กระดาษชนิดนี้ซึมซับน้ำหมึกได้ดีและมีราคาแพงยิ่ง ปกติชาวบ้านธรรมดาหาได้สัมผัสสักเท่าไหร่ โจวเจี๋ยหลุนทราบในข้อนี้ดี เขาจึงตั้งใจระมัดระวังที่จะไม่ทำให้ของดีในมือของตนเองเสียจนเปล่าประโยชน์
เสียงลมพัดดังอยู่ด้านนอก อากาศเช่นนี้อีกไม่นานฝนคงได้เทลงมาเป็นแน่ โจวเจี๋ยหลุนมองไปยังหน้าต่างด้านนอกเมื่อลมพัดแรงขึ้นทุกทีจนทำให้เทียนที่จุดอยู่ภายในดับไปหายเล่ม
เขาโบกมือสองสามครั้งพลันหน้าต่างที่เปิดออกก็ปิดลง เสียงตึงตังของฝีเท้าคนผู้หนึ่งวิ่งเข้ามา
โจวเจี๋ยหลุนอมยิ้มน้อย ๆ ข่าวการกลับมาของเขาทำให้คนผู้นั้นรู้ได้อย่างรวดเร็วท่าทางว่าจวนชินอ๋องคงมีไส้ศึกที่นางวางไว้จนทั่ว
ทันทีที่เขากลับมาจากวังต้องเป็นนางที่วิ่งตึงตังมาหาเช่นนี้ทุกครั้ง ไม่เรียกว่าจวนชินอ๋องมีไส้ศึกที่นางวางไว้จะเรียกว่าสิ่งใดได้
“ท่านพี่หลุนเจ้าคะ”
สตรีชุดเขียวรูปร่างอรชรกลับเดินเข้าห้องหนังสือซึ่งถือเป็นสถานที่ส่วนตัวต้องห้ามที่มีเพียงองครักษ์ส่วนตัวและน้องสาวโจวเจ้าเว่ยเท่านั้นที่สามารถเข้านอกออกในได้อย่างอิสระเดินเข้ามาอย่างไม่กลัวเกรง
ภายใต้แสงรำไรของเทียนที่ส่องสว่าง ดรุณีน้อยก้าวเท้าไวจนแทบจะเป็นวิ่งไร้ซึ่งความสงบเสงี่ยมเจียมตนตามแบบฉบับสตรียุคโบราณอย่างสิ้นเชิง คิ้วเรียวดำขลับ แววตาสว่างสุกใส จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากแดงระเรื่อบางเฉียบ ผิวที่โผล่พ้นอาภรณ์ขาวผ่องเนียนละเอียด
แม้จะอายุเพียงสิบสองปี เค้าความงดงามอย่างสตรีสูงศักดิ์กลับฉายแววโดดเด่นจนทำให้ผู้คนตะลึง
โจวเจี๋ยหลุนมองดรุณีน้อยแล้วทอดถอนใจเมื่อนางเดินเข้ามาใกล้แล้วนั่งลงข้างๆ เขา พลางเปิดกระปุกไม้สลักภาพวาดบุปผางดงามออกแล้วร้องออกมาอย่างดีใจ
“ข้าว่าแล้วว่าท่านต้องเอามันมาด้วย”
นางกล่าวจบก็หยิบห่อกระดาษเล็ก ๆ ออกมาจากกระปุกพลางแกะเจ้าก้อนสีดำเข้าปากอย่างร่าเริง
“ที่เจ้ามารวดเร็วเช่นนี้เป็นเพราะช็อกโกแลตนี่หรือ”
“ไม่ใช่เช่นนั้น” เจ้าอี้เฟยส่ายหน้าพลางยิ้ม
“อาการของเจ้ามันฟ้อง”
“ข้าดีใจที่ท่านพี่มา และยิ่งดีใจที่ท่านนำช็อกโกแลตมาให้ข้า”
เจ้าอี้เฟยยิ้มประจบพลางกอดแขนของเขาแล้วแนบใบหน้าลงบนลำแขนแข็งแรง โจวเจี๋ยหลุนยิ้นบางแล้ววางพู่กัน เขาอดไม่ได้ที่จะยกมือลูบศีรษะของนาง
เจ้าอี้เฟยแนบหน้าลงแล้วกอดเขาแน่นเป็นเด็กน้อยทั้งคู่สบตากันแล้วต่างฝ่ายต่างหัวเราะ หลายประโยคที่แม้ไม่พูดจาต่างก็เข้าใจในจิตใจซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี
เจ้าอี้เฟยเป็นบุตรสาวของสหายสนิทบิดาเจ้าอี้เหวินซึ่งดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเหลียง เป็นเพราะท่านพ่อท่านแม่เป็นสหายสนิทจึงทำให้เขาและน้องสาวสนิทกับเจ้าอี้เฟยประดุจคนครอบครัวเดียวกัน
ทุกครั้งที่ขลุ่ยเพรียกบุปผานำพวกเขาเดินทางกลับโลกปัจจุบัน เขาจะเห็นดวงตาละห้อยของเจ้าอี้เฟยที่คอยมองตาม แต่เดิมที่นางยังเล็กนางจะร้องไห้ฟูมฟายทั้งน้ำตา จวบจนเติบใหญ่จึงค่อยทำใจได้ ไร้น้ำตามีเพียงดวงตาเศร้าสร้อยที่คอยมองเขาและโจวเจ้าเว่ยหายไปต่อหน้า
อีกประการหนึ่งที่ทำให้โจวเจี๋ยหลุนหนักใจ คือเจ้าอี้เฟยปักใจในตัวเขาตั้งแต่เล็ก นางถึงขนาดออกปากว่าจะไม่ยอมแต่งงานกับใครหากผู้ชายคนนั้นไม่ใช่เขา
นั่นทำให้โจวเจี๋ยหลุนถึงกับปวดเศียรเวียนเกล้าเมื่อเด็กน้อยผู้นี้จริงจังขึ้นทุกวันในขณะที่ตัวเขานั้นไม่กล้าคิดที่จะมีความสัมพันธ์ไปมากกว่าการเป็นพี่ชายที่แสนดีของนาง
ด้วยตัวเขายังไม่รู้อนาคตว่าจะเกิดเรื่องราวใดขึ้นหากไม่สามารถแก้คำสาปที่ติดตัวโจวเจ้าเว่ยได้ เขาอาจจะต้องกลับยังโลกอนาคตไปตลอดกาล หรือไม่อาจจะหายไประหว่างเดินทางก็เป็นได้
อนาคตที่มืดมนเช่นนี้โจวเจี๋ยหลุนจึงไม่อาจให้เจ้าอี้เฟยเอาตนเข้ามาเสี่ยงกับเขาได้ เขาจึงวางตนเป็นพี่ชายที่แสนดีมาตลอด แม้ว่านับวันที่เจ้าอี้เฟยเติบโตทำให้เขาหวั่นไหวขึ้นทุกวันก็ตาม
“ท่านพี่ท่านเอามาเยอะหรือไม่”
เจ้าอี้เฟยถามขึ้นเมื่อคิดได้ว่าตนเองกินช็อกโกแลตเข้าไปเยอะ จนลืมนึกถึงวันหน้าไป
“เท่าที่เจ้าเห็นข้ายุ่งไม่มีเวลาเตรียมมาก”
โจวเจี๋ยหลุนยักไหล่จับจ้องสมาธิกับภาพวาดอีกครั้ง เขาแตะพู่กันลงบนกระดาษแล้วลากเส้นเล็ก ๆ จนกลายเป็นภาพดอกไม้กระจุ๋มกระจิ๋ม ในขณะที่เด็กสาวตั้งอกตั้งใจแกะห่อขนมกิน อย่างช้าๆ
เมื่อเจ้าอี้เฟยเงียบเสียง โจวเจี๋ยหลุนจึงเพียงมองนางผ่านๆ แล้วตั้งใจกับสิ่งที่ทำตรงหน้าต่อ เป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่เขากลับมาเด็กน้อยจะวิ่งเข้ามาหาสนทนาเรื่อยเปื่อยแล้วเกาะเขาแจไม่ยอมห่าง
จวบจนโจวเจ้าเว่ยมาดึงตัวนางไปทำเรื่องพิเรนทร์ให้ปวดหัวนั่นแหละ เจ้าอี้เฟยถึงยอมห่างเขาได้ หากไม่ใช่ว่าโจวเจ้าเว่ยต้องอยู่เป็นเพื่อนเสด็จย่าให้หายคิดถึง ป่านนี้ทั้งคู่คงได้ออกไปสร้างเรื่องแล้ว
เสียงลมพายุพัดกระหน่ำพร้อมกับเสียงสายฝนที่สาดโหมกระหน่ำลงมา สตรีร่างอรชรบ่นออกมาคำหนึ่ง
“ฝนตกหนักเช่นนี้ท่าทางจะตกทั้งคืนข้าเห็นทีจะกลับจวนไม่ได้เสียแล้ว”
“ท่านอาจะเป็นห่วง รอฝนซาพี่จะไปส่ง”
“ไม่เอา หากโดนฝนเพียงเล็กน้อยข้าอาจป่วยได้นอนที่นี่แหละ” น้ำเสียงคนตัวเล็กช่างเอาแต่ใจนัก
“ทำตัวงอแงเป็นเด็กเห็นจะไม่งาม”
“ท่านเป็นว่าที่สามีข้าทำตัวงอแงกับท่านได้”
นางโต้เถียงในขณะที่ท่านพี่ของนางดูเหมือนจะสนใจกระดาษด้านหน้ามากกว่าจะตำหนินางจริงจัง
“ข้ารักเจ้าประดุจน้องสาวแต่งงานกันไม่ได้”
“รักเช่นใดก็รักเหมือนกัน”
เจ้าอี้เฟยไม่เข้าใจจริงๆ สำหรับนางแล้วเพียงโจวเจี๋ยหลุนรักนางไม่ว่าแบบไหนก็คือรัก เช่นนี้ก็แต่งงานได้
“เจ้ายังเด็กวันนี้อาจไม่เข้าใจ แต่โตขึ้นจะเข้าใจความหมายที่พี่พูด”
นางถือวิสาสะมุดศีรษะเข้าไปที่หน้าตักของเขาแล้วใช้ต่างหมอนหนุนนอนอย่างสบายใจ
โจวเจี๋ยหลุนไม่อาจขยับหนี เขาได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาแล้วพยายามเพ่งสมาธิในสิ่งที่ตนเองทำอยู่
“ท่านอย่าผลักไสข้าเลย เพียงมีท่านอยู่เคียงข้างข้าก็ไม่ต้องการสิ่งใดแล้ว”
มือเรียวของโจวเจี๋ยหลุนชะงักค้าง นางยังไร้เดียงสานักในโลกนี้นอกจากความรักแล้วมีสิ่งที่น่ากลัวที่เรียกว่าการพลัดพรากจากคนที่รักรออยู่
หากเป็นเช่นนั้นจริง สตรีที่อ่อนต่อโลกเติบโตมาภายใต้ความรักความอบอุ่นของครอบครัวเช่นเจ้าอี้เฟยจะอดทนได้อย่างไร