จุดเริ่มต้นมันเกิดขึ้นจากความผิดพลาด~~ เพียงเพราะแค่เอกสารฉบับเดียวเท่านั้นที่ฉันดันเซ็นผิด!! ใครจะไปคิดว่ามันจะนำพาชีวิตของฉันให้ผกผันอย่างที่ใครก็ไม่อาจจะคาดเดาได้...
อุ๊บ!!
“อี๊ดดดด อ่อย อัน นะ อ่อย อัน”
อึก...อึก!!
“อ่อยยย อันนนนน...~~”
และนั่นก็เป็นภาพความทรงจำสุดท้ายของฉันที่เกิดขึ้น ก่อนที่สติของฉันจะดับวูบไป โดยที่ฉันทำได้เพียงแค่ตั้งคำถามตัวเองในใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน...
เฮือกกก ~~
“แฮ่ก แฮ่ก แค่ก แค่ก เฮือก...” ทันทีที่ฉันฟื้นคืนสติ ฉันก็รีบหอบเอาอากาศเข้าหายใจให้เต็มปอดอย่างกับคนที่เพิ่งฟื้นขึ้นจากการสำลักน้ำ
"โอ๊ย...มึนหัวจัง" ฉันพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะพยายามรวบรวมสติที่เบลอจากฤทธิ์ยาสลบให้กลับมา
และเมื่อสติสัมปชัญญะของฉันได้ฟื้นคืนตัวจนแทบจะเป็นปกติแล้ว ภาพความทรงจำก่อนที่ตัวเองจะสลบลงไปก็ทำให้ฉันถึงกับเบิกตากว้างขึ้นมาด้วยความตกใจ พร้อมกับออกอาการลุกลี้ลุกลนหลังเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองถูกลักพาตัวมา
"ทะ...ที่ไหน...ที่นี่มันที่ไหน"
ฉันใช้สายตากวาดมองไปทั่วบริเวณโดยรอบจนพบว่าตัวเองได้ถูกจับมายังสถานที่ที่เหมือนกับโกดังเก็บของแห่งหนึ่ง ก่อนที่คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันอย่างอัตโนมัติ พร้อมกับสมองที่พานึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น...
ความทรงจำที่ฉายโชว์เข้ามาในโสตประสาททีละฉากทีละตอนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ได้ฉายภาพหลังจากที่ฉันเลิกงานวันสุดท้ายก่อนหยุดสุดสัปดาห์ ฉันที่ตั้งใจจะไปเดินเล่นหาของกินที่ตลาดนัดใกล้ ๆ ที่ทำงานดั่งที่เคยทำเป็นประจำ อีกทั้งความรู้สึกที่ฉันยังจำได้ดีถึงความอยากกินลูกชิ้นร้านโปรด ความตั้งใจที่มุ่งมั่นตั้งแต่ก่อนเลิกงานทำให้ฉันเดินจ้ำเท้าไปอย่างเร่งรีบ พร้อมกับก้มหน้าหาเศษเหรียญที่อยู่ในกระเป๋าไปพร้อมกัน
โดยไม่ทันได้เอะใจเลยว่า...การเดินไปตลาดนัดของฉันในวันนี้มันจะเป็นเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของฉันไปตลอดกาล...
"เอ...อยู่ไหนน๊า ~~" ฉันงึมงำกับตัวเองหลังจากก้มคว้านหาเศษเงินในกระเป๋าไม่เจอสักที
และในจังหวะเพียงแค่เสี้ยวนาทีนั้นเอง ในขณะที่ฉันกำลังก้ม ๆ เงย ๆ หาเศษเหรียญในกระเป๋าอยู่นั้น ฉันที่ไม่ทันได้คาดคิดว่าวันนี้เส้นทางที่ฉันกำลังเดินไปมันจะมีอันตรายซ่อนอยู่ อีกทั้งยังไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างจนไม่ทันได้สังเกตว่าบัดนี้ที่ข้างกายของฉันได้ถูกเหล่าชายฉกรรจ์ตัวใหญ่ตรงเข้ามาประชิดตัว
"อ่ะ...นี่พวกคุณ" ในขณะที่ฉันกำลังจะออกปากร้องทักออกไปตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอดที่รับรู้ได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น ปากที่ยังไม่ทันได้ส่งเสียงโวยวายหรือกรีดร้องขอความช่วยเหลือใด ๆ ออกไปก็กลับถูกผ้าผืนบางโป๊ะเข้ามาที่ใบหน้า โดยปฏิกิริยาการตอบสนองของร่างกายเจ้ากรรมก็ดันเผลอสูดดมสารที่อยู่บนผ้าผืนนั้นเข้าไปเต็มปอดอย่างไม่รู้ตัว
"อ่ะ...อื้ออออ..." และสิ่งที่ฉันสูดดมเข้าไปนั้นก็ได้ทำให้ฉันถึงกับภาพตัดไปแทบจะในทันที...โดยที่ฉันทำได้แค่ส่งเสียงอู้อี้เป็นสิ่งสุดท้ายอยู่ในลำคอ...
สิ้นกระบวนการทางสมองประมวลภาพเหตุการณ์ที่เกิดจนครบถ้วน ฉันถึงกับหัวใจเต้นสั่นระรัวด้วยความหวาดกลัวทันที ภาพความจำที่ตอกย้ำให้ฉันเข้าใจถึงสถานการณ์คับขันที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่นั้น ส่งผลทำให้ดวงตากลมโตสวยเบิกกว้าง พร้อมกับปากที่ร้องโวยวายลั่นออกไปตามสัญชาตญาณของความกลัวที่เกิดขึ้นของมนุษย์
"กรี๊ดดดดด~~ นะ...นี่พวกนายจับฉันมาทำไม ปล่อยฉันไปนะไอ้พวกบ้า!!” เสียงโหวกเหวกโวยวายของฉันดังขึ้นทันที พร้อมกับตัวเองที่พยายามหยัดตัวลุกขึ้นยืน แต่ทว่า...กลับถูกชายร่างกำยำหน้าถมึงทึงที่ยืนอยู่ไม่ไกลกดไหล่เอาไว้ไม่ให้ขยับได้ดั่งใจปรารถนา
“เหอะ...ฟื้นสักทีนะ ปล่อยให้กูรอได้ตั้งนาน”
และเสียงเยือกเย็นทุ้มกังวานที่ถูกส่งออกมาจากร่างของคนคนหนึ่ง เสียงที่ฟังดูทรงอำนาจอย่างบอกไม่ถูก ช่างเป็นเสียงที่ทำให้ฉันถึงกับเงียบลงแทบจะในทันที
ฉันค่อย ๆ หันหน้ามองไปยังต้นทางของเจ้าของเสียงที่เปล่งออกมาเมื่อครู่ แต่น่าแปลกตรงที่...ทั้งที่แม้ว่าใจของฉันกำลังร้อนรนอยากจะรู้ความจริงถึงเหตุผลที่เขาลักพาตัวฉันมามากแค่ไหน แต่ทว่า...สัญชาตญาณข้างในของฉันมันกลับบอกว่าฉันไม่ควรต่อรองหรือกวนประสาทคนตรงหน้าในเวลานี้
และทันทีที่สมองสั่งการออกมาอย่างนั้น สายตาของฉันก็หลุบมองต่ำอย่างอัตโนมัติทันที โดยไม่ลืมที่จะมองไปยังผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าอย่างระมัดระวัง สายตาของฉันมองตรงเริ่มพินิจพิจารณาตัวตนของเขาไล่จากปลายเท้าขึ้นไปยังศีรษะ ภาพรองเท้าหนังสัตว์ชั้นดีราคาแพงหูฉี่ที่ไขว่ห้างกระดิกเป็นจังหวะอยู่ตรงหน้าทำให้ฉันรู้ได้ทันทีว่าคนคนนี้ต้องเป็นหัวหน้าของพวกคนที่จับตัวฉันมาอย่างแน่นอน
"หึ...อยากเห็นหน้าจังว่าเป็นไอ้ตาถั่วที่ไหนมาจับคนผิดตัวได้เนี้ย...เดี๋ยวแม่จะแจ้งความให้เข็ด" ฉันงึมงำพร้อมกับเลื่อนสายตามองสูงขึ้นไป
แล้วภาพกางเกงสูทสีดำสนิทที่ทาบทับอยู่บนร่าง มันช่างดูรับเข้ากับสัดส่วนของขาอันเรียวยาวคู่นั้นที่กำลังไขว่ห้างอยู่ จนฉันเผลอแอบคิดเอาเองว่า...นี่ขนาดว่าเขายังไม่ยืนเต็มความสูงยังดูหุ่นดีขนาดนี้ ถ้าได้เห็นเขาเต็ม ๆ ตาเขาจะดูดีมากขนาดไหน
(หึ๊ยยยย...มันใช่เวลาไหมเนี้ยยัยลิน...ตั้งสติ ๆ)
และในขณะที่ฉันกำลังสำรวจผู้ชายมาดสุขุมที่นั่งสง่าอยู่ตรงหน้าอยู่นั้น เขาที่เหมือนจะรู้ตัวว่ากำลังถูกฉันพินิจพิจารณาร่างกายของเขาอย่างเสียมารยาท และคงด้วยความไม่พอใจที่ตนเองถูกจับจ้องไม่วางตาแบบนั้น เขาถึงกลับปล่อยพลังเสียงทำลายล้างโสตประสาทใส่หูฉันทันที
“มึงมองพอหรือยัง...ห๊ะ!!” เสียงเข้มที่ตวาดลั่นถึงกับทำให้ฉันสะดุ้งโหยง จนเผลอเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของเสียงด้วยความตกใจ
(คุณพระคุณเจ้า...หล่อมาก...คนอะไรหล่อวัวตายควายล้ม หล่อลากกระชากมดลูกจริง ๆ หล่อแบบไร้ซึ่งแรงต้านทาน ใบหน้าคมเข้มที่มีสันกรามขึ้นชัดเจน หนวดและเคราที่ขึ้นปกคลุมแบบชายตะวันออกกลาง ช่างรับกับริมฝีปากหยักหนาที่ถ้าหากยกยิ้มขึ้นคงทำให้ผู้หญิงที่ได้เห็นต่างหลอมละลายราบเป็นหน้ากลองแน่ อีกทั้งจมูกที่โด่งขึ้นเป็นสันสวยที่แม้แต่ผู้หญิงอย่างฉันยังต้องอิจฉา โดยเฉพาะดวงตาสีน้ำตาลคาราเมลประกายวาวโรจน์คู่นั้นช่างเข้ากันกับคิ้วหนาทรงสวยเสียเหลือเกิน...แม่เจ้า...นี่ยังไม่รวมความผิวที่ว่าขาวดูสุขภาพดี...เฮ้อออ...ช่างเป็นใบหน้าและรูปร่างที่เป็นดั่งเทพประทานสร้างสรรค์อย่างแท้จริง) ฉันที่มองไปยังคนตรงหน้าตาค้าง พร้อมกับสรรเสริญเขาในใจ
แต่ในขณะที่ฉันกำลังตกตะลึงในความหล่อเหลาของคนตรงหน้าอยู่นั้น ฉันที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยว่า ณ เวลานี้ไม่ใช่แค่ฉันเพียงคนเดียวแล้วเท่านั้นที่ตาค้างตกตะลึงในรูปร่างหน้าตาของเขา แต่ทว่า...ตัวของคนตรงหน้าเองเขาก็กำลังตกตะลึงพรึงเพริดมองตาค้าง หลังจากได้เห็นฉันอย่างเต็มตาไม่ต่างกัน...
เมื่อความเสียใจมันทำให้เธออยากลอง!!! "เรามาลอง...กันไหมค่ะ" ประโยคบ้าระห่ำที่ฉันพูดกับคนแปลกหน้าในคืนนั้น ฉันไม่นึกว่ามันจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของชีวิต... เส้นทางชะตาชีวิตที่เล่นตลก เพราะคำพูดเพียงประโยคเดียว... การโดนทรยศ และ การเจอกันโดยบัญเอิญ จนทำให้เกิดการเดิมพันท้าทายเล่นเกมบ้าๆ กันขึ้นมา โดยที่สาวเจ้าไม่รู้ตัวเลยว่า...มันจะนำพาให้ชีวิตเธอเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล!!! ------------------------------------------------------------------------------------------------ ...เธอจำต้องอยู่ต่อไป หรือ ตายเพื่อชดใช้เวรกรรม...ที่ตัวเองเป็นคนสร้างขึ้น ------------------------------------------------------------------------------------------------ เรื่องย่อ: เอลิซ : หญิงสาวแสนสวยที่แสนซื่อจนถูกคนที่รัก "หักหลัง" จนทำให้ชีวิตของเธอปัดเป๋ และเพียงเพราะเธอแค่ต้องการที่จะประชดชีวิตเท่านั้น แต่การกระทำนั้นก็ดันพาเธอหลงเข้าไปยังเกมสวาทที่เธอเป็นผู้เดิมพัน เซฟ : ชายหนุ่มผู้มั่งคั่งร่ำรวยติดอันดับต้นๆ ของประเทศ เจ้าของธุรกิจทั้งขาวและเทา เบื้องหลังเขาคือมาเฟียอันดับหนึ่ง เขาที่โชคชะตานำพามาให้เจอกับหญิงสาวคนนั้นแถมยังถูกท้าทายจากเกมเดิมพันอันล่อแหลม และมีหรือที่ผู้ชายอย่างเขาจะยอมปฏิเสธ ฝากกดติดตามและเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ ⚠️คำเตือน⚠️ เนื้อเรื่องนี้เหมาะสำหรับคนที่อายุ 18 ปีขึ้นไป มีฉากติดเรท เนื้อหาไม่เหมาะสม ความรุนแรงเพศ และการใช้ภาษา ซึ่งต้องใช้วิจารณญาณในการอ่าน ที่สำคัญเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งเท่านั้น!!!
เกิดใหม่ในชาตินี้ นางแค่ต้องการอยู่อย่างสงบสุขปกป้องครอบครัวจากเรื่องร้ายที่จะเกิดขึ้น นางไม่อยากตกอยู่ในบ่วงรักอันทำให้ครอบครัวต้องพบกับวิบัติอีกต่อไปแล้ว... คำเตือน นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรักโรแมนติก ดราม่า มีฉากความรุนแรง ฉาก NC และมีฉากเศร้าสะเทือนใจ โปรดพิจารณาก่อนดาวโหลดนะคะ กราบขอบพระคุณค่ะ
ซูมู่หยูคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลที่พลัดพรากจากกันไปนาน หลังจากกลับมาสู่ครอบครัว เธอพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาใจญาติๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวตน เกียรติศักดิ์ หรือผลงานการออกแบบ เธอก็ถูกบังคับให้มอบสิ่งเหล่านี้ให้กับลูกสาวบุญธรรม อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้รับความรักและการดูแลจากครอบครัวแต่อย่างใด แต่กลับโดนเอาเปรียบตลอด นับแต่นั้นเป็นต้นมา มู่หยูไม่ยอมให้ใครอีกเลย และตัดความรู้สึกและความรักทั้งหมดออกไป ปัจจุบันเธอเป็นสายดำระดับเก้า เชี่ยวชาญภาษาถึงแปดภาษา เป็นผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และนักออกแบบระดับโลก ซูมู่หยูกล่าวว่า "จากนี้ไป ฉันเป็นหนึ่งของตระกูลซู"
อวิ๋นหลาน นักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งศตวรรษที่ 25 ได้ข้ามภพและเกิดใหม่ในร่างของหญิงสาวผู้ไร้ประโยชน์ซึ่งมีชื่อเดียวกันในจวนเทพเจ้าแห่งสงคราม รากวิญญาณถูกทำลายไป? บำเพ็ญวิชาไม่ได้? คู่หมั้นถอนหมั้น? ทุกคนหัวเราะเยาะนาง? การควบคุมอสูร ยาพิษ ยาลูกกลอนปีศาจ อาวุธลับ...นางจัดการได้อย่างสบายๆ อดีตผู้ไร้ค่า แต่บัดนี้มาแก้แค้นชาาเจ้าชู้ เอาคืนทุกคนที่รังแกตนเอง ได้ประสบความสำเร็จ และขึ้นไปสู่จุดสูงสุด ผู้แข็งแกร่งอย่าคิดจะทำอะไรตามใจ ผู้อ่อนแออย่าท้อแท้ กล้ามารุกรานข้า งั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือนก็แล้วกัน เขาเป็นจ้าวแห่งอาณาจักรปีศาจ ชอบเอาใจนาง นางฆ่าคน เขาช่วยปิดปาก นางทำลายศพ เขาช่วยกำจัดหลักฐาน เขายอมทำทุกอย่างเพื่อนาง ชีวิตนี้ยอมร่วมทุกข์ร่วมสุขไม่ทอดทิ้งกัน
อดีตนักฆ่าสาวอันดับหนึ่ง ผู้มีใจคอโหดเหี้ยมได้ทะลุมิติอยู่ในร่างสาวน้อยรูปโฉมอัปลักษณ์ ที่ทุกคนต่างสาปส่งและรังแกสารพัด!
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น