ปัณกรณ์'ต้องการที่ดินของ'ณิชา' เขาทำทุกอย่างโดยไม่สนวิธีการ วันที่เธอรู้ตัวว่ากำลังท้องและความจริงถูกเปิดเผยว่าเขาเข้ามาเพื่อประโยชน์ทำให้เธอเดินจากเขาไปด้วยความเสียใจ กระทั่งวนมาเจอกันอีกครั้ง! ตัวอย่าง "แม่ครับ โปรดจะได้มีพ่อเหมือนเพื่อนคนอื่นไหมครับ" "น้องโปรดครับ อยู่กับแม่ คุณตา คุณยาย แล้วก็น้าชยานิด มีความสุขไหมครับ" "มีครับ" "ถ้าอย่างนั้นเราอยู่กันแค่นี้ได้ไหมลูก" "ได้ครับ" ลูกชายสุดที่รักพยักหน้าหงึกเพราะรู้ว่ายังไงแม่ก็คงพาพ่อมาหาตัวเองไม่ได้ ภาพหญิงสาวจูงลูกชายที่สะพายกระเป๋าเป้ออกจากโรงเรียนทำให้ปัณกรณ์ที่นั่งสังเกตการณ์ในรถขมวดคิ้วชนกัน ความเคลือบแคลงสงสัยเริ่มก่อตัวขึ้นเรื่อย ๆ หากมองดูดี ๆ เด็กผู้ชายคนนั้นหน้าตาเหมือนเขาตอนเด็กไม่มีผิด
ตลาดน้ำคลองพนาลี
ยามเช้าแสงแรกของวันเริ่มส่องผ่านต้นไม้ใหญ่ เสียงน้ำไหลอย่างแผ่วเบาสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและมีชีวิตชีวา
มีเรือไม้ลอยอยู่บนผิวน้ำ บางลำมีพ่อค้าแม่ค้ากำลังจัดเตรียมสินค้า ตั้งแต่ผลไม้สด พืชผัก จนถึงอาหารพื้นเมืองอันหอมกรุ่น กลิ่นหอมของกาแฟและขนมอบลอยมาตามเส้นทางน้ำ
บางครั้งยังมีเสียงนกหวีดจากเรือที่แล่นผ่าน หรือเสียงพูดคุยเบาๆ ของผู้คนที่มาเดินทางมาในเช้านี้ สองข้างทางโดยรอบเต็มไปด้วยชีวิตชีวาแต่ก็ยังคงความสงบเหมาะแก่การพักผ่อน ต้นไม้รอบข้างให้ร่มเงา มีสายลมเย็นพัดผ่านทำให้บรรยากาศรู้สึกสดชื่น ราวกับว่าเวลาผ่านไปช้าๆ
ผู้คนหยุดพักนั่งลงบนม้านั่งใต้ร่มไม้ พูดคุยหรือเพียงแค่จิบกาแฟกันอย่าง Slow life ตลาดน้ำแห่งนี้จึงเป็นสถานที่ที่ทำให้ใจสงบและได้รับพลังบวกในการเริ่มวันใหม่
“ณิลูก มาช่วยแม่ยกสังขยาหน้ากุ้งไปหน้าร้านหน่อย”
เสียงเจ้าของตลาดน้ำตะโกนเรียกลูกสาวให้มาช่วยยกถาดขนมดังกล่าวมาจากด้านหลังครัวทำให้ ‘ณิชา’ หญิงสาววัย 20 ปีหันไปตามเสียงนั้นพร้อมรอยยิ้มสดใสที่ใครเห็นก็ต้องละลายกันเป็นแถบ
เธอกำลังเพลิดเพลินใจกับการจัดวางบุหลันดั้นเมฆ ลูกชุบ ขนมไข่ อินทนิล ให้ลูกค้าได้เลือกชมเลือกชิมได้อย่างหลากหลาย
“จ้ะแม่!” ลูกสาวคนสวยป้องปากตอบรับมาลีผู้เป็นแม่หรือที่ชาวบ้านในตลาดน้ำแห่งนี้เรียกว่า ‘เจ๊มาลี’
“ถาดขวามือนี้ใช่ไหมจ๊ะแม่?”
เจ๊มาลีพยักหน้าก่อนจะชวนลูกสาวพูดคุยเรื่องคนที่ตามตื๊อขอซื้อที่ดิน
“ช่วงนี้มีพวกนักธุรกิจติดต่อมาขอซื้อที่ดินกับตลาดน้ำของพวกเราถี่ขึ้น แม่ด่าไล่มันเปิงทุกวัน”
ในสายตาเจ๊มาลีหากมีเบอร์แปลกโทรเข้ามาส่วนใหญ่คือคนติดต่อขอซื้อที่ดิน รองลงมาจะเป็นมิจฉาชีพล้วน ๆ
“แล้ววันนี้มีโทรมาอีกไหมจ๊ะ ณิจะได้ช่วยพูดอีกแรงว่าอย่าติดต่อให้เสียเวลามันไม่ได้ผลหรอก” ณิพูดไปยิ้มไป เห็นแม่หงุดหงิดเพราะพวกนักธุรกิจจอมตื๊อบ่อย ๆ ก็อยากลองปฏิเสธแทนแม่บ้าง
“ตอนนี้ยังเช้าตรู่อยู่น่ะสิ สงสัยไอ้พวกนักธุรกิจมันยังไม่ตื่น ณิจำไว้นะลูกให้ตายยังไงก็ห้ามใจอ่อนขายที่ดินกับตลาดน้ำให้พวกมันเด็ดขาด” เจ๊มาลีพูดดักทางไว้ทุกครั้ง หล่อนรู้ว่าลูกสาวเป็นคนหัวอ่อน ไม่ค่อยทันเล่ห์เหลี่ยมคนจึงต้องคอยย้ำเสมอว่าห้ามขายเด็ดขาด!
“หัวเด็ดตีนขาดยังไง ณิไม่ยอมขายให้ใครทั้งนั้นจ้ะแม่ ครอบครัวพวกเรารวมถึงชาวบ้านที่นี่พึ่งพาอาศัยอยู่ด้วยกันมานาน ถ้าเราขายไปทุกคนจะไปอยู่ที่ไหนล่ะจ๊ะ”
“ดีมากลูก ถ้างั้นยกถาดไปวางหน้าร้านได้เลย” ณิชาส่งยิ้มหวานให้แม่ชื่นใจ ก่อนจะยกถาดขนมไปจัดเรียงต่อ
น้ำใบเตย! วันนี้ณิชาโชคดีเป็นพิเศษ ลุงสมหมายแจวเรือผ่านมาพอดี เขาได้รับการขนานนามว่าเป็นสุดยอดนักชงน้ำโบราณในย่านนี้
ณิชาจึงโบกมือเรียก และสั่งกาแฟโบราณสองขวดซึ่งเป็นของพ่อกับแม่ ส่วนน้ำใบเตยสั่งให้ตัวเองดื่มเพื่อความชื่นใจ
บริเวณหลังตลาดจะเป็นเขตที่ดินของเจ๊มาลีซึ่งบุญชัยผู้เป็นสามีจะรับหน้าที่ปลูกผักสวนครัว ผลไม้พื้นถิ่น ที่สำคัญมีผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกเป็นสูตรเฉพาะของชาวบ้านที่ตลาดแห่งนี้จัดจำหน่ายอีกด้วย
บริษัท ฉัตรคณา คอร์ปอเรชัน
‘ปราวิน’ ลูกชายคนโตเดินตรงเข้ามาในห้องของท่านประธานบริษัท เขามีเรื่องสอบถามเกี่ยวกับเมกะโพรเจกต์ที่วางแผนไว้นานแล้ว แต่มีความคืบหน้าน้อยมาก
“พ่อครับ เรื่องเจรจาขอซื้อที่ดินกับตลาดน้ำคลองพนาลีจากเจ้าของตลาดน้ำไปถึงไหนแล้วครับ ?”
“ได้เรื่องซะที่ไหนล่ะ ให้คนติดต่อไปก็แล้ว เสนอราคาไปก็แล้ว ฝั่งนั้นไม่รับข้อเสนอใด ๆ แถมปัดตกหมด”
‘สรันศักดิ์’ ผู้เป็นพ่อในวัย 50 กว่าใบหน้าดุดันรูปร่างสูงใหญ่ในสูทสีดำดูน่าเกรงขามตอบด้วยความหงุดหงิดใจ
ที่ผ่านมาเขาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในการเจรจาทุกโครงการยกเว้นครั้งนี้ที่พยายามเท่าไรก็ไม่เป็นผล
“ถ้างั้นพ่อให้ผมเป็นคนไปเจรจาดูไหมครับ...” ปราวินต้องการสร้างผลงานเพื่อพิสูจน์ตัวเองให้ทัดเทียมกับก็ผู้หญิงที่เขาหมายตา เพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยทำอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันสักครั้ง และมักถูกเปรียบเทียบกับน้องชายที่คิดว่าตัวเองสูงส่งอยู่เสมอ
“ฉันให้ลูกน้องมือดีไปเจรจายังไม่สำเร็จ แล้วน้ำหน้าอย่างแกจะไปคุยได้ยังไง”
ยังไม่ทันที่ปราวินจะอ้าปากของานนี้จากสรันศักดิ์เป็นครั้งที่สอง ก็ถูกปรามาสเสียก่อน
ในขณะนั้นเองชายหนุ่มร่างสูงผิวขาวใบหน้าหล่อคมในสูทสีดำราคาแพงเดินยิ้มยกมุมปากสูงเข้ามาภายในห้องพร้อมกับพกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม
“ไม่ต้องถึงมือใครหรอก ผมขอเวลาสักสองเดือนพอ…” เสียงของปัณกรณ์ลูกชายคนเล็กแทรกขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศสุดแสนจะอึดอัด
สรันศักดิ์ผู้เป็นพ่อเห็นท่าทางเย่อหยิ่งของลูกชายคนเล็กก็อยากจะรู้ว่าเขาเก่งเหมือนที่ผ่านมาหรือไม่ เพราะงานนี้หินจริง ๆ
“แกอยากลองก็ได้ ถ้าแกทำงานนี้สำเร็จ ฉันจะพิจารณาตำแหน่งประธานบริษัทให้ ถ้าแกทำไม่สำเร็จฉันจะปลดแกออกจากทุกตำแหน่ง!”
คำสั่งของท่านประธานค่อนข้างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเท่ากับว่าปัณกรณ์เดิมพันด้วยตำแหน่งรองประธาน ถ้าทำไม่สำเร็จก็เท่ากับว่าล้มเหลว นอกจากไม่มีตำแหน่งแล้วยังกลายเป็นคนตกงานอีก
เพราะปาฏิหาริย์ทำให้ กัญญา' ครูสาวผู้แสนดีฟื้นขึ้นมาในร่างของ 'สรานี' ภรรยาที่ร้ายกาจของคุณนาวี เธอไม่คิดมาก่อนว่าเขาเกลียดภรรยาตัวเองมาก และพยายามหาทางหย่าเพื่อจบความสัมพันธ์อัน toxic นี้ "คุณนาวี" เสียงเรียกในลำคอกับรอยยิ้มเบาบางที่ค่อยๆ ปรากฏบนใบหน้าไฮโซสาว ภายในใจอยากตะโกนบอกให้เขารู้ว่าเธอไม่ใช่สรานี แต่เธอคือครูต่ายคนที่เขาช่วยหาบน้ำที่หมู่บ้านบนดอย แต่กลัวว่าเขาจะไม่เชื่อ ทว่าสีหน้าท่าทางของหญิงสาวที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาลค่อนข้างแปลกจนทำให้ชายหนุ่มตรงหน้าถึงกับคิ้วขมวดมุ่น ที่ผ่านมาสรานีไม่เคยยิ้มให้เขาแบบนี้มาก่อน "ไหนว่าความจำเสื่อมไง ก็จำชื่อพี่ได้นี่" คำพูดที่ดูดุดันเย็นชาทำให้กัญญาชะงักไปชั่วขณะ คุณนาวีที่เธอรู้จักเป็นผู้ชายที่สุภาพ อ่อนโยน ไม่น่าพูดจาแข็งกร้าวราวกับเธอเช่นนี้ ที่สำคัญสายตาของเขาไม่เหมือนสายตาของคนใจดีที่เคยช่วยเหลือทุกคนบนหมู่บ้านบนดอย มีเรื่องอะไรที่ทำให้เขาเปลี่ยนไปกันนะ "คือฉัน" "ถ้าไม่ได้ความจำเสื่อมก็ดี งั้นก็เซ็นใบนี้ให้พี่ที" เขาหยิบใบหย่าที่พกติดตัวขึ้นมาวางบนโต๊ะรับแขกเพื่อให้สรานีเซ็น ห๊ะ! อะไรกันเนี่ย? หญิงสาวถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก จู่ๆ มาให้เซ็นใบหย่า แล้วเธอจะเซ็นได้อย่างไรในเมื่อเธอไม่ใช่คุณสรานี มันตัดสินใจแทนกันได้ที่ไหน ซวยชะมัดที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์บ้าๆแบบนี้ ตัวละครหลัก ‘นาวี’ ลูกชายวัยสามสิบของหม่อมหลวงอรัญเขาเป็นชายหนุ่มลูกผู้ดีผู้เพียบพร้อมทุกอย่าง ทว่าถูกบังคับให้แต่งงานกับ ‘สรานี’ ลูกสาวเจ้าสัวสายปาร์ตี้ซึ่งนิสัยต่างกันราวฟ้ากับเหว ความสัมพันธ์อัน TOXIC ทำให้เขาเกลียดเธอจนต้องขอหย่าให้ได้ ทว่าสรานีดันรถชนความจำเสื่อม เธอกลายเป็นอีกคน…. ‘กัญญา’ นักศึกษาจบใหม่วัยยี่สิบสามเธอขึ้นฟื้นขึ้นจากความตายมาอยู่ในร่างของคุณสรานี ก่อนหน้านี้เธอเป็นครูอาสาจากบนดอย อัธยาศัยดีหน้าตาน่ารัก สุภาพ อ่อนโยน มีโรคหัวใจเป็นโรคประจำตัว
คุณปู่ตายทิ้งมรดกเป็นไร่สุดโทรม 500 ไร่ให้สาริน แต่ความรู้ไม่มีต้องปลอมตัวไปฝึกงานที่ไร่คู่แข่งกลับกลายเป็นการป่วนหัวใจของเขมราชเจ้าของไร่ที่ขึ้นชื่อว่า 'ดุยิ่งกว่าราชสีห์’ "การทำงานในไร่อาจจะไม่ง่ายอย่างที่คิด แต่การเรียนรู้เรื่องหัวใจ อาจจะยากยิ่งกว่า" ......................................................... หลังจากเขมราชฟื้นขึ้นจากการถูกตีบริเวณศีรษะ เขาหันไปถามพยาบาลประจำไร่สองคนด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวว่ายัยตัวต้นเรื่องที่ทำให้เขาบาดเจ็บอยู่ไหนซึ่งพวกเธอก็ชี้ไปด้านหน้าออฟฟิศ "เธอ..." เขาเอ่ยเสียงต่ำ แต่แฝงไปด้วยความเยือกเย็น ตอนนี้ชีวิตของเธอไม่ต่างจากลูกไก่ในกำมือเขา "ฉะ ฉัน... ฉันขอโทษค่ะ ก็เห็นคุณก้ม ๆ เงย ๆ คิดว่ามาขโมยของ" ริมฝีปากบางพยายามเอ่ยอธิบายทั้งที่ยังตื่นตกใจ เขมราชกัดฟันกรอด กำมือแน่น มองหน้าเธออย่างไม่เชื่อสายตา "ขโมยบ้าอะไร ฉันเป็นเจ้าของไร่ภูเคียงชล!" สารินหน้าซีด เธอรู้ว่าตัวเองทำพลาดครั้งใหญ่ ทีนี้จะทำอย่างไรดี หวังว่าเขาคงไม่ไล่ตะเพิดเหมือนที่คิดไว้ ทว่าคำพูดของเขาดันตรงกับสิ่งที่ตรงคิดไว้เป๊ะ "ออกไปจากไร่ฉันเดี๋ยวนี้" ซวยแล้วเขาไล่เธอจริง ๆ ด้วย สารินต้องรีบคิดหาวิธีขออยู่ต่อเพราะเธอไม่อยากสูญเสียโอกาสในการเรียนรู้การทำไร่ ในที่สุดสารินก็ทรุดตัวลงกอดขาของเขา "ฮืออออ คุณเขมราช!!! ได้โปรดเถอะค่ะ ฉันต้องการงานนี้จริง ๆ ฉันมาจากกรุงเทพ โดนไล่ออกจากงานแม่บ้านทำให้ต้องหางานที่นี่ ช่วยให้โอกาสฉันด้วย ฮึก ฮืออออออ" สารินแสร้งทำเป็นร้องไห้โฮทั้งที่ไม่มีน้ำตาสักหยด ไม่ว่าจะสาธยายความน่าสงสารของตัวเองมากแค่ไหน เขมราชก็ไม่สนใจ ตอนนี้เธอเหมือนคนบ้าในสายตาเขา รวมถึงคนงานคนอื่นที่มองมาอีกด้วย ตัวละครหลัก เขมราช ครองกิตติประเสริฐ หรือนายเขม อายุ 26 ปี เจ้าของไร่ภูเคียงชล หล่อ สูง หน้าคมเป็นผู้มีอิทธิพลและกว้างขวางในเขตภาคเหนือ เขาเป็นเจ้านายใจดี อ่อน โยนมีเมตตากับลูกน้อง ตั้งแต่อกหักรักจากนางเอกสาวทำให้เขาต้องเปลี่ยนเป็นคน ไม่ดูแลตัวเอง และดุขึ้นกว่าเดิม รอวันที่มีใครสักคนมาทลายกำแพงหัวใจ สาริน ปิ่นประดับเพ็ญ หรือ สา อายุ 23 ปี ดีไซเนอร์สาวถังแตกจากนอเวย์ ได้รับมรดกเป็นไร่ภิรมย์รินจากคุณปู่ แต่ทำไร่ไม่เป็นทำให้ต้องปลอมตัวไปฝึกงานในไร่คู่แข่งซึ่งการเจอกันระหว่างสารินกับเขมราชทำให้เขาสงสัยในตัวเธอและหาทางจับผิดสารพัด
"เควิน" เจ้าพ่อมาเฟียและนักสะสมของเก่าผู้ทรงอิทธิพลได้มาเจอกับ "นาลัน" นักศึกษาสาวฐานะยากจนที่ได้นำของปลอมมาขายให้เขา หลังจากที่ถูกจับได้ทำให้นาลันตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เควินยื่นข้อเสนอให้นาลันจดทะเบียนสมรสกับเขาเพื่อแลกกับการที่ไม่ต้องมีคดีความ
คุณหนูไฮโซยอมทำทุกอย่างเพื่อให้เขารัก แต่ก็สุดท้ายก็ไม่ได้ผล เธอยอมแพ้ และเลือกเดินจากไปพร้อมของขวัญที่เขาทิ้งไว้ให้คือลูกในท้อง! ตัวอย่าง อติกานต์มองไกลๆก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคราผู้หญิงคนนั้นอย่างบอกไม่ถูก... มือหนาถอดแว่นกันแดดออก เขาขยี้ตาอีกครั้ง และพบว่าผู้หญิงที่กำลังคุยกับชาวต่างชาติคนนั้นคืออิงชนา! เธอก็กำลังท้องอยู่... ที่สำคัญเธอท้องโตจนใกล้จะคลอดแล้วด้วย! อติกานต์แทบทรุดเมื่อรู้ว่าอิงชนากำลังท้อง คำถามมากมายผุดขึ้นเต็มหัวไปหมด ทำไมเธอถึงไม่บอกเขาสักคำ ทั้งๆที่เด็กในท้องก็คือลูกเขาเช่นกัน!
'คุณหมอเกี่ยวก้อย' บุกไปตามน้องชายที่ทำตัวเกเรเป็นลูกน้อง 'พุฒิธร' นักเลงหน้าหล่อขวัญใจสาวๆ แต่ตามไปตามมาดันพลาดท้องซะงั้น! ตัวอย่าง ขณะที่กำลังจะก้าวออกจากร้านกาแฟ ประตูร้านถูกผลักออกไปอย่างแรงโดยไม่ทันระวัง หมอเกี่ยวก้อยชนเข้ากับใครบางคนอย่างจัง "ขอโทษค่ะ!" เธอรีบกล่าวคำขอโทษทันทีทำให้เอกสารที่อยู่ในมือปลิวกระจัดกระจายไปทั่วพื้น "ไม่เป็นไรครับ ผมช่วยเก็บ" เสียงของชายคนนั้นฟังดูสุภาพและใจดีเกินกว่าที่เธอคาดไว้ เขาก้มลงช่วยเก็บเอกสาร เมื่อเงยหน้าขึ้นสบตากัน หัวใจของเธอแทบหยุดเต้น พุฒิธร! เขาคือพ่อของลูก! คนที่เธอพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอดหลายปี ร่างสูงสวมเสื้อเชิ้ตแบรนด์หรู กางเกงขายาวสีดำ รองเท้าหนัง ดูภูมิฐานราวกับคนละคนกับในอดีต เขาเคยเป็นนักเลงทวงหนี้แห่งบ้านดอนนาหอมแน่เหรอ "คุณ...มาที่นี่ได้ยังไง?" หมอเกี่ยวก้อยถามเสียงสั่น
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
เพราะคิดว่าเป็นความฝัน ฉินหร่านจึงร่วมมือบรรเลงเพลงรักอย่างไม่ได้ตั้งใจ ไฉนตื่นขึ้นมาถึงมีสามีเป็นของตัวเอง อีกทั้งสามีนางยังตาบอดอีกด้วย! แต่นั่นไม่น่าตกใจ เท่ากับที่นางมาอยู่ในร่างเด็กสาวในยุคจีนโบราณ ที่ไม่มีในประวัติศาสตร์ อีกทั้งร่างนี้ถูกขายให้มาเป็นภรรยาของชายตาบอด แต่ไหนๆ ก็มาแล้วจึงจะใช้ชีวิตให้ดี ส่วนสามีนะหรือ หล่อขนาดนั้น แซ่บขนาดนี้ เดินหน้าเกี้ยวสามีสิ จะรออะไร!
เซิ่งหนานหยินเกิดใหม่แล้ว ชาติที่แล้ว เธอถูกชายชั่วหักหลัง ถูกชายเสแสร้งใส่ร้าย โดนครอบครัวสามีเล่นงาน จนทำให้เธอล้มละลายและเป็นบ้าไป ในท้ายที่สุด เธอเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเธอตั้งครรภ์ได้ 9 เดือน แต่คนร้ายกลับทำเงินได้มากมาย และใช้ชีวิตทั้งครอบครัวอย่างมีความสุข เกิดใหม่ครั้งนี้ เซิ่งหนานหยินคิดตกอล้ว อะไรที่ว่าพระคุณช่วยชีวิต คนรักในใจอะไรกัน ล้วนไม่ต้องไปสน เธอจะจัดการชายชั่วหญิงร้าย สร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลเก่าของตนเองขึ้นมาใหม่อีกครั้งและนำตระกูลเซิ่งไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ คนที่หยิ่งมาตลอดในชาติที่แล้ว กลับเป็นฝ่ายริเริ่มมาหาเธอ "เซิ่งหนานหยิน การแต่งงานครั้งแรกผมไม่ทัน การแต่งงานครั้งที่สองก็ต้องถึงคิวผมแล้วสินะ"
"ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ" "โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ" ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร "คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ" ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า "ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?" นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน
หลังจากแต่งงานกันมาสองปี สามีของเธอไม่เคยเหยียบเข้าไปในบ้านและมองดู 'ภรรยาขี้เหร่' ของเขาเลย แถมเขาก็มีเรื่องอื้อฉาวกับดาราหน้าใหม่หลายคนทุกวัน ซูเหว่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอตัดสินใจปล่อยเขาไป ต่อไปก็ต่างคนต่างไปเลย แต่เมื่อเธอเสนอเรื่องหย่า... ฟู่เหยียนอันพบว่านักออกแบบในบริษัทนั้นสะดุดตาเป็นพิเศษ เขาค่อยๆ ทำความรู้จักกับเธอเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเธอเข้า เขาเสียใจแล้ว
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"