ตลอดระยะเวลาสามปีของการแต่งงาน เธอรู้สึกสิ้นหวัง ที่ถูกบังคับให้เซ็นใบหย่า ทั้งๆที่เธอกำลังท้อง เธอใจสลายกับความไร้มนุษยธรรมของเขา กระทั่งเธอออกไปจากชีวิตของเขา เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเธอคือรักแท้ของเขา ไม่มีวิธีใดที่จะเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำของเธอให้หายขาดได้ เขาจึงมอบความรักทั้งหมดของเขาให้แก่เธอเพื่อชดเชย
ครืด ๆ...
เสียงมือถือสั่นขึ้น ท่ามกลางความเงียบสงบภายในห้อง ซูจิ้งสะลึมสะลือพลันเอื้อมมือไปหยิบมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงขึ้นมา เมื่อเห็นว่าปลายสายเป็นใคร เธอก็กดรับอย่างไม่ลังเล
เธอเกรงว่าหากไม่รีบรับสาย สายอาจจะตัดไป
“ฮัลโหลค่ะ” เธอตื่นเต้นจนพูดจาตะกุกตะกัก
เมื่อใดก็ตามหากเธอต้องรับสายนี้ เธอมักจะประหม่าอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่าปลายสายจะมองไม่เห็นเธอ แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะเอามือขึ้นสางผม
“วันนี้ผมจะกลับบ้าน” เสียงทุ้มของชายหนุ่มดังมาจากปลายสาย
หัวใจของซูจิ้งเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ หลังจากนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง เธอเอ่ยถาม “แล้วคุณอยากให้ฉันทำอะไรให้ไหม? คุณอยากทานอะไร? หรืออยากให้ฉันเตรียมอะไร...”
“ไม่ต้อง” เขาพูดแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ราวกับปลายสายไม่ใช่ภรรยาของตน
เขาเป็นสามีของเธอ แต่เพราะเขามีท่าทีเยี่ยงนี้กับเธอแต่แรก เธอเลยชินซะแล้ว
“ซีเจว๋...” ซูจิ้งเอามือกุ้มที่หน้าท้องของเธอ เธอกัดริมฝีปากล่างเบาๆแล้วตัดสินใจที่จะบอกข่าวนี้กับเขา “ฉัน ฉันอาจจะ...”
“ผมต้องไปแล้ว”
เขาตัดสายอย่างกะทันหัน
ซูจิ้งจับมือถือไว้ ยิ้มอย่างหม่นหมอง พลันเอ่ยประโยคที่ค้างไว้ออกมา “ฉันอาจจะท้อง”
ซูจิ้งและซีเจว๋ แต่งงานกันมาได้สามปีแล้ว เธออาศัยอยู่กับครอบครัวของเขา ในขณะที่เขาใช้ชีวิตตามลำพังในหวาถิง วิลล่า ช่วงสามปีของชีวิตคู่ พวกเขาเคยนอนด้วยกันเพียงหนเดียว คือเมื่อช่วงเดือนกว่าๆที่ผ่านมา คืนนั้นเขากลับมานอนที่บ้านตระกูลหยง ไม่ได้กลับวิลล่าของตน เรื่องคืนนั้นซูจิ้งรู้อยู่เต็มอก เขาอาจจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น
หลังจากเธอเริ่มรู้ตัวว่าเป็นเสมือนส่วนเกินของบ้าน แต่เธอกับพบว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์
แต่เธอก็ยังลังเลที่จะบอกเรื่องนี้กับสามี เพราะเธอไม่รู้ว่าเขาจะมีท่าทียังไง
เธอส่ายหัว และบังคับตัวเองไม่ให้คิดถึงเรื่องนี้ สุดท้ายไม่ว่าซีเจว๋จะปฏิบัติกับเธอยังไงก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยเขาก็ทำให้ความฝันในวัยเด็กของเธอเป็นจริง นั่นคือการที่เธอได้แต่งงานกับเขา ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่านี้แล้ว
ซูจิ้งลุกขึ้นจากเตียง แล้วเดินลงไปยังชั้นล่าง เพื่อเตรียมอาหารเช้า แม้จะยังเช้าเกินไปที่จะเตรียมอาหารเช้าในตอนนี้ แต่เธอเกรงว่าสามีจะกลับมาถึงก่อน หากเธอไม่รีบเตรียมอาหารเช้าไว้ อาจทำให้สามีของเธอต้องนั่งรอ
ซูจิ้งง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารในครัวกว่าสองชั่วโมง เธอเฝ้ามองจนสมาชิกทุกคนในตระกูลหยงออกไปข้างนอกกันหมดแล้ว แต่สามีของเธอก็ยังไม่กลับมา
เธอไม่ต้องการให้ตัวเองว่าง เธอยุ่งอยู่กับการทำงานบ้านที่ชั้นล่างทั้งวัน พอตกค่ำเธอก็จัดโต๊ะอาหาร พร้อมชำเลืองมองไปยังประตูเป็นพัก ๆ
“ซูจิ้ง ทำไมมัวแต่มองไปที่ประตู? ซีเจว๋จะกลับบ้านงั้นเหรอ” ถาวหยัน เหลือบมองซูจิ้งด้วยความสงสัย ขณะนั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่น
“ค่ะ”
ถาวหยันไม่พอใจกับคำตอบแบบขอไปทีของเธอ “เธอนี่มันไร้มารยาทจริง ๆ ไม่รู้เหรอว่า จะต้องพูดกับฉันยังไง ถึงฉันจะไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของซีเจว๋ แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เธอจะมาพูดจาห้วนๆแบบนี้กับฉัน?”
ซูจิ้งไม่ได้ตอบโต้ เธอเลือกที่จะก้มหน้าก้มตาทำความสะอาดโต๊ะต่อไป ในช่วงสามปีมานี้ หลังจากที่เธอแต่งเข้าตระกูลหยง ถาวหยันเป็นคนที่เธอต้องรับมือด้วยมากที่สุด นานวันเข้าเธอก็เริ่มเรียนรู้ว่า หากถาวหยันต้องการหาเรื่องเธอ การนิ่งเงียบคือทางออกที่ดีที่สุด เมื่อถาวหยันด่าทอเธอจนพอใจ ถาวหยันก็จะหยุดไปเอง แต่ถ้าเธอตอบโต้ ถาวหยันก็จะสรรหาเรื่องราวมาด่าทอเธอไม่จบไม่สิ้น
“นี่ฉันกำลังคุยกับเธออยู่นะ เป็นใบ้รึไง?” ทันทีที่ถาวหยันเห็นว่าซูจิ้งไม่สนใจเธอ ถาวหยันเลยขึ้นเสียงใส่เธอ
“เธอแต่งงานมาก็ตั้งสามปีแล้ว แต่ซีเจว๋ไม่ค่อยกลับมาที่บ้านหลังนี้เลย ไม่ส่องกระจกมองดูสารรูปตัวเองบ้างเหรอ” ถาวหยันเดินเข้าไปหาซูจิ้ง และมองเธอด้วยสายตาดูแคลนตั้งแต่หัวจรดเท้า “เธอมันไม่ได้เรื่อง เธอคิดเหรอว่าหากไม่ใช่เพราะซีเจว๋ต้องการพึ่งบารมีของครอบครัวเธอ ซีเจว๋จะแต่งงานกับเธอ”
ซูจิ้งกำหมัดแน่น เพื่อระงับความโกรธของตนเอง และไม่คิดใส่ใจกับคำพูดของถาวหยัน
เหล่าคนใช้ในห้องต่างก็มองซูจิ้งด้วยความเห็นใจ แต่ก็ช่วยอะไรเธอไม่ได้เลย
พอเห็นว่า ซูจิ้งยังคงนิ่งเฉย ถาวหยันก็ยิ่งวางอำนาจหนักขึ้นไปอีก “เธอนี่เล่นละครเก่งจริง ๆ ! ปกติถ้ายังไม่เที่ยงก็ไม่เห็นจะตื่น แสดงเป็นภรรยาผู้แสนดี เพราะเห็นว่าซีเจว๋จะกลับมาวันนี้สินะ
พอได้ยินแบบนั้น ซูจิ้งขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เธอก็ยังไม่ตอบโต้อีกฝ่ายอยู่ดี
ซูจิ้งยังไม่ได้บอกใครเรื่องที่เธอตั้งท้อง เพราะอยากให้สามีของเธอรู้ข่าวดีเป็นคนแรก สิ่งที่ถาวหยันพูดเป็นเรื่องจริง ช่วงนี้เธอรู้สึกง่วงเป็นพิเศษ และตื่นสายเป็นประจำ แต่ทั้งหมดนี้อาจเป็นเพราะว่า เธอกำลังท้อง
“หึ อีกไม่นานเดี๋ยวซีเจว๋ก็ไล่เธอออกจากบ้านหลังนี้! เธอไม่เห็นจะมีดีอะไร เธอไม่มีวันจับเขาได้หรอก พวกเธอไม่เหมาะสมกันสักนิด”
หลังจากพูดจบ ถาวหยันก็ยิ้มที่มุมปากเผยให้เห็นดวงตาเล็กน้อย
ขณะนั้นเหล่าคนใช้ที่อยู่ในห้องนั่งเล่น ต่างแสดงความเคารพให้ใครบางคน พร้อมกล่าวขึ้นว่า “นายท่านกลับมาแล้ว”
เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของถาวหยันก็เปลี่ยนไป
เธอหันไปมองที่ประตูอย่างช้าๆ เมื่อเห็นซีเจว๋ยืนอยู่ตรงนั้น เธอถึงกับหน้าซีดเป็นไก่ต้ม เมื่อเธอได้สติเธอก็รีบรุกขึ้น แล้วเดินขึ้นไปชั้นบน
หลังจากชำเลืองมองถาวหยันที่กำลังชิ่งหนีไป ซูจิ้งก็เดินเข้าไปหาชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าประตู
“คุณกลับมาแล้ว เหนื่อยมั้ยคะ อยากทานอะไรมั้ย” เธอเดินเข้าไป แล้วช่วยชายหนุ่มถอดเสื้อคลุมออกอย่างเต็มใจ ซึ่งเป็นหน้าที่ภรรยาอย่างเธอ แม้ว่าซีเจว๋จะไม่ค่อยได้กลับบ้าน แต่ซูจิ้งจะดูแลเขาอย่างดีทุกครั้งที่เขากลับมา
ซีเจว๋ยืนอยู่ที่ประตูโดยไม่ขยับเขยื้อน สีหน้าของเขาดูไร้อารมณ์ ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเขามีอารมณ์ร้ายดียังไง
ถึงยังงั้น ตอนที่ซูจิ้งช่วยซีเจว๋ถอดเสื้อคลุม เขากลับไม่ได้ยกแขนขึ้น แม้ว่าเขาไม่เคยชอบให้เธอมาปรนนิบัติเขาสักเท่าไร แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธเธอ แต่วันนี้เธอรู้สึกบรรยากาศแปลกๆ
เธอเงยหน้ามองไปที่เขา และพยายามเดาว่า เขากำลังคิดอะไรอยู่ “วันนี้เป็นไงบ้างคะ คุณคงรู้สึกเหนื่อยหลังจากทำงานมาทั้งวันแน่เลย ไปอาบน้ำก่อนก็ได้ค่ะ”
ซีเจว๋ยังคงเงียบไม่ตอบคำถามของเธอ และไม่แม้จะชายตามองเธอ
ผ่านไปสักพัก ซีเจว๋ก้าวเท้าเพื่อเดินขึ้นไปชั้นบนพร้อมกล่าวว่า “ตามไปที่ห้อง ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ”
เมื่อมองผ่านแผ่นหลังของสามี ขณะเดินขึ้นบันได ซูจิ้งก็รู้สึกกังวลใจอย่างบอกไม่ถูก ความจริงแล้วเธอรู้สึกไม่สบายใจ ตั้งแต่ได้รับสายจากเขาเมื่อเช้านี้ ความรู้สึกนี้มันแตกต่างจากความรู้สึก ที่เธอตื่นเต้นป่นดีใจ ยามรอคอยเขา และหวังจะได้เจอเขา
หลังจากยืนลังเลอยู่ชั้นล่างเป็นเวลานาน ในที่สุดซูจิ้งก็ตัดสินใจเดินตามเขาขึ้นไปยังชั้นบน
ประตูห้องนอนยังเปิดอยู่ เขายืนหันหลังให้เธออยู่ตรงหน้าต่าง
ซีเจว๋ชายหนุ่มรูปหล่อ รูปร่างสูงโปร่ง ราวกับเทพบุตร ชายหนุ่มที่สมบูรณ์เพียบพร้อมเช่นนี้ เป็นสามีของเธอจริง ๆ เธอมักจะรู้สึกเหมือนตัวเองฝันไป แต่ในขณะเดียวกัน เธอกับหัวใจพองโต และรู้สึกภาคภูมิใจอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ซีเจว๋คะ ฉันทำอาหารเย็นให้คุณด้วยนะ ทานอะไรสักหน่อยนะคะ อาหารโปรดของคุณทั้งนั้นเลย” เธอเดินเข้ามาในห้องพร้อมถาดอาหาร
สิ้นเสียงของหญิงสาว ซีเจว๋ก็หันกลับไปมองที่ใบหน้าอันงดงามของเธออย่างรวดเร็ว “ผมคิดเรื่องนี้อยู่นาน และวันนี้ ผมก็ตัดสินใจได้แล้ว”
ซูจิ้งจงใจหลบนัยตากลมสีดำคู่นั้นของซีเจว๋ แล้วเดินไปหาเขาพร้อมกับรอยยิ้ม “ทานข้าวก่อนนะคะ”
รอยยิ้มของซูจิ้งแฝงไปด้วยความประหม่า เธอไม่อยากรับรู้เรื่องที่สามีของเธอกำลังจะพูดต่อจากนี้
ทันใดนั้น ซีเจว๋ก็ก้าวเท้าเข้ามาหาเธอ แต่ละย่างก้าวนั้นช่างดูหนักแน่น ราวกับว่า เขากำลังโกรธเธออยู่
ซูจิ้งรีบวางถาดลงอย่างรวดเร็ว และหันหลังเดินจากไป “ทานไปก่อนนะคะ ฉันจะไปเอาน้ำมาให้”
เธอพยายามจะเดินหนีออกจากห้อง แต่เขาไม่เปิดโอกาสให้เธอทำเยี่ยงนั้น “เราหย่ากันเถอะ”
ทันใดนั้น ซูจิ้งรู้สึกราวกับว่า โลกกำลังหยุดหมุน เธอหันหลังให้ซีเจว๋ ร่างกายไม่สามารถขยับเขยือนได้
ซูจิ้งยืนอยู่ตรงนั้นได้สักพัก แล้วจึงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน พลันรีบเดินหลบออกไปอย่างรวดเร็ว “เดี๋ยวฉันลงไปเอาของก่อนนะคะ”
สังคมภายนอกต่างรับรู้กันว่า ดุจตะวันหรือหมอซันเป็นนายแพทย์ เป็นเจ้าของโรงพยาบาล เป็นหนุ่มหล่อ ผู้ดิบผู้ดี ท่าทีสุขุมนุ่มลึก แต่แท้จริงแล้วเขามีด้านมืดซุกซ่อนอยู่ในภายใน เขามี ‘ ห้องขาว ’ อยู่ติดห้องนอน ใช่ เขาชอบสีขาว ชอบทุกอย่างที่ขาวสะอาดรวมไปถึงผู้หญิงด้วย... บ่อยครั้งที่เขาจะซื้อผู้หญิงบริสุทธิ์สะอาดมาไว้รองรับความใคร่ของตัวเองด้วยราคาแพงลิบลิ่ว แน่นอนว่าพวกเธอต้องยินยอมพร้อมใจ ไม่ได้เกิดจากการบังคับแต่อย่างใด การมอบพรหมจรรย์ให้กับผู้ชายที่ทั้งหล่อและหุ่นดีสูสีดารานายแบบ แลกกับเงินทองและความสะดวกสบายนั้น มันช่วยให้ทำใจได้ง่ายขึ้นเยอะ แค่ต้องเป็นนางบำเรอให้จนกว่าเขาจะเบื่อ สิ่งเดียวที่ต้องบังคับตัวเองให้ไม่ทำนอกเหนือไปจากหน้าที่ คืออย่าเผลอไปตกหลุมรักเขาเด็ดขาด เพราะคนอย่างดุจตะวันไม่มีหัวใจ... ตัวอย่างความคลั่งไคล้ของคูมหมอ : “ ดีไหม ” จู่ ๆ เขาก็ถามขึ้นเล่นเอาเธอตกใจ “ อะไรคะ ” “ เอากับฉัน ดีไหม ” ใบหน้าของเธอร้อนวูบ พวงแก้มซับสีเลือดแดงระเรื่อ เธอกัดริมฝีปากอย่างเขิน ๆ แต่กิริยานั้นทำให้เขาเกิดอารมณ์ ริมฝีปากจิ้มลิ้มน้อย ๆ นั่นน่าแทงของใหญ่เข้าไปชะมัด ! *** “ เจ็บมากหรือเปล่า ” ห่วงหนูด้วยเหรอคะ ตอนขอให้เบาไม่เคยเบา ! เด็กสาวแอบคิดในใจ แต่ก็ตอบออกไปสั้น ๆ อย่างสุภาพ “ ค่ะ ” “ ขย่มฉัน ” เธอเงยหน้ามองเขาอย่างตกใจ ถามอย่างไม่เชื่อหู “ อะไรนะคะ ” “ ฉันอยากให้เธอขย่มฉันในน้ำ ” แล้วจะถามทำไมว่าเจ็บหรือเปล่า ?!
"คุณเข้ามาในห้องของฉันทำไม" "นี่อะไร" ศิวัฒน์ชูเอกสารในมือขึ้น "คุณก็เห็นว่ามันคืออะไร" เธอตอบโดยไม่ใส่ใจมากนัก เพราะเกี่ยวกับเขาถึงยังไงเขาก็ต้องรู้ "หึ" เขาเดินเข้าไปใกล้เธอ "เธอคิดว่าเล่นขายของอยู่หรือไง ที่จะเลิกเล่นตอนไหนก็ได้" "คุณเองไม่ใช่เหรอที่อยากหย่าตั้งแต่แรก ตอนนี้ฉันก็ยอมเซ็นใบหย่าให้คุณแล้วเราไปอำเภอกันพรุ่งนี้เลยฉันเตรียมเอกสารครบแล้ว" "มันสายไปแล้ว" เขาบีบต้นแขนเธอแน่น "อยากเป็นเมียก็จะให้เป็น" "ฉันเจ็บนะคุณไตร" เธอพยายามแกะมือของเขาออก "อยากหย่ากับฉันมากละสิ เสียใจด้วยตอนนี้ฉันไม่อยากหย่าแล้ว" น้ำเสียงของเขาเหมือนคนที่กำลังโกรธ ซึ่งฉัตรนลินทร์ก็ไม่เขาใจว่าทำไมเขาถึงได้โกรธขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่เธอพยายามทำในสิ่งที่เขาต้องการตั้งแต่แรกแล้วแท้ ๆ "คุณจะทำอะไร" ฉัตรนลินทร์ร้องถามพลางเอามือดันอกเขาไว้ เมื่ออยู่ ๆ เขาก็พยายามกอดเธอ ความกลัวเริ่มเข้าครอบงำจิตใจของเธอ "ทำหน้าที่สามีไง จะทำทุกคืนให้คุ้มค่ากับเงินที่แม่ของฉันจ่ายให้เธอ" แม้จะเห็นใบหน้านวลตรงหน้านั้นกำลังซีดเผือดแต่เขาก็ไม่ได้สนใจ "ไม่นะ...ปล่อยฉันลงสิคุณไตร" เธอร้องสุดเสียงเมื่อโดนศิวัฒน์อุ้มขึ้นพาดบ่าแล้วพาไปที่เตียงนอน อึก!! ................................ "เธออยากหย่าขนาดนั้นเลย" "ใช่ค่ะ ไม่หย่าวันนี้วันหน้าก็ต้องหย่าอยู่ดี" ................................. "ถอยไปดิ อย่ามาขวาง" เธอไม่สนใจลูกชาย "อ้อ เอกสารของบริษัททั้งหมดอยู่ในห้องทำงานนะ ฉันยกให้แกหมดเลย" "แม่!!" "ไม่ต้องเรียก ฉันไม่มีลูกโง่อย่างแก" ................................. "เราไม่ใช่เด็ก ๆ กันแล้วนะ เรามาแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดกันเถอะ" เธอหันไปเผชิญหน้ากับศิวัฒน์ "ฉันขอโทษที่ไม่ยอมปฏิเสธแม่ของคุณในวันนั้น ขอโทษที่ไม่ยอมรับข้อเสนอของคุณ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ฉันไม่อยากให้เรารู้จักกันด้วยซ้ำ แต่เมื่อมันย้อนไม่ได้เราก็เดินไปข้างหน้าเพื่อลืมเรื่องราวของกันและกันเถอะ" ....................................
เฉียวลู่ นักแสดงแถวหน้าของจีนมีข่าวฉาวออกมาทำให้ทางต้นสังกัดของเธอสั่งให้เธองดออกสื่อชั่วคราว จึงเป็นโอกาสที่หาได้ยากสำหรับคนงานยุ่งตลอดทั้งปีของเธอที่จะได้พักผ่อน เฉียวลู่เดินทางกลับบ้านเกิดของเธอและการกลับไปครั้งนี้ทำให้ชีวิตของเฉียวลู่เปลี่ยนไปตลอดการ ฉีหมิงเยี่ยน อนุชาองค์เล็กของฮ่องเต้แห่งแคว้นฉี ถูกลอบปลงพระชนม์ระหว่างที่เดินทางมาทำหน้าที่เจรจาสงบศึกกับเเเคว้นเซียว เพราะได้รับบาดเจ็บสาหัสทำให้ชินอ๋องความจำเสื่อมและได้รับการช่วยเหลือจากพ่อลูกตระกูลเฉียว เซียวยิ่น ฮ่องเต้แคว้นเซียวมีพระสนมมากมายเเต่กลับไม่สามารถให้กำเนิดพระโอรสได้โหรหลวงได้ทำนายเอาไว้ว่า ในอนาคตองค์รัชทายาทที่แท้จริงจะกลับมาเซียวยิ่นจึงมีรับสั่งให้ทหารออกตามหาพระโอรสและอดีตฮองเฮาของตนอย่างลับๆ ฉินอี้เหยา ได้รับบาดเจ็บสาหัสร่างลอยตามแม่น้ำมาพร้อมกับเด็กทารกในอ้อมแขนเมื่อฟื้นขึ้นมานางจึงแสร้งจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้ เพื่อให้นางและบุตรชายมีชีวิตรอดต่อไป
หลังจากแต่งงานกันมาสามปี เวินเหลี่ยงก็ยังไม่เคยได้ความรักจากฟู่เจิ้งแต่อย่างใดเลย เมื่อรักแรกของเขากลับมา สิ่งที่รอเธออยู่คือหนังสือการหย่า "ถ้าฉันมีลูก คุณยังเลือกหย่าไหม?" เธออยากจับโอกาสสุดท้ายนี้ไว้ แต่แล้วมีแต่คำตอบที่เย็นชาว่า "ใช่" เวินเหลี่ยงหลับตาและเลือกที่จะปล่อยมือ ...ต่อมาเธอนอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยความสิ้นหวังและลงนามในข้อตกลงการหย่า "ฟู่เจิ้ง เราไม่ได้เป็นหนี้กันอีกต่อไปแล้ว..." ชายที่มีความเด็ดขาดและเย็นชามาโดยตลอดนอนอยู่ข้างเตียงขอร้องให้อีกฝ่ายกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบา "เหลียง ได้โปรดอย่าหย่าได้ไหม?"
ในวันครบรอบแต่งงาน เหวินซือถูกเมียน้อยของสามีวางยาและไปมีอะไรกับคนแปลกหน้า เธอสูญเสียความบริสุทธิ์ไป แต่เมียน้อยคนนั้นกลับตั้งท้องลูกของสามี ภายใต้ความกดดันต่างๆ เหวินซื่อสูญรู้สึกสิ้นหวังและตัดสินใจหย่า แต่สามีของเธอกลับไม่แยแสโดยคิดว่าเธอกำลังเล่นลูกไม้อยู่ หลังจากการหย่ากัน เหวินซือกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงและมีผู้ชายนับไม่ถ้วนที่ตามจีบเธอ อดีตสามีไม่ยอมและขอคืนดีไปถึงที่ จากนั้นก็ว่า เธออยู่ในอ้อมแขนของคนใหญคนโตคนหนึ่ง และชายคนนั้นก็พูดอย่างสงบว่า "ดูให้ดี นี่คือพี่สะใภ้ของนาย"
เกิดใหม่ในชาตินี้ นางแค่ต้องการอยู่อย่างสงบสุขปกป้องครอบครัวจากเรื่องร้ายที่จะเกิดขึ้น นางไม่อยากตกอยู่ในบ่วงรักอันทำให้ครอบครัวต้องพบกับวิบัติอีกต่อไปแล้ว... คำเตือน นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรักโรแมนติก ดราม่า มีฉากความรุนแรง ฉาก NC และมีฉากเศร้าสะเทือนใจ โปรดพิจารณาก่อนดาวโหลดนะคะ กราบขอบพระคุณค่ะ