แน่นอนว่าแม้แต่ชนชั้นหาเช้ากินค่ำก็ใฝ่ฝันให้ลูกๆ มาเรียน แต่คงไม่มีทางรับค่าใช้จ่ายไหว…เพราะงั้นทางโรงเรียนจึงมีระบบ ‘ทุนการศึกษา’ ให้กับผู้ที่คู่ควร
และในปีนี้ ฉันก็คือผู้ชนะ
“ขอบใจจ๊ะ เอมิโกะคุง ขอโทษที่ต้องให้ช่วยจนมืดค่ำนะ”
“ด้วยความยินดีค่ะ! แค่นี้เองสบายมาก”
ฉันยิ้มตอบอาจารย์ด้วยความขันแข็ง พอดีตอนมาส่งบันทึกประจำวันก็เจออาจารย์จมอยู่กับกองเอกสาร เลยอาสาช่วยงานจนเสร็จในที่สุดซึ่งตะวันก็ลับฟ้าเป็นที่เรียบร้อย
เพราะแบบนั้นอาจารย์จึงเสนอว่าจะขับรถไปส่งที่บ้าน แน่นอนว่าฉันปฏิเสธไป
“ไม่เป็นไรจริงๆ ใช่ไหมจ๊ะ”
“ค่ะ บ้านหนูอยู่ใกล้ๆ นี้เอง สบายมากค่ะ!”
“งั้นเหรอ ระวังตัวด้วยนะ”
ฉันโบกมือลากับอาจารย์จนรถเคลื่อนผ่านไปไกล ภายใต้ท้องฟ้ามืดมิดที่มีเพียงแสงไฟจากถนน รอบตัวฉันไม่มีใครจนสัมผัสได้ถึงความวังเวง ในตอนนั้น ฉันก็ถอนหายใจออกมา
“เฮ้อออ ในที่สุดก็หมดไปอีกวัน”
เหนื่อยสุดๆ ไปเลยโว้ย!! ถึงจะอยู่โรงเรียนนี้มาได้หนึ่งเดือนก็ไม่รู้สึกชินกับบรรยากาศของที่นี่สักที เพื่อนรอบตัวต่างก็เปล่งประกายระยิบระยับจนตาแทบบอดในทุกวัน
หลังเลิกเรียนทุกครั้งไม่วายจะชวนกันไปงานสังสรรค์ที่ฉันไม่รู้จัก จนเหมือนมิติลึกลับที่น่ากลัวแล้วต้องคอยปฏิเสธเรื่อยมา เพราะงั้นวันนี้ที่เห็นโอกาสเลยขอช่วยงานอาจารย์เพื่อหลีกเลี่ยงคำชวน
และก็อย่างที่คิด ได้อยู่คนเดียวแบบนี้สบายใจที่สุดจริงๆ
“ฮึบ~ วันนี้กินอะไรดีนะ”
เห็นว่าที่ร้านสะดวกซื้อมีข้าวปั้นรสใหม่ขายด้วยนี่นะ บะหมี่สำเร็จรูปก็ใกล้หมดแล้วไปซื้อเก็บไว้ทีเดียวเลยแล้วกัน ถึงการเป็นนักเรียนทุนจะทำให้ไม่มีปัญหาด้านการเงินก็เถอะ
แต่เพราะมาเรียนไกลบ้านเลยต้องอยู่ห้องพักคนเดียวกินอะไรแบบนี้ทันสะดวกแล้วก็เร็วกว่า หลังเลือกของจ่ายเงินเสร็จสรรพก็เดินออกมาโดยที่ตายังผมมองแต่พื้นทางเดิน
จะว่าไป ในคำขวัญบอกว่าให้ยืดอกมองไปข้างหน้าสินะ ถึงมันจะสง่างามจริงก็เถอะแต่ฉันชอบที่จะมองพื้นมากกว่า ไม่ต้องเผลอสบตากับใครจนต้องทักทายกัน แถมยังได้มองไม่ให้สะดุดล้มด้วย
แถมอีกอย่าง…บางที ฉันก็รู้สึกว่าแสงจากหลอดไฟมันจ้าเกินไป สู้มองความสว่างที่สะท้อนบนพื้นสบายตากว่าเยอะ เหมือนตอนนี้ที่เห็นเพียงพื้นคอนกรีดและเงาตนเองที่ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น…เอ๊ะ!?
พอเห็นความประหลาดบนพื้นฉันก็รีบเงยหน้าขึ้นมามีอะไรอยู่บนหัว แต่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ตาฉันมองทันเพียงแค่สิ่งเดียวนั่นก็คือ
ตูด
‘โครม!!’
มีตูดร่วงลงมาจากฟ้าและตกใส่หัวฉันจนล้มคว่ำไปกับพื้น รู้สึกถึงความหนักบนหลังจนออกแรงดันออกให้ขยับไปด้านข้าง มีความเจ็บแปร๊บที่ศอกซ้ายแต่ก็ถือว่าโชคดีที่ไม่ได้เจ็บหนักอะไร
“โอย อะไรล่ะเนี่ย…”
ฉันค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งส่ายหัวปัดความมึนที่ล้มออก มองไปรอบตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ข้างทางเดินมีต้นไม้เอนออกมาเล็กน้อย พร้อมใครบางคนที่ร่วงใส่หัวฉันนอนคว่ำอยู่เหมือนกัน
อย่าบอกนะว่าตกต้นไม้แล้วมาทับฉันพอดีน่ะ?
“อึก…”
คนที่นอนคว่ำอยู่ส่งเสียงครวนครางพลางดันร่างตัวเองขึ้นมา เลยได้เห็นชัดๆ ว่าคนที่ร่วงใส่หัวฉันเป็นหญิงสาวชาวต่าฃชาติ นุ่งน้อยห่มน้อยจนน่าตกใจ ไม่สิ เป็นเสื้อขาดนี่? แล้วที่แปะบนผ้าบางจุดนี่ เหล็ก?
เธอมองรอบตัวราวกับกำลังตั้งสติใหม่อีกครั้งจนสายตามาอยู่ที่ฉัน พวกเรายืนขึ้นมองกันครู่หนึ่งจนฉันมั่นใจ ว่าบนตัวเธอที่มีผ้าน้อยชิ้นคือชุดที่ขาดหลุดลุ่ยและมีเกราะที่แตกหักตามตัว
“หรือว่า…ข้าร่วงลงมาทับท่านหรือ?”
ข้า? ท่าน? ทำไมใช้คำพูดคำจาแบบนั้นล่ะ ไหนจะชุดเกราะอีกเป็นการคอสเพลแบบสวมบทบาทรึไงนะ ลงทุนกันจริงๆ วงการนี้
“ใช่ค่ะ เมื่อกี้คุณร่วงลงทาทับฉัน” ”
พอบอกแบบนั้นหญิงสาวก็เปิดตากว้าง และรีบก้มหัวขอโทษในทันที อย่างน้อยก็ขอโทษกันละนะไม่คิดจะเอาความอะไรอยู่แล้วด้วย รีบรับคำขอโทษแล้วดลับบ้านดีกว่า
แต่ในตอนที่กำลังจะปริปากบอกว่าไม่เป็นไร กผ้ได้ยินเสียง ‘แกร๊ก’ ดังมาจากคู่สนทนา และในตอนนั้นเอง ชุดเกราะบนตัวเธอก็หลุดออกจนหมด…ส่งผลให้เสื้อบางส่วนฉีกขาดกว่าเดิม
“กรี๊ด!! หะ หะ เห็นหมดแล้วนะคะ!”
ฉันรีบกมือขึ้นมาปิดตาตัวเองพลางชี้ไปที่หน้าอกของหญิงสาว เมื่อครู่มันถูกเกราะบดบังไว้ก็จริงแต่เมื่อไร้เหล็กกล้า เนื้อแน่นก็เด้งออกมาจนเหมือนได้ยินเสียง ดึ๋งๆ แว่วมาตามสายลม
เธอคนนั้นยกหัวขึ้นยืนตัวตรงมองอกตัวเอง แล้วทำเพียงส่งเสียง อ้อ ออกมาเรียบเฉย
“ชุดเกราะนี้ใช้มาเต็มที่แล้วค่ะ การที่ข้ายังอยู่ดีถือว่ามันได้ทำหน้าที่ตนเองลุล่วงแล้ว โปรดอย่าเสียดาย”
“ไม่ใช่แบบนั้น! ปิดด้วยสิยะ อย่ามายืนยืดอกเปลือยๆ แบบนั้นสิ!!”
“อ้อ นั่นสินะ”
ฉันเหลือบตาไปดูว่าเธอได้หาอะไรมาปิดรึยัง แล้วก็ได้เห็นว่าเธอทำเพียงใช้มือพาดอกสองข้างปิดหัวนมไว้เท่านั้น ไม่ทีชุดเปลี่ยนเรอะ! แต่จากที่เห็นก็ไม่มีสัมภาระอะไรเลยด้วยนี่นะ
“โธ่! รอเดี๋ยวนะ”
ฉันวางกระเป๋าลงแล้วเผิดคุ้ยของข้างใน โชคดีที่วันนี้มีคาบพละฉันเลยพกเสื้อวอร์มมาด้วย จึงหยิบเสื้อออกมาคลุมร่างของสาวคอสเพลตรงหน้าที่ยังทำหน้างงๆ อยู่
“ใส่นี่ไปก่อนแล้วกัน อาจจะตัวเล็กไปหน่อยนะคะ”
“แต่ตัวข้าเปื้อนนะ”
“ช่างเถอะน่า! ใส่นี่กลับบ้านไปอาบน้ำแลเวค่อยซักก็ได้ อย่างน้อยก็ดีกว่าเปลือยเดินกลางเมือง!”
ให้ตายสิคิดอะไรอยู่เนี่ยผู้หญิงคนนี้ กะอีแค่เปื้อนถ้าเทียบกับโป๊มัรใช่เรื่องที่ต้องกังวลที่ไหน ฉันบังคับให้เธอสวมเสื้อวอร์มและรูดซิปปิดหน้าอกเอาไว้ แต่ยังไม่ทันจะก้มลงหยิบกางเกง เธอก็คว้ามือฉันไว้
“เดี๋ยว แผลที่ศอกท่าน…เป็นเพราะข้าหรือ?”
“ก็ใช่น่ะสิ ให้ตายเถอะไปทำอีท่าไหนถึงร่วงลงมาจากฟ้าได้ล่ะนั่น”
พอพูดขึ้นมาฉันก็ถือวิสาสะบ่นอุบอิบแล้วสะบัดมือออก แต่เธอคนนั้นก็ยังคงคว้าไปอีกครั้งจนรู้สึกกังวลว่าจะทำอะไรรึเปล่า ทว่าพอมองไปในดวงตาที่แสนจริงจังนั้นก็รู้สึกว่าไม่มีเจตนาร้ายอะไร
“ข้าต้องชดใช้ท่านยังไงรึ”
“เอ๊ะ ไม่ต้องหรอกค่ะฉันแค่บ่นไปเรื่อย”
“ไม่ได้! ข้าทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องบาดเจ็บ ถือเป็นเรื่อยร้ายแรง ตามจริงควรรับโทษสถานหนักเสียด้วยซ้ำ”
“จริงจังเกินไปแล้ว แผลแค่นี้ล้างก็เหมือนหายแล้วนั่นแหละ”
“ถึงแบบนั้นอย่างน้อยให้ข้าได้ทำแผลให้ท่านเถอะ ช่วยนำทางไปแม่น้ำล้างแผลที!”
เธอจับมือทั้งสองข้างฉันไว้แล้วขยับเข้ามาใกล้จนรู้สึกอึดอัดใจ คนคนนี้ จริงจังเกินจนรับมือไม่ถูกเลยแฮะ ทำเอานึกถึงเพื่อนในโรงเรียนเลย…
แต่ว่าเพราะได้เข้ามาใกล้เลยมองเห็นร่างกายเธอชัดขึ้น…บนตัวเธอมีบาาดแผลเล็กๆ น้อยๆ เต็มไปหมด อย่างนี้นี่นี่เอง ที่ว่าเปื้อนไม่ได้หมายถึงแค่คราบสกปรก แต่หมายถึงแผลด้วยสินะ
สุดท้ายฉันก็ทำได้แค่ถอนหายใจ
“เข้าใจแล้ว งั้นไปที่สวนสาธารณะเถอะ เดี๋ยวฉันทำแผลให้เธอด้วย”
“เอ๊ะ แต่…”
“ไม่งั้นเสื้อฉันคงเปื้อนเยอะกว่าเดิม มีเลือกเปื้อนนี่ชวนให้รู้สึกไม่ดีจะตายไป”
ตามคาด พอฉันบอกจะทำแผลให้ด้วยเธอก็มีทีท่าจะปฏิเสธ แต่พอยกเรื่องเสื้อเผื้อนขึ้นมาก็ยอมอย่างว่าง่าย ถึงจะเพิ่งเจอกันแต่ก็เป็นคนที่มองออกง่ายจนน่าตกใจ
พวกเรามุ่งหน้าไปสวนสาธารณะแล้วจัดแจงใช้น้ำก็อกล้างบาดแผล แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำออก และก็ถึงเวลาของก้นกระเป๋าฉันออกโรง มีทั้งยาฆ่าเชื้อแล้วก็พลาสเตอร์ปิดแผล
พวกเราทำแผลจนเสร็จฉันก็จับสาวคอสเพลให้อยู่ในชุดวอร์มสุดคลาสสิค และในตอนนั้นเอง
‘โจ๊ค’
ก็มีเสียงท้องร้องออกมาจากผู้หญิงตรงหน้า จนแก้มนั้นแดงระเรื่องพลางกล่าวขอโทษอย่างแผ่วเบา ทำเอาฉันเกาหัวด้วยควาทมึนงงกัยคนแปลกคนนี้
“กลับบ้านได้รึเปล่า”
“ก็…เกรงว่าคงยาก”
เธอพูดแบบนั้นพลางก้มหน้าตาเศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด ฉันมองดูตามตัวเธอที่ไม่มีสัมภาระอะไรติดตัวเลยสักอย่างก็พอจะเข้าใจบางอย่างได้อยู่
“ไกลเหรอ?”
สาวคอสเพลพยักหน้า อ้าา อย่างที่คิดจริงๆ ไม่มีทั้งเสื้อเปลี่ยน แล้วก็คงไม่มีเงินด้วย ถ้าบ้านอยู่ไกลคงต้องขึ้นรถไฟไปแต่ไม่มีจ่ายสินะ
ช่วยไม่ได้ คุยกันมาขนาดนี้คงกลับไปเฉยๆ ไม่ได้ ฉันคุ้ยของในถุงกับกระเป๋า แล้วยัดใส่มือของเธอ ซึ่งในนั้นมีเงินจำนวนนึงกับข้าวปั้นรสใหม่ที่เพิ่งซื้อมา
“เอ้า คิดว่าเท่านี้คงไปถึงได้นะ รีบไปก่อนหมดรถไฟเที่ยวสุดท้ายล่ะ นี่ก็ดึกแล้ว”
“นี่มัน...เงินรึ?”
เหมือนว่าเธอจะตกใจที่คนแปลกหน้ายัดเงินใส่มือ ฉันจึงพยักหน้าว่าให้รับไปแล้วบอกลา ใช่ มันเริ่มดึกแล้วฉันต้องรีบกลับไปกินข้าวเคลียร์การบ้านและรีบนอน
แค่นี้ก็ใช้เวลานานเกินแล้วสำหรับการกลับบ้าน แต่หลังก้าวออกมาได้ไม่นานเธอก็ส่งเสียงทัก
“คือว่า! ขอทราบนามท่านได้หรือไม่”
ยังคีพคาร์แน่นจริงวุ่ย ถึงจะอยู่ในชุดวอร์มก็ยังพูดสำเนียงโบราณอีกเหรอเนี่ย แต่นั่นสินะ บอกชื่อไว้ก็ไม่เสียหายเผื่อเจ้าตัวจะกลับมาคืนเสื้อ
“คุโรมิ เอมิโกะ ไว้เจอกันนะคะ”
ฉันตอบชื่อเธอไปแล้วรีบวิ่งเหยาะๆ ไปทางกลับห้องพัก เป็นคืนที่ยาวนานจริงเกิดเรื่องประหลาดที่ชีวิตนี้ไม่คิดว่าจะได้เจอ ไม่สิ ตั้งแต่มาอยู่โรงเรียนนี้แล้วละมั้ง ทุกวันก็มีแต่เรื่องไม่คุ้นหูคุ้นตา
แต่ว่า เพราะแบบนั้นแหละเลยต้องพยายามในทุกๆ วัน หลังวิ่งเหยาะออกมาได้แป๊บนึงฉันก็หยุดเท้าแล้วเปลี่ยนเป็นค่อยๆ เดินแทน ถึงจะอยากรีบกลับก็เถอะแต่ภ้าเหนื่อยเกินจะไม่อยากทำการบ้านเอา
ทุกอย่างกลับมาเงียบสงบอีกครั้งจนเรื่องวุ่นวายเมื่อกี้เหมือนเป็นเพียงความฝัน ในสายตายังคงมีแต่ภาพพื้นคอนกรีตที่คุ้นตา เพราะง่าเดินมาใกล้ถึงห้องพักแล้ว
ในตอนนั้นสายตาฉันที่มีเพียงเงาตัวเองก็มีสิ่งแปลกปลอมเข้ามา ข้างหน้า มีคนเดินสวนมา ฉันไม่คิดอะไรแล้วหลบข้างขณะที่เดินต่อ
แต่แล้ว มือฉันกลับถูกคว้าไว้ด้วยแรงที่เยอะจนรู้สึกเจ็บ แน่นอว่าพอเป็นแบบนั้นฉันก็รีบสะบัดสุดแรง
“ทำอะไรของคุณคะ!”
ฉันเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย จึงได้รู้ว่าคนที่คว้าแขนเป็นชายตัวโตที่ใบหน้าแดงก่ำ พร้อมกันนั้นกลิ่นก็ฉุนเข้ามาในจมูก อะไรเนี่ย ต่อจากสาวคอสเพลก็เจอคนเมาเรอะ!
แต่แบบนี้ท่าไม่ดีแฮะ ฉันตัดสินใจไม่รอคำตอบแล้วรีบก้าวเท้าออกมาในทันที แต่ชายคนนั้นยังคงเดินตามส่งเสียงเหม็นหึ่งออกมา
“นั่นมันเครื่องแบบโอเมกินี่ ลูกคุณหนูมาทำอะไรเวลานี้เหรอจ๊ะ”
“เสียใจด้วยนะคะฉันไม่ใช่ลูกคุณหนู ไม่มีอะไรให้ไถนอกจากบะหมี่หรอกค่ะ”
นี่ถูกหมายหัวเพราะเครื่องแบบเหรอเนี่ย!? พวกคุณหนูคุณนายมันอยู่ยากจริงวุ้ย แค่โดนคิดว่ามีเงินหน่อยก็ดึงดูดแต่อะไรแปลกๆ แล้วรึไง
แต่มือฉันก็ถูกคว้าไปอีกครั้ง แต่คราวนี้ ถึงสะบัดไปก็ไม่หฃุด อีกทั้งยังออกแรงเยอะกว่าเก่าจนแขนชาไปหมด
“อย่าพูดงั้นสิจ๊ะ ถึงไม่มีเงิน แต่ก็ยังทำเรื่องสนุกๆ ได้นะ”
พูดจบ เขาก็ดึงมือฉันให้จับอกชายตัวโตที่มีแต่กล้ามเนื้อหยาบกร้าน ขนทั้งตัวฉันลุกซู่พร้อมความพะอืดพะอมเต็มลำคอ น่าขยะแขยง ทั้งกลิ่นเหล้าทั้ฃกลิ่นตัวอีกทั้งยังใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหื่นกาม
“ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยด้วยค่ะ!”
ฉันตะโกนสุดเสียงใต้แสงไฟข้างทาง บ้านทุกหลังยังคงปิดไฟเงียบสงัดไร้การตอบรัยต่อความช่วยเหลือ คนเมาหัวเราะในลำคอเย้ยหยั่นมั่นใจในชัยชนะ
“ไม่มีอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยเจ้าหญิงหรอกนะ”
คำพูดหยอกเย้านั้นทำให้ฉันนึกเกลียดที่ตัวเองกำลังสวมชุดของสถาบันลูกคุณหนูขึ้นมา แม้ว่าจะเป็นความใฝ่ฝั่นทร่จะได้ต่อยอดอนาคต แต่หากรู้ว่าจะทำให้มาเจอเรื่องแบบนี้ฉันคงไม่สนใจ
และในตอนที่น้ำตาเริ่มรินไหลเตรียมใจกับสถานการณ์ตรงหน้า ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งมาแต่ไกล เป็นอีกครั้งที่ทุกอย่างเกิดจึ้นอย่างรวดเร็ว คราวนี้สิ่งที่อยู่ในสายฉันคือ
เท้า
‘โครม!’
มีเท้าเตะก้านคอของชายเมาที่กำลังแทะโลมฉันอยู่จนมือที่จับคลายลงและร่างเขาก็กีะเด็นไปชนกับเสาไฟข้างๆ มองเห็นตาขางเหลือกน้ำลายฟูมปาก ดูทรงแล้วคงสลบเหมือดไปในทันที
น่ากลัว! แรงเตะอะไรขนาดนั้น!
“ท่านคุโรมิเป็นอะไรรึเปล่า!”
เสียงใสที่เต็มไปด้วยความจริงจังนั้นดึงสติฉันอีกครั้ง คนที่เตะชายคนนั้นลอยละลิ่วคือสาวคอสเพลซึ่งแสดงสีหน้ากังวล อา…ไม่รู้ทำไม ทั้งๆ ที่ก็เปผ้นคนแปลกหน้า แตาพอเห็นเธอแล้วก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา
จนขาอ่อนแรงและปล่อนตัวทรุดลงไปกับพื้น
“ท่านคุโรมิ! ชายคนนั้นทำท่านบาดเจ็บเหรอ มันต้องชดใช้!”
เธอพูดแบบนั้นพลาวมองเขม่นไปยังชายหมดสติ แล้วหักนิ้วกร๊อบแกร๊บทำท่าจะเดินเข้าไปหา แต่ว่า มือฉันก็ยื่นไปคว้าชายเสื้อเอาไว้ แล้วหวังว่าจะสื่อไปถึง
ว่าตอนนี้ฉันไม่อยากอยู่คนเดียว
“…ไม่เป็นไรนะท่านคุโรมิ ข้าอยู่ตรงนี้”
เธอพูดแบบนั้นพลางคุกเข่าลงอยู่ระดับสายตาฉันและยื่นมือมาลูบหัวเบาๆ ความกลัวทั้งหมดมลายหายไปในพริบตา ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แต่ฉันทำเพียงจับชายเสื้อสาวคอสเพลไว้จนสงบใจลงได้
“ขอบคุณนะคะ ช่วยได้มากเลย”
“ไม่เลย เทียบกับที่ท่านคุโรมิช่วยข้าไว้ไม่ได้หรอก”
เป็นคนที่จริงจังจริงๆ ทั้งที่ความจริงคำพูดนั้นควรเป็นของฉันมากกว่า แค่ข้าวปั้นหนึ่งก้อนกับเงินแค่นิดหน่อย มันเทียบกับความบริสุทธิ์ของฉันที่เกือบเสียไปไม่ได้เลย
แต่จากสายตาของสาสแปลกหน้าที่มองมานั้น…พูดไปก็คงไม่ฟัง ฉันตบหน้าตัวเองดึงสติแล้วลุกขึ้นอีกครั้ง หันไปมองชายที่น้ำลายฟูมปากอยู่ คงต้องแจ้งตำรวจแต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่อยากทำ
ฉันเดินเข้าไปใกล้ชายคนนั้นโดยที่ไม่ปล่อยมือจากสาวคอสเพล
ขอสักทีเถอะ!! ฉันกระทืบไปที่หว่างขาของเขาสุดแรงทีนึง โดยมองข้ามเสียงร้องโหยหวนแล้วโทรหาตำรวจในทันที
“เฮ้อ โล่งแล้ว ขอบคุณอีกครั้งนะคะ…คุณ?”
“โอะ ขออภัยที่เสียมารยาท ข้า เซเลสทีน เดอ เมริซิก้า อัศวินแห่งราชอาณาจักร เทอเรส”
เธอแนะนำตัวเต็มยศพลางยืดอกที่น่ากังวลว่าซิปจะแตกรึเปล่า ทำเอารู้สึกเอือมเล็กน้อยว่ายังจะโรลเพลในเวลานี้อีกเกรอ
“เอาชื่อจริงสิ”
“เอ๊ะ เซเลสทีน คือชื่อจริงข้านะส่วน เดอ เมริซิก้า เป็นนามแห่งเกียรติยศที่ได้รับมาจากพระราชา หลังเป็นส่วนหนึ่งในการปราบจอมมาร”
เซ็ตติ้งเวอร์แท้! มาจากอนิเมะเรื่องไหนละเนี่ยไม่คุ้นชื่อตัวละครหรือประเทศเลย เพราะเวอร์เกินจนไม่ดังรึเปล่านะเป็นฉันก็ไม่อยากอ่านพวกรายละเอียดเยอะๆ เหมือนกัน
หรือว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นแฟนพันธ์แท้จัดจนอยากจะโปรโมทอนิเมะสุดที่รักจนทำชุดคอสเพลเกรดต่ำที่พังเละเทะระหว่างใส่ แถมยังโรลเพลเป็นตัสบะครขั้นสุดเพื่อให้คนสนใจกันนะ…
เฮ้อ หิวแล้วเริ่ทจะเพ้อเจ้อแฮะ อยากกลับบ้านแล้วเมื่อไหร่ตำรวจจะมานะ แถมอีกอย่าง
“ไม่กลับบ้านเหรอคะ จะไม่ทันเที่ยวสุดท้ายเอานะคะ”
“ข้าเพิ้งนึกขึ้นได้ ท่านคุโรมิดูเป็นคุณหนู เดินคนเดียวตอนกลางคืนคงอันตรายจึงตัดสินใจไล่ตามมา ตั้งใจว่าจะส่งท่านถึงที่พำนักก่อน”
อ้อ เพราะชุดสินะ…ก็มีข้อดีเหมือนกันนี่นา ถึงจะน่ากังวลเรื่องรถไฟก็เถอะแต่ถือว่าช่วยได้มากจริงๆ แต่แล้ว เซเลสทีน (?) ก็ก้มหน้าเศร้าอีกครั้ง และคืนเงินใส่มือฉัน
“อีกอย่าง…เกรงว่าข้าคงกลับไปไม่ได้แล้ว”
“เอ๊ะ หมายความว่ายังไงเหรอคะ”
ไม่เจ้าใจสิ่งที่เซเลสทีนกำลังพูดถึง กลับไปไม่ได้นี่…โดนไล่ออกจากบ้านเหรอ!? หรือว่าเผ็นโฮมเลส ไม่สิ ถ้าแบบนั้นจะมีเงินแต่งชุดคอสเพลได้ไงเล่า งงไปหมดแล้วเนี่ย
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ตอบ ตำรวจก็มาและถามถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งฉันก็เล่าไปตั้งแต่ที่โดนชายคนนี้ทักจนถึงที่กระทืบน้องน้อยของเขา แม้ว่าตำรวจจะทำหน้าซีดหน่อยแต่ก็รับเรื่องไป
ฉันตรงกลับห้องพักตามความตั้งใจเดิมโดยมีเซเลสทีนตามมาจนถึงบันไดขึ้นอพาร์ทเม้น
“ข้าขอบคุณสำหรับข้าวปั้นและชุดจริงๆ สักวันจะต้องตอบแทนท่านให้ได้”
“พูดเรื่องอะไรน่ะ เท่านี้ก็เกินพอแล้วค่ะ”
กลายเป็นรู้สึกตลกกับความจริงจังเกินเหตุของปม่สาวคอสเพลคนนี้ซะแล้วสิ ฉันโบกมือลาเธอในขณะเดินขึ้นห้อง ท้ายที่สุดเธอก็ไม่ตอบว่าทำไมถึงกลับไม่ได้แต่คงเป็นเรื่องส่วนตัวละมั้ง
พอหันหลังกลับไปมอง เซเลสทีนก็ยังคงยืนโบกมือให้ไม่ละสายตาไปไหน ความเป็นห่วงของเธอที่มีให้ฉันเป็นของจริงและคงจะอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะมั่นใจว่าฉันกลับถึงห้องอย่างปลอดภัย
แต่ว่าในดวงตาที่เต็มด้วยความหนักแน่นนั้น ฉันกลับรู้สึกว่าเธอกำลังเศร้าหมอง…
“คือว่า!”
ฉันหยุดเท้าอยู่กลางขั้นบันได หันไปเรียกเซเลสทีนที่แสดงสีหน้าประหลาดใจ ฉันนึกทบทวนคำว่าไม่มีที่ไปของเธอ ผสมรวมกับความใส่ใจฉันในตอนที่มาส่ง
“ถ้าไม่มีที่ไปจริงๆ มาพักกับฉันไปก่อนไหมคะ”
จะปล่อยให้คนที่ทำดีด้วยแบบนี้ไปเป็นตายร้ายดีข้างถนนฉันคงนอนไม่หลับแน่ ไหล่ของเซเลสทีนกระตุกกึกเผิดตากว้สงจับจ้องมายังฉัน
“จะดีหรือ? ข้าเพิ่งพบท่านคุโรมิเมื่อไม่กี่นาทีก่อนเองนะ”
“ก็…คงไม่คิดจะทำอะไรแปลกๆ ใช่ไหม”
“ข้ามิบังอาจหรอก!”
เธอรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน เป็นคนมองออกง่ายจนหลุดหัวเราะออกมา จริงอยู่ที่ชวนคนเพิ่งเจอกันมาอยู่ด้วยเป็นความคิดที่แปลก แต่ก็เชื่อว่าเซเลสทีนคงไม่เป็นไร อยากเชื่อแบบนั้น
จึงพยักหน้าใจ
“ถ้างั้นก็ดีแล้วล่ะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ”