เค้ก แฟนใหม่ของเขาปรากฏตัวขึ้น เธอห่มผ้าห่มอัจฉริยะผืนที่เป็นประกายของฉันไว้อย่างอบอุ่น เธอยิ้มขณะที่ใช้ขวานน้ำแข็งของฉันเอง กรีดทำลายชุดของฉัน ซึ่งเป็นเกราะป้องกันพายุชั้นสุดท้าย
“เลิกดราม่าสักที” เขาพูดกับฉัน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรังเกียจขณะที่ฉันนอนรอความตายอย่างหนาวเหน็บ
พวกเขาคิดว่าได้เอาทุกอย่างไปจากฉันแล้ว พวกเขาคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายชนะ
แต่พวกเขาไม่รู้เรื่องสัญญาณฉุกเฉินลับที่ฉันเย็บซ่อนไว้ในแขนเสื้อ และด้วยแรงเฮือกสุดท้ายที่มี ฉันได้เปิดใช้งานมัน
บทที่ 1
สัญญาณแรกที่บ่งบอกว่าฉันกำลังจะตาย ไม่ใช่พายุหิมะที่โหมกระหน่ำใส่เราด้วยความเกรี้ยวกราดราวกับเทพเจ้าที่กำลังพิโรธ ไม่ใช่แม้แต่ความหนาวเหน็บที่แผดเผาจนลึกเข้ากระดูกซึ่งเริ่มดูดเอาชีวิตไปจากแขนขาของฉัน แต่มันคือแววตาของคู่หมั้นของฉัน ตอนที่เขาบอกว่าเขาได้มอบต้นแบบที่เป็นกรรมสิทธิ์ของฉัน ผลงานทั้งชีวิตของฉัน หลักประกันเดียวที่จะทำให้เรารอดชีวิตไปให้ผู้หญิงคนอื่น
ลมบนยอดเขาคันเช็งจุงกาเปรียบเสมือนกำแพงน้ำแข็งและเสียงที่มองไม่เห็น มันกระแทกเข้าใส่เต็นท์สำรวจขนาดเล็กของเราอย่างรุนแรง ขู่ว่าจะฉีกมันให้หลุดออกจากสมอบก ข้างในเต็นท์ อากาศอุ่นกว่าอุณหภูมิติดลบสี่สิบองศาเซลเซียสข้างนอกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ฟันของฉันกระทบกันเสียงดังจนฉันคิดว่ามันอาจจะแตกละเอียด
“ภีม” ฉันเปล่งเสียงออกมาได้แค่นั้น เสียงของฉันบางและแหลมเล็กเมื่อเทียบกับเสียงคำรามของพายุ “ฉันต้องการผ้าห่ม อุณหภูมิร่างกายฉันกำลังลดลง”
ฉันเป็นหัวหน้าวิศวกรซอฟต์แวร์ของ ‘ยอดคีรีเทค’ เป็นสมองที่อยู่เบื้องหลังเทคโนโลยีที่เรากำลังทดสอบภาคสนาม ฉันรู้ตัวเลขดี ฉันรู้จุดที่ร่างกายจะหยุดสั่นและเริ่มเข้าสู่ภาวะชัตดาวน์ และตอนนี้ฉันก็เข้าใกล้จุดนั้นอย่างน่าอันตราย
ฉันคลำหาซิปกระเป๋าอุปกรณ์ นิ้วมือแข็งทื่อและไม่เชื่อฟังเหมือนท่อนไม้ที่ถูกแช่แข็ง พื้นที่ที่ควรจะมีผ้าห่มอัจฉริยะต้นแบบของฉันอยู่กลับว่างเปล่า ความตื่นตระหนกที่เย็นเยียบและเฉียบแหลมแทรกซึมผ่านม่านหมอกของภาวะอุณหภูมิต่ำ
ผ้าห่มผืนนั้นคือผลงานชิ้นเอกของฉัน มันถูกทอด้วยเส้นใยไมโครที่สร้างและควบคุมความร้อนตามข้อมูลชีวภาพ สามารถช่วยให้มนุษย์รอดชีวิตในสภาพอากาศแบบอาร์กติกได้นานถึงเจ็ดสิบสองชั่วโมง มันมีเพียงชิ้นเดียวในโลก มันคือตาข่ายนิรภัยของฉัน
และตอนนี้มันหายไปแล้ว
“มันอยู่ไหน” ฉันเงยหน้ามองภีม คู่หมั้นของฉัน ผู้จัดการโครงการของทริปนี้ ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาซึ่งปกติจะดูเปิดเผยและอ่านง่าย ตอนนี้กลับเรียบเฉยเหมือนสวมหน้ากาก
เขาไม่ยอมสบตาฉัน เขากำลังง่วนอยู่กับสายรัดของกระเป๋าอีกใบ การเคลื่อนไหวของเขาดูกระตุกกระตัก “คุณพูดเรื่องอะไร”
“ผ้าห่มไงภีม ตัวต้นแบบน่ะ มันไม่ได้อยู่ในกระเป๋าฉัน”
แววตาบางอย่างวาบผ่านใบหน้าของเขา อาจจะเป็นความรู้สึกผิด หรือความรำคาญ ก่อนที่เขาจะปรับสีหน้าให้เรียบเฉย “อ๋อ เรื่องนั้น ผมให้เค้กไปแล้ว”
คำพูดของเขาเหมือนเป็นภาษาต่างดาวที่ฉันไม่เข้าใจ “คุณว่าอะไรนะ”
“เค้กหนาวจะตายอยู่แล้ว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงปกป้องตัวเอง ราวกับว่าฉันเป็นฝ่ายไร้เหตุผล “เธอร้องไห้เลยนะลิซ ดูท่าทางแย่มาก คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญนี่ ทนหนาวหน่อยจะเป็นไรไป”
เค้ก เด็กฝึกงานฝ่ายการตลาดที่หาทางเข้ามาอยู่ในคณะสำรวจที่เดิมพันสูงนี้ได้ยังไงก็ไม่รู้ คนเดียวกับที่ใช้เวลาตลอดทั้งทริปทำตาหวานใส่ภีม เล่นบทสาวน้อยบอบบางน่าสงสาร ในขณะที่ฉันมุ่งมั่นกับข้อมูลและภารกิจ
“ภีม” ฉันพยายามควบคุมเสียงให้ราบเรียบ พยายามทำให้เขาเข้าใจความเป็นจริงอันโหดร้ายของสถานการณ์ “นี่ไม่ใช่ ‘หนาวหน่อย’ นี่คือพายุหิมะระดับสี่ที่ความสูงห้าพันเมตร อุปกรณ์ของฉันถูกออกแบบมาให้ทนต่อสภาพอากาศแบบนี้โดยต้องใช้ร่วมกับระบบทำความร้อนของผ้าห่มอัจฉริยะ ส่วนของเธอเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เธอไม่ควรจะขึ้นมาที่นี่ตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ”
“อย่าดราม่าน่า” เขาตวาดกลับ เสียงแหลมคม คำกล่าวหาที่คุ้นเคยนั้นมันเจ็บปวดยิ่งกว่าความหนาว เขาหาว่าฉันดราม่าเสมอเวลาที่ฉันพูดความจริงที่เขาไม่ชอบฟัง “คุณหยิ่งในความสามารถของตัวเองเสมอเลยนะลิซ คิดว่าตัวเองอยู่ยงคงกระพันบนภูเขานี้หรือไง”
“นี่ไม่ใช่เรื่องความหยิ่ง! แต่มันเป็นเรื่องของหลักการเทอร์โมไดนามิกส์! ถ้าไม่มีมันฉันจะตายนะภีม คุณเข้าใจไหม ร่างกายของฉันกำลังจะหยุดทำงาน” ฉันพยายามพยุงตัวเองลุกขึ้น แต่ก็เกิดอาการหน้ามืดจนเซถอยหลังไปพิงกับผนังไนลอนของเต็นท์ ภาพตรงหน้าเริ่มมืดลง
“เธอต้องการมันมากกว่า” เขายืนกราน กรามขบแน่นอย่างดื้อรั้น “เราต้องทำงานเป็นทีม คุณพูดเรื่องทีมอยู่ตลอดเวลา แต่พอถึงเวลาจริงๆ คุณกลับคิดถึงแต่ตัวเองกับโครงการล้ำค่าของคุณ”
“โครงการนี้มันควรจะช่วยชีวิตเรานะ!” เสียงของฉันสั่นเครือด้วยความสิ้นหวังที่ฉันเกลียดชัง “นั่นคือจุดประสงค์เดียวของมัน!”
“พี่สาวผมพูดถูกเรื่องคุณจริงๆ” เขาพึมพำเหมือนพูดกับตัวเอง “พี่ดารินพูดเสมอว่าคุณเป็นคนเห็นแก่ตัว ว่าคุณจะเอาหน้าที่การงานมาก่อนผม ก่อนครอบครัวเสมอ”
ดาริน พี่สาววัตถุนิยมของเขาที่บริหารบริษัทโลจิสติกส์ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์รายสำคัญและมักจะมีปัญหาของยอดคีรีเทค เธอไม่เคยชอบฉันเลย มองว่าฉันเป็นคู่แข่งความสำเร็จของน้องชายเธอมากกว่าจะเป็นคู่ชีวิต
การเอ่ยชื่อของเธอขึ้นมาเหมือนถูกสาดด้วยน้ำเย็นจัด ความอบอุ่นสุดท้ายที่ฉันรู้สึก ความหวังโง่ๆ ว่านี่เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดได้มลายหายไป นี่ไม่ใช่การตัดสินใจที่เกิดขึ้นกะทันหัน แต่มันเป็นเรื่องราวที่พวกเขาแต่งขึ้นมาเพื่อโจมตีฉัน เป็นความไม่พอใจที่บ่มเพาะมานานหลายเดือน หรืออาจจะหลายปี
“การหมั้นของเราจบแล้ว” ฉันกระซิบ คำพูดนั้นขมขื่นในปาก มันเป็นคำประกาศที่น่าสมเพชและอ่อนแอเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความตายของตัวเอง แต่มันเป็นอาวุธชิ้นเดียวที่ฉันเหลืออยู่
ด้วยแรงฮึดจากอะดรีนาลีนที่พลุ่งพล่าน ฉันเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ดาวเทียมในเคสแข็งที่หนีบอยู่กับเข็มขัด นิ้วของฉันแทบจะไร้ความรู้สึก แต่ฉันก็สามารถเปิดฝาครอบออกได้ นิ้วโป้งของฉันจ่ออยู่เหนือปุ่มสัญญาณฉุกเฉิน
ก่อนที่ฉันจะทันได้กดลงไป มือของภีมก็บีบข้อมือฉันไว้แน่นเหมือนคีมเหล็ก “คุณคิดจะทำบ้าอะไร!”
แรงบีบของเขาส่งความเจ็บปวดแล่นไปทั่วแขน เขาแข็งแรงกว่าฉัน ตัวใหญ่กว่า ในพื้นที่แคบๆ แบบนี้ ฉันเสียเปรียบอย่างสิ้นเชิง
“ฉันจะเรียกหน่วยกู้ภัย ภีม ก่อนที่ฉันจะแข็งตาย” ฉันพูดอย่างหอบเหนื่อย พยายามดิ้นรน
“คุณจะไม่ได้ทำ!” เขาขู่ฟ่อ ใบหน้าอยู่ห่างจากฉันไม่กี่นิ้ว เสน่ห์ของเขาหายไปหมดสิ้น ถูกแทนที่ด้วยความโกรธเกรี้ยวที่น่าเกลียดและตื่นตระหนก “การกดสัญญาณนั่นหมายถึงการยกเลิกภารกิจทั้งหมด! คุณรู้ไหมว่ามันจะทำให้บริษัทเสียหายแค่ไหน มันจะทำให้ผมดูแย่แค่ไหน หลังจากที่ผมทุ่มเททำงานอย่างหนักเพื่อให้โครงการนี้เกิดขึ้นได้”
เขาแย่งโทรศัพท์ไปจากมือฉัน
“คุณจะทำลายทุกอย่าง!” เขาคำราม ถืออุปกรณ์นั้นไว้เหมือนอาวุธ “ผมจะทุบมันทิ้ง ผมสาบานเลยลิซ ผมจะทุบมันให้แหลกเป็นชิ้นๆ ก่อนที่จะยอมให้คุณมาทำลายอนาคตของผม”
เรี่ยวแรงของฉันกำลังจะหมด การต่อสู้ครั้งนี้กำลังสูบพลังงานสำรองสุดท้ายของฉันไปจนหมด แขนขาของฉันรู้สึกหนักอึ้ง เหมือนไม่ใช่ของตัวเอง ความมืดเริ่มคืบคลานเข้ามาที่ขอบสายตา
ทันใดนั้น ซิปเต็นท์ก็ถูกรูดเปิดออก ลมและหิมะพัดกระหน่ำเข้ามาพร้อมกับเค้ก
เธอห่มผ้าห่มอัจฉริยะสีเงินเป็นประกายของฉันอยู่ แสงสีฟ้าอ่อนๆ กะพริบจากแผงควบคุมบนหน้าอกของเธอ เป็นดั่งสัญญาณแห่งความอบอุ่นในยามค่ำคืนที่หนาวเหน็บ เธอดูสบายตัว เกือบจะเรียกได้ว่าอบอุ่น
“ภีมคะ มีอะไรหรือเปล่า” เธอถามด้วยน้ำเสียงหวานหยดย้อย เธอชะโงกหน้าข้ามไหล่ของเขามาและเห็นฉันที่นอนตัวสั่นอยู่บนพื้น “โอ้ ลิซ คุณดูแย่จังเลย”
เธอจงใจยกแขนขึ้น โชว์แผ่นให้ความร้อนเคมีขั้นสูง ซึ่งเป็นของฉัน ที่เธอกำไว้ในถุงมือ มันเป็นเจลสูตรพิเศษ อีกหนึ่งผลงานการออกแบบของฉัน สามารถสร้างความร้อนสูงได้นานถึงสิบสองชั่วโมง เขายกของพวกนั้นให้เธอไปด้วย ทั้งหมดเลย
“ภีมเขาใจดีมากเลยค่ะ” เค้กพูดต่อ ดวงตาของเธอเป็นประกายด้วยความมุ่งร้ายที่น่าขนลุกยิ่งกว่าพายุ “เขาเป็นห่วงเค้กมากเลย เค้กบอกเขาแล้วว่าคุณไม่เป็นไรหรอก ก็คุณเก่งจะตายไป”
พิษสงในรอยยิ้มของเธอส่งคลื่นความโกรธที่ร้อนระอุแล่นผ่านตัวฉัน มันเป็นเพียงเปลวไฟที่ไร้ประโยชน์และสั้นวูบเมื่อเทียบกับความหนาวที่คืบคลานเข้ามา ในหัวของฉันเต็มไปด้วยความสับสนและการถูกหักหลัง
“ให้เธอพักเถอะเค้ก” ภีมพูด น้ำเสียงของเขาอ่อนลงเมื่อหันไปหาเธอ เขาโอบแขนปกป้องเธอไว้ “เธอก็ดราม่าไปงั้นแหละ ก็แค่ผ้าห่มผืนเดียว ให้ตายสิ ไม่ใช่ว่ามันจะชี้เป็นชี้ตายได้สักหน่อย”
เขาก้มลงมองฉัน สีหน้าของเขาเย็นชาและไม่แยแส เขามองเห็นกระเป๋าอุปกรณ์ที่ขาดรุ่งริ่งของฉัน ใบที่ฉันเพิ่งค้นหามันอย่างสิ้นหวัง เขามองเห็นว่าแผ่นให้ความร้อนสำรองธรรมดาของฉันก็หายไปด้วย เขารู้ เขารู้ว่าเขาเอาทุกอย่างไปจากฉัน
“คุณเป็นนักปีนเขาที่มีประสบการณ์นะลิซ” เขาพูด น้ำเสียงเยาะเย้ย “เดี๋ยวขยับตัวหน่อยก็ดีขึ้นเองแหละ เลิกทำตัวอ่อนแอได้แล้ว”
ฉันกำลังจะตาย เขากำลังจะทิ้งฉันไว้ที่นี่ให้ตาย ความคิดนี้ไม่ใช่แค่ความคิด แต่มันเป็นความจริงที่ฝังลึกอยู่ในกระดูกที่เย็นเฉียบของฉัน
“คุณจะ…ทิ้งฉันเหรอ” ฉันพูดตะกุกตะกัก เสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน
“เราจะไปที่เต็นท์หลักเพื่อประสานงานกับทีมที่เหลือ” เขาพูดอย่างไม่ใส่ใจ “คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญนี่ ถ้าหนาวมากก็ขุดถ้ำหิมะหรือทำอะไรสักอย่างสิ เลิกสร้างเรื่องได้แล้ว”
เค้กพูดแทรกขึ้นมา น้ำเสียงแฝงไปด้วยความห่วงใยจอมปลอม “มีอะไรให้เราช่วยไหมคะลิซ คุณดู…ซีดจังเลย”
ด้วยแรงเฮือกสุดท้าย ฉันพุ่งเข้าหาผ้าห่ม พุ่งเข้าหาชีวิตของฉัน นิ้วของฉันสัมผัสกับเนื้อผ้า
“ปล่อยนะ!” ภีมผลักฉันอย่างแรง ไม่ใช่แค่การผลักเบาๆ แต่เป็นการใช้สองมือผลักอย่างรุนแรง
ศีรษะของฉันกระแทกพื้นน้ำแข็งอย่างแรงจนเกิดเสียงดังตุ้บ แสงดาวระเบิดขึ้นในดวงตา ผสมปนเปไปกับความมืดที่กำลังคืบคลานเข้ามา
“ภีม!” เค้กร้องออกมา แต่มันคือการแสดง ฉันได้ยินเสียงสูดหายใจอย่างตกใจ การเสแสร้งว่าช็อก “เธอจะทำร้ายเค้ก!”
“ลิซ คุณเป็นบ้าอะไรไปแล้ว” ภีมคำราม เขายืนค้ำหัวฉัน ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ “เธอเป็นแค่เด็กฝึกงาน! แต่คุณเป็นหัวหน้าวิศวกร! มีความเป็นมืออาชีพหน่อยสิ!”
ฉันตอบไม่ได้ โลกกำลังเอียงและหมุนคว้าง ความโกรธ การถูกหักหลัง ความหนาวเหน็บ ทุกอย่างกำลังยุบรวมกันเป็นจุดเดียวของความเจ็บปวดที่ไม่อาจทนทานได้
ท่ามกลางเสียงหอนของพายุหิมะ ฉันได้ยินเสียงของภีม มันฟังดูห่างไกลและอู้อี้ ราวกับดังมาจากปลายอุโมงค์ยาว “ผมทนไม่ไหวแล้ว ผมเบื่อกับความขี้อิจฉาและความดราม่าของคุณเต็มทีแล้ว”
สิ่งสุดท้ายที่ฉันเห็นก่อนที่ความมืดจะกลืนกินฉันไปคือใบหน้าของเค้ก น้ำตาจอมปลอมของเธอสะท้อนแสงสีฟ้าจากผ้าห่มของฉันขณะที่เธอยิ้มเยาะลงมา มันเป็นรอยยิ้มแห่งชัยชนะอย่างแท้จริง
จากนั้นก็มีเสียงฉีกขาด เสียงโลหะแหลมคมฉีกกระชากอยู่ข้างหูของฉัน มันคือเสียงของขวานน้ำแข็งที่เจาะทะลุผ้ากอร์เท็กซ์ มันคือเสียงของเกราะป้องกันชั้นสุดท้ายของฉันที่ถูกทำลาย
“ภีมคะ เธอเสียสติไปแล้ว!” เค้กกรีดร้อง “เธอกำลังทำลายชุดของตัวเอง!”
นั่นคือคำโกหกสุดท้ายที่ฉันได้ยินก่อนที่โลกจะดับวูบไป