เรื่องราวความรักตามหน้าที่ของหญิงสาวตระกูลขุนนางใหญ่ที่ยอมลดศักดิ์ศรีแต่งงานกับผู้ที่ไม่ได้รักเพื่อครอบครัว แต่เรื่องราวการเสียสละเพื่อครอบครัวนั้นกลับกลายเป็นฝันร้าย เพราะนางกลายเป็นหมากในกระดานเกมการเมืองที่หมดประโยชน์ ซึ่งย่อมถูกเขี่ยทิ้ง นางจะทำเช่นไรต่อไป ยืดหยัดในการแต่งงานที่ว่างเปล่าเพื่อศักดิ์ศรีและหน้าตาของวงศ์ตระกูล หรือพลิกเกมกระดานนี้ให้คว่ำ โดยไม่สนว่าใครจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง
สายลมหนาวแห่งวังหลวงพัดผ่านม่านหรูหราที่ประดับประดาด้วยผ้าแพรไหมลวดลายวิจิตรบรรจง ม่านสีทองสะท้อนแสงอาทิตย์อ่อน ๆ ยามเช้า ดูเหมือนเป็นสัญญาณแห่งความรุ่งเรืองที่องค์ชายรองจินเจิงจื่อปรารถนา หลังจากพิธีสมรสอันยิ่งใหญ่ระหว่างเขาและไป๋เสวี่ยหนี่ กาลเวลาผ่านไปได้ไม่นาน แต่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของนางกลับรู้สึกถึงความแปลกแยกและเงียบงันกว่าที่คาดไว้
ไป๋เสวี่ยหนี่กำลังนั่งอยู่ในสวนดอกเหมยของตำหนัก ความหนาวเย็นกระทบเข้ากับร่างกาย แต่จิตใจของนางกลับเย็นยะเยือกยิ่งกว่า แม้ว่านางจะได้รับการยกย่องในฐานะพระชายาขององค์ชายรอง แต่กลับไม่มีความสุขเลยในชีวิตหลังแต่งงาน สายตาของนางทอดยาวออกไปไกล ทอดตามเงาของต้นเหมยที่บานสะพรั่ง บานสะท้อนกับเกล็ดหิมะที่เพิ่งโปรยปรายลงมา ความเงียบสงบยามเช้านี้ช่างขัดกับความรู้สึกสับสนและหนักอึ้งในใจนาง
ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาในฐานะชายาขององค์ชายรอง นางรู้สึกถึงความห่างเหินในความสัมพันธ์ ทั้ง ๆ ที่องค์ชายไม่ได้มีท่าทีรังเกียจหรือละเลยอะไรนางเลย แต่ก็ชัดเจนว่าเขามองนางเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในเกมแห่งอำนาจ ท่ามกลางบรรดาผู้คนที่เขาต้องการควบคุมและบงการ
"พระชายาเพคะ…" เสียงเรียกจากแม่นมหลินปลุกนางออกจากความคิด นางเหลียวกลับไปหาผู้สูงวัยที่ยืนอยู่ด้านหลัง แม่นมหลินสังเกตเห็นความกังวลในแววตาของคุณหนูของนาง แม้บัดนี้นางจะเป็นพระชายาขององค์ชายรองแล้วก็ตาม แต่ท่าทีแห่งความห่วงใยของนางที่มีต่อไป๋เสวี่ยหนี่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
"ท่านแม่ทัพหลี่ได้รับตำแหน่งใหม่หรือไม่เจ้าคะ?" เสียงของแม่นมหลินถามอย่างอ้อม ๆ นางรู้ว่าไป๋เสวี่ยหนี่มักคิดถึงแม่ทัพหลี่อยู่เสมอ แม้ว่านางจะปิดบังความรู้สึกเอาไว้ก็ตาม
ไป๋เสวี่ยหนี่นิ่งไปชั่วขณะก่อนจะตอบเสียงเบา "เขาคงอยู่ห่างไกลจากเรามากแล้ว… แต่หัวใจของข้า…กลับไม่อาจปล่อยวางได้เลย" นางยิ้มเศร้าและหันไปมองดอกเหมยที่กำลังร่วงหล่นอย่างเงียบงัน
แม่นมหลินเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่นิ่งเงียบ ไม่กล้าพูดอะไรมาก เพราะรู้ดีว่าความรู้สึกของไป๋เสวี่ยหนี่เป็นเรื่องที่ซับซ้อนเกินกว่าจะคลายด้วยคำพูดง่าย ๆ
ในขณะที่ความเงียบปกคลุมไปทั่วสวน พระราชรถขององค์ชายรองได้เคลื่อนเข้ามายังตำหนัก สายตาของเหล่าข้าราชบริพารเฝ้าระวัง องค์ชายรองก้าวลงจากรถอย่างทรงอำนาจ ชุดคลุมสีทองเข้มที่ประดับด้วยลายมังกรขลิบเงินของเขายิ่งเน้นย้ำถึงตำแหน่งและอำนาจที่เพิ่มพูนขึ้นทุกวัน
"เสวี่ยหนี่ เจ้าอยู่ที่นี่เองหรือ?" เสียงของเขาดังกังวานและชัดเจน เขาเดินตรงเข้ามาหาภรรยาของตน โดยไม่ทันได้เห็นสายตาของนางที่พยายามเก็บซ่อนความรู้สึกไว้
"เพคะ ฝ่าบาท" เสวี่ยหนี่ลุกขึ้นจากที่นั่งด้วยท่าทีนอบน้อม องค์ชายรองมองนางด้วยสายตาที่เย็นชา รอยยิ้มบาง ๆ ของเขาไม่อาจซ่อนความจริงที่ว่า นางเป็นเพียงเครื่องมือที่สำคัญในแผนการของเขา
"ข้าได้รับข่าวจากพระราชาแล้ว อีกไม่นานเราจะได้รับตำแหน่งใหญ่ขึ้นในราชสำนัก ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องทำหน้าที่พระชายาได้ดีเหมือนเช่นเคย" องค์ชายกล่าวเสียงเข้ม ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นในการแสวงหาอำนาจ
ไป๋เสวี่ยหนี่พยักหน้ารับ "หม่อมฉันจะทำหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุดเพคะ"
"ดี ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจถึงความสำคัญของสิ่งที่เรากำลังทำ" องค์ชายรองย้ำด้วยน้ำเสียงที่แฝงความเย็นชา ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้นางยืนอยู่ท่ามกลางลมหนาวอย่างโดดเดี่ยว
เมื่อไป๋เสวี่ยหนี่รู้สึกโดดเดี่ยวอย่างที่สุด นางจึงตัดสินใจเดินทางกลับไปยังจวนตระกูลไป๋ เพื่อเยี่ยมเยียนบิดามารดาของตน เมื่อมาถึงจวน นางได้พบกับไป๋เจิ้ง บิดาผู้มีอิทธิพลในราชสำนัก และเสวี่ยชุน มารดาผู้มีจิตใจอ่อนโยน เสวี่ยหนี่น้อมคำนับอย่างเคารพก่อนจะกล่าวทักทายบิดามารดาด้วยความคิดถึง
"ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกกลับมาเยี่ยมแล้วเจ้าค่ะ" เสียงนางสั่นเล็กน้อย แต่ยังคงรักษาความสงบในแววตา
"เจ้าคงเหนื่อยมากสินะ" เสวี่ยชุนกล่าว พลางจับมือนางอย่างอบอุ่น
"มานั่งคุยกันก่อนสิ ลูกสาวพ่อ" ไป๋เจิ้งพูดพลางหันไปส่งสายตาสื่อความหมายให้เสวี่ยชุน เพื่อให้รู้ว่าเสวี่ยหนี่คงต้องการเวลาสนทนาอย่างจริงจัง
ระหว่างการสนทนา เสวี่ยหนี่ได้เล่าถึงความรู้สึกที่ท่วมท้นภายในใจ ความอึดอัดจากชีวิตสมรสที่ไม่ได้เป็นอย่างที่นางคาดหวัง อีกทั้งนางเองก็รู้สึกว่านางเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในกระดานเกมการเมืองและอำนาจ
เมื่อทั้งไป๋เจิ้ง และไป๋เสวี่ยชุนได้ยินดังนั้นก็หันมองหน้ากันแล้วถอนหายใจ ก่อนที่จะตัดสินใจเล่าเรื่องราวให้ลูกสาวของตนได้ฟัง
ในยามที่เสียงระฆังในวังหลวงดังแว่วไปทั่วบรรยากาศของราชสำนักก็เต็มไปด้วยความกดดัน ขุนนางและข้าราชบริพารต่างเดินกันไปมาอย่างเร่งรีบ ข่าวลือเกี่ยวกับอาการป่วยขององค์ชายใหญ่สะพัดไปทั่ว โดยเฉพาะในเหล่าตระกูลที่มีอำนาจทางการเมือง ซึ่งต่างก็เฝ้าระวังและเตรียมพร้อมรับสถานการณ์
ในตำหนักของตระกูลไป๋ ขุนนางที่มีอิทธิพลในราชสำนักอย่างไป๋เซี่ยเฉิง ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องชายของไป๋เจิ้ง กำลังนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่อย่างเงียบขรึม สายตาของเขาทอดมองออกไปยังนอกหน้าต่าง พลางใช้ความคิดเกี่ยวกับข่าวที่ได้รับ
“น้องสอง เซี่ยเฉิง ข่าวจากในวังเป็นอย่างไรบ้าง?” เสียงของไป๋เจิ้งที่เดินเข้ามาในห้องอย่างเงียบงัน เขามองน้องชายด้วยความเป็นกังวล นับตั้งแต่การแต่งงานของลูกสาวกับองค์ชายรอง ลูกสาวของเขาก็ยิ่งถูกดึงเข้าสู่เกมการเมืองที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เขาเคยคิดไว้
ไป๋เซี่ยเฉิงหันมามองพี่ใหญ่ เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า “ข่าวที่ข้าได้รับนั้นไม่ดีเลย องค์ชายใหญ่ทรงประชวรหนัก และข้าเกรงว่าอาจจะไม่สามารถฝืนทนต่อไปได้อีกนาน”
แววตาของไป๋เจิ้งเต็มไปด้วยความกังวล “หากองค์ชายใหญ่สวรรคต… แล้วตำแหน่งองค์รัชทายาทจะเป็นของผู้ใดเล่า?”
ไป๋เซี่ยเฉิงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “ในเวลานี้ ไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าองค์ชายรอง จินเจิงจื่อ เขยใหญ่ของท่าน ในราชสำนักตอนนี้ต่างก็จับตาดูการตัดสินใจขององค์จักรพรรดิ หากองค์ชายใหญ่สวรรคตเมื่อใด ราชสำนักจะต้องรีบแต่งตั้งองค์รัชทายาทคนใหม่ทันที และคนที่มีอิทธิพลที่สุดในตอนนี้ก็คือองค์ชายรอง”
ไป๋เจิ้งฟังด้วยความเคร่งเครียด เขารู้ดีว่าการแต่งงานของลูกสาวกับองค์ชายรองเป็นส่วนหนึ่งของแผนการในเกมการเมืองนี้ แต่ไม่คาดคิดว่าอำนาจในราชสำนักจะเคลื่อนตัวเร็วเช่นนี้
“ท่านพี่ใหญ่ควรระวังตนให้ดี และควรเตือนให้หลานเสวี่ยหนี่ต้องยิ่งระมัดระวังตัวให้มากขึ้น ยามนี้อำนาจที่เพิ่มพูนจะยิ่งทำให้ศัตรูเพิ่มขึ้น” ไป๋เซี่ยเฉิงเตือนด้วยความห่วงใย
“เราตระกูลไป๋ยังต้องพึ่งพาอำนาจขององค์ชายรองเพื่อรักษาตำแหน่งของเราในราชสำนัก แต่ก็ต้องระวังการตกเป็นเป้าของผู้ที่ไม่พอใจ”
ไป๋เจิ้งพยักหน้าช้า ๆ รับคำของน้องชายด้วยความหนักใจ
เมื่อทั้งเสวี่ยหนี่ได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมดนี้ก็ยิ่งรู้สึกกดดันมากยิ่งขึ้น ทั้งสามคนพ่อแม่ลูกต่างตกอยู่ในความเงียบงันกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่..
ความรักแท้จริงที่สามารถเอาชนะอุปสรรคทุกอย่างได้ด้วยความเชื่อมั่นและความเสียสละจริงเหรอ? การต่อสู้เพื่อความรัก หรือการยอมรับในชะตากรรมที่ถูกลิขิตจากสวรรค์ สิ่งใดกันคือเส้นทางรักที่ข้าควรเลือก?
การค้นหาความจริงของป่าลึกลับโบราณโดยจอมยุทธ์หนุ่มไร้ประสบการณ์ เมื่อการผจญภัยท่องโลกกว้างของเขาบังเอิญไปพัวพันกับการไขปริศนาอัญมณีที่ถูกซ่อนไว้จากการยื้อแย่งจากทั่วยุทธภพ เขาจะเป็นผู้ครอบครองสิ่งที่ทรงพลังนี้หรือโดนลงทัณฑ์จากความทะเยอทะยานอันไม่มีสิ้นสุด มาร่วมลุ้นระทึกและไขปริศนาไปพร้อมกันได้ในเรื่องนี้
ตลอดระยะเวลาสามปีของการแต่งงาน เธอรู้สึกสิ้นหวัง ที่ถูกบังคับให้เซ็นใบหย่า ทั้งๆที่เธอกำลังท้อง เธอใจสลายกับความไร้มนุษยธรรมของเขา กระทั่งเธอออกไปจากชีวิตของเขา เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเธอคือรักแท้ของเขา ไม่มีวิธีใดที่จะเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำของเธอให้หายขาดได้ เขาจึงมอบความรักทั้งหมดของเขาให้แก่เธอเพื่อชดเชย
หลังจากแต่งงานกันมาสองปี สามีของเธอไม่เคยเหยียบเข้าไปในบ้านและมองดู 'ภรรยาขี้เหร่' ของเขาเลย แถมเขาก็มีเรื่องอื้อฉาวกับดาราหน้าใหม่หลายคนทุกวัน ซูเหว่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอตัดสินใจปล่อยเขาไป ต่อไปก็ต่างคนต่างไปเลย แต่เมื่อเธอเสนอเรื่องหย่า... ฟู่เหยียนอันพบว่านักออกแบบในบริษัทนั้นสะดุดตาเป็นพิเศษ เขาค่อยๆ ทำความรู้จักกับเธอเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเธอเข้า เขาเสียใจแล้ว
“หยุดทำบ้าๆ นะพี่สิงห์...อ๊อย...” น้ำผึ้งขนลุกซู่ เขาจูบไซ้ซอกคอของหล่อน ขณะหญิงสาวกำลังยืนส่องกระจกอยู่หน้าอ่างล้างหน้า “พี่ขออีกนิด แค่ภายนอกเท่านั้นนะจ๊ะ ไม่เสียหายอะไรนี่นา...นะครับ” พี่เขยปะเหลาะปะแหละอย่างคนเอาแต่ได้ เสียงออดอ้อนอ่อนหวานเริ่มทำให้น้องเมียใจอ่อนหวามไหว ปล่อยให้มือของเขาเคล้นคลึงสะโพกของหล่อนอย่างนึกมันเขี้ยว สอดท่อนแขนเข้ามาระหว่างง่ามก้น หงายฝ่ามือลูบไล้เข้ามาถึงหนอกเนื้ออุ่นจัดอีกครั้ง ตะล่อมล้วงเข้ามาโอบเนินนูนเหมือนหลังเต่า บีบขยำเบาๆ เหมือนจะประมาณความอวบใหญ่ล้นอุ้งมือ “ของผึ้งใหญ่จัง” มือสัมผัสกลีบเนื้อเป็นพูแน่น โหนกนูนและใหญ่กว่าของเจนนี่มากมาย “อ๊าย...” น้ำผึ้งเสียว กระดกก้นขึ้นโดยอัตโนมัติ สิงหาบีบขยำความเป็นผู้หญิงของหล่อนเป็นจังหวะ หัวใจเต้นแรงกับความอวบใหญ่ที่อัดแน่นอยู่ในอุ้งมือของตน “อย่า...พี่สิงห์...หยุดเดี๋ยวนี้นะ เดี๋ยวพี่เจนนี่มาเห็นผึ้งซวยแน่ๆ” น้องเมียร้องห้ามอย่างสับสนใจ ส่ายก้นทำท่าว่าจะดิ้นหนี แต่ช้ากว่ามือใหญ่ของสิงหาอีกข้างที่กดลงบนแผ่นหลังของหล่อนเหมือนจะล็อกกายไม่ให้ขยับหนี
ตลอดสิบปีที่ฉู่จินเหอรักเหลิ่งมู่หยวนฝ่ายเดียว เอาใจใส่กับเขาอย่างเต็มที่ แต่เธอไม่เคยคิดว่าที่แท้เธอเป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น ที่สำนักงานเขตเพื่อทำการหย่า เหลิ่งมู่หยวนมองดูฉู่จินเหอด้วยความเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยามว่า "ถ้าเธอคุกเข่าลงและขอร้องฉัน ฉันอาจจะให้โอกาสเธอกอีกครั้ง ฉู่จินเหอเซ็นอย่างไม่ลังเลและออกจากตระกูลเหลิ่ง สามเดือนต่อมา ฉู่จินเหอปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ในเวลานั้น เธอเป็นประธานเบื้องหลังของ LX นักออกแบบลับที่ล้ำค่าที่สุดในโลก และเจ้าของเหมืองที่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ทางตระกูลเหลิ่งคุกเข่าลงและขอร้องให้คืนดีและขอการให้อภัย ฉู่จินเหอแยู่ในโอบกอดของซีอีโอโจว ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตในโลกธุรกิจอย่างมีความุข เธอเลิกคิ้วพลางเยาะเย้ย "ฉันในตอนนี้ไม่ใช่คนที่พวกคุณมาเกี่ยวข้องได้"
เซิ่งหนานหยินเกิดใหม่แล้ว ชาติที่แล้ว เธอถูกชายชั่วหักหลัง ถูกชายเสแสร้งใส่ร้าย โดนครอบครัวสามีเล่นงาน จนทำให้เธอล้มละลายและเป็นบ้าไป ในท้ายที่สุด เธอเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเธอตั้งครรภ์ได้ 9 เดือน แต่คนร้ายกลับทำเงินได้มากมาย และใช้ชีวิตทั้งครอบครัวอย่างมีความสุข เกิดใหม่ครั้งนี้ เซิ่งหนานหยินคิดตกอล้ว อะไรที่ว่าพระคุณช่วยชีวิต คนรักในใจอะไรกัน ล้วนไม่ต้องไปสน เธอจะจัดการชายชั่วหญิงร้าย สร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลเก่าของตนเองขึ้นมาใหม่อีกครั้งและนำตระกูลเซิ่งไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ คนที่หยิ่งมาตลอดในชาติที่แล้ว กลับเป็นฝ่ายริเริ่มมาหาเธอ "เซิ่งหนานหยิน การแต่งงานครั้งแรกผมไม่ทัน การแต่งงานครั้งที่สองก็ต้องถึงคิวผมแล้วสินะ"
เธอก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่เคยสนใจ แต่ก็ยังดึงดันอยากจะอยู่ใกล้ ต่อให้เธอเป็นเมียแต่งเขาก็คงไม่มีวันเปลี่ยนใจ เพราะเหตุนี้เธอจึงตัดสินใจจากไปในคืนแต่งงาน "จากนี้ไปเราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก" 🥀