บุณย์นราถูกฉุดออกมาจากห้องหอในคืนแต่งงาน ซ้ำยังถูกข่มเหงจากชายโฉดจนย่อยยับ หากแค่นั้นเรียกว่าโชคร้ายแล้ว การต้องมาเจอชายคนนั้นอีกครั้ง ในสถานะของประธานบริษัท ที่เธอเพิ่งได้งาน ไม่โชคร้ายยิ่งกว่าหรือ เพราะทันทีที่เห็นหน้าเธอ เขาก็มีคำสั่ง ให้ไล่เธอออก แต่กลับยื่นขอเสนออันสุดแสนร้ายกาจเป็นทางเลือก ราวกับรู้ว่าบุณย์นรากำลังอับจนซึ่งหนทางอยู่ ###### “ตำแหน่งที่เธอทำอยู่ ที่นี่ไม่ได้เปิดรับ” บุณย์นราตากระตุกถี่ยิบขึ้นเหมือนกัน มันมีด้วยหรือ ไม่เปิดรับ แล้วประกาศออกไปแต่แรกทำไมว่ารับคน “ไม่รับพนักงานตำแหน่งที่ว่า แล้วที่นี่รับตำแหน่งอะไร” จบคำถามของเธอปุ๊บ เสียงตอบห้วนสั้นก็ดังขึ้น “แม่บ้าน” ขุนพลเลิกคิ้วมองนายนิด ๆ ส่วนบุณย์นราก็นิ่งไป อันที่จริงไม่ได้รังเกียจงาน แต่ก็ติดเรื่องวุฒิ เรื่องเงินเดือน เธอมาสมัครงานเพราะอยากได้เงิน แล้วไอ้ที่เรียนมาสี่ปีจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเรียนมาแทบตาย แล้วให้ไปเป็นแม่บ้าน อีกอย่างแม่บ้านก็ไม่มีโอกาสก้าวหน้าเอาเสียเลย คิดได้อย่างนั้นก็จ้องตาเขานิ่ง ทำอย่างไรดี ตอนนี้เธอจนตรอกแล้ว มีแต่ต้องเดินไปข้างหน้าเท่านั้น แล้วเลยกลั้นใจถามออกไป เสียงอ่อยลงเล็กน้อย “แม่บ้าน เงินเดือนเท่าไร” “ห้าหมื่น” เงินเดือนขนาดนั้น ทำบุณย์นรางันไปราวกับถูกแช่แข็ง นักรบเห็นอาการของคนตรงหน้า ก็ออกแปลกใจอยู่ไม่น้อย ไหนขุนพลบอกเพดานเงินพวกเด็กจบใหม่ไว้ที่หมื่นห้าไงวะ นี่เขาให้ตั้งห้าหมื่น ทำไมยายนี่ได้ยินยังทำเฉยอยู่ เลยกระแอมทีหนึ่ง เสริมเสียงแข็ง ๆ ต่ออีกว่า “อาหารที่พักมี ฟรีไวไฟ แต่ต้องอยู่ประจำที่บ้านตลอด ไม่รับแบบไปเช้าเย็นกลับ” บุณย์นราตัดสินใจได้ตั้งแต่ได้ยินตัวเลขครึ่งแสนนั่นแล้ว อารมณ์เดือดดาลของเธอก็สงบลงเกินครึ่งแล้วด้วย เลยถามเสียงอ่อนกลับไปถึงขอบเขตงาน “แม่บ้านที่ว่านี่ ต้องทำอะไรบ้าง” “ทำอาหารกับงานสวนแค่นั้นมั้ง ห้าหมื่นน่ะ” นักรบถามกลับหน้าตาย บุณย์นรามองอย่างคืบแคลงแล้วถามกลับเหมือนกัน “นั่นสิ แม่บ้านอะไร ทำไมเงินเดือนตั้งห้าหมื่น” “แม่บ้านที่รับก็คือต้องทำงานในบ้านทั้งหมด รวมถึงงาน...บนเตียง” นักรบเน้นคำหลังเป็นการเฉพาะ แววตาของเขาก็วาววับขึ้นเล็กน้อยอีกด้วยบุณย์นราเกือบตอบตกลงอยู่แล้ว หากไม่สะดุดกับคำหลังสุดที่หลุดจากปากเขาเข้าเสียก่อน
งานเลี้ยงงานแต่งของลูกชายเสี่ยคาเช็งจัดไม่เงียบนัก กระนั้นก็ไม่ได้ใหญ่โตพอสมกับฐานะพ่อค้ารายใหญ่คนดัง ดูแล้วออกจะผิดธรรมเนียมปฏิบัติของวงศ์ตระกูลอยู่ไม่น้อย แทนที่จะจัดอย่างหรูหราในโรงแรมมีชื่อ แต่นี่กลับเลือกจัดที่ลานหน้าบ้านเช่าหลังหนึ่งในหมู่บ้านเดียวกับเจ้าสาวเพียงเท่านั้น
โต๊ะกินเลี้ยงมีสิบโต๊ะ อารมณ์คล้ายจัดกินดื่มให้พรรคพวกเพื่อนพ้องลูกน้องเสียมากกว่า ใครผ่านไปมามองแทบไม่ออกว่านี่คืองานเลี้ยงงานแต่งงาน ถ้าไม่เห็นป้ายเล็ก ๆ ที่มีชื่อเจ้าบ่าวเจ้าสาวแขวนเอาไว้ตรงด้านในสุดของขอบเวทีนั่น
บุณย์นรา 💕 กฤตยชญ์
หญิงสาวเจ้าของชื่อบนป้ายนั่งยิ้มฝืน ๆ เมื่อมีคนส่งแก้วให้เธอ แต่แล้วกฤตยชญ์ก็ยื่นมือรับไปดื่มเสียเอง
เธอผ่านพิธีงานช่วงเช้าที่จัดแบบรวบรัดมาแล้ว หลังจบพิธีพวกนั้นก็เห็นคนของเจ้าบ่าวเริ่มตั้งโต๊ะดื่มกันทันที ได้ยินเพื่อนเขาแซวตอนเริ่มดื่มไปได้พักหนึ่งแล้ว ว่า
“ฤกษ์ส่งตัวเข้าหอตั้งสี่ทุ่ม ทำไมไม่ให้ไวกว่านี้หน่อยวะ”
เลยอยากลุกหนีออกจากตรงนั้นนัก แต่ก็ไปไหนไม่ได้ ต้องทนนั่งปั้นยิ้มน้อย ๆ ตามองบรรยากาศรอบงานไปพลาง ฟังเพลงไปพลาง เตรียมตัวเตรียมใจเป็นเจ้าสาว เมื่อการเฉลิมฉลองจบลง จะว่าไปแล้วถึงเวลานั้นเธอก็ยังไม่พร้อมอยู่ดี สูดหายใจเข้าออกลึก ๆ บอกตัวเองว่าต้องทำใจ ในเมื่อเธอเลือกที่จะทำแบบนี้แล้ว
พลันเสียงจากวงดนตรีเริ่มบรรเลงเพลงทำนองสนุกสนานครึกครื้นมากขึ้น เจ้าบ่าวขยับตัวตามจังหวะและสนุกกับการดื่มกินกับพวกพ้องกว่าเดิม เห็นเขาเพียรรับแก้วจากคนอื่นมาดื่มจนใบหน้าเริ่มออกสีแดง บทสนทนาบนโต๊ะก็เริ่มแย่ลง ฟังหยาบโลนและคุกคามเธออยู่ไม่น้อย
ตอนนั้นเองที่บุณย์นราได้ยินเจ้าบ่าวเอ่ยปรามพรรคพวกเขา
“พอได้แล้ว! เดี๋ยวน้องบุณของกูกลัวไม่ยอมเข้าห้องหอขึ้นมา กูจะยิงหัวพวกมึงรายตัวเลยคอยดู”
นั่นไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิดเดียว
ปกติคุณกฤตยชญ์ออกจะเป็นคนพูดจาไพเราะอ่อนหวาน ช่างเอาใจ ที่สำคัญเขานิสัยรวยมาก และเขาก็ไม่ได้ดีแต่กับเธอ กับครอบครัวของเธอ เขาก็ยังดีไม่น้อยเลย นอกจากให้เงินก้อนหนึ่งกับบัญชา พี่ชายของเธอเอาไปต่อทุนแล้ว ยังช่วยใช้หนี้ดอกเบี้ยมหาโหดจากเงินกู้นอกระบบที่ครอบครัวของเธอไปกู้มาอีกด้วย
“นายดื่มได้อีกแก้วเดียวแล้วนะครับ ไม่อย่างนั้นความดันจะขึ้น แล้วอาจจะ... ไม่ไหว” เสียงยอช ลูกน้องคนสนิทกระซิบบอกกับผู้เป็นนายของตัวเอง
เธอนั่งอยู่ตรงนั้นด้วย มีหรือจะไม่ได้ยิน เลยขยับตัวอย่างอึดอัด ไม่สบตากับคนในงานอีกต่อไป เมื่อพบว่าพวกนั้นมองมาด้วยสายตาเช่นไร แม้เพิ่งเรียนจบมาหมาด ๆ ปริญญาบัตรก็ยังไม่ได้รับ แต่พออ่านแววตาอ่านความรู้สึกของคนได้บ้าง
จึงผินหน้าไปทางอื่น มองหาคนในครอบครัวที่นั่งแยกอยู่อีกโต๊ะตรงมุมสุดของลานจัดเลี้ยง เห็นว่าทางนั้นมองเธออยู่เช่นกัน เลยฝืนยิ้มกว้าง ๆ ให้พวกเขาสบายใจ มองทางเจ้าบ่าวเห็นเขาคุยกับเพื่อนที่ล้อมรอบตัวท่าทีออกรสออกชาติ จึงค่อยหันกลับไปมองที่วงดนตรีชื่อดัง บนนั้นมีนักร้องสาวสวยแต่งตัวยั่วยวนกำลังเล่นเพลงสดกันอยู่
อีกหลายนาทีต่อมา บุณย์นราถึงได้ยินลูกน้องของเจ้าบ่าวคุยกันอยู่ที่โต๊ะด้านหลังเยื้องออกไปเล็กน้อย
“เห็นงานสงบแบบนี้แล้วค่อยโล่งใจหน่อย ดีนะที่นายให้คนปล่อยข่าวลวงสายของมัน ว่าจัดงานแต่งที่โรงแรมในเมืองโน่นโง่ฉิบหายเลย เมื่อกี้ไอ้นนท์มันโทรมารายงานนายแล้วว่าในโรงแรมเละเป็นโจ๊กเพราะมีคนไปถล่มงานมา”
“แล้วถ้ามันไม่โง่ล่ะวะ”
“มึงจะพูดทำไม กูยิ่งเสียวสันหลังอยู่ว่ามันอาจจะรู้ทันนายของเรา”
บุณย์นรามุ่นคิ้วเล็กน้อย เมื่อได้ยินคนของกฤตยชญ์คุยกันด้วยน้ำเสียงเหมือนกริ่งเกรงบุคคลที่สามเช่นนั้น แล้วหันไปมองการแสดงต่อเมื่อนักร้องโชว์เพลงยอดนิยมให้ได้ฟัง ผ่านไปเป็นครู่ใหญ่แล้วถึงได้ยินยอช คนสนิทของกฤตยชญ์เข้ามากระซิบใกล้ ๆ
“ได้ฤกษ์ส่งตัวแล้วนะครับ”
เจ้าบ่าวที่ใบหน้าแดงก่ำ ค่อยหมุนคอมองที่เธอด้วยสายตากรุ้มกริ่ม ราวกับจะถอดชุดของเธอออกทั้งตัวด้วยสายตาคู่นั้น ถามด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้เล็กน้อย “พร้อมไหมครับน้องบุณ พี่ฟาสพร้อมมาก ๆ” ว่าจบตบอกตัวเองดัง ๆ แล้วลุกพรวดขึ้น แต่ก็เซส่ายไปส่ายมาจนเกือบล้ม คนของเขาถลาเข้ามาช่วยประคองแทบทั้งงานในวินาทีนั้นเอง
กฤตยชญ์สะบัดตัวออกจากฝูงลูกน้อง ตรงมาคว้ามือเธอจูงเข้าบ้านไม่สนสายตาใครอื่นอีก ห้องหอคือห้องห้องหนึ่งภายในบ้านเช่าหลังนั้น ถูกจัดแต่งใช้ไปพลาง ๆ ก่อนในคืนส่งตัวคืนนี้กฤตยชญ์บอกกับพ่อแม่ของเธอ ว่าเขาจะพาเธอย้ายเข้าบ้านของเขาในวันถัดไป
ผู้ใหญ่ฝ่ายเธอมีพ่อ แม่ พี่ชายและพี่สาวมากันครบหมด แต่ทางฝั่งเจ้าบ่าวกลับไม่มีผู้ใหญ่ของเขาเลยแม้แต่คนเดียว มีเพียงกฤตยชญ์ เพื่อนและลูกน้องที่ติดสอยห้อยตามสองคนยืนคุมเชิงที่หน้าห้อง พิธีส่งตัวเลยไม่มีขั้นตอนอะไรมากมายนัก
“คุณพ่ออำนวยกับคุณแม่นวลตาอวยพรบ่าวสาวเลยครับ เดี๋ยวจะเลยฤกษ์งามยามดีเสียก่อน เฮียแกถือฤกษ์ด้วยสิครับ” ยอชเร่งทางบิดามารดาของเธอ เมื่อเข้ามาในห้องแล้ว
นายอำนวยและนางนวลตาจึงพยักหน้าตอบรับ รีบตรงเข้ามาอวยพรให้เธอกับกฤตยชญ์พร้อมกัน ส่วนบัญชากับบุณฑริกา พี่ชายและพี่สาวของเธอได้แต่มองแล้วก็ยิ้มน้อย ๆ ไม่มีใครพูดจาอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ให้ผู้ใหญ่ซึ่งในที่นี้มีแค่สองคนเท่านั้นให้พรให้คำแนะนำการใช้ชีวิตคู่กันไป
ภาวรีแหงนหน้าขึ้นแล้วยิ้มกวนโมโหใส่หน้าเขา "มาขวางทำไม เชยไม่สนพี่เขื่อนแล้วนะรู้ไหม ให้หย่าก็ได้เลย ไปเลย เพราะไรรู้มะ เพราะพี่เขื่อนสู้หนุ่ม ๆ ในร้านไม่ได้เลยสักคน ในนั้นถึงใจกว่าพี่เขื่อนตั้งเยอะ" ลัพธวิทย์หรี่ตามอง ถามเสียงเรียบ "ถึงใจแบบไหน" "ใหญ่กว่า อึด แล้วก็เอาเก่งกว่าพี่เขื่อน" ได้ยินเสียงตัวเองพูดจาก๋ากั่นออกไปแบบนั้นแล้วก็ให้ตกใจไม่น้อย พอได้ยินคำตอบของเธอที่หลับตาฟังก็รู้ว่าจงใจพูดจายั่วยุเขา ลัพธวิทย์ก็ค่อยหัวเราะออกมาลั่น พร้อมค่อนแคะกลับไป "น้ำหน้าอย่างเราเนี่ยหรือ กล้านอนกับผู้ชายตามบาร์" ภาวรีหน้าชาเมื่อถูกจับไต๋ได้ว่าโกหก เธอลอยหน้าลอยตาแล้วตอบเขากลับ "ทำไมจะไม่กล้า แม่เปิดห้องให้เชยลองแล้วด้วย หนุ่ม ๆ ในบาร์โฮสต์ทำให้เชยรู้แล้วล่ะว่าของพี่เขื่อนนี่เทียบชั้นกันไม่ติด แบบนั้นน่ะ..." ภาวรีพูดแล้วกวาดตาลงมองอย่างหยามเหยียด บอกต่อจนจบประโยค "น่าจะเอาไว้แค่ฉี่มากกว่านะ"
"ถอดชุดบนตัวเธอออกมาเดี๋ยวนี้!" "หนูทำไม่ได้..." ขวัญลดายังพูดไม่จบดีเลยว่าเธอถอดชุดที่ใส่บนตัวออกไม่ได้เพราะมันรัดมาก ๆ นี่ก็นัดกับออยลี่ ลูกของป้าเนืองไว้แล้วให้มาช่วยถอดชุด ไม่รู้น้องคนที่วานให้ช่วยเหลือจะหลับไปแล้วหรือยัง ไม่อย่างนั้นเธอคงต้องฉีกมันออกแทนการถอด แต่เจ้าของห้องลับที่ใคร ๆ พูดปากต่อปากกันว่า ห้องนี้ใครเข้ามาแล้วต้องเสว ก็ปราดเข้ามาปล้ำถอดชุดของเธอออกจนหมด แต่เพราะชุดมันรัดมาก ๆ ดลวรัชญ์ลงมือถอดไปก็สบถไปพลางด้วยอาการหัวเสีย "แต่งตัวเชี่ยอะไรวะ รู้ไหมว่ามันรัดหน้าอก รัดโหนกจนเห็นเป็นเนินนูน นึกว่าลานจอดฮอ" พอชุดถูกถอดออกจนหมด ขวัญลดาค่อยหายใจได้ลึกขึ้นจากเดิม นึกขอบคุณที่เขาช่วยเหลือเธอในครั้งนี้ แม้จะดูเป็นการช่วยที่ไม่ปกตินักก็ตามที "หนูรู้ค่ะ" "รู้แต่ก็ยังใส่" "คุณป้าบอกว่ามันมีชุดเดียว ชุดนี้เมื่อก่อนท่านตัดไว้ให้พี่โรส แต่คุณเล่นพาพี่โรสมานอน หนูก็เลย..." "หึง?" เสียงเข้มถามขัดคำตอบของเธอ ขวัญลดามองเขาแล้วได้แต่ส่ายหน้า เธอยังไม่รู้จักเลยว่า หึง อาการเป็นอย่างไร "ไม่ใช่ค่ะ หนูกำลังอธิบายเรื่องที่ว่าทำไมต้องใส่ชุดนี้" "เธอหึง" คนชอบให้ทุกอย่างหมุนรอบตัวเองอย่างดลวรัชญ์สรุปในสิ่งที่ตัวเองคิดได้ พร้อมด้วยมุมปากที่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ก่อนจะเกร็งมันไว้ให้เหยียดตรงดังเดิม "และเธอเบี่ยงประเด็นนะลดา" "แล้วแต่คุณเลยค่ะ" ขวัญลดาบอกอย่างยอมแพ้ ++++++ เนื้อหานิยายเน้นอ่านเพลิน ๆ ย่อยง่าย ๆ และจบดี แฮปปี้ค่ะ
ปัญญารัตน์กำแท่งตรวจการตั้งครรภ์ในกระเป๋าไว้จนเหงื่อชุ่มเต็มมือ วันนี้เธอมาเพื่อบอกเขาว่า ท้อง แต่นายแพทย์อนลกลับเอ่ยปาก บอกเลิกความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน เพื่อกลับไปคบกับแฟนเก่าของเขาที่กำลังย้อนกลับมาคบกันอีกครั้ง
คำโปรย ปริญญ์เคยบอกว่ารักเธอ แต่เมื่อมีเหตการณ์บางอย่างทำให้ต้องเลิกรากันไป เขาย้อนกลับมาทำดีด้วย และขอเธอแต่งงาน หลังแต่งงานกับจินดาพรรณมาสี่ปี ปริญญ์เที่ยวคบหาผู้หญิงคนใหม่ไปเรื่อย ๆ เพื่อให้เธออับอาย ... นี่น่ะหรือความรักของเขา ตัวอย่างเนื้อหา "เดี๋ยวดา เรื่องที่เราคุยกันไว้ ดาต้องทบทวนดี ๆ ก่อน..." "พรุ่งนี้เลยปิน พรุ่งนี้ไปเจอกันตามที่ตกลงไว้ได้เลย" ปริญญ์มองเธอนิ่งอยู่เป็นนานสองนาน กว่าจะพูดอะไรได้สักคำหนึ่ง ก็ยากเย็นเต็มที "หรือไม่ ปินว่าเราลอง..." "อย่าเอาแต่พูดหลอกล่อกันแบบนี้อยู่อีกเลยปิน เราสองคนจบกันเท่านี้เถอะ ทิ้งทุกอย่างเอาไว้แค่นี้ ขอให้เลิกแล้วต่อกัน เราจะได้ไม่เกลียดกันมากไปกว่านี้ หรือปินอยากให้ดาเกลียด จนไม่ไปเผาผีกันเลย ก็ได้นะปิน" ได้ยินและได้รู้ถึงความคิดของจินดาพรรณแล้ว ในใจของปริญญ์ปวดแปลบ เสียดและเสียวไปทั้งทรวงอก เขาอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก คิดได้ในตอนนั้นเองว่านี่เขาทำอะไรต่อมิอะไรลงไปนั้น มันแย่มาก จินดาพรรณถึงได้บอกว่าเกลียดเขาถึงขนาดนี้ ปริญญ์รู้สึกได้ถึงก้อนขม ๆ ในคอ เขาฝืนที่จะกล้ำกลืนมันลงไป แล้วขยับเท้าเพื่อถอยหลังออกมา มาได้เพียงครึ่งก้าวแล้วก็ทำอะไรไม่ถูก สายตาเจ็บปวดของเขายังคงมองไปยังจินดาพรรณ เปิดปากเพื่อจะพูดบางประโยคออกไป "แต่ดา...ปินระ...ปินรั" จินดาพรรณหมุนตัว เพื่อกลับเข้าห้อง เธอไม่อยากฟังสิ่งที่เขากำลังจะพูด แต่กลับโดนดึงตัวเข้าไปกอดเอาไว้แนบแน่น เธอไม่ได้ออกแรงดิ้น ทำเพียงปิดตาลง ซ่อนความรู้สึกเจ็บปวดเอาไว้ข้างในลึก ๆ บอกตัวเองว่าอย่าได้ถลำตัวและหัวใจไปกับภาพลวงตาของปริญญ์ อย่าได้หลงคารมของเขาอีกเป็นอันขาด บทจะหวาน ปริญญ์ก็ทำให้เชื่อได้ทั้งนั้น และเขาก็ทำเพียงเพราะต้องการให้เธอหลงเชื่อ เขาหลอกเธอซ้ำ ๆ แล้วทิ่มแทงเธอให้ผิดหวัง เจ็บปวดและเสียใจ ครั้งนี้ก็คงเหมือนกัน ปริญญ์สูดดมกลิ่นของภรรยาเข้าจมูกจนลึกสุดปอด ถูไถใบหน้าไปมาอย่างที่โหยหามาโดยตลอด พร้อมกับพึมพำที่ข้างหูของเธอ "ปินให้เวลาดาคิดอีกสามวัน ระหว่างนี้ถ้าดาเปลี่ยนใจ ก็ไม่ต้องไป แต่ถ้าดายังคิดแบบเดิม วันนั้นเราค่อยไปเจอที่บริษัทตามที่คุยไว้ แต่ระหว่างนี้ ดาต้องคิดดูดี ๆ ก่อนนะ อย่าใช้อารมณ์ตัดสินใจเด็ดขาด" จินดาพรรณถอนลมหายใจของตัวเองออกยาว ๆ เธอนี่หรือใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง ตลอดมามีแต่ปริญญ์ที่ทำแบบนั้น และเธอไม่ต้องการเป็นที่รองรับอารมณ์ของเขาอีกแล้ว คิดได้แบบนั้นค่อยเปิดตาขึ้น แล้วออกแรงดันตัวเองจากอ้อมกอดของเขา หันมามองที่เขาด้วยสายตาว่างเปล่า บอกออกไปตามอย่างที่ตัดสินใจเอาไว้แล้วก่อนหน้านี้ "ดาไม่ต้องคิด ไม่ต้องตัดสินใจอะไรอีกแล้วล่ะปิน ถ้าปินว่างพอ พรุ่งนี้เราก็ไปจัดการเรื่องหย่าให้เรียบร้อยได้เลย" ****************************** แนวพระเอกโบ้ ไม่ได้นอกใจ จบดีและไม่มีใครตุยค่ะ
พ่อหายตัวไปอย่างลึกลับ พี่สาวของฉันถูกข่มขืนและจุดไฟเผา พี่ชายถูกทำร้ายจนตายและโยนศพลงแม่น้ำ ใครจะช่วยฉันได้ในสถานการณ์แบบนี้ . "เป็นคนของผม แล้วผมจะช่วยคุณลากคนผิดมาแก้แค้น" เจ้าของคำพูดนั้นคือ รฐนนท์ นิยายไม่เน้นสืบสวน เน้นความสัมพันธ์ของตัวเอก จบดี แฮปปีค่ะ
วันดีคืนดีก็มีมาเฟียมาจอดหน้าบ้าน บอกว่าอยากได้ที่ของผืนสุดท้ายของเธอ มาเฟีย เจ้าของรีสอร์ท ฟาร์มควาย ม้า วัวที่อยู่ตรงรอยต่อของไทยมาเจรจาด้วยตัวเอง ทันทีที่เจอกัน ศศิร์ธาไม่ได้แค่อยากได้ที่ของเธอ ตัวเธอเองเขาก็อยากได้ด้วย เสียแต่ว่าเป็นม่ายลูกติด ไอ้ระยำนั่นมันเอาอะไรคิดถึงได้ถึงผู้หญิงแบบนั้นไป
"นางเป็นบุตรีผู้สูงศักดิ์ของฮูหยินเอกของจวนเสนาบดี นางมีหน้าตาโดดเด่น ทั้งอ่อนโอนและมีน้ำใจไมตรีต่อผู้อื่น แต่... นางทำดีต่อป้าของนาง นางกลับฆ่าแม่ของนางตาย นางรักเอ็นดูน้องสาวของนาง แต่น้องสาวกลับแย่งสามีของนางไป นางคอยสนับสนุนและดูแลสามีของนางอย่างสุดหัวใจ แต่สามีกลับทำให้นางตายทั้งกลม...ตระกูลฝ่ายมารดาของนางก็ถูกประหารชีวิตทั้งตระกูลด้วย นางตายตาไม่หลับและสาบานว่าหากมีชาติหน้า นางจะไม่เมตาตาต่อใครอีก ใครก็ตาม กล้ามาทำร้ายข้า ข้าจะล้างแค้นด้วยชีวิตทั้งตระกูลของพวกเจ้า เมื่อเกิดใหม่อีกครั้ง นางอายุได้สิบสี่ปี นางสาบานว่าจะต้องเปลี่ยนชะตากรรมและแก้แค้นชาติก่อน ป้านางใจ้ร้าย นางจะใจร้ายกลับยิ่งกว่านาง นางคิดจะได้ครองตำแหน่งฮูหยินงั้นเหรอ บอกเลยไม่มีทาง! ส่วนน้องสาวชอบผู้ชายชั่ว ๆ นักไม่ใช่หรือ ได้!ข้าจะยกให้เลย ส่วนชายชั่วนั่น ข้าจะทำให้เจ้าไม่สามารถมีทายาทได้อีกตลอดทั้งชาติ!แต่ข้าจะแก้แค้น เหตุใดเจ้าต้องมาช่วยข้าด้วย?"
ต่อหน้าทุกคน เธอเป็นเลขานุการส่วนตัวของท่านประธาน โดยส่วนตัวแล้ว เธอเป็นภรรยาของเขา กู้เวยยีรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อเธอทราบว่าตนเองตั้งครรภ์ ทว่าเธอกลับเห็นฟู่จิงเฉินกับรักแรกของเขาสิทสนมกัน... เธอจากไปอย่างเศร้าใจและตัดสินใจที่จะให้พวกเขาสมหวัง ต่อมา เมื่อฟู่จิงเฉินมองดูท้องที่ยื่นออกมาของเธอ และถามอย่างตื่นเต้นว่า "้กู้เวยยี นี่คือลูกของใคร!" เธอตอบอย่างหัวเราะเยาะ "มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณด้วย อดีตสามี!"
นิยายรัก หวานละมุน ของคุณอา และ หลานสาว ความรักของน้องพรีน ที่มอง อาแพค มานาน รักครั้งแรก ของพรีน คือ อาแพค แต่ว่า รักแรกของเธอมองเธอเป็นเพียงหลานสาว เพราะอาแพค มีแฟน ที่เหมาะสม และคู่ควรกัน การรอคอย การแอบรัก และเฝ้ามอง มานานแสนนาน น้องพรีนจะ อยู่ห่างๆ มองอาแพคไกลๆ จนกว่า อาแพค จะหันมา แล้วเจอพรีน อยู่ตรงนี้
หลินตงหยาง อายุ 27 ปี เติบโตมากับแม่เพียงสองคน ในวัยเด็กหลินตงหยางเคยมีพ่อผู้ให้กำเนิดแต่หลังจากที่พ่อได้งานใหม่ในเมืองหลวงพ่อที่เคยมีก็ไม่มีอีกแล้ว พ่อกลับมาหย่าขาดกับแม่ทันทีที่ไปทำงานในเมืองหลวงได้เพียง 2 เดือน ด้วยให้เหตุผลในการหย่าว่า แม่กับและเขาคือตัวถ่วงความเจริญในชีวิตพ่อ สาเหตุก็ไม่มีอะไรมากแค่พ่อหน้าตาหล่อเหลาและเป็นที่ถูกใจของลูกสาวหัวหน้างาน เพื่อตำแหน่งงานและความเป็นอยู่ที่สบายขึ้น พ่อเลือกที่จะทิ้งภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่ผ่านเรื่องยากลำบากมาด้วยกัน หย่าขาดกับภรรยาเพื่อไปแต่งงานใหม่ มีชีวิตใหม่ในเมืองหลวง โดยทิ้งคนข้างหลัง ทิ้งภรรยาที่เคยสาบานว่าจะอยู่ครองคู่กันตลอดไป ในปีที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัย แม่ก็ล้มป่วยและจากเขาไปในที่สุด สาเหตุที่หลินตงหยางเสียชีวิต เพราะทำงานหนัก อาชีพโปรแกรมเมอร์ตัวเล็กๆ อย่างเขา ต้องพยายามทำงานให้ได้ตามที่หัวหน้าสั่งมา ในที่สุดเขาก็พัฒนาเกมกำลังภายในของบริษัทได้สำเร็จ หลินตงหยางนอนหลับไปด้วยความสบายใจ แต่ทว่าพอเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที นี่ไม่ใช่คอนโดหรูย่านใจกลางเมืองปักกิ่ง หลังคามุงหญ้านี่คืออะไร มันควรจะเป็นเพดานสีขาวสิ เมื่อมองไปรอบๆ ห้องนี่คืออะไร นี่มันไม่ใช่ผนังที่ทำมาจากคอนกรีต มันคือดินเหนียว หลินตงหยางคิดว่าตัวเองฝันไป เขาหลับตาลงอีกครั้งแล้วลืมตาขึ้น ทุกอย่างยังเหมือนเดิม มารดามันเถอะ เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไมไ่ด้ฝัน ตอนนั้นเองเขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง และในหัวของเขามีภาพเหตุการณ์ของเด็กชายที่ชื่อเดียวกับเขา หลินตงหยาง อายุ 10 ขวบ เรื่องราวชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายไปของเด็กชาย ทำเอาหลินตงหยางกำมือแน่น ก่อนจะสบถออกมา “พ่อสารเลว เฉินซื่อเหม่ยชัดๆ” และตามมาด้วยเสียงร้องไห้ของน้องสาว สาเหตุที่เด็กชายหลินตงหยางเสียชีวิต เพราะถูกผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นย่าแย่งผักป่าและทุบตี ทั้งๆ ที่คนพวกนั้นได้ตัดขาดพับพวกเขาสามแม่ลูกแล้ว แต่ยังมิวายข่มเหงรังแก
"คุณเข้ามาในห้องของฉันทำไม" "นี่อะไร" ศิวัฒน์ชูเอกสารในมือขึ้น "คุณก็เห็นว่ามันคืออะไร" เธอตอบโดยไม่ใส่ใจมากนัก เพราะเกี่ยวกับเขาถึงยังไงเขาก็ต้องรู้ "หึ" เขาเดินเข้าไปใกล้เธอ "เธอคิดว่าเล่นขายของอยู่หรือไง ที่จะเลิกเล่นตอนไหนก็ได้" "คุณเองไม่ใช่เหรอที่อยากหย่าตั้งแต่แรก ตอนนี้ฉันก็ยอมเซ็นใบหย่าให้คุณแล้วเราไปอำเภอกันพรุ่งนี้เลยฉันเตรียมเอกสารครบแล้ว" "มันสายไปแล้ว" เขาบีบต้นแขนเธอแน่น "อยากเป็นเมียก็จะให้เป็น" "ฉันเจ็บนะคุณไตร" เธอพยายามแกะมือของเขาออก "อยากหย่ากับฉันมากละสิ เสียใจด้วยตอนนี้ฉันไม่อยากหย่าแล้ว" น้ำเสียงของเขาเหมือนคนที่กำลังโกรธ ซึ่งฉัตรนลินทร์ก็ไม่เขาใจว่าทำไมเขาถึงได้โกรธขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่เธอพยายามทำในสิ่งที่เขาต้องการตั้งแต่แรกแล้วแท้ ๆ "คุณจะทำอะไร" ฉัตรนลินทร์ร้องถามพลางเอามือดันอกเขาไว้ เมื่ออยู่ ๆ เขาก็พยายามกอดเธอ ความกลัวเริ่มเข้าครอบงำจิตใจของเธอ "ทำหน้าที่สามีไง จะทำทุกคืนให้คุ้มค่ากับเงินที่แม่ของฉันจ่ายให้เธอ" แม้จะเห็นใบหน้านวลตรงหน้านั้นกำลังซีดเผือดแต่เขาก็ไม่ได้สนใจ "ไม่นะ...ปล่อยฉันลงสิคุณไตร" เธอร้องสุดเสียงเมื่อโดนศิวัฒน์อุ้มขึ้นพาดบ่าแล้วพาไปที่เตียงนอน อึก!! ................................ "เธออยากหย่าขนาดนั้นเลย" "ใช่ค่ะ ไม่หย่าวันนี้วันหน้าก็ต้องหย่าอยู่ดี" ................................. "ถอยไปดิ อย่ามาขวาง" เธอไม่สนใจลูกชาย "อ้อ เอกสารของบริษัททั้งหมดอยู่ในห้องทำงานนะ ฉันยกให้แกหมดเลย" "แม่!!" "ไม่ต้องเรียก ฉันไม่มีลูกโง่อย่างแก" ................................. "เราไม่ใช่เด็ก ๆ กันแล้วนะ เรามาแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดกันเถอะ" เธอหันไปเผชิญหน้ากับศิวัฒน์ "ฉันขอโทษที่ไม่ยอมปฏิเสธแม่ของคุณในวันนั้น ขอโทษที่ไม่ยอมรับข้อเสนอของคุณ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ฉันไม่อยากให้เรารู้จักกันด้วยซ้ำ แต่เมื่อมันย้อนไม่ได้เราก็เดินไปข้างหน้าเพื่อลืมเรื่องราวของกันและกันเถอะ" ....................................
เซิ่งหนานหยินเกิดใหม่แล้ว ชาติที่แล้ว เธอถูกชายชั่วหักหลัง ถูกชายเสแสร้งใส่ร้าย โดนครอบครัวสามีเล่นงาน จนทำให้เธอล้มละลายและเป็นบ้าไป ในท้ายที่สุด เธอเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเธอตั้งครรภ์ได้ 9 เดือน แต่คนร้ายกลับทำเงินได้มากมาย และใช้ชีวิตทั้งครอบครัวอย่างมีความสุข เกิดใหม่ครั้งนี้ เซิ่งหนานหยินคิดตกอล้ว อะไรที่ว่าพระคุณช่วยชีวิต คนรักในใจอะไรกัน ล้วนไม่ต้องไปสน เธอจะจัดการชายชั่วหญิงร้าย สร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลเก่าของตนเองขึ้นมาใหม่อีกครั้งและนำตระกูลเซิ่งไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ คนที่หยิ่งมาตลอดในชาติที่แล้ว กลับเป็นฝ่ายริเริ่มมาหาเธอ "เซิ่งหนานหยิน การแต่งงานครั้งแรกผมไม่ทัน การแต่งงานครั้งที่สองก็ต้องถึงคิวผมแล้วสินะ"