ประกอบกับสายน้ำที่ไหลเอื่อย ๆ จากน้ำตกที่ไหลลงสู่ลำธารที่พาดผ่านบริเวณหน้าสำนัก เป็นถิ่นที่อยู่ที่จะมีนกนานาชนิดบินผ่านมาร้องเพลงบรรเลงให้กับบรรยากาศที่เงียบสงบเช่นนี้
ทางเข้าสำนักเป็นประตูไม้แกะสลักที่มีลวดลายงดงาม ประดับด้วยอักษรจีนโบราณ ราวกับร่ายเวทย์มนต์บางอย่างประทับไว้ ภายในมีลานกว้างสำหรับการฝึกฝนประลองฝีมือ และมีเรือนไม้หลังใหญ่หลายหลัง
ทางเดินภายในสำนักปูด้วยหินสีเทาเป็นระเบียบเรียบร้อย และมีทางเดินที่ทอดยาวไปยังเรือนไม้ต่าง ๆ ที่กระจายอยู่ทั่วบริเวณ
เรือนส่วนใหญ่สร้างจากแผ่นไม้และหลังคามุงกระเบื้องสีเขียวเข้ม มีเสน่ห์ที่เรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความสง่างาม
เมื่อเดินผ่านลานกว้างเข้าไปจะพบกับเรือนการศึกษาวิชายุทธ์และศาสตร์โบราณตั้งเรียงรายกันไปตามทางเดิน ซึ่งเรือนต่าง ๆ ล้วนประดับประดาด้วยภาพวาดจีนโบราณที่ถ่ายทอดความรู้และปรัชญาแห่งยุทธภพ
ในส่วนลึกของสำนักมีหอสูงซึ่งเป็นที่เก็บรวบรวมตำราวิชายุทธ์และคัมภีร์โบราณ หอคอยนี้สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง ภายในหอคอยมีหอสมุดขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยหนังสือ ตำรา และม้วนกระดาษที่บรรจุความรู้ล้ำค่า
นอกจากนี้สำนักเฟยหลงยังมีสวนหย่อมที่สร้างความสงบและสมาธิให้แก่ผู้ที่เข้ามาเยือน สวนนี้เต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีสันและต้นไม้สูงใหญ่ให้ร่มเงาที่สงบร่มเย็น อีกทั้งยังมีบ่อดอกบัวที่มีดอกบัวสีขาวและชมพูเบ่งบานอยู่ตลอดเวลา พร้อมทั้งมีศาลาหลังใหญ่ ตั้งอยู่กลางสวน สำหรับผู้ที่ต้องการพักผ่อนและทำสมาธิ
ซึ่งภายในนั้นมีศาลาหลังนั้น พบผู้เฒ่าชรานั่งขัดสมาธิท่าทางองอาจ เหมือนมีอำนาจลึกลับแฝงเร้นอยู่ภายใน หนวดเคราสีเงินยาวถึงอก ขณะนี้ยังคงหลับตานิ่งสนิท
ชั่วครู่ที่เสียงสายลมประทะเข้ากับกระดิ่งเวทย์มนต์เตือนบอกเวลาอันสมควรแห่งฌานสมาธิ ดวงตาที่นิ่งหลับใหลก็เปิดออกให้เห็นแววตาของสุริยะประกายสีแดงเคลือบทอง แววตานั้นจ้องมองไปยังชายหนุ่มรูปงามที่เพิ่งผ่านพ้นวัยรุ่นมาได้ไม่นานนัก
เพียงชั่วครู่ชายหนุ่มผู้ที่นั่งหลับตาอยู่เช่นกันก็ค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้น เผยให้เห็นถึงแววตาของมหาสมุทรที่ต้องแสงดวงดาว เป็นสีน้ำเงินมืดที่มีประกายสีทองเคลือบอยู่ดูแวววาวดุจแสงดวงดาวที่สะท้อนบนผืนน้ำ
เมื่อผู้เฒ่าได้เห็นประกายแสงแห่งดวงตาเช่นนั้นก็ได้ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ และได้กล่าวขึ้นว่า
“ข้ามองคนไม่ผิดจริง ๆ ภายในจิตวิญญาณของเจ้ามีพลังงานลึกลับซ่อนเร้นอยู่ เพียงต้องอาศัยการฝึกฝน จึงจะดึงพลังที่ซ่อนอยู่ออกมาใช้ได้”
“พลังงานในตัวข้าเป็นเช่นไรหรือท่านอาจารย์” ชายหนุ่มถามขึ้นอย่างฉงนสงสัย
“เท่าที่ข้าดูแววตาของเจ้าเป็นสีน้ำเงินประกายทอง อาจเป็นการควบรวมพลังระหว่างมหาสมุทรกับท้องฟ้า หากเจ้าฝึกฝนให้ดี เจ้าสามารถสยบผืนน้ำสะท้านผืนฟ้าได้อย่างไม่ยากเย็นนัก” ผู้เฒ่าพูดพลางลูบเคราสีเงินอย่างพึงพอใจ
“เช่นนั้น ข้าควรฝึกฝนเช่นไรขอรับ” ชายหนุ่มกล่าวถามด้วยความนอบน้อม
หลังจากที่ท่านผู้เฒ่าได้ฟังคำถามของชายหนุ่ม ก็หลับตาลงอยู่ครู่ใหญ่
ชั่วครู่ที่ปีกนกพิราบขาวขยับ แรงลมกระพือให้ใบไม้บนกิ่งต้นหลิวสั่นไหว เสียงลมโบยโบกสะบัดใบไม้ออกไปไกล ชั่วความสั่นไหวที่ใบไม้ต้องลม
ท่านผู้เฒ่าเกิดนิมิตที่ภายในนั้นมืดสนิท ฉับพลันทันใดมีแสงสลัวส่องไปยังป่าไม้หนามสีดำสนิทคราที่แสงส่องกระทบกับกิ่งก้านของต้นไม้หนามเหล่านั้นก็พลันส่องสะท้อนประกายสีทับทิมคล้ายโลหิตที่ซ่อนอยู่ภายในป่าอันแสนมืดสลัวนั้น
เมื่อนิมิตได้สิ้นสุดลง อาจารย์ผู้เปี่ยมด้วยญาณทิพย์ได้ลืมตาขึ้น และกล่าวว่า
“เจ้าต้องไปที่ป่าลึกลับโบราณ!!”
“ห๊ะ จริงรึ ข้าต้องไปที่แห่งนั้นหรือ” ชายหนุ่มอุทานด้วยความตกใจ
“หากเจ้าต้องการฝึกฝนพลังที่ปิดผนึกอยู่ภายใน เจ้าจำเป็นต้องกระเทาะความหวาดกลัวที่เคลือบอยู่ภายนอกเสียก่อน” ท่านผู้เฒ่ากล่าวแกมสั่งสอน
ชายหนุ่มจอมยุทธฝึกหัดนั่งคิดทบทวนถ้อยคำสั่งสอนของอาจารย์อยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะตอบกลับไปว่า
“ข้าจะลองดูขอรับท่านอาจารย์”
“เจ้าจงไปทำตามแผนที่วางไว้ให้สำเร็จเถิด” ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขาม
“ขอรับท่านอาจารย์” ชายหนุ่มน้อมรับด้วยความเคารพ
ไม่นานนัก ข้าวของที่ถูกเตรียมไว้ในเรือนไม้ไผ่ก็ถูกแบกขึ้นบ่าของชายหนุ่ม ก่อนที่ฝีเท้าของเขาจะก้าวเดินออกไปไกลจากสำนัก เขาได้โค้งคำนับผู้เป็นอาจารย์ด้วยความนอบน้อม
เมื่อเงยหน้าขึ้น มือของอาจารย์ที่ถือกระบี่สีขาวเล่มงาม ได้ยื่นมาให้ยังเบื้องหน้าของเขา
“กระบี่เล่มนี้ ข้ามอบให้เจ้า ข้าตั้งใจหลอมและตีด้วยเหล็กน้ำพี้ที่ดีที่สุด ส่วนด้ามจับก็เป็นงาช้างเผือก ข้าเชื่อว่าเจ้าจำเป็นต้องใช้มันในอนาคต จงเก็บรักษาไว้ให้ดี เป็นอาวุธข้างกาย ติดตัวไว้เสมอ”
ชายหนุ่มตกตะลึงไปชั่วครู่เมื่อได้เห็นกระบี่วิเศษเล่มงามที่อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะกล่าวรับคำว่า
“ขอรับท่านอาจารย์ ข้าจะรักษากระบี่วิเศษชิ้นนี้ไว้ให้ดีที่สุด และข้าสัญญาว่าจะทำภารกิจที่ท่านมอบไว้ให้จงได้”
ท่านผู้เฒ่าพยักหน้ารับคำอย่างพึงพอใจ ก่อนเดินกลับไปยังเรือนของตน ในขณะเดียวกันชายหนุ่มก็ตัดสินใจหันหลังออกไปจากสำนัก
ในห้วงเวลาขณะที่เขากำลังก้าวเท้าผ่านธรณีประตูออกไป ก็รู้สึกใจหายอยู่บ้าง ที่จะต้องเดินทางออกจากสำนักซึ่งเป็นเหมือนบ้านของเขาตั้งแต่เกิดจนโตมานานนับร้อยปี
แต่เพื่อปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนนี้ยิ่งทำให้เขาต้องสาวเท้าก้าวออกไปให้เร็วยิ่งขึ้น
หลังจากพ้นชายคาอันแสนอบอุ่น ชายหนุ่มก็มุ่งหน้าไปยังป่าลึกลับโบราณ ป่าที่ท่านอาจารย์ของเขาเฝ้าคอยเตือนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าอย่าได้ย่างกรายเข้าไปเป็นอันขาด แต่มาบัดนี้ เขาจำเป็นต้องเผชิญหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้ภายในหัวใจจะมีความหวั่นเกรงอยู่บ้าง แต่กระบี่ข้างกายก็เสริมความมั่นใจของเขาอยู่ไม่น้อย เขาก้าวเท้าเข้าไป ผ่านไม้หนามประหลาดสีดำสนิทและทะลุเข้าเขตป่าลึกลับโบราณด้วยความตั้งใจและหวาดกลัว..