เมื่อตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น ถึงได้รับรู้จากปากของสาวใช้อย่างพี่จ้าวว่า ฟู่จิงหวยออกจากบ้านไปตั้งนานแล้ว
พอพี่จ้าวเห็นร่องรอยทั่วเรือนร่างของเธอ ในใจก็รู้สึกปวดร้าวเหลือทน “คุณผู้ชายนี่ก็ไม่รู้จักถนอมคนเอาซะเลยค่ะ ทำไมถึงได้รุนแรงจนสภาพเป็นแบบนี้ได้นะ”
พูดพลางก็หายามาทาให้เธอไปพลาง
เฉียวหนานซีมองสภาพอันยับเยินบนร่างกายด้วยความเหม่อลอย ปล่อยให้ความขมขื่นลุกลามมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
เมื่อคืนวาน เธอกลับไปที่บ้านเก่าเพื่อเยี่ยมคุณปู่ สาวใช้รินน้ำให้เธอดื่มแก้วหนึ่ง หลังจากดื่มหมดไปไม่นาน ร่างกายก็ร้อนรุ่มไปทั้งตัว
ต่อมาคนขับรถก็ไม่ได้ส่งเธอกลับไปที่วิลล่า แต่กลับขับอ้อมไปในเส้นทางที่เปลี่ยวร้างแทน
เธอแอบใช้โทรศัพท์ส่งข้อความหาฟู่จิงหวย แต่ทางฝั่งเขากลับติดต่อไม่ได้เลย
โชคดีที่ระหว่างทางรถถูกชนท้าย มิฉะนั้น เธอคงจะกลายเป็น ความอัปยศของตระกูลฟู่ไปแล้ว
หลังจากที่เธอลากสังขารอันเหนื่อยล้ากลับมาถึงวิลล่าได้สำเร็จ ก็เห็นว่าเขากำลังประชุมออนไลน์อยู่
ท่าทีเป็นงานเป็นการอย่างยิ่ง แม้แต่หางตาก็ยังคร้านจะเหลือบมองมาที่เธอ
เป็นสามีภรรยากันมาตั้งสี่ปี ต่อให้เธอไม่กลับมานอนบ้าน เขาก็ไม่ถามไถ่แม้แต่คำเดียว
สติสัมปชัญญะของเธอพังทลาย เธอถอดชุดกระโปรงออก แล้วโถมกายที่เปลือยเปล่าเข้าหาเขา ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเพื่อปลุกเร้าอารมณ์ปรารถนาของเขา
ปฏิกิริยาตอบรับของชายหนุ่มรวดเร็วฉับไว เขาปิดการประชุมทางไกลแล้วจับเธอกดลงกับโต๊ะทำงานทันที
หลังจากตักตวงอย่างบ้าคลั่งตลอดทั้งคืน เขาก็จากไปอย่างไม่ไยดี
ชาแก้วนั้นที่บ้านเก่าถูกวางยา จุดประสงค์ก็เพื่อต้องการทำลายชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ของเธอ และขับไล่เธอออกจากบ้าน
การแต่งงานของตระกูลเฉียวและตระกูลฟู่เป็นเพียงแค่ในนาม เมื่อหลายปีก่อนท่านผู้เฒ่าเฉียวเคยช่วยชีวิตท่านผู้เฒ่าฟู่ที่ตกยากเอาไว้ หลายปีต่อมา บุญคุณครั้งนั้นจึงถูกชดใช้ด้วยการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์
ในตระกูลฟู่ นอกจากท่านผู้เฒ่าแล้ว ก็ไม่มีใครชอบหน้าเธอเลยสักคน
หากไม่ใช่เพราะฟู่จิงหวยรู้เห็นเป็นใจ ใครเล่าจะกล้าวางยาเธอ
หลังผ่านวันนั้นไป ฟู่จิงหวยก็เดินทางไปทำงานต่างถิ่นเป็นเวลาหนึ่งเดือน ระหว่างนั้นไม่มีข่าวคราวใด ๆ เลย
พอได้เห็นข่าวคราวของเขาอีกครั้ง กลับเป็นพาดหัวข่าวบันเทิงเสียนี่
เขาอยู่ที่จิงไห่ซึ่งห่างไกลนับพันกิโลเมตร ใช้โดรนจุดพลุอันงดงามตระการตาให้กับหญิงสาวผู้โชคดีคนนั้น
แม้ว่ากล้องจะจับภาพได้ไม่ชัดเจนนัก
แต่เฉียวหนานซีก็ยังจำโครงหน้าด้านข้างของหญิงสาวคนนั้นได้ เธอคนนั้นคือคนที่มีข่าวลือว่าเป็นแฟนเก่าของเขา
ไป๋ซินฉือ น้องสาวของบอดี้การ์ดประจำตระกูลฟู่
ขณะดูข่าว เฉียวหนานซีก็รู้สึกสมเพชตัวเองเหลือเกิน ความอ่อนโยนที่เธอเฝ้าถวิลหามาตลอดสี่ปี เขาได้มอบให้ผู้หญิงคนอื่นไปตั้งนานแล้ว
ความโศกเศร้าจนถึงขีดสุดแปรเปลี่ยนเป็นอาการคลื่นไส้จนเวียนหัว ประกอบกับช่วงนี้ร่างกายไม่ค่อยสบายอยู่แล้ว เธอจึงเรียกแท็กซี่ไปโรงพยาบาล
……
“คุณเฉียว คุณตั้งครรภ์ได้สี่สัปดาห์แล้วครับ”
คำพูดของหมอทำให้เฉียวหนานซีตกอยู่ในความสับสนอย่างหนัก เธอมองใบผลตรวจครรภ์บนโต๊ะอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
“เป็นไปได้ยังไงกันคะ?”
เธอแต่งงานกับฟู่จิงหวยมาสี่ปี เพิ่งจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันแค่ครั้งเดียว แถมเขายังป้องกันแล้วด้วย
คุณหมอชี้ไปที่ใบรายงานผล พลางยืนยันอย่างหนักแน่น “ไม่ผิดหรอกครับ แต่ภาวะน้ำตาลในเลือดของคุณค่อนข้างต่ำมาก ต้องระวังเรื่องโภชนาการหน่อยนะครับ”
ใจดวงน้อยของเฉียวหนานซีเต้นรัวแรง กระทั่งมายืนอยู่ท่ามกลางผู้คนที่ขวักไขว่ในโถงโรงพยาบาล เธอถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ครั้งสุดท้ายนั้นเขาใช้แรงมากเกินไป จนเหมือนว่าถุงยางจะฉีกขาด
เธอกำใบรายงานผลตรวจไว้แน่น ลังเลอยู่นานก่อนจะกดต่อสายไปหาเขา
วินาทีที่ปลายสายรับโทรศัพท์ เธอได้ยินน้ำเสียงที่เกือบจะเย็นชาของชายหนุ่ม และในขณะเดียวกันก็มองเห็นร่างที่คุ้นตาจากที่ไกล ๆ
ชายหนุ่มรูปร่างสูงสง่าสวมหน้ากากอนามัยปิดบังใบหน้าไปครึ่งหนึ่ง ดวงตาคู่ลึกซึ้งฉายแววอ่อนโยน ไม่เย็นชาเหมือนอย่างเคย เขาคุยโทรศัพท์ไปพลาง ก้มหน้ามองคนข้างกายไปพลาง
ใบหน้าที่ปราศจากเครื่องสำอางของไป๋ซินฉือเปี่ยมไปด้วยความสุขสมอันหวานชื่น แม้จะสวมชุดกระโปรงตัวหลวมโคร่ง แต่ก็ไม่อาจปิดบังหน้าท้องที่นูนเด่นออกมาได้
ดูจากลักษณะแล้ว น่าจะตั้งครรภ์ได้ราว ๆ สามถึงสี่เดือนแล้ว
เฉียวหนานซีเหมือนถูกฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ มือไม้ชาไปหมด
ในดวงตาของเธอสะท้อนภาพฝ่ามือใหญ่ของชายหนุ่มที่กำลังถือผลตรวจครรภ์อยู่ หัวใจบีบตัวจนเจ็บแปลบเป็นระลอก
ในสายโทรศัพท์ ฟู่จิงหวยเร่งเร้าเธอด้วยความรำคาญใจ
“พูดมาสิ”
ความคิดของเฉียวหนานซีสับสนวุ่นวาย เธอพยายามประคองสติและเค้นเสียงถามออกไป “คุณอยู่ที่ไหนเหรอ?”
น้ำเสียงของฟู่จิงหวยแสนเย็นชา ราวกับไม่อยากจะตอบคำถามนี้ตรง ๆ นัก
“ทำงานอยู่ มีธุระอะไรก็ว่ามา”
เฉียวหนานซียืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน มองส่งพวกเขาเดินเข้าไปยังแผนกสูตินรีเวช แล้วก็คิดได้ว่าชีวิตแต่งงานนี้ควรจะจบลงเสียที ไม่จำเป็นต้องไปเป็นตัวรองในความรักของคนอื่น
“รอคุณกลับบ้านแล้วเราค่อยคุยกันเถอะค่ะ”