ตลอดระยะเวลาสามปีของการแต่งงาน เธอรู้สึกสิ้นหวัง ที่ถูกบังคับให้เซ็นใบหย่า ทั้งๆที่เธอกำลังท้อง เธอใจสลายกับความไร้มนุษยธรรมของเขา กระทั่งเธอออกไปจากชีวิตของเขา เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเธอคือรักแท้ของเขา ไม่มีวิธีใดที่จะเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำของเธอให้หายขาดได้ เขาจึงมอบความรักทั้งหมดของเขาให้แก่เธอเพื่อชดเชย
ครืด ๆ...
เสียงมือถือสั่นขึ้น ท่ามกลางความเงียบสงบภายในห้อง ซูจิ้งสะลึมสะลือพลันเอื้อมมือไปหยิบมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงขึ้นมา เมื่อเห็นว่าปลายสายเป็นใคร เธอก็กดรับอย่างไม่ลังเล
เธอเกรงว่าหากไม่รีบรับสาย สายอาจจะตัดไป
“ฮัลโหลค่ะ” เธอตื่นเต้นจนพูดจาตะกุกตะกัก
เมื่อใดก็ตามหากเธอต้องรับสายนี้ เธอมักจะประหม่าอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่าปลายสายจะมองไม่เห็นเธอ แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะเอามือขึ้นสางผม
“วันนี้ผมจะกลับบ้าน” เสียงทุ้มของชายหนุ่มดังมาจากปลายสาย
หัวใจของซูจิ้งเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ หลังจากนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง เธอเอ่ยถาม “แล้วคุณอยากให้ฉันทำอะไรให้ไหม? คุณอยากทานอะไร? หรืออยากให้ฉันเตรียมอะไร...”
“ไม่ต้อง” เขาพูดแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ราวกับปลายสายไม่ใช่ภรรยาของตน
เขาเป็นสามีของเธอ แต่เพราะเขามีท่าทีเยี่ยงนี้กับเธอแต่แรก เธอเลยชินซะแล้ว
“ซีเจว๋...” ซูจิ้งเอามือกุ้มที่หน้าท้องของเธอ เธอกัดริมฝีปากล่างเบาๆแล้วตัดสินใจที่จะบอกข่าวนี้กับเขา “ฉัน ฉันอาจจะ...”
“ผมต้องไปแล้ว”
เขาตัดสายอย่างกะทันหัน
ซูจิ้งจับมือถือไว้ ยิ้มอย่างหม่นหมอง พลันเอ่ยประโยคที่ค้างไว้ออกมา “ฉันอาจจะท้อง”
ซูจิ้งและซีเจว๋ แต่งงานกันมาได้สามปีแล้ว เธออาศัยอยู่กับครอบครัวของเขา ในขณะที่เขาใช้ชีวิตตามลำพังในหวาถิง วิลล่า ช่วงสามปีของชีวิตคู่ พวกเขาเคยนอนด้วยกันเพียงหนเดียว คือเมื่อช่วงเดือนกว่าๆที่ผ่านมา คืนนั้นเขากลับมานอนที่บ้านตระกูลหยง ไม่ได้กลับวิลล่าของตน เรื่องคืนนั้นซูจิ้งรู้อยู่เต็มอก เขาอาจจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น
หลังจากเธอเริ่มรู้ตัวว่าเป็นเสมือนส่วนเกินของบ้าน แต่เธอกับพบว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์
แต่เธอก็ยังลังเลที่จะบอกเรื่องนี้กับสามี เพราะเธอไม่รู้ว่าเขาจะมีท่าทียังไง
เธอส่ายหัว และบังคับตัวเองไม่ให้คิดถึงเรื่องนี้ สุดท้ายไม่ว่าซีเจว๋จะปฏิบัติกับเธอยังไงก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยเขาก็ทำให้ความฝันในวัยเด็กของเธอเป็นจริง นั่นคือการที่เธอได้แต่งงานกับเขา ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่านี้แล้ว
ซูจิ้งลุกขึ้นจากเตียง แล้วเดินลงไปยังชั้นล่าง เพื่อเตรียมอาหารเช้า แม้จะยังเช้าเกินไปที่จะเตรียมอาหารเช้าในตอนนี้ แต่เธอเกรงว่าสามีจะกลับมาถึงก่อน หากเธอไม่รีบเตรียมอาหารเช้าไว้ อาจทำให้สามีของเธอต้องนั่งรอ
ซูจิ้งง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารในครัวกว่าสองชั่วโมง เธอเฝ้ามองจนสมาชิกทุกคนในตระกูลหยงออกไปข้างนอกกันหมดแล้ว แต่สามีของเธอก็ยังไม่กลับมา
เธอไม่ต้องการให้ตัวเองว่าง เธอยุ่งอยู่กับการทำงานบ้านที่ชั้นล่างทั้งวัน พอตกค่ำเธอก็จัดโต๊ะอาหาร พร้อมชำเลืองมองไปยังประตูเป็นพัก ๆ
“ซูจิ้ง ทำไมมัวแต่มองไปที่ประตู? ซีเจว๋จะกลับบ้านงั้นเหรอ” ถาวหยัน เหลือบมองซูจิ้งด้วยความสงสัย ขณะนั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่น
“ค่ะ”
ถาวหยันไม่พอใจกับคำตอบแบบขอไปทีของเธอ “เธอนี่มันไร้มารยาทจริง ๆ ไม่รู้เหรอว่า จะต้องพูดกับฉันยังไง ถึงฉันจะไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของซีเจว๋ แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เธอจะมาพูดจาห้วนๆแบบนี้กับฉัน?”
ซูจิ้งไม่ได้ตอบโต้ เธอเลือกที่จะก้มหน้าก้มตาทำความสะอาดโต๊ะต่อไป ในช่วงสามปีมานี้ หลังจากที่เธอแต่งเข้าตระกูลหยง ถาวหยันเป็นคนที่เธอต้องรับมือด้วยมากที่สุด นานวันเข้าเธอก็เริ่มเรียนรู้ว่า หากถาวหยันต้องการหาเรื่องเธอ การนิ่งเงียบคือทางออกที่ดีที่สุด เมื่อถาวหยันด่าทอเธอจนพอใจ ถาวหยันก็จะหยุดไปเอง แต่ถ้าเธอตอบโต้ ถาวหยันก็จะสรรหาเรื่องราวมาด่าทอเธอไม่จบไม่สิ้น
“นี่ฉันกำลังคุยกับเธออยู่นะ เป็นใบ้รึไง?” ทันทีที่ถาวหยันเห็นว่าซูจิ้งไม่สนใจเธอ ถาวหยันเลยขึ้นเสียงใส่เธอ
“เธอแต่งงานมาก็ตั้งสามปีแล้ว แต่ซีเจว๋ไม่ค่อยกลับมาที่บ้านหลังนี้เลย ไม่ส่องกระจกมองดูสารรูปตัวเองบ้างเหรอ” ถาวหยันเดินเข้าไปหาซูจิ้ง และมองเธอด้วยสายตาดูแคลนตั้งแต่หัวจรดเท้า “เธอมันไม่ได้เรื่อง เธอคิดเหรอว่าหากไม่ใช่เพราะซีเจว๋ต้องการพึ่งบารมีของครอบครัวเธอ ซีเจว๋จะแต่งงานกับเธอ”
ซูจิ้งกำหมัดแน่น เพื่อระงับความโกรธของตนเอง และไม่คิดใส่ใจกับคำพูดของถาวหยัน
เหล่าคนใช้ในห้องต่างก็มองซูจิ้งด้วยความเห็นใจ แต่ก็ช่วยอะไรเธอไม่ได้เลย
พอเห็นว่า ซูจิ้งยังคงนิ่งเฉย ถาวหยันก็ยิ่งวางอำนาจหนักขึ้นไปอีก “เธอนี่เล่นละครเก่งจริง ๆ ! ปกติถ้ายังไม่เที่ยงก็ไม่เห็นจะตื่น แสดงเป็นภรรยาผู้แสนดี เพราะเห็นว่าซีเจว๋จะกลับมาวันนี้สินะ
พอได้ยินแบบนั้น ซูจิ้งขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เธอก็ยังไม่ตอบโต้อีกฝ่ายอยู่ดี
ซูจิ้งยังไม่ได้บอกใครเรื่องที่เธอตั้งท้อง เพราะอยากให้สามีของเธอรู้ข่าวดีเป็นคนแรก สิ่งที่ถาวหยันพูดเป็นเรื่องจริง ช่วงนี้เธอรู้สึกง่วงเป็นพิเศษ และตื่นสายเป็นประจำ แต่ทั้งหมดนี้อาจเป็นเพราะว่า เธอกำลังท้อง
“หึ อีกไม่นานเดี๋ยวซีเจว๋ก็ไล่เธอออกจากบ้านหลังนี้! เธอไม่เห็นจะมีดีอะไร เธอไม่มีวันจับเขาได้หรอก พวกเธอไม่เหมาะสมกันสักนิด”
หลังจากพูดจบ ถาวหยันก็ยิ้มที่มุมปากเผยให้เห็นดวงตาเล็กน้อย
ขณะนั้นเหล่าคนใช้ที่อยู่ในห้องนั่งเล่น ต่างแสดงความเคารพให้ใครบางคน พร้อมกล่าวขึ้นว่า “นายท่านกลับมาแล้ว”
เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของถาวหยันก็เปลี่ยนไป
เธอหันไปมองที่ประตูอย่างช้าๆ เมื่อเห็นซีเจว๋ยืนอยู่ตรงนั้น เธอถึงกับหน้าซีดเป็นไก่ต้ม เมื่อเธอได้สติเธอก็รีบรุกขึ้น แล้วเดินขึ้นไปชั้นบน
หลังจากชำเลืองมองถาวหยันที่กำลังชิ่งหนีไป ซูจิ้งก็เดินเข้าไปหาชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าประตู
“คุณกลับมาแล้ว เหนื่อยมั้ยคะ อยากทานอะไรมั้ย” เธอเดินเข้าไป แล้วช่วยชายหนุ่มถอดเสื้อคลุมออกอย่างเต็มใจ ซึ่งเป็นหน้าที่ภรรยาอย่างเธอ แม้ว่าซีเจว๋จะไม่ค่อยได้กลับบ้าน แต่ซูจิ้งจะดูแลเขาอย่างดีทุกครั้งที่เขากลับมา
ซีเจว๋ยืนอยู่ที่ประตูโดยไม่ขยับเขยื้อน สีหน้าของเขาดูไร้อารมณ์ ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเขามีอารมณ์ร้ายดียังไง
ถึงยังงั้น ตอนที่ซูจิ้งช่วยซีเจว๋ถอดเสื้อคลุม เขากลับไม่ได้ยกแขนขึ้น แม้ว่าเขาไม่เคยชอบให้เธอมาปรนนิบัติเขาสักเท่าไร แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธเธอ แต่วันนี้เธอรู้สึกบรรยากาศแปลกๆ
เธอเงยหน้ามองไปที่เขา และพยายามเดาว่า เขากำลังคิดอะไรอยู่ “วันนี้เป็นไงบ้างคะ คุณคงรู้สึกเหนื่อยหลังจากทำงานมาทั้งวันแน่เลย ไปอาบน้ำก่อนก็ได้ค่ะ”
ซีเจว๋ยังคงเงียบไม่ตอบคำถามของเธอ และไม่แม้จะชายตามองเธอ
ผ่านไปสักพัก ซีเจว๋ก้าวเท้าเพื่อเดินขึ้นไปชั้นบนพร้อมกล่าวว่า “ตามไปที่ห้อง ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ”
เมื่อมองผ่านแผ่นหลังของสามี ขณะเดินขึ้นบันได ซูจิ้งก็รู้สึกกังวลใจอย่างบอกไม่ถูก ความจริงแล้วเธอรู้สึกไม่สบายใจ ตั้งแต่ได้รับสายจากเขาเมื่อเช้านี้ ความรู้สึกนี้มันแตกต่างจากความรู้สึก ที่เธอตื่นเต้นป่นดีใจ ยามรอคอยเขา และหวังจะได้เจอเขา
หลังจากยืนลังเลอยู่ชั้นล่างเป็นเวลานาน ในที่สุดซูจิ้งก็ตัดสินใจเดินตามเขาขึ้นไปยังชั้นบน
ประตูห้องนอนยังเปิดอยู่ เขายืนหันหลังให้เธออยู่ตรงหน้าต่าง
ซีเจว๋ชายหนุ่มรูปหล่อ รูปร่างสูงโปร่ง ราวกับเทพบุตร ชายหนุ่มที่สมบูรณ์เพียบพร้อมเช่นนี้ เป็นสามีของเธอจริง ๆ เธอมักจะรู้สึกเหมือนตัวเองฝันไป แต่ในขณะเดียวกัน เธอกับหัวใจพองโต และรู้สึกภาคภูมิใจอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ซีเจว๋คะ ฉันทำอาหารเย็นให้คุณด้วยนะ ทานอะไรสักหน่อยนะคะ อาหารโปรดของคุณทั้งนั้นเลย” เธอเดินเข้ามาในห้องพร้อมถาดอาหาร
สิ้นเสียงของหญิงสาว ซีเจว๋ก็หันกลับไปมองที่ใบหน้าอันงดงามของเธออย่างรวดเร็ว “ผมคิดเรื่องนี้อยู่นาน และวันนี้ ผมก็ตัดสินใจได้แล้ว”
ซูจิ้งจงใจหลบนัยตากลมสีดำคู่นั้นของซีเจว๋ แล้วเดินไปหาเขาพร้อมกับรอยยิ้ม “ทานข้าวก่อนนะคะ”
รอยยิ้มของซูจิ้งแฝงไปด้วยความประหม่า เธอไม่อยากรับรู้เรื่องที่สามีของเธอกำลังจะพูดต่อจากนี้
ทันใดนั้น ซีเจว๋ก็ก้าวเท้าเข้ามาหาเธอ แต่ละย่างก้าวนั้นช่างดูหนักแน่น ราวกับว่า เขากำลังโกรธเธออยู่
ซูจิ้งรีบวางถาดลงอย่างรวดเร็ว และหันหลังเดินจากไป “ทานไปก่อนนะคะ ฉันจะไปเอาน้ำมาให้”
เธอพยายามจะเดินหนีออกจากห้อง แต่เขาไม่เปิดโอกาสให้เธอทำเยี่ยงนั้น “เราหย่ากันเถอะ”
ทันใดนั้น ซูจิ้งรู้สึกราวกับว่า โลกกำลังหยุดหมุน เธอหันหลังให้ซีเจว๋ ร่างกายไม่สามารถขยับเขยือนได้
ซูจิ้งยืนอยู่ตรงนั้นได้สักพัก แล้วจึงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน พลันรีบเดินหลบออกไปอย่างรวดเร็ว “เดี๋ยวฉันลงไปเอาของก่อนนะคะ”
ซินหยาน นักฆ่าสาวที่ใช้นามแฝงว่า สืออี เธอถูกพาตัวมาจากสถานสงเคราะห์ตั้งแต่อายุเพียงเจ็ดปี เพื่อฝึกให้เป็นนักฆ่าขององค์การใต้ดิน เพราะความสามารถของเธอ รวมถึงความเฉลียวฉลาดจากการเอาตัวรอด ทำให้เธอได้รับภารกิจเสี่ยงอันตรายอยู่เสมอ จนวันหนึ่งที่องค์กรยื่นข้อเสมอสุดพิเศษให้ หากทำภารกิจครั้งนี้เสร็จสิ้นเธอจะสามารถไปใช้ชีวิตตามที่เธอต้องการได้ แต่เรื่องมันจะง่ายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร ซินหยาน แม้จะรู้ดีว่านี้เป็นภารกิจสุดท้ายก่อนที่เธอจะถูกสั่งเก็บแต่ก็รับงานมาอย่างเต็มใจ แต่ที่องค์การคิดไม่ถึงคือ ซินหยานเลือกที่จะจบชีวิตลงพร้อมกับภารกิจสุดท้ายที่สูญหายไปพร้อมกับเธอด้วย ซินหยานเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าเธออยู่ในร่างของเด็กสาววัยสิบสองหนาว จางซินหยาน ชื่อนี้ช่างคุ้นหูนัก และยิ่งคุ้นมากขึ้นเมื่อชื่อของบิดามารดาของซินหยานก็คือนิยายเรื่องหนึ่งที่เธอได้เคยอ่านเมื่ออยู่ภพที่แล้ว หลังจากที่จางซินหยานอายุได้สิบหกหนาว นางตกหลุมรักท่านแม่ทัพจ้าว ที่ได้รับบาดเจ็บและจางซินหยานเป็นผู้ช่วยไว้ ถ้าหากท่านแม่ทัพจ้าวมิได้มีสตรีที่ตบแต่งไปแล้วเรื่องนี้ก็คงจบอย่างสวยงาม แต่เพราะเขารับจางซินหยานไปเป็นได้เพียงอนุเท่านั้น จางซินหยานก็ยังคิดว่าถึงจะเป็นเพียงอนุนางก็ยังหวังว่าท่านแม่ทัพจะรักนางเช่นกัน แต่เปล่าเลย ในสายตาของท่านแม่ทัพมีเพียงฮูหยินเอกเท่านั้น จนตายจางซินหยานก็ไม่เคยได้ยินคำว่ารักจากปากของท่านแม่ทัพ ซินหยานเมื่อมาอยู่ในร่างของจางซินหยานแล้วนางจะยอมให้เกิดเหตุการณ์นี้ได้อย่างไร แต่เหมือนโชคชะตาชอบเล่นตลก เพราะเรื่องที่นางไม่อยากยุ่งเกี่ยวดันเข้าไปยุ่งเต็มๆ
ในวันครบรอบแต่งงาน เหวินซือถูกเมียน้อยของสามีวางยาและไปมีอะไรกับคนแปลกหน้า เธอสูญเสียความบริสุทธิ์ไป แต่เมียน้อยคนนั้นกลับตั้งท้องลูกของสามี ภายใต้ความกดดันต่างๆ เหวินซื่อสูญรู้สึกสิ้นหวังและตัดสินใจหย่า แต่สามีของเธอกลับไม่แยแสโดยคิดว่าเธอกำลังเล่นลูกไม้อยู่ หลังจากการหย่ากัน เหวินซือกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงและมีผู้ชายนับไม่ถ้วนที่ตามจีบเธอ อดีตสามีไม่ยอมและขอคืนดีไปถึงที่ จากนั้นก็ว่า เธออยู่ในอ้อมแขนของคนใหญคนโตคนหนึ่ง และชายคนนั้นก็พูดอย่างสงบว่า "ดูให้ดี นี่คือพี่สะใภ้ของนาย"
หลังจากแต่งงานกันมาสามปี เวินเหลี่ยงก็ยังไม่เคยได้ความรักจากฟู่เจิ้งแต่อย่างใดเลย เมื่อรักแรกของเขากลับมา สิ่งที่รอเธออยู่คือหนังสือการหย่า "ถ้าฉันมีลูก คุณยังเลือกหย่าไหม?" เธออยากจับโอกาสสุดท้ายนี้ไว้ แต่แล้วมีแต่คำตอบที่เย็นชาว่า "ใช่" เวินเหลี่ยงหลับตาและเลือกที่จะปล่อยมือ ...ต่อมาเธอนอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยความสิ้นหวังและลงนามในข้อตกลงการหย่า "ฟู่เจิ้ง เราไม่ได้เป็นหนี้กันอีกต่อไปแล้ว..." ชายที่มีความเด็ดขาดและเย็นชามาโดยตลอดนอนอยู่ข้างเตียงขอร้องให้อีกฝ่ายกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบา "เหลียง ได้โปรดอย่าหย่าได้ไหม?"
เสิ่นซือหนิงซ่อนตัวตนไว้ยอมทำทุกอย่างให้ แต่ความจริงใจของเธอกลับถูกสามีทำลายไปหมด และสิ่งที่เธอได้รับนั้นคือข้อตกลงการหย่า ด้วยความผิดหวังเธอจึงหันหลังจากไปและกลายเป็นตัวเองที่แท้จริงอีกครั้ง หลังจากได้เห็นความใกล้ชิดของสามีกับคนรักของเขา เธอก็จากไปด้วยความผิดหวัง จากนั้นเปิดเผยตัวตนที่เป็นนักปรุงน้ำหอมอัจฉริยะระดับนานาชาติ ผู้ก่อตั้งองค์กรข่าวกรองที่มีชื่อเสียง และผู้สืบทอดในโลกแฮ็กเกอร์ อดีตสามีของเธอเลยเสียใจมาก เมื่อเมิ่งซือเฉินรู้ว่าตัวเองทำผิด เขาก็เสียใจมาก หนิง ผมผิดไปแล้ว ให้โอกาสผมอีกครั้งเถอะ ทว่าฮั่วจิ่งชวนขาพิการนั้นกลับลุกขึ้นยืนและจับมือกับเธอว่า "อยากคบกับเธอ นายยังไม่มีค่าพอ"
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
นางเจ็บปวดปางตายเมื่อเขาโยนร่างบอบช้ำทิ้งไว้หลังจวนโดยไม่แยแส เมิ่งลี่เฟยน้ำตาไหลพรากทว่ากลับไม่ทำให้คนที่เพิ่งเหยียบย่ำร่างกายเล็กเห็นใจแต่ประการใด"เฝ้านางเอาไว้ให้ดีอย่าให้ออกมาทำเรื่องชั่วอีก"