คนที่เธอพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอดหลายปี ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อนักเลงทวงหนี้นอกระบบที่เธอรู้จักเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ร่างสูงสวมเสื้อเชิ้ตแบรนด์หรู กางเกงขายาวสีดำ รองเท้าหนัง ดูภูมิฐานราวกับคนละคนกับในอดีต
“คุณ...มาที่นี่ได้ยังไง?” หมอเกี่ยวก้อยถามเสียงสั่น
พุฒิธรไม่ตอบคำถามคนตรงหน้า เพียงแต่จ้องเธออย่างไม่ละสายตา มือหนายื่นเอกสารที่ช่วยเก็บส่งคืนให้
ร่างสูงโปร่งก้าวเท้าเข้ามายืนขวางหน้าประตูร้านกาแฟทำให้เกี่ยวก้อยรู้ทันทีเลยว่าคงหนีหน้าเขาไม่ได้อีกต่อไป
“ผมไม่ให้คุณไปไหน เราสองคนมีเรื่องต้องคุยกัน….”
“รู้ไหมว่าผมตามหาคุณมาตลอดสี่ปี…” เขาเอ่ยเสียงเข้มและทุ้มต่ำ “ผมไม่ใช่ไอ้ผู้ชายหน้าตัวเมียที่ทำผู้หญิงท้องแล้วจะไร้ความรับผิดชอบ”
พุฒิธรเหลือบไปเห็นชื่อที่ปักอยู่บนเสื้อกาวน์ว่า ‘กานต์พิชชา’ หรือที่เขาเคยรู้จักในชื่อ 'เกี่ยวก้อย'
ก็ว่าล่ะ ตามหาเท่าไรก็ไม่เจอสักที!
4 ปีที่แล้ว….
ณ วัดดอนนาหอม
12.30 น.
ช่วงปลายสัปดาห์เวลาเที่ยงครึ่ง แสงแดดจ้าสาดส่องไปทั่ววัดดอนนาหอม สายลมพัดผ่านทุ่งนาอันกว้างไกล พร้อมกับเสียงเครื่องยนต์รถกระบะคันเก่าที่ขับเข้ามาจอดหน้าศาลาลานวัด
เสียงเบรกเอี๊ยดกับฝุ่นที่คลุ้งไปทั่วดึงสายตาของชาวบ้านที่กำลังซุบซิบกันอยู่ให้หันไปมอง
ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลา สันกรามคมชัด ผิวขาวเนียนละเอียดราวกับหลุดออกมาจากแมกาซีนอังกฤษกำลังก้าวเท้าลงจากรถ
เขาไม่ใช่ใครที่ไหนแต่คือพุฒิธร หรือ “พุฒิ” ลูกชายกำนันขจรที่เพิ่งกลับมาจากลอนดอน
เสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนหลวม ๆ กับกางเกงสแล็กขายาวสีดำ และรองเท้าหนังราคาแพงของเขาดูไม่เข้ากับความเป็น ‘นักเลงบ้านนอก’ สักเท่าไร
แต่แววตาคมกริบและท่าทางการวางมาดของเขาทำให้ไม่มีใครกล้าเข้ามาเอ่ยปากทักทาย ทุกสายตาจับจ้องเมื่อเขาโยนบุหรี่ในมือทิ้งลงพื้นแล้วเหยียบซ้ำ
“พ่อกูไปไหนวะ! อุตส่าห์ถ่อมาถึงนี่มีเรื่องจะคุยด้วยสักหน่อย” เสียงเข้มของเขาดังก้องไปทั่วลานศาลา
“เอ่อ... กำนันขจรไปช่วยชาวบ้านอยู่จ้ะ” ชายชราผมขาวสูงกำลังกวาดลานวัดอยู่ เดินมาบอกพุฒิธรที่ดูท่าทางไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไร
ในตอนนั้นเองสาวน้อยสาวใหญ่หลายคนที่นั่งมองอยู่ในศาลาวัดถึงกับหัวเราะคิกคัก บางคนก็แอบซุบซิบกัน
“พ่อกำนันขจรเคยเล่าว่ามีลูกชายหนึ่งคน ไม่คิดว่าจะหล่อขนาดนี้”
“ป๊าด! แต่งตัวโก้ หน้าตาก็หล่อ ฉันได้ยินว่าพ่อพุฒิธรเนี่ยโสดสนิท”
บางคนก็กลั้นยิ้มเมื่อเพื่อนกระซิบข้างหู “ถ้าฉันเป็นติดหนี้เขา ฉันจะยอมเป็นเมียขัดดอกไปตลอดชาติเลย”
พุฒิธรไม่ได้สนใจสายตาของสาวน้อยสาวใหญ่ที่ชม้อยชม้ายชายตาเหล่านั้นเลย
เขามีเป้าหมายเดียวในวันนี้คือคุยกับพ่อของเขาให้รู้เรื่องว่าจะไม่รับตำแหน่งผู้บริหารบริษัทส่งออกข้าวที่กรุงเทพซึ่งเป็นบริษัทของณัฐพรผู้เป็นแม่(เสียชีวิตไปนานแล้ว)
ปัจจุบันบริหารโดยญาติของณัฐพรซึ่งเป็นญาติฝั่งแม่ ทุกคนรอพุฒิธรทายาทสายตรงมารับช่วงต่อ
แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขาไม่อยากทำงานในบริษัทของแม่ตัวเองที่สร้างมากับมือ
เขาผัดผ่อนไปเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะเข้าไปเหยียบแม้แต่ก้าวเดียว ดันอยากกลับมาอยู่ในอำเภอเล็ก ๆ แห่งนี้ซะงั้น ที่สำคัญเขาจองตำแหน่งนักเลงขาใหญ่ปล่อยกู้นอกระบบเพียงคนเดียวเท่านั้น
ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะเจอหน้าพ่อเพื่อคุยเรื่องที่คิดไว้ เพื่อนของลูกน้องของพุฒิธรดันหลงผิดติดหนี้พนันที่บ่อนไก่ทำให้ถูกกระทืบจนสาหัส คนเป็นเพื่อนเห็นแล้วทนไม่ได้จึงแบกหน้ามาขอให้เจ้านายตัวเองช่วยแทน
“พี่พุฒิ ได้โปรดช่วยเพื่อนฉันด้วย ขืนปล่อยไว้ในบ่อนมันได้ถูกกระทืบตายแน่” ผดุงศักดิ์ชายหนุ่มวัยยี่สิบคุกเข่ากอดขาพุฒิธรหวังพึ่งบารมีของเขาในฐานะลูกชายกำนันขจร เจ้าตัวหันมามองลูกน้องที่ไม่ค่อยคุ้นหน้าคุ้นตาด้วยความแปลกใจ
“มึงอายุเท่าไรวะ ยังดูเด็กอยู่เลย”
“ฉันอายุ 20 จ้ะ ส่วนเพื่อนฉันที่กำลังถูกกระทืบก็อายุเท่าฉันนี่แหละจ้ะ”
“อายุยังน้อย แต่เสือกไปเล่นพนันไก่ชน เพื่อนมึงเงินเยอะขนาดนั้นเลยหรอวะ” เขาหันมามองด้วยสายตาดุดัน เจ้าตัวไม่เข้าใจความคิดของเด็กเกเรพวกนี้สักนิด พ่อแม่ไปอยู่ไหนก็ไม่รู้ทำไมปล่อยปละละเลย ไม่อบรมสั่งสอนลูก
“มันหน้ามืดตามัวหลงผิดคิดว่าเล่นพนันแล้วจะรวยเร็ว พี่พุฒิช่วยเพื่อนฉันเถอะจ้ะถือว่าทำบุญทำทานให้ลูกนกตาดำๆ”
พุฒิธรพยายามเชื่อว่าเด็กมันหลงผิดจริง ๆ แค่ช่วยเหลือไม่ให้มันถูกกระทืบตายและให้โอกาสมันก็พอ ถือซะทำบุญก็แล้วกัน