บทที่1 เคราะห์ซ้ำกรรมซัด
กลางงานราตรีการกุศลที่จัดขึ้นอย่างอลังการ เป็นที่เรียกร้องให้เหล่ามหาเศรษฐี เศรษฐีทั้งใหม่และเก่าของฟากฟ้าเมืองไทยเข้าร่วมงาน เพื่อหวังประกวดประขันแย่งชิงความเป็นดาวเด่นของงาน ในสังคมวัตถุนิยมแห่งนี้ย่อมไม่มีใครยอมน้อยหน้ากว่ากัน ต่างประโคมเครื่องประดับล้ำค่า ทั้งเพชรนิลจินดาและอัญมณีหลากหลายอันทรงคุณค่าและราคาแพงลิ่วมาข่มกัน โดยไม่เกรงกลัวภัยอันตรายมาแผ้วพาล เพราะมั่นใจและเชื่อใจในศักยภาพของผู้จัดงาน และระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีเลิศ
จุดเด่นของงานในคืนนี้คือการประมูลมหามงกุฎโบราณอายุนับพันปี ซึ่งเคยเป็นของเจ้าผู้ครองนครอินทรา อาณาจักรที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีต แต่ถึงกาลต้องล่มสลายเพราะผู้คนเสื่อมศรัทธาในเจ้าผู้ครองนคร ที่ปกครองด้วยพระเดชไม่มีพระคุณเข้ามาเจือปน บ้านเมืองระส่ำระสายอาณาจักรใกล้เคียงเข้ามารุกรานและกลืนกิน จนบัดนี้เป็นแค่นครในประวัติศาสตร์ที่โลกต้องจารึกและจดจำในความโหดเหี้ยมของทรราชอันเรืองนาม
มหามงกุฎที่ตกทอดจากมือสู่มือมาจนปัจจุบันกำลังได้รับความสนใจ ผู้จัดงานนำมาประมูลเพื่อนำเงินรายได้ไปทำการกุศลต่อไป มงกุฎล้ำค่าถูกเก็บไว้ในตู้หกเหลี่ยมที่วางตระหง่านอยู่กลางโถง คลุมไว้ด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดงเลือดนกรอเวลาเปิดให้ทุกคนได้ยลในอีกไม่นานเมื่อพิธีการประมูลเริ่มขึ้น
ณ มุมหนึ่งหน้างาน หญิงสาวรูปร่างสมส่วนสูงระหงท่าทางประเปรียวในชุดหนังพอดีตัวสีดำสนิท และยิ่งดูทะมัดทะแมงมากขึ้นกับบูทยาวครึ่งแข้ง ใบหน้าภายใต้แว่นกันแดดสีดำ นิ่งเรียบดุจทะเลยามคลื่นลมสงบ แต่ในใจหญิงสาวกลับร้อนรุ่มเต้นโครมคราม ไม่ใช่เพราะเป็นงานแรกที่เธอมารับหน้าที่อารักขาบุคคล แต่เพราะต้องการมองหาใครสักคนมาทำหน้าที่ตรงจุดนี้แทนเธอ ที่มีความจำเป็นทางร่างการจนแทบจะอั้นไม่ไหวอยู่แล้ว
บราลี หญิงสาวผิวขาวเหลือง ผมสีน้ำตาลเข้มดวงตาที่ซ่อนไว้ใต้สีดำทะมึนของแว่นกันแดดเป็นสีน้ำตาลอ่อน เธอเป็นหนึ่งในทีมงานรักษาความปลอดภัยในงานคืนนี้ เดินกระมิดกระเมี้ยน มือที่กำสูจิบัตรมาอ่านเรื่องราวคร่าวๆ ของอินทรานครกับสมบัติชิ้นสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ บิดไปมาจนแผ่นกระดาษมันวาวย่นยู่หาความเรียบไม่เจอ สายตาก็สอดส่ายหาเพื่อนร่วมงานในบริษัทรับจ้างรักษาความปลอดภัยทุกระดับ ทั้งตัวบุคคล อาคารสถานที่หรือแม้กระทั่งบ้านพักอาศัย จะเรียกง่ายๆ ว่าเป็นบริษัทยามก็คงไม่ผิด ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่กำลังจ่มดิ่ง มีงานอะไรเข้ามาต่างก็คว้าเอาไว้ก่อนทั้งนั้น ไม่หวังจะรอน้ำบ่อหน้าซึ่งไม่รู้ว่าจะต้องรอไปถึงชาติไหนถึงจะพานพบ
บราลีที่เรียนจบสังคมศาสตร์มา แต่กลับมาทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยส่วนบุคคลให้เศรษฐีณีคน หนึ่งซึ่งกำลังกรีดกรายอยู่ในงาน ส่วนตัวเธอได้แต่ยืนและเดินรอบๆ งาน เพราะผู้จัดงานมีหน่วยคุ้มกันแน่นหนาทั้งจากบริษัทรักษาความปลอดภัยต่างๆ รวมถึงกำลังตำรวจนอกเครื่องแบบอีกจำนวนหนึ่งที่มาทำหน้าที่ในงานนี้โดยเฉพาะ
“ปวดอี่อิ๊บอ๋าย”
หญิงสาวพึมพำลอดไรฟัน ท่วงท่าการเดินที่สง่างามในทีแรก กลับกลายเป็นเดินหนีบแข้งหนีบขากระมิดกระเมี้ยน ยามเก็บความรู้สึกอึดอัดคัดแน่นไว้จนท้องแบนราบเขม็งเกร็ง พลางกวาดสายตาไปทั่วแต่ไม่พบใครเลย เมื่อความอดทนอดกลั้นถึงขีดจำกัดหญิงสาวจำต้องพาตนเองไปเข้าห้องน้ำให้เร็วที่สุด พลางนึกเข้าข้างตนเอง
‘คงไม่มีอะไรหรอก เล่นเหมาบริษัทรักษาความปลอดภัยมาสามสี่บริษัทแบบนี้ ต่อให้พวกยกมาปล้นเป็นโขยงก็ปลอดภัยล้านเปอร์เซ็นต์’
ขณะที่บราลีนั่งปลดทุกข์เสียงปืนที่เปรียบเสมือนเสียงจากนรกสำหรับอาชีพอย่างพวกเธอก็ดังขึ้น คละเคล้าเสียงหวีดร้องอย่างตกใจและเจ็บปวด
“ตายห่า!” บราลีอุทานอย่างตกใจ
“ตายแล้ว! มันยกพวกกันมาปล้นเลยหรือ”
เสียงตระหนกดังอยู่หน้าประตู ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องเซ็งแซ่และเสียงสาดกระสุนใส่กันดังอึงอล บราลีพยายามเร่งทำธุระให้เสร็จโดยเร็ว พร้อมบ่นกระปอดกระแปดด้วยความกระวนกระวายใจไปด้วย
“ตายแน่!ๆ คุณนายของฉันจะเป็นยังไงบ้างนะ รอแป๊บนะคุณนาย ตอนนี้หลบกระสุนให้ดีล่ะ”
ทันทีที่เสร็จสิ้นการขับน้ำหมดกระเพาะปัสสาวะ หญิงสาวรีบลุกพรวดขึ้นพร้อมดึงกางเกงเข้าที่ ใช้เท้ากดชักโครก มือขวากระชับปืนคู่กาย ก่อนเอื้อมมือซ้ายไปหมุนลูกบิดเปิดประตูพร้อมโผล่หน้าออกไปทันที เห็นเหล่าคุณหญิงคุณนายที่เดินวางท่าดุจนางพญาในงานเมื่อครู่ ต่างซุกตัวอยู่ตามหลืบตามมุมห้องด้วยอาการกลัวลนลาน
บราลีกระชับปืนในมือยามเคลื่อนตัวออกไปจากห้องน้ำอย่างช้าๆ ด้วยความระแวดระวัง ที่หมายคือโถงใหญ่ซึ่งใช้จัดงาน เสียงการต่อสู้ด้วยอาวุธปืนยังคงดำเนินต่อไป สลับกับเสียงกรีดร้องอย่างตกใจและเสียงโอดครวญอย่างเจ็บปวด
บราลีพยายามกวาดสายตามองหาบุคคลที่ตนเองมาอารักขาในโถงใหญ่ ซึ่งเวลานี้ข้าวของล้มระเนระนาด ศพเกลื่อนกราดทั้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและคนชุดโม่งดำ ซึ่งเธอคาดว่าคงเป็นพวกที่บุกเข้ามาหวังปล้นชิงเครื่องเพชรเครื่องประดับราคาแพงที่บรรดาเศรษฐีทั้งหลายประโคมใส่มาประชันกัน และเป้าหมายสำคัญคงเป็นมงกุฎล้ำค่าที่ยังอยู่ในตู้โชว์กระจกกลางห้อง
“คุณนาย!”
บราลีทั้งดีใจและตกใจเมื่อหาบุคคลสำคัญของตนเองพบ เศรษฐีณีผู้ว่าจ้างกำลังคุดคู้อยู่ใต้โต๊ะ ตัวสั่นเทายิ่งกว่าลูกนกยักษ์ตกลงไปในบึงน้ำ และทันทีที่หันมาเห็นบราลี คุณนายร่างยักษ์ทำหน้าดุจเห็นพระมาโปรด ก่อนตัดสินใจทำในสิ่งที่โง่เหลือหลายในความคิดของบลาลี นั่นคือการออกมาจากที่กำบังแล้ววิ่งมาหาเธอ บราลีรีบโบกมือห้ามแต่ไม่ทันเสียแล้ว กระสุนปืนไม่ทราบทิศทางพุ่งเข้าใส่จนร่างอ้วนสะดุ้งสุดตัวแล้วล้มลงฟาดกับพื้น ท่ามกลางสายตามองอย่างตกตะลึงของผู้ห้ามปราม
“อย่ามา!”