับถึงเพียงนี้ "เราหย่ากันแค่สี่เดือน แต่เธอกลับตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนแล้ว บอกมาดี ๆ ว่า ลูกเป็นของใคร!"
เมื่อตอนเด็ก หลินอวี่เคยช่วยชีวิตเหยาซีเยว่ที่กำลังจะตาย ต่อมา หลินอวี่กลายเป็นพืชหลังจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอแต่งงานเข้าตระกูลหลินโดยไม่ลังเลใจและใช้ทักษะทางการแพทย์ของเธอเพื่อรักษาหลินอวี่ สองปีของการแต่งงานและการดูแลอย่างสุดหัวใจของเธอเพียงเพื่อตอบแทนบุญคุณ และเพื่อที่เขาจะให้ความสำคัญกับตัวเองบ้าง แต่ความพยายามทั้งหมดของเธอกลับไร้ประโยชน์เมื่อคนในใจของหลินอวี่กลับมาประเทศ เมื่อหลินอวี่โยนข้อตกลงการหย่ามาใส่เธออย่างไร้ความปราณี เธอก็รีบเซ็นชื่อทันที ทุกคนหัวเราะเยาะเธอที่เป็นผู้หญิงที่ถูกครอบครัวใหญ่ทอดทิ้ง แต่ใครจะไปรู้ว่า เธอคือ Moon นักแข่งรถที่ไม่มีใครเทียบได้บนสนามแข่งรถ เป็นนักออกแบบแฟชั่นที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เป็นอัจฉริยะของแฮ็กเกอร์ และเธอยังเป็นหมอมหัศจรรย์ระดับโลก... อดีตสามีของเธอเสียใจมากจนคุกเข่าลงกับพื้นขอร้องให้เธอกลับมา ผู้เผด็จการคนหนึ่งอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาแล้วพูดว่า "ออกไป! นี่คือภรรยาของฉัน!" เหยาซีเยว่ "?"
เขาแอบชอบเธอตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแต่เธอกลับกลัวและพยายามอยู่ให้ห่างจากเขาแล้วเขาจะทำอย่างไรที่จะตามจีบเธอดีในเมื่อเธอเป็นน้องรหัสของเขา
คิณ อัคนี สุริยวานิชกุล ทายาทคนโตของสุริยวานิชกุลกรุ๊ป อายุ 26 ปี นักธุรกิจหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาราวกับเทพบุตร เย็นชากับผู้หญิงทั้งโลกยกเว้นเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น เอย อรนลิน "เมื่อเขาดึงเธอเข้ามาในวังวนของไฟรักที่แผดเผาหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้ไหม้ไปทั้งดวง" "เธอแน่ใจนะว่าจะให้ฉันช่วยค่าตอบแทนมันสูงเธอจ่ายไหวเหรอ?" เอย อรนลิน พิศาลวรางกูล ดาวเด่นของวงการบันเทิงที่ผันตัวไปรับบทนางร้าย เธอสวย เซ็กซี่ ขี้ยั่วกับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น "เขาคือดวงไฟที่จุดประกายขึ้นในหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้หลงเริงร่าอยู่ในวังวนแห่งไฟรัก" "อะ อึก จะ เจ็บ เอยเจ็บค่ะคุณคิณ"