เพราะถูกคนรักและเพื่อนสนิทหักหลัง เธอจึงหนีตามผู้ชายที่รู้จักกันในแอพหาคู่ แม้จะหวาดกลัว แต่ว่าเธอก็ไม่ขอกลับไปเจอเพื่อนทรยศ และคนรักจอมหักหลังอีก
เพราะถูกคนรักและเพื่อนสนิทหักหลัง เธอจึงหนีตามผู้ชายที่รู้จักกันในแอพหาคู่ แม้จะหวาดกลัว แต่ว่าเธอก็ไม่ขอกลับไปเจอเพื่อนทรยศ และคนรักจอมหักหลังอีก
กลอยใจนั่งกอดกระเป๋ารอใครบางคนอยู่ที่สถานีขนส่งจังหวัดสุราษฎร์ธานี เธอนั่งรถทัวร์จากกรุงเทพฯ มาเมื่อคืนและเธอก็ร้องไห้ทั้งคืนจนตาบวม ตอนนี้เธอรู้สึกปวดหัวมาก ไม่รู้ว่าเพราะโชคชะตาหรือว่าฟ้าเห็นใจเธอกันแน่จึงทำให้เธอได้รู้ธาตุแท้ของคนที่เธอรักและไว้ใจทั้งสองคน
หนึ่งอาทิตย์ก่อน
"อ๊ะ เร็ว ๆ ค่ะที่รักขา"
เสียงกระซิบกระซาบและเสียงเนื้อกระทบกันที่ดังเล็ดลอดออกมาจากห้องนอนของน้ำฟ้า ทำให้กลอยใจรู้ว่าเพื่อนกำลังทำอะไรอยู่ ในตอนแรกเธอไม่คิดจะรบกวนเพื่อนและกำลังจะหันหลังกลับถ้าหากเธอไม่ได้ยินเสียงผู้ชายคนนั้นพูดออกมา
"ดีไหม ชอบไหมที่รัก ?"
กลอยใจตัวชาหน้าชาเธอเดินไปที่หน้าประตูห้องนอนที่มันแง้มอยู่และเปิดเข้าไปทันที
"น้ำฟ้า เกมส์"
เธอเรียกชื่อของคนทั้งสองด้วยเสียงอันดัง น้ำฟ้ากับเกมส์ผละออกจากกัน น้ำฟ้ารีบคว้าผ้าห่มมาคลุมร่างอวบอัดเปล่าเปลือยเอาไว้ ส่วนเกมส์ก็คว้าผ้าเช็ดตัวมาพันกายลวก ๆ กลอยใจเห็นเต็มตาแบบนั้นเธอก็เข้าใจทุกอย่างรีบวิ่งออกจากห้องนอนและออกจากบ้านของเพื่อนที่เธอรักที่สุดทันที ไม่ต้องอธิบายอะไรเพราะมันไม่มีอะไรต้องอธิบาย
เดิมทีวันนี้เป็นวันเกิดของเกมส์แฟนหนุ่มที่เธอคบมาได้หนึ่งปี กลอยใจคิดจะเซอร์ไพรส์เกมส์ในคืนนี้จึงได้มาหาน้ำฟ้าที่บ้านเพื่อปรึกษากับเพื่อนรักว่าจะทำอย่างไรดี แต่ไม่คิดว่าเธอจะเจอเรื่องที่เซอร์ไพรส์กว่า
ความจริงแล้วเกมส์นั้น ตอนที่คบกับเธอถือว่าเป็นแฟนที่ดี เอาอกเอาใจและเป็นสุภาพบุรุษมาก แต่ไม่นึกเลยว่าเขาจะทรยศและนอกใจเธอได้ และที่เจ็บปวดไปกว่านั้นก็คือน้ำฟ้าเพื่อนรักของเธอ ทั้งสองคนแทงข้างหลังกลอยใจได้อย่างเลือดเย็น
"กลอยใจใช่ไหม ?"
เสียงห้าวทุ้มนั้นปลุกเธอออกจากภวังค์ เงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาคมเข้ม แม้ว่าหนวดเคราของเขาจะรุงรังไปหน่อยแต่ก็ไม่อาจบดบังความหล่อเหลาเอาไว้ได้ สันกรามชัดเจนและจมูกโด่งเป็นสันนั้นทำเธอสะดุดลมหายของใจตัวเอง
"ชะ..ใช่ค่ะ คุณกันต์ใช่ไหมคะ ?"
เขาไม่พูดอะไรแต่ยื่นมือมาดึงกระเป๋าเสื้อผ้าในมือของเธอไปถือเอาไว้ หน้าตาอ่อนแอบอบบางแบบนี้จะอยู่ที่นี่ได้สักกี่วันเชียวกันต์คิดในใจ กลอยใจลุกขึ้นจากเก้าอี้ เขาสูงกว่าเธอมากนัก เกงเกงยีนส์ขาดเข่าและเสื้อเชิ้ตลายสก๊อตสีเข้มนั้นขับความดิบเถื่อนออกมาจากตัวเขาไม่น้อย เธอรู้สึกหวาดกลัว แต่ในเมื่อตัดสินใจแล้วเธอจะไม่ถอยเด็ดขาด
"ไหวไหมคุณ ? ถ้าไม่ไหวก็ตีตั๋วกลับ"
เพราะเห็นท่าทางและดวงตาหวาดหวั่นของเธอกันต์จึงถามเธออีกครั้งเพื่อความแน่ใจ พร้อมกับยื่นกระเป๋าเสื้อผ้าในมือของเขาส่งกลับให้เธอ
"ไหวค่ะ กลอยขอไปกับคุณนะคะ"
เมื่อเธอยืนยันอย่างนั้นเขาก็หันหลังและเดินไปยังรถกระบะสี่ประตู โยนกระเป๋าเสื้อผ้าของเธอที่เขาหิ้วมาใส่ท้ายรถ เปิดประตูเข้าไปนั่งประจำที่คนขับ กลอยใจเห็นอย่างนั้นเธอจึงเปิดประตูรถอีกฝั่งและรีบเข้าไปนั่งข้างเขา กันต์หยิบแว่นกันแดดขึ้นมาสวมและออกรถทันที
"แวะอำเภอก่อนละกัน"
"คุณกันต์มีธุระหรือคะ ?"
เขาหันขวับไปมองหน้าเธอ เพราะใส่แว่นกันแดดปิดบังสายตาเอาไว้ กลอยใจจึงไม่ได้เห็นสายตาพิฆาตของเขา
"ใช่ มีธุระ ธุระของเราสองคน แวะจดทะเบียนสมรสกันก่อน ตอนนี้อำเภอเปิดอยู่"
พอได้ยินอย่างนั้นกลอยใจก็รีบพูดออกมา
"จะ..จดทะเบียน กลอยว่าอย่าเพิ่งรีบดีกว่าค่ะ"
"นี่คุณ ผมเอาคุณมาเป็นเมียนะ ไม่ใช่ความสัมพันธ์แค่ชั่วคราว คำว่าเมียน่ะคุณเข้าใจไหม ? ในข้อตกลงเราก็คุยกันชัดเจนแล้ว"
"ตะ..แต่กลอยว่าเอาไว้เราศึกษาดูใจกันก่อนดีกว่าไหมคะ ?"
กันต์จึงชะลอรถและจอดรถข้างทาง เห็นทีเขาคงต้องพูดกับเธอให้รู้เรื่องอีกครั้ง ถ้าเธอเปลี่ยนใจเขาจะได้ไปส่งเธอที่ บขส.ได้เลย กลอยใจมองซ้ายมองขวาเห็นเขาจอดรถเธอก็นึกกลัวขึ้นมา หวังว่าเขาคงไม่ฆ่าเธอหมกป่าหรอกนะ
"คุณกลอยใจ ผมจะพูดกับคุณอีกครั้ง ผมต้องการเมียนะ คำว่าเมียคุณคงเข้าใจความหมายของมัน คือผมสามารถนอนกับคุณได้ แบบมีอะไรกันน่ะ และอีกอย่างก็คือผมคนบ้านนอก เป็นชาวสวนชาวไร่ ในข้อตกลงผมก็ระบุไว้ชัดเจน คุณรับได้ไหม ? ถ้าไม่ได้คุณก็กลับกรุงเทพ ฯ ไป ผมจะไปส่งที่ท่ารถ"
"ไม่ค่ะกลอยไม่กลับ กลอยรับได้ถึงคุณจะเป็นชาวนาชาวสวนก็เถอะ ถ้าอย่างนั้นเราไปจดทะเบียนกันเลยก็ได้ค่ะ"
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเธอถึงได้ตัดสินใจแบบนั้น รู้แค่ว่าตอนนี้เธอไม่อยากกลับไปกรุงเทพ ฯ เพราะที่นั่นทำเธอเจ็บช้ำเหลือเกิน หากกลับไปก็ต้องรับรู้เรื่องราวของเกมส์กับน้ำฟ้าเพราะทั้งสามคนทำงานที่เดียวกัน สู้อยู่ที่นี่อยู่กับคนที่เธอตัดสินใจเลือกดีกว่า เขาต้องการจดทะเบียนกับเธออย่างน้อยเขาก็จริงใจ คนที่เพิ่งรู้จักบางทีอาจจะจริงใจมากกว่าคนที่คบกันมาเป็นปีก็ได้
เมื่อเธอยืนยันหนักแน่นอย่างนั้น กันต์ก็ขับรถตรงไปที่ว่าการอำเภอ และแจ้งความประสงค์ว่าต้องการมาจดทะเบียนสมรส เจ้าหน้าที่ก็อำนวยความสะดวกเป็นอย่างดี พยานก็หาเอาคนแถวนั้น
กลอยใจมองดูทะเบียนสมรสใบนั้นอย่างไม่เชื่อสายตา เธอทำอะไรลงไปจะมีใครบนโลกใบนี้ทำอะไรบ้าบอแบบเธอบ้างไหม จดทะเบียนกับคนที่เพิ่งคุยได้อาทิตย์เดียวและเพิ่งเจอหน้ากันยังไม่ข้ามวัน
"จดทะเบียนกันแล้ว ส่วนงานแต่งเดี๋ยวค่อยจัด"
กันต์บอกกล่าวกับเธอง่าย ๆ เขาเองก็ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเธอมากนักรู้แค่ว่าเธอชื่อ นางสาวกลอยใจ กาญจนะเสนา อายุยี่สิบห้าปี เป็นคนกรุงเทพ ฯ เขาเองก็ใช้ชีวิตโสดมานานจนอายุจะเข้าเลขสี่ ปีนี้เขาอายุสามสิบแปดพอดี เลยลองคุยกับผู้หญิงผ่านแอพหาคู่ดู ประกาศว่าต้องการเมีย ไม่คิดว่าคนที่ตอบตกลงคนแรกจะเป็นเธอ
"หิวไหมคุณกลอยใจ มีชื่อเล่นไหม ?"
เขาถามชื่อเล่นของเธอเพราะขี้เกียจเรียกชื่อจริง อีกอย่างตอนนี้ก็ตีสิบเอ็ดแล้วหรือสิบเอ็ดโมงนั่นเอง เขาเกรงว่าเธอจะหิวด้วยจึงถามสองคำถามพร้อมกันเลย
"กลอยค่ะ ชื่อเล่นว่ากลอย แล้วก็หิวข้าวมากค่ะ"
กันต์เองก็อดยิ้มกับคำตอบของเธอไม่ได้ ก็น่าจะหิวหรอก เธอลงรถทัวร์ตอนเจ็ดโมงและคงจะนั่งรอเขาจนเกือบเก้าโมง ถ้าจะให้เดาเธอคงไม่ได้ไปหาอะไรมาทานรองท้องก่อนแน่นอน เพราะทั้งแปลกถิ่น และอาจจะกลัว ตอนที่กันต์สบตากับเธอครั้งแรกเขาแน่ใจว่ามีรอยรื้นของน้ำตาในดวงตาคู่สวยนั้น เธอร้องไห้เขาไม่ได้สนใจอดีตของเธอหรอกว่าเธอเจอเรื่องอะไรมาจึงตัดสินใจมาอยู่กับเขาแบบนี้ แต่บางทีถ้ารู้บ้างก็คงจะดี
"ถ้างั้นแวะทานข้าวก่อน แล้วค่อยเข้าบ้าน"
เอาไว้ค่อยถามเธอละกันหนทางระหว่างเธอกับเขาเพิ่งเริ่มต้น กันต์พาเธอแวะทานข้าวแกงที่ร้านข้างทาง กับข้าวที่นี่ส่วนมากเผ็ดจัด ซึ่งกลอยใจไม่ทานเผ็ด และนี่เป็นอีกเรื่องที่เธอจะต้องปรับตัว
"ผมขอเรียกคุณว่าคุณกลอยละกัน"
"เรียกกลอยเฉย ๆ ก็ได้ค่ะ ไม่ต้องมีคุณหรอก"
กันต์ไม่พูดอะไรได้แต่พยักหน้า ดูแล้วเธอก็ไม่น่าใช่คนเรื่องมากและน่าจะเข้ากับเขาได้ดี แต่ก็คงต้องดูกันอีกที ชาวสวนชาวไร่แบบเขามีชีวิตที่เรียบง่าย ใช่ว่าผู้หญิงรอบข้างเขาจะอดอยากแต่เขาไม่ชอบใครเอาซะเลย จนต้องพึ่งแอพหาคู่และพอได้เห็นรูปโปรไฟล์ของเธอเขาก็เกิดถูกใจขึ้นมา ไม่นึกว่าเธอจะตอบตกลงและรับข้อเสนอของเขา จนยอมตัดสินใจนั่งรถทัวร์จากกรุงเทพ ฯ มาที่นี่ เธอมีเรื่องอะไรหรือกำลังประชดใครหรือเปล่านะ
แตงไทยสาวสวยผู้ที่ตั้งใจจะขึ้นคานไปตลอดชีวิต แต่พอได้เจอพ่อกำนันรูปหล่อ ปนิธานที่ตั้งไว้ก็เริ่มสั่นคลอน
เพราะคิดว่าพ่อที่อยู่ในวัยใกล้เกษียณ จะเคี้ยวหญ้าอ่อนอย่างเธอ เขาจึงทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวาง แต่ขวางไปขวางมา กลับกลายเป็นว่าเขากลับเป็นคนเคี้ยวหญ้าต้นนั้นซะเอง
รามสูรผู้ที่ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกล้าปฏิเสธ เมขลาผู้หญิงคนแรกที่กล้าปฎิเสธเขา เพราะค่ำคืนที่เร่าร้อนเพียงคืนเดียว ทำให้เขาติดใจในตัวเธอ แต่เธอกลับคิดจะหนี รามสูรจึงวางแผนเพื่อให้เมขลา มาเป็นทาสรักของเขา แต่ว่าไป ๆ มา ๆ เธอกลับได้เป็นเจ้าของหัวใจของเขาซะนี่
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง
" ผมใหญ่ครับ " " ใหญ่นี่ ชื่อหรือสรรพคุณคะ " " ก็... ทั้งสองอย่างครับ " +++++++++++++++++++++++++++ " ผมอยากเอาคุณเป็นบ้าเลย " ดวงตาของมิถุนาเบิกกว้างเมื่อได้ยินประโยคนั้น ไม่คิดไม่ฝันว่าเขาจะพูดมันออกมาตรง ๆ อย่างไม่ให้เกียรติเธอแม้แต่นิด " ไอ้โรคจิต หยาบคาย ! " เธอผรุสวาทออกมาทั้งยังพยายามดิ้นรนผลักไสให้ตัวเองหลุดพ้นพันธนาการอันเป็นอ้อมแขนเหนียวแน่นนั้น และแน่นอนว่านอกจากไม่หลุดแล้วเขายังรัดเธอแน่นเข้าไปอีก " ปล่อยฉันนะ ! " " ก็คุณบอกให้ผมพูดเอง " " ใครจะไปรู้ว่าความคิดคุณจะทุเรศลามกขนาดนั้น " " มันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ ธรรมชาติสร้างให้สัตว์เพศผู้เพศเมียสมสู่กันเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ ความต้องการทางเพศมันเป็นเรื่องปกติ หรือว่าคุณไม่เคยมีมัน " " ฉันมีคู่หมั้นแล้วและไม่ได้อยากดำรงเผ่าพันธุ์อะไรกับคนแบบคุณ ! " เขาหัวเราะเบา ๆ ต่างกับเธอที่ตาเขียวปั้ด อยากจะยกมือขึ้นตะกายหน้าหล่อ ๆ นั่นแทบบ้า ไอ้คนไร้มารยาท ! " เราไม่ต้องดำรงเผ่าพันธุ์อะไรทั้งนั้น " เขาเริ่มบทสนทนาต่อก่อนโน้มตัวไปกระซิบที่ข้างหูเธอเบา ๆ " แค่เอากันก็พอ " ++++++++++++++++++++++++++++++++++++ " ...แค่อยากจะมาทักทายคนคุ้นเคยเป็นการส่วนตัว " " ฉันไม่ใช่คนคุ้นเคยของนาย " " งั้นคุณเป็นคนคุ้นเคยของผมฝ่ายเดียวก็ได้ " " อย่ามากวนนะ ระวังจะโดนเอาคืน " " ก็เอาสิ จะเอาคืน เอาวัน หรือเอาทั้งวันทั้งคืนเลยก็ได้นะ ผมไม่ติด "
หวังฉีหลิน อายุ 25 ปีสาวเจ้าหน้าที่การเกษตรและพ่วงมาด้วยเจ้าของสวนสมุนไพรรายใหญ่ เสียชีวิตกระทันหันหลังจากกลับมาจากท่องเที่ยวพักผ่อนและเธอได้เก็บเอาก้อนหินสีรุ้งมาจากพระราชวังโปตาลามาได้เพียงสามเดือน ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ หากตายไปแล้วก็ไม่เป็นไรเพราะเธอเองเติบโตมาอย่างโดดเดี่ยวในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจนกระทั่งมีอายุได้ 18ปี ถึงได้ออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองตอนนี้เธอ ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงแล้ว เพียงแต่เสียดายที่เธอยังไม่ได้ทำตามความฝันของตัวเองเลย เฮ้อ ชีวิตคนเรานั้นมันแสนสั้น อายุ25 แฟนไม่เคยมี สามียังอยากได้ ไหนจะลูกๆที่ฝันอยากจะมีอีก คงต้องหยุดความหวังและความฝันเอาไว้เท่านี้ เหนือสิ่งอื่นใด ตายแล้วตายเลยจะไม่ว่า แต่ดันตื่นขึ้นมาในร่างหญิงชาวนายากจน ชื่อหวังฉีหลินเช่นเดียวกับเธอพ่วงมาด้วยภาระชิ้นใหญ่ อย่างสามีที่ป่วยติดเตียงและลูกชายฝาแฝดทั้งสอง แถมยังมีภาระชิ้นใหญ่ม๊ากกกมาก กอไกล่ล้านตัวอย่างพ่อแม่สามีและน้องๆของสามี ที่โดนบ้านสายหลักกดขี่ข่มเหงรังแก เอารัดเอาเปรียบและบังคับแยกบ้านหลังจากที่สามีของนางได้รับบาดเจ็บสาหัส สาเหตุที่หวังฉีหลินต้องมาตายไปนั้นเพราะโดนลูกสะใภ้บ้านสายหลักผลักตกเขาระหว่างที่กำลังยื้อแย่งโสมคนที่หวังฉีหลินขุดมาได้
ในวันแต่งงาน เสิ่นเยวียนถูกคู่หมั้นและน้องสาวของเธอทำร้าย และถูกจำคุกเป็นเวลาสามปีด้วยความทุกข์ทรมาน หลังจากได้รับการปล่อยตัวจากคุก น้องสาวผู้ชั่วร้ายได้คุกคามด้วยชีวิตแม่และพยายามให้เธอมอบตัวกับชายชรา อย่างไรก็ตาม เธอได้พบกับเซียวเป่ยหาน ซึ่งเป็นผู้ทรงอิธิพลที่หล่อเหลาและเย็นชาแห่งแห่งสังคมด้านมืด อย่างไม่คาดคิด และชะตากรรมของเธอก็เปลี่ยนไปตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม้ว่าเซียวเป่ยหานจะเย็นชา แต่เขากลับปฏิบัติต่อเสิ่นเยวียนดั่งเป็นสมบัติล้ำค่า นับแต่นั้นมา เธอจัดการคนเสแสร้ง เอาคืนแม่เลี้ยงและไม่ถูกกลั่นแกล้งอีกต่อไป
ซูมู่หยูคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลที่พลัดพรากจากกันไปนาน หลังจากกลับมาสู่ครอบครัว เธอพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาใจญาติๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวตน เกียรติศักดิ์ หรือผลงานการออกแบบ เธอก็ถูกบังคับให้มอบสิ่งเหล่านี้ให้กับลูกสาวบุญธรรม อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้รับความรักและการดูแลจากครอบครัวแต่อย่างใด แต่กลับโดนเอาเปรียบตลอด นับแต่นั้นเป็นต้นมา มู่หยูไม่ยอมให้ใครอีกเลย และตัดความรู้สึกและความรักทั้งหมดออกไป ปัจจุบันเธอเป็นสายดำระดับเก้า เชี่ยวชาญภาษาถึงแปดภาษา เป็นผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และนักออกแบบระดับโลก ซูมู่หยูกล่าวว่า "จากนี้ไป ฉันเป็นหนึ่งของตระกูลซู"
ในสายตาของเขา เธอเป็นคนขี้โกหก ในสายตาของเธอ เขาเป็นคนไร้หัวใจ เดิมทีถังหว่านคิดว่าเธอคือคนพิเศษหลังจากอยู่กับเสิ่นติงหลานมาสองปี แต่สุดท้ายก็พบว่าตัวเองเป็นแค่ของเล่นที่สามารถทิ้งได้อย่างตามใจเมื่อไม่มีค่าอีกต่อไป จนกระทั่งถังหว่านเห็นว่าเสิ่นติงหลานพาคนรักของเขาไปตรวจครรภ์ เธอจึงยอมแพ้แล้ว เธอหยุดติดตามเขาอีก แต่จู่ๆ เขากลับไม่ยอมปล่อยเธอไป "ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน ทำไมคุณไม่ปล่อยฉันไปล่ะ?" ชายผู้เคยหยิ่งยะโสขนาดนั้น ตอนนี้ก้มหัวลงและขอร้องว่า "หวานหว่าน ฉันผิดไปแล้ว โปรดอย่าทิ้งฉันไป"
© 2018-now MeghaBook
บนสุด