หยางซูมี่บุตรีคนโตแห่งจวนเสนาบดี จำต้องแต่งเข้ามาเป็นพระชายาของอ๋องทมิฬตามบัญชาของฮ่องเต้แต่ในเมื่อนางแต่งเข้ามา สามีเฉยชา ไม่สนใจนาง ทั้งยังแต่งชายารองเข้ามา ทำไมนางต้องเอาชีวิตไปผูกกับเขาด้วย
บทที่ 1
กองทัพพยัคฆ์ทมิฬ
“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ แย่แล้วเจ้าค่ะ”
เสียงสาวใช้ประจำตัวของคุณหนูใหญ่แห่งจวนเสนาบดีกรมคลัง ตะโกนลั่นไปทั่วทั้งจวน นางนั้นหาได้สนใจธรรมเนียมปฏิบัติอันควรของสาวใช้ไม่ ด้วยความตกใจปนตื่นตระหนกเมื่อได้รับข่าวสารจากภายนอก
“มีอะไร ไยต้องตะโกนเสียงดังด้วยเจินเจิน” เสียงสตรีหวานละมุนที่นั่งอยู่บนตั่งภายในเรือนของตนดังขึ้นมาด้วยความสงสัย
“คุณหนูเจ้าคะบ่าวไปตลาดมาเจ้าค่ะ ได้ยินพวกชาวเมืองพูดกันไปทั่วว่าแคว้นเซี่ยของเรามีชัยชนะเหนือแคว้นศัตรูได้แล้วเจ้าค่ะ” เสียงกระหืดกระหอบเอ่ยตอบกลับออกมา
“นี่ช่างเป็นข่าวดียิ่งนัก แล้วเหตุใดไยเจ้าถึงทำตัวดั่งมีข่าวร้ายด้วยเล่า”
“นอกจากบ่าวจะได้ยินข่าวดีที่แคว้นเราได้รับชัยชนะกลับมา แต่บ่าวยังได้ยินชาวเมืองเขาลือกันให้ทั่วว่าเมื่อท่านอ๋องทรงเสด็จกลับมา ฮ่องเต้จะทรงพระราชทานรางวัลเป็นสมรสพระราชทานให้กับท่านอ๋องเจ้าค่ะ”
“เจ้าคงไม่ได้หมายความว่า...” คิ้วเรียวดั่งคันศรเริ่มขมวดกันเป็นปม เมื่อสังหรณ์ในใจของนางกำลังร้องเตือนขึ้นมา
“คุณหนูคิดไม่ผิดหรอกเจ้าค่ะ บุตรีที่สามารถจะแต่งเข้าจวนของท่านอ๋องได้ หากนับดูในเมืองหลวงแล้วเห็นจะมีเพียงสตรีแค่สามคนเท่านั้นเจ้าค่ะ คุณหนูหม่าลี่เหมยแห่งจวนเสนาบดี คุณหนูจ้าวเหมยอิงแห่งจวนแม่ทัพ และคุณหนูหยางมี่ของบ่าวอย่างไรเล่าเจ้าคะ”
เจินเจินอธิบายให้เจ้านายสาวฟัง พร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
หยางซูมี่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับตาขวากระตุกถี่ยิบ สังหรณ์ในใจของนางไม่คลาดเคลื่อนเลยแม้แต่น้อย ร่างบางได้แต่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนด้วยความกลัดกลุ้มใจ
หลังจากนั้นเพียงหนึ่งเดือน กองทัพของท่านอ๋องเซี่ยเหวินหรงก็ได้เดินทางมาถึงเมืองหลวงแคว้นเซี่ย บุรุษร่างสูงใหญ่ในชุดเกราะสีดำเงาวาววับนั่งอยู่บนหลังอาชาสีขาว จะเป็นผู้ใดไปไม่ได้เขาคือ ท่านอ๋องเซี่ยเหวินหรง ผู้บัญชาการทหารกองทัพพยัคฆ์ทมิฬ ผู้กุมกำลังพลทหารกว่าสองแสนนายที่สามารถเอาชนะแคว้นฉินได้ภายในระยะเวลาเพียงแค่หกเดือนเท่านั้น
ตลอดสองข้างฝั่งถนนล้วนมีราษฎรชาวแคว้นเซี่ยออกมายืนรอต้อนรับกองทัพพยัคฆ์ทมิฬของท่านอ๋องเซี่ยเหวินหรงกันอย่างล้นหลาม บ้างก็ตะโกนเรียกขานพระนามของท่านอ๋องเซี่ยเหวินหรง บ้างก็พากันโยนดอกไม้ ทั้งยังมีหญิงสาวใจกล้าบางคนโยนผ้าเช็ดหน้ามาให้ ขณะที่เซี่ยเหวินหรงขี่ม้าผ่านหน้าไป ช่างน่าเสียดายที่สายตาคู่คมนี้ไม่ได้แยแสต่อสิ่งรอบข้างเลยแม้แต่น้อย เพราะในใจของเขากำลังหนักอึ้งกับรางวัลที่เสด็จพี่ผู้เป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นเซี่ยจะพระราชทานให้เขาเสียมากกว่า ซึ่งรางวัลนี้เขาไม่ได้ปรารถนาเลยแม้แต่น้อย
เซี่ยเหวินหรงเดินทางมาเข้าเฝ้า ฮ่องเต้เซี่ยเฟยหลง ยังท้องพระโรงของพระราชวัง ภายในท้องพระโรงล้วนเต็มไปด้วยบรรดาขุนนางที่มาเข้าเฝ้าเพื่อมาประชุมเช้ากันอย่างพร้อมเพรียงหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้
“กระหม่อมเซี่ยเหวินหรง ถวายพระพรฝ่าบาทขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น หมื่นปีพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยเหวินหรงก้าวเท้าออกมายืนข้างหน้าพร้อมกับคุกเข่าถวายพระพรฮ่องเต้เต็มพิธีการ
“รีบลุกขึ้นเร็ว รีบรายงานข่าวการศึกกับแคว้นฉินให้เจิ้นฟังเร็วเข้า”
เซี่ยเฟยหลงเอ่ยอย่างเร่งเร้า พระองค์นั้นอยากจะทรงทราบข่าวการศึกว่าแท้จริงนั้นเรื่องราวเป็นอย่างไรบ้าง แต่นอกจากอยากจะทรงทราบข่าวการศึก พระองค์ก็กำลังทรงรอคอยที่จะเอ่ยโอฐรีบพระราชทานรางวัลความดีความชอบให้กับน้องชายของพระองค์เสียมากกว่า แผนการทุกอย่างพระองค์ได้จัดเตรียมไว้หมดแล้ว เพียงรอให้ถึงวันพรุ่งนี้ในงานเลี้ยงฉลองชัยชนะ พระองค์จะทรงพระราชทานรางวัลให้กับน้องชายอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ทั้งในส่วนลึกของจิตใจพระองค์ยังทรงรู้สึกติดค้างกับน้องชายผู้นี้มากเหลือเกิน
“ทูลฝ่าบาทตามที่ม้าเร็วส่งสาสน์มาแจ้งก่อนหน้านี้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมตัดศีรษะของแม่ทัพแคว้นฉินได้สำเร็จพ่ะย่ะค่ะ ยึดเอาดินแดนทางทิศเหนือที่อยู่ติดกับแคว้นเซี่ยของเรา หลังจากนั้นฮ่องเต้แคว้นฉินก็ได้ทรงยกธงขาวยอมแพ้ เนื่องจากแคว้นฉินขาดเสบียงที่ทหารของฝ่ายเราลักลอบเข้าไปเผาถึงในค่ายทหารแคว้นฉินได้สำเร็จพ่ะย่ะค่ะ
ตอนนี้ทางแคว้นฉินกำลังเร่งจัดเตรียมคณะราชทูตเพื่อเดินทางมาเจรจาสงบศึก และชดใช้ค่าสินสงครามแก่แคว้นเซี่ยพ่ะย่ะค่ะ ทหารฝั่งเราบาดเจ็บกว่าพันนาย พิการห้าสิบนาย ตายในสนามรบอีกหนึ่งพันนาย รายนามชื่อของทหารกับรายละเอียดในส่วนที่เหลือ กระหม่อมจะเขียนฎีกาถวายพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยเหวินหรงเอ่ยด้วยน้ำเสียงดังฟังชัดทุกถ้อยคำทั้งหมด เขาหมายอยากจะให้ทุกคนในท้องพระโรงแห่งนี้ตระหนักได้ว่า สงครามครั้งนี้แม้ว่าแคว้นเซี่ยจะได้รับชัยชนะกลับมา แต่ก็ต้องสูญเสียทั้งกำลังคนและกำลังทรัพย์ไปเป็นจำนวนมากเช่นกัน
“ดียิ่งนัก ครั้งนี้เจ้าทำผลงานไว้ได้ดีมาก ทหารทุกนายที่พลีชีพและเสียสละเพื่อแคว้นเซี่ย เจิ้นจะมอบรางวัลและตอบแทนความเสียสละครั้งนี้ของพวกเขาทุกคนอย่างเหมาะสมแน่นอน วันพรุ่งนี้เจิ้นจะจัดงานเลี้ยงเพื่อฉลองชัยชนะในครั้งนี้ เจ้ารีบกลับไปเตรียมตัวเถอะ”
เซี่ยเหวินหรงเมื่อเอ่ยถวายรายงานจบ ได้กลับไปยืนยังตำแหน่งของตนเอง เซี่ยเฟยหลงและขุนนางต่างถกราชการเช้ากันต่อไป หลังจากที่ประชุมเช้าเสร็จ เซี่ยเหวินหรงได้เดินทางไปขอเข้าเฝ้าไทเฮามู่อิงฮวา พระราชมารดาของฮ่องเต้เซี่ยเฟยหลง และเป็นพระมารดาเลี้ยงของเขาด้วย
เซี่ยเหวินหรงนั้นถือกำเนิดมาจากฮ่องเต้รัชกาลก่อนกับพระสนมเอกเว่ยกุ้ยเฟย พระมารดาของเซี่ยเหวินหรงสิ้นพระชนม์ตั้งแต่เขาอายุได้เพียง 5 หนาวเท่านั้น มู่อิงฮวาที่ ณ เวลานั้นดำรงตำแหน่งฮองเฮาได้ทูลขอกับฮ่องเต้ขอรับเซี่ยเหวินหรงมาเลี้ยงดูคู่กันกับเซี่ยเฟยหลงซึ่งในเวลานั้นได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาทแล้ว
เซี่ยเหวินหรงอายุห่างกับเซี่ยเฟยหลงถึง 15 ปี ทำให้เซี่ยเฟยหลงอดจะเอ็นดูน้องชายคนนี้ไม่ได้ เช่นเดียวกับเซี่ยเหวินหรงเองก็มีความรักความผูกพันกับเซี่ยเฟยหลงและมู่อิงฮวามากเช่นกัน ทุกครั้งที่เขากลับมาจากสนามรบจะต้องแวะเวียนไปเยือนยังตำหนักหย่งเหิงซึ่งเป็นที่ประทับของไทเฮามู่อิงฮวาเสมอ
“ท่านอ๋องเซี่ยเหวินหรงมาขอเข้าเฝ้าเพคะ”
นางกำนัลหน้าตำหนักหย่งเหิงเอ่ยคำรายงาน เมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าของตำหนัก จึงได้ทูลเชิญเสด็จเซี่ยเหวินหรงให้เข้าไปยังด้านในทันที
ภายนอกของตำหนักหย่งเหิงตกแต่งด้วยดอกไม้นานาพันธุ์จากทั่วทั้งแคว้น งดงามดั่งสวนสวรรค์ก็ไม่ปาน ด้านหลังยังมีสระน้ำขนาดเล็กที่มีปลาตัวน้อยหางสีสวยสดงดงามที่ได้รับมาจากต่างแดน ร่มเงาของตำหนักมีต้นท้อที่กำลังออกดอกบานสะพรั่งไปทั่วทั้งตำหนัก กล่าวได้ว่าตำหนักหย่งเหิงนั้นถูกรังสรรค์ให้งดงามดุจดั่งสวนบุปผาสวรรค์ก็ไม่ผิดนัก
เซี่ยเหวินหรงก้าวเท้าเดินเข้าไปยังตำหนักที่เขาคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก ขาที่กำลังก้าวไปยังห้องโถงของตำหนักที่ประดับไปด้วยแจกัน และปะการังสีเลือดต้องหยุดชะงักลงชั่วครู่ ก่อนจะก้าวเดินเข้าไปอย่างมั่นคง
“ถวายพระพรเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ ขอพระองค์ทรงพระเจริญพันปี พัน พันปีพ่ะย่ะค่ะ”
มู่อิงฮวาที่กำลังนั่งสนทนากับสตรีงดงาม จำต้องหยุดชะงักลงเมื่อพบว่าผู้ใดที่เพิ่งเข้ามาใหม่ พระนางรีบลุกจากเก้าอี้ไม้เดินเข้าไปประคองร่างสูงของเซี่ยเหวินหรงให้ลุกขึ้นยืน ทั้งยังส่งพระเนตรดุมองมาอย่างไม่พอใจนัก
“จะต้องมากพิธีไปไยเจ้าเด็กคนนี้นี่ กลับมาได้เสียทีไม่คิดถึงแม่บ้างเลยหรืออย่างไร แล้วนี่เจ้าบาดเจ็บตรงที่ใดบ้างหรือไม่ขอแม่ดูหน่อย”
มู่อิงฮวารัวคำถาม แล้วจับร่างสูงหมุนตัวไปมาพลางทอดพระเนตรสำรวจดูเพื่อมองหาบาดแผล
“ลูกทำให้เสด็จแม่ต้องทรงเป็นห่วงแล้ว ขอทรงโปรดลงพระอาญาด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยเหวินหรงเอ่ยเสียงทุ้มเข้ม นัยน์ตาทอประกายความอบอุ่นออกมา
“เจ้ากลับมาไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว แม่จะแนะนำฮวาเอ๋อร์ให้เจ้ารู้จัก”
มู่อิงฮวาทอดพระเนตรไปทางหลานสาว มู่เหลียนฮวาคือบุตรสาวคนโตของน้องชายพระนาง มู่เหลียนฮวาเป็นสตรีที่มีรูปโฉมงดงามอ่อนหวาน กิริยามารยาทก็เรียบร้อยเหมาะสมที่จะแต่งเข้ามาเป็นพระชายาเอกของเซี่ยเหวินหรงเป็นที่สุด ติดเพียงทั้งสองยังไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน มู่อิงฮวาจึงตั้งปณิธานที่จะเป็นผู้เฒ่าจันทราสักครั้ง
“หม่อมฉันมู่เหลียนฮวาถวายพระพรท่านอ๋องเพคะ”
มู่เหลียนฮวายอบกายลงคารวะ พลางช้อนสายตาหวานมองเซี่ยเหวินหรงด้วยความเขินอาย ใบหน้างดงามแดงก่ำด้วยความขัดเขิน นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พบท่านอ๋องเซี่ยเหวินหรง ไม่นึกว่าท่านอ๋องจะเป็นบุรุษที่น่าเกรงขาม และหล่อเหลาถึงเพียงนี้
“ลุกขึ้นเถิดคุณหนูมู่ ลูกไม่ทราบว่าเสด็จแม่มีแขก เช่นนั้นไว้คราวหน้าลูกค่อยมาเข้าเฝ้าเสด็จแม่ใหม่ ทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยเหวินหรงเข้าใจพระประสงค์ของไทเฮาดี เขาปรายสายตาคมดุมองท่าทางของมู่เหลียนฮวาด้วยความเบื่อหน่าย จากนั้นจึงรีบหันไปทูลลาไทเฮา ไม่รอให้พระนางทรงอนุญาตเขาก็เดินจากไปไกลลิบแล้ว
มู่เหลียนฮวาได้แต่ยืนค้างในท่าทำความเคารพ นัยน์ตาหวานเบิกตามองด้วยความตกตะลึง นี่ท่านอ๋องทรงรังเกียจนางจนต้องรีบเร่งจากไปเลยอย่างนั้นหรือ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเสียหน้าและไม่พอใจ มู่อิงฮวาเองก็คาดไม่ถึงว่าเซี่ยเหวินหรงจะรีบจากไปเร็วถึงเพียงนี้ พระนางเองก็ทรงรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อยแต่จะให้ทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อตัวคนก็ไม่อยู่ให้ตำหนิเสียแล้ว
แต่งงานกับมู่หนานจือมาเป็นเวลาสามปี ซูป้านเซี่ยคอยดูแลและเอาใจเขามาโดยตลอด แต่สุดท้ายสิ่งที่ได้รับจากเขาคือความเย็นชาและความรังเกียจ เมื่อคนรักของมู่หนานจือกลับมา เธอก็รู้สึกว่าสามีของเธอยิ่งห่างเหินจากเธอ ในที่สุด เธอไม่สามารถทนต่ออีกต่อไปและเป็นฝ่ายเสนอให้หย่ากัน มู่หนานจือมองตามหลังซูป้านเซี่ยที่กำลังลากกระเป๋าเดินทางออกจากบ้าน ก็พนันกับเพื่อนว่า "ดูเอาเถอะ สักวันหนึ่งเธอจะต้องเสียใจและกลับมาอ้อนวอนแน่ ๆ " ซูป้านเซี่ยได้ยินก็ยิ้มอย่างเย็นชา"มู่หนานจือ ฝันไปเถอะ" ผ่านไปหลายวัน มู่หนานจือบังเอิญพบว่าอดีตภรรยาของตนฉลองการหย่าร้างในบาร์ และจากนี้ไปอีกไม่นาน เธอก็มีแฟนหนุ่มใหม่แล้วด้วย เวลานี้เอง มู่หนานจือถึงเริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมา เพราะเขาพบว่าผู้หญิงที่เคยรักเขาอย่างเอาเป็นเอาตายนั้น ตอนนี้ดูเหมือนไม่ได้สนใจเขาอีกต่อไปแล้ว แล้วเขาควรจะทำอย่างไร
' "เจ้าชายฮิมราน บิน ฮาเซม อัล-ราชิด" องค์มกุฎราชกุมารแห่งประเทศความาร์ เดินทางมาประเทศไทยเพื่อดูตัวว่าที่เจ้าสาวที่ถูกพระมารดาบังคับให้แต่งงานด้วย เขาเต็มไปด้วยความชิงชังเมื่อเห็นหล่อนเดินเฉิดฉายอยู่ในผับยามค่ำคืน ท่าทางใสซื่อไร้เดียงสาของหล่อนที่พยายามแสดงออกมานั้นไม่ได้ทำให้เขาซาบซึ้งใจแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเขาแทบยากจะอาเจียนออกมา เพราะเขารู้อยู่เต็มอกว่าผู้หญิงอย่างหล่อนไม่มีทางเป็นชายาที่ดีของเขาได้อย่างแน่นอน นอกเสียจาก... นางบำเรอ!
หลังจากแต่งงานมาสามปี เสิ่นเนียนอันคิดว่าตนเองสามารถเอาชนะใจโฮ่วอวินโจวได้ แต่กลับพบว่าเขามีเพียงคนรักแรกอยู่ในใจ "ฉันจะปล่อยเธอไปหลังจากที่เธอคลอดลูก" ในวันที่เสิ่นเนียนอันมีปัญหาในการคลอดบุตร โฮ่วอวินโจวได้พาผู้หญิงอีกคนออกจากประเทศด้วยเครื่องบินส่วนตัว "ไม่ว่าคุณจะชอบใครก็แล้วไป สิ่งที่ฉันเป็นหนี้คุณ ฉันคืนให้หมดแล้ว" หลังจากที่เสิ่นเนียนอันจากไป โฮ่วอวินโจวก็เสียใจ "กลับมาหาฉันอีกครั้งได้ไหม"
นัชชาแต่งงานครั้งที่สองกับครอบครัวคนรวย เธอมีสามีชื่อบารมี เขาเสื่อมสมรรถนะภาพทางเพศเลยชอบให้เธอยั่วคนอื่นเพื่อสร้างอารมณ์อยากให้กับเขา อยู่ๆไปลูกชายในบ้านเกิดเกเรคนเล็กติดเกมส์คนโตติดยา ผัวรักเลยสั่งให้แม่เลี้ยงคนสวยอ่อยลูกเลี้ยงให้เขาดู การทำให้ลูกติดแม่ดูเหมือนจะเป็นการแก้ปัญหาที่ดี ไปๆมาๆกลับตาลปัตรถึงขั้นผัวหาวิธีให้ลูกชายตัวเองเอากับแม่เลี้ยงคนสวย บ้านนี้มั่วเซ็กส์กันไปหมดเมื่อลูกคนโตและคนเล็กได้นัชชาเป็นเมียแทนที่จะเป็นแม่ การใช้ชีวิตแบบสี่คนผัวเมียจะเป็นยังไงเชิญติดตามดูได้เลยค่ะ.......
เจ้าของร่างเดิมถูกท่านย่าตัวเอง ขายให้ชายพิการด้วยเงินเพียงห้าตำลึง จึงคิดสั้นไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทำให้วิญญาณของเซี่ยซือซือทะลุมิติมาเข้าร่างแทน ชีวิตในโลกนี้บิดามารดาล้วนตายไปแล้ว เหลือเพียงน้องสาวกับน้องชายร่างกายผอมแห้งหิวโซสองคน เธอต้องช่วยพวกเขาให้รอด ก่อนจะถูกคนชั่วพวกนี้ขายทิ้งไปแบบเธอ 1 : ทะลุมิติ แคว้นจ้าว หมู่บ้านตระกูลแซ่อวี่ ภายในบ้านสกุลเซี่ย “ท่านพี่รีบกินเร็วเข้า” เสียงเด็กเล็กดังก้องอยู่ข้างหูอย่างน่ารำคาญ ว่าแต่ฉันมีน้องชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รู้สึกได้ถึงอะไรแข็ง ๆ มาแตะที่ริมฝีปาก ทว่ายังลืมตาไม่ขึ้น “ท่านพี่กินสิ ๆ” เซี่ยซือซือรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะ พยายามที่จะเปิดดวงตาขึ้นมอง เจ้าของเสียงเล็ก ๆ ด้านข้าง “ท่านพี่ ๆ ท่านพี่อย่าตายนะ ลืมตาสิท่านพี่” “นังตัวดีออกมาเดี๋ยวนี้นะ !” เสียงเอะอะโวยวายดังหนวกหูเซี่ยซือซือเป็นอย่างมาก ปัง ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อย ๆ เซี่ยซือซือลืมตาขึ้นจนได้ พลันสมองกลับมีเรื่องราวพรั่งพรูเข้ามาไม่ขาดสาย จนต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด อ๊าก ! “พี่รอง !” เด็กน้อยเซี่ยซือหยางในวัยสามหนาวเรียกพี่สาวพร้อมเบะปากอยากร้องไห้ “ท่านพี่ !” เซี่ยซานซานทิ้งบานประตูที่ตัวเองดันไว้ หันกลับมาดูพี่สาวด้วยความตกใจ “ท่านพี่ ๆ ท่านเป็นอะไร อย่าทำให้พวกข้าตกใจสิท่านพี่ !” ผลัวะ ! มีคนถีบประตูบานเก่าผุพังเข้ามาภายในห้อง เด็กทั้งสองรีบเข้าไปขวางผู้บุกรุกไม่ให้ทำร้ายพี่สาว แม่เฒ่าเซี่ย เซี่ยจิ่วเม่ย หน้าตาแลดูดุร้าย ไม่ใช่หญิงชราใจดีแต่อย่างใด ด้านหลังของแม่เฒ่าเซี่ยยังมีลูกสะใภ้บ้านใหญ่ กับบ้านรองเดินตามมา ท่าทางดุดันเอาเรื่อง “ไอ้พวกบ้านสามตัวดี กล้าลักขโมยอาหารเอาไว้กินเอง ยังเห็นแม่เฒ่าอย่างข้าอยู่ในสายตาหรือไม่ ไอ้พวกหมาป่าตาขาว ดูซิวันนี้ข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร” “ท่านย่าพวกข้าไม่ได้ขโมยนะ นี่เป็นหมั่นโถวของท่านพี่ ท่านพี่ไม่สบายข้าแค่เก็บไว้ให้ท่านพี่เท่านั้นเอง” เซี่ยซานซานยังเป็นเด็กหญิงวัยสิบหนาว แต่นางข่มความกลัวตอบโต้ผู้ใหญ่ในบ้านออกไป “หึ กฎบ้านก็มีบอกอยู่แล้วถ้าพลาดมื้ออาหารไปก็คืออด แต่พวกเจ้ากลับแหกกฎ แอบยักยอกอาหารเก็บไว้กินเอง ยังมีหน้ามาเถียงท่านแม่อีก ท่านแม่ท่านต้องลงโทษคนบ้านสามนะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ยอมจริง ๆ ด้วย ตอนนั้นยวี่เฟยของข้านางได้พลาดมื้อเย็นไป ท่านก็ไม่ให้นางกินนะเจ้าคะ” สะใภ้บ้านรองนามว่าจงอี้ซิน ย้อนรำลึกถึงเรื่องลูกสาววัยแปดปีของตัวเองขึ้นมา “ดูเจ้าเด็กพวกนี้สิท่านแม่ กางแขนปกป้องพี่สาวตัวเอง ช่างน่าสมเพชไม่รู้จักสำเหนียกกำลังตัวเอง ถุย !” หลินพ่านเอ๋อสะใภ้บ้านใหญ่มองดูเด็กทั้งสองพร้อมถ่มน้ำลายใส่ตรงหน้า แม่เฒ่าเซี่ยมองลูกสะใภ้ทั้งสองสลับกันไปมา เดินตรงไปกระชากหมั่นโถวเย็นชืดแถมแข็งปานหิน ออกจากมือของเซี่ยซือหยาง “แง ๆ ๆ” เด็กน้อยถูกแย่งของกินของพี่สาวไป ถึงกับแผดเสียงร้องลั่น “เจ้าคนชั่ว ! เอามานะ ของท่านพี่ข้า” กำปั้นน้อย ๆ ทุบไปยังต้นขาของแม่เฒ่เซี่ย “เจ้าเด็กเนรคุณกล้าตีข้ารึ นี่นะ !” แม่เฒ่าเซี่ยเตะทีเดียวเซี่ยซือหยางก็กระเด็นไปติดกับผนังห้อง “น้องเล็ก !” เซี่ยซานซานรีบวิ่งไปอุ้มน้องชายขึ้นมากอดไว้ด้วยความตกใจ “ท่านย่า น้องเล็กยังเด็กไม่รู้ความ เหตุใดท่านถึงได้ใจร้ายเช่นนี้” “แง ๆ ๆ” เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยฟังแล้วน่าสงสารจับใจ ดวงตาที่ปิดไว้ก่อนหน้าของเซี่ยซือซือ ลืมขึ้นหลังจากค้นพบว่า ตัวเองได้ทะลุมิติมายังอดีตอันไกลโพ้นแล้วจริง ๆ หลังจากหลับตาลืมตาอยู่หลายหน เรียบเรียงความคิดที่ไหลเข้ามาไม่ยอมหยุด เมื่อค่อย ๆ จัดการกับมันได้ ความเจ็บปวดที่ศีรษะก่อนหน้าจึงบางเบาลง และมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเฉยชา ครบสูตรของการทะลุมิติจริง ๆ มีท่านย่าผู้ชั่วร้าย ขนาบข้างด้วยป้าสะใภ้เลวทั้งสอง ครั้นหันไปมองน้องสาวในวัยสิบขวบของตัวเองกับน้องชายตัวน้อย ทั้งตัวดำเมี่ยมเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเดือน ร่างกายผอมแห้งเหลือแต่กระดูก เสื้อผ้าเก่าขาดมีรอยปะชุนเต็มไปหมด เส้นผมแห้งกรังเหมือนไม่ผ่านน้ำมานาน ยกมือของตัวเองขึ้นมาดู ไม่ได้มีสภาพต่างกันแม้แต่น้อย ครั้นเงยหน้ามองป้าสะใภ้ใหญ่ร่างกายอวบอ้วนเต็มไปด้วยก้อนไขมัน ป้าสะใภ้รองแม้ไม่ได้อ้วนแต่ก็ไม่ได้ผอม ยิ่งแม่เฒ่าเซี่ยด้วยแล้ว ร่างกายบึกบึนเหมือนคนกินดูอยู่ดีมาตลอด “ท่านแม่ดูอาซือมองท่านสิเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่เห็นสายตาเย็นเยียบของคนที่นอนอยู่บนเตียงก็อดแปลกใจไม่ได้ ดูเยือกเย็นจนไม่น่าไว้ใจ “เจ้าอย่าคิดว่ากระโดดน้ำตายแล้วทุกอย่างจะจบนะอาซือ ข้ารับเงินคนบ้านถานมาแล้ว ถ้าเจ้าตายข้าจะให้อาซานไปแทนเจ้า” คำพูดของแม่เฒ่าเซี่ยทำให้ดวงตาของเซี่ยซือซือเบิกกว้าง ท่านย่าของนางขายนางให้คนบ้านถานในราคาแค่ห้าตำลึง เจ้าของร่างเดิมไม่อยากไปเป็นเมียคนพิการ เลยไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทว่าเธอที่มาจากยุคปัจจุบันกลับเข้ามาแทนที่เจ้าของร่างนี้ เจ้าของร่างเดิมว่ายน้ำไม่เป็น จึงได้ขาดอากาศตายใต้น้ำ แต่เธอที่เข้ามาสวมร่างกลับพาร่างนี้ขึ้นมาจากน้ำได้ โชคชะตาคงเล่นตลกให้เธอกับเจ้าของร่างเดิมมีชื่อเดียวกัน “ท่านย่าอาซานยังเด็กนัก ท่านอย่าได้ทำเช่นนั้นเลย” นานมากกว่าที่นางจะเอ่ยออกมา “มันอยู่ที่เจ้าอาซือ ข้าขอเตือนเอาไว้ อีกสองวันคนบ้านถานจะมารับตัวเจ้าแล้ว อย่าให้เกิดเรื่องขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งอาซานไปแทนเจ้า แล้วขายซือหยางทิ้งเสีย” แม่เฒ่าเซี่ยจ้องหน้าเซี่ยซือซือแบบอาฆาต เด็กนี่ก่อนหน้าดูอ่อนแอไร้ทางสู้ ทำไมวันนี้ถึงได้ดูแปลกตาไปนัก “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านจะลงโทษคนบ้านสามเรื่องหมั่นโถวนี่อย่างไรเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่ยังไม่ยอมปล่อยสามพี่น้องไปง่าย ๆ “พรุ่งนี้งดอาหารบ้านสาม” แม่เฒ่าเซี่ยเอ่ยแล้วหันหลังเดินออกจากห้องของเด็กน้อยทั้งสามไป โดยมีสะใภ้ใหญ่เดินตามไปด้วย “พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม จำใส่หัวเอาไว้ดี ๆ ด้วยล่ะ” สะใภ้รองหมุนตัวตามหลังไปติด ๆ “ท่านพี่ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ข้ากับน้องเล็กจะทำอย่างไร ถ้าท่านไม่อยู่” เซี่ยซานซานปล่อยเสียงร้องไห้ในทันที
ฟาเบียน ฟรองซัว (ฟา) 32 ปีลูกเสี้ยว ไทย-ฝรั่งเศส-จีนผู้กว้างขวาง และร่ำรวยจากการทำชิปปิ้งตัวแทนผู้นำเข้าและส่งออกรายใหญ่ของไทยชายหนุ่มที่ขาดเรื่องบนเตียงไม่ได้แต่เขาเบื่อผู้หญิงที่จ้องจะจับเขา ทิพย์ดารา นวลพรรณ (ดาด้า) นางแบบและนักแสดงสาวมากความสามารถกำลังหัวเสียที่เธอถูกฟาเบียนตัดความสัมพันธ์เธอนั่งบ่นให้กับช่างประจำที่ร้านฟังฟาเบียนบอกเธอว่า "ถ้าผมหิว ผมจะซื้อกินเอง" เพราะคำว่าแต่งงานหรือผูกมัดไม่ใช่ทางของเขา ปองรัก พลอยรัตนา (จิล) 22 ปีเธอกำลังต้องการเงินเพื่อไปช่วยครอบครัวที่กำลังถูกฟ้องและถูกหุ้นส่วนโกงจำนวนเงินอาจจะไม่มากเท่าไหร่แต่มันก็ทำให้ครอบครัวที่เคยอยู่เย็นเป็นสุขต้องเดือดร้อน แทบหมดตัวอีกอย่างตอนนี้เธอก็ยังเรียนไม่จบเหลืออีกเทอมเดียวเท่านั้นด้วยความบังเอิญเธอได้บัตรกำนัลทำผมที่ร้านแห่งหนึ่ง..ฟรี จากเพื่อนรักสุจิรา เดชธนาดล (จิรา)ลูกเจ้าของร้านเพชรชื่อดังในเมืองไทย ชื่อและประวัติของ ฟาเบียนทำให้จิลเห็นทางออกหญิงสาวที่ยังบริสุทธิ์ เธอจะทำยังไงให้ครอบครัวกลับมาอยู่ดีเหมือนเดิมได้เธอยินดี...ทำเธอเดินเข้าไปเสนอขายพรหมจรรย์ให้กับเขาเงินที่เธอร้องขอ สำหรับ ฟาเบียน แค่เศษเงินแค่เห็นหน้าเธอ เขาก็ปิ๊งเสียแล้วฟาเบียน รับข้อเสนอและให้เธอมาเป็น...เมียพาร์ทไทม์ เริ่มต้นก็สนุกเสียแล้ว พลาดได้ไง ขอฝากผลงานเรื่องนี้ไว้ในอ้อมใจของนักอ่านที่น่ารักด้วยนะคะ