I swear to god , i won't stop until you scream my name
I swear to god , i won't stop until you scream my name
วันศุกร์, 19:42 PM
เสียงการแจ้งเตือนของสมาร์ทโฟนวางอยู่ไม่ไกลจากตัวเท่าไหร่ดังขึ้น เจ้าของเครื่องเอื้อมมือเปิดดูก็รู้ว่าไม่ใช่ใคร กลุ่มเดิม ๆ คงนัดไปร้านเหล้าเหมือนอย่างเคย แล้วคิดเหรอว่าคนอย่างนาวจะไม่ไป วันนี้มันวันศุกร์หรรษาที่นาวจะต้องไม่พลาดอยู่แล้ว แสงสีเป็นสิ่งที่คนอย่างนาวหลงใหล ยิ่งมีเสียงเพลงที่เปิดคลอเบา ๆ พร้อมกับแก้วแอลกอฮอล์ที่อยู่ในมือด้วยแล้วล่ะก็...สนุกเลยล่ะ
ไม่ทันวางโทรศัพท์ ชายหนุ่มก็เหมือนคิดอะไรได้ จึงรีบกดเข้าทวิตอย่างเร็ว ใช่แล้ว วันนี้ยังไม่มีการแจ้งเตือนของคน ๆ นึงที่เฝ้ารอมาทั้งวัน เป็นไปได้ไง ในเมื่อวันนี้เป็นวันศุกร์ ทำไมถึงไม่มีการเคลื่อนไหว นาวเลื่อนรีดูไม่รู้ต่อกี่ครั้งก็ต้องหยุดแล้วโยนโทรศัพท์ลงบนหัวเตียง แล้วล้มตัวลงนอนหลับไปจนเกือบสามทุ่ม จนไอ้ฝนตัวนำไปร้านเหล้าวันนี้ก็โทรตาม นาวเลยลุกขึ้นมาอาบน้ำแล้วกลับมาเช็คดูการแจ้งเตือนของทวิตเตอร์...แต่ก็ยังเงียบ
ร่างบางทำได้แต่ถอนหายใจแล้วคว้ากุญแจรถแล้วรีบออกจากห้องก่อนที่เพื่อนตัวดีจะรัวข้อความแชทมาตามอีกครั้ง ไม่นานรถก็เคลื่อนตัวมาถึงหน้าร้านที่ถูกตกแต่งแบบเรียบง่าย มีเสียงดนตรีดังออกมาเบา ๆ เมื่อนาวเดินเข้ามาในร้านก็พบกับกลุ่มเพื่อนของเขาที่นั่งอยู่โต๊ะประจำหน้าเวทีที่ใกล้ชิดกับนักร้องมากที่สุดแล้ว
“มาช้าจังวะ” ประโยคแรกที่นาวมาถึงก็ถูกไอ้คนที่โทรตามถามอย่างไว กลุ่มนาวมีแต่ฝน บีม สอง แล้วนาว ไม่ใช่ไม่มีใครคบแต่เลือกคบกันแค่นี้มากกว่า
“กูหลับ” คนตัวสูงตอบกลับไปอย่างไม่ยี่หระ ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมาช้าอะไรนัก สามทุ่มกว่า ๆ มันเป็นเวลาที่เหมาะที่สุดแล้วสำหรับการมาร้านเหล้า ไม่รู้จะรีบมารีบเมาไปทำไม “แล้วไอ้บีมมันไปไหน” หันมองเพื่อนที่โต๊ะแล้วยังไม่ครบกลุ่มองค์ประชุมเลยต้องเอ่ยปากถามหา
“นู่น!`” ไม่พูดเปล่าฝนก็ชี้มือไปที่โต๊ะที่มีผู้หญิงนั่งรุมล้อมผู้ชายตัวสูงไล่เลี่ยกับตัวเอง มีผิวขาวแต่หน้าตาจิ้มลิ่มมากกว่าอยู่ไม่ไกลจากโต๊ะเท่าไหร่ “มันอยู่กับสาว ๆ ของมันไปแล้ว”
นาวพยักหน้าตอบรับก่อนยกแก้วขึ้นกระดกจนหมด รสชาติของแอลกอฮอล์ยังทำให้คิดถึงวันแรกที่ให้มันเข้ามาอยู่ในร่างกายเหมือนเดิม คิดถึงตอนไหนก็ขำทุกครั้ง เป็นความทรงจำที่ไม่เคยเลือนหายไปจากห้วงเวลาที่ผ่านมาสักที แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เจ็บปวดอีกแล้ว
“ว่าแต่เด็กมึงไปไหนหมดไอ้นาว” สองที่นั่งเงียบมาสักพักหันมาถามเพื่อนที่เพิ่งยกเหล้าเข้าปาก
“ไม่รู้ว่ะ กูเบื่อแล้ว”
“คนอย่างมึงเนี่ยนะเบื่อ หรือว่ามึงมีคนที่แอบชอบแล้ววะ เห็นหลัง ๆ ไม่ค่อยมีแมลงหวี่แมลงวันมาตอมเหมือนแต่ก่อน”
“เปล่า!!! ไอ้พวกนี้นี่ สรุปจะชวนกูมาแดกเหล้าหรืออากูมาซักไซ้ถามนู้นถามนี่วะ” นาวเริ่มหัวเสียที่เพื่อนสองคนถามนั้นนี้ไม่หยุด ใครมันจะบอกว่าแอบรอคนคนนั้นในทวิตเตอร์อยู่ “แดกไหมเหล้า ไม่แดกกูกลับ”
“แดก ๆ ๆ มา ๆ ชน ๆ”
แกร้ง! เสียงแก้วเหล้าสามใบถูกชนกันก่อนถูกกลืนหายไปอย่างรวดเร็วหลายครั้งจนล่วงเวลามาจวบจนร้านจะปิด ต่างคนต่างแยกย้ายกลับบ้านของตัวเองเว้นแต่บีมที่หายไปจากกลุ่มเพื่อนตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ นาวไม่ได้สนใจอะไรนอกจากโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าที่ถูกล้วงออกมาหลังจากที่เข้าไปนั่งในรถเรียบร้อยแล้ว นิ้วเรียวยาวเลื่อนกดเปิดทวิตเตอร์ขึ้นมา ไม่นานพอแอพถูกเปิดขึ้น การแจ้งเตือนที่รอคอยก็เด้งขึ้นมาด้วยเหมือนกัน จนทำให้เจ้าของเครื่องเผยรอยยิ้มพึงใจออกมา
‘@havsixtothenine’
วันนี้ไม่ได้ตอบดีเอ็มใครนะครับ ไม่ได้นัด, แต่กลางคืนจะสุ่มคอลหา
rt, for random dirty talk phone call
เมื่อเห็นดังนั้น ไม่รอช้านาวก็รีบกดรีทวิตอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ทำไมนาวหลงใหลแอคทวิตเตอร์สิบแปดบวกของนายคนนี้อย่างมากถึงแม้ว่าจะไม่เคยเจอ ไม่เคยนัด แล้วก็ไม่เคยได้คุยเลยสักครั้ง ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ไม่รู้ว่าเขาจะได้เป็นผู้โชคดีที่เขาคนนี้โทรหาหรือเปล่า
แล้วถ้าเป็นแบบนั้นล่ะ ถ้าเขาเป็นคนที่โชคดีในคืนนี้ล่ะ คำแรกที่เขาจะใช้พูดกับนายคนนี้อย่างไรดี คิดได้แบบนี้มือที่ถือโทรศัพท์อยู่ก็สั่นขึ้นมา ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนที่ไม่กล้าหรืออายอะไรนะ แต่มันตื่นเต้น เขาไม่เคยใจเต้นแรงกับใครขนาดนี้มานานแล้ว เขาเอามือไปทาบหน้าอกที่มีก้อนเนื้อเต้นแรกอยู่ในตอนนี้ ก่อนจะสะบัดหัวแรง ๆ หนึ่งครั้ง แล้วเลิกคิดเรื่องนี้เขาไม่ได้โชคดีขนาดนั้น
โทรศัพท์เครื่องเดิมถูกโยนไว้ในคอนโซลรถ ก่อนจะขับรถออกไปจากร้านเหล้าแล้วมุ่งหน้าไปคอนโดของเขา ไม่นานรถก็ถูกจอดไว้ที่ลาดจอดรถของคอนโด เขาเหวี่ยงตัวเองออกจากรถโดยไม่ลืมที่จะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ ก่อนหันหลังกลับมาปิดประตูรถ แต่ก็เซด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่อยู่ในกระแสเลือดตอนนี้เกือบทำให้ล้ม โชคดีที่มีคนผ่านมาแล้วคว้าตัวไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงหน้าคว่ำไปแล้ว
“ขะ ขอบคุณครับ” นาวรีบกล่าวขอบคุณ
“ไม่เป็นไรครับ ทีหลังก็ดูแลตัวเองดี ๆ ด้วย ถ้ารู้ว่าเมา”
“แม่งขาวฉิบหาย”
“ห๊ะ! เมื่อกี้พูดว่าไงวะ” นาวรีบผลักคนที่ช่วยเมื่อกี้ออกจากตัวเองอย่างเร็ว เมื่อได้ยินประโยคคำพูดต่อท้ายที่อีกคนพึมพำถึงจะได้ยินไม่ชัดเท่าไหร่ก็เถอะ
“ก็แค่บอกว่าขาว ไม่ได้บอกว่าอยากเอาสักหน่อย”
“เอื้อครับ ชื่อเอื้อ” คนที่มาช่วยไว้เอ่ยแนะนำตัว
“ขอบคุณ แต่ไม่ได้อยากรู้จัก ไม่ต้องแนะนำตัว คงไม่ได้เจอกันอีก” นาวพูดก่อนรีบขึ้นไปบนห้องของตัวเอง
ไม่นานเสียงการแจ้งเตือนของกลุ่มเพื่อนที่รายงานว่าตัวเองได้กลับถึงบ้านของตัวเองก็ดังขึ้น นาวไม่ได้สนใจที่จะเปิดมันขึ้นมาดูเลยสักนิด แต่...เสียงต่อมาเป็นเสียงแจ้งเตือนของทวิตของคนที่เขาไม่คิดว่าตัวเองจะได้เป็นผู้โชคดี นาวเด้งตัวขึ้นมาตอบอย่างเร็ว
‘นอนยังครับ’
“ยังครับ”
‘ว่างฟังเสียงกันไหมครับ’
“เป็นเด็กดีนะครับ”
‘Yes, daddy :D'
วันเสาร์, 10:42
เมื่อยตัว คือ ความรู้สึกของคนตัวบางผิวขาวที่ลุกนั่งบนเตียงด้วยความงัวเงีย จริง ๆ แล้วก็รู้ว่ามันสายมากแล้ว แต่ร่างกายที่ผ่านการใช้งานมาเมื่อคืนนี้ทำให้ไม่อยากลุกออกไปไหนเลยก็ว่าได้ คนบ้าอะไรทำให้เหนื่อยได้ขนาดนี้ อันนี้แค่ใช้เสียงนะ ถ้าเจอตัวเป็น ๆ จะทำยังไง นึกถึงเรื่องเมื่อคืนแล้วก็นั่งอมยิ้ม
ว่าแต่ ทำไมเสียงของซิกซ์ไนน์ถึงคุ้นจัง เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
‘ร้องครางลั่นเลยนะ แค่นี้ก็ขาสั่นแล้วเหรอครับเรา’
‘ค่อย ๆ เอานิ้วสอดเข้าไปนะครับ อา...คนเก่ง ไม่ต้องเกร็งนะครับ’
โคตรดี เมื่อคืนมันโคตรดี ขนาดได้ยินแค่เสียงแล้วช่วยตัวเองยังเสร็จไปหลายรอบ
ติ๊ง!
เสียงการแจ้งเตือนแต่ครั้งนี้ไม่ใช่จากแชทกลุ่มเหมือนทุกครั้ง แต่กลับเป็นคนที่ทำให้เมื่อยตัวมาจนถึงตอนนี้ ไม่รอช้ารีบหยิบโทรศัพท์มาเช็ค
‘เมื่อคืนเป็นยังไงครับ เด็กดี เมื่อยตัวไหมเรา’
“ครับ เมื่อยไปหมดเลย เพิ่งตื่นเนี่ย”
‘อา ถ้า เอา จริง ๆ คงจะต้องเบามือหน่อยแล้วละมั้ง’
‘@nowadaysxo’
Swear to God, last night was damnn
He’s hot as hell @havsixtothenine
‘ขอบคุณสำหรับรีวิวนะครับ คุณก็ยอดเยี่ยมเหมือนกัน ขนาดตอนนี้ผมยังนึกถึงเสียงครางของคุณอยู่เลย ถ้ามีโอกาสอยากลองนัดเมื่อไหร่คิดถึงผมคนแรกได้เลยนะครับ’
“ถ้าวันไหนคุณคิดถึงเสียงครางของผมก็กดโทรมาได้ตลอดนะครับ จะรอรับสาย”
‘ตอนนี้เลยได้ไหมครับ แค่คิดถึงเสียงคุณมันก็ตื่นขึ้นมาเลยครับ’
‘เตรียมตัวครางอีกรอบเลยคนดี’
สิ้นบทสนทนาไม่นานโทรศัพท์ก็มีสายเข้าทันที ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคนในแชทเมื่อสักครู่นี้เอง ไม่รอช้าทั้งสองคนก็เร้าอารมณ์กันผ่านทางสายโทรศัพท์ใส่กันจนเสร็จสม นาวจึงขอตัวอาบน้ำก่อนที่จะออกไปหาอะไรกินข้างนอก เพราะจะเที่ยงวันอยู่แล้ว ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง คนในสายก็คงเช่นเดียวกัน
วันนี้ไม่มีการสนทนากับแชทกลุ่มคงเป็นเพราะยังไม่ฟื้นจากเมื่อคืน กลับบ้านกันได้ปลอดภัยก็เก่งมากแล้วแหละ นาวเดินลงมาลาดจอดรถก็ทำให้นึกถึงคนเมื่อคืนที่ชื่อ ‘เอื้อ’ ไม่ได้ตั้งใจจะจำชื่อหรอกนะ แต่มันนึกขึ้นมาได้เอง เอาจริง ๆ ก็เป็นคนที่ดูดีมากเลยก็ว่าได้ หน้าตาคุ้น ๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหน แต่นึกไม่ออกเป็นเพื่อนที่คณะหรือเปล่านะ แต่ไม่น่าใช่คนที่คณะ เพราะไม่มีใครหน้าตาดีขนาดนี้ สูง หล่อ สมบูรณ์แบบไปหมดทุกอย่างเลยก็ว่าได้ แต่จะเด็ดหรือเปล่าอีกเรื่องหนึ่ง
ปึก!
“ขอโทษครับ” นาวรีบก้มหน้าก้มตาขอโทษที่เดินชนคนตรงหน้า มัวแต่เดินคิดอะไรไม่รู้จนไม่ได้ดูทางเลย
“เจอกันอีกแล้วนะครับ”
“นาย!!” นาวรีบเงยหน้าขึ้นมามองคนที่อยู่ตรงหน้า ก็พบกับรอยยิ้มที่ดึงดูดให้หลงใหล
“ตกใจอีกแล้วเหรอ ขวัญอ่อนจัง”
“ใครขวัญอ่อน แล้วเป็นอะไรเดินไม่ดูคน ก็เห็นว่ามีคนเดินอยู่ทำไมไม่หลบ ปล่อยให้เดินชนได้ไง รีบถอยไปเลยคนยิ่งรีบ ๆ อยู่” ไม่พูดเปล่านาวก็ผลักเอื้อให้พ้นจากทางที่ตัวเองกำลังจะเดินไป
ไวเท่าความคิดนาวที่กำลังจะเดินจากออกไป นายเอื้อก็รีบคว้าข้อมือบางเอาไว้แล้วดึงร่างเล็กที่ไม่ทันตั้งตัวก็เกือบจะล้มลงแต่โชคดีที่มีแผ่นอกของเอื้อรองเอาไว้ไม่ให้ล้มลงไป ตอนนี้มือของนาวอยู่บนแผ่นอกแกร่งของเอื้อทั้งสองข้าง ถึงจะไม่ล้มแต่ก็ทำให้สติของนาวหลุดหายไปเหมือนกัน ทั้งสองคนสบตากันอยู่พักใหญ่ ๆ มือของเอื้อกอดรัดเอวบางของนาวไว้แบบหลวม ๆ นาวรู้สึกเหมือนมีไฟบางอย่างสุมอยู่ในความรู้สึกเมื่อสัมผัสกับหน้าอกแกร่งดูสุขภาพดีของเอื้อ ใบหน้าขึ้นสีแดงเล็กน้อย ส่วนมือของเอื้อก็ไม่น้อยหน้า เขาแอบจับเอวของนาวพลางออกแรงเหมือนจะบีบยั่ว สายตาของเอื้อมองการแสดงออกของนาวอย่างพอใจ อารมณ์ตอนนี้ของนาวคงเกิดจากอาการค้างจากการเร้าของซิกซ์ไนน์เมื่อกี้
เวลาผ่านไปสักพักนาวก็เรียกสติตัวเองกลับมาได้ก่อนผลักอกเอื้ออย่างแรงแล้วรีบเดินไปที่รถที่จอดอยู่ เอื้อมองตามนาวพร้อมกับอมยิ้มอย่างพอใจ หลังจากนาวขึ้นรถแล้วก็รีบขับออกไปอย่างเร็ว ในใจนึกเขินและคิดอะไรเกินเลยติดเรทขึ้นมา อยากได้มากกว่าต้องทำอย่างไรมีคำถามขึ้นมาในหัวอีกแล้ว
รถมาจอดหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง นาวรีบเดินลงมาด้วยความหิวข้าว ถึงแม้ว่าจะอารมณ์ค้างจากเหตุการณ์เมื่อกี้ก็เถอะ แจ้งเตือนแชทเด้งขึ้นก่อนที่นาวจะสั่งอาหาร นาวเหลือบไปดูนิดหน่อยก่อนจะสั่งอาหารแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คดูเป็นแชทของไอ้บีมเอง ไอ้คนทิ้งเพื่อนไปเอาหญิง
‘ไอ้นาวววววววว’
‘มึงตื่นยังวะ’
‘ช่วยไรกูหน่อย’
“มีไรวะ กูแดกข้าวอยู่”
‘กูลืมเอกสารไว้ที่มอว่ะ ช่วยกูหน่อย’
“มึงอยากให้กูด่าป่ะ กูจะแดกข้าว”
‘ช่วยกูหน่อย กูโอนให้สามพันเลย’
“บัญชีเดิม”
‘เข้ายัง’
“โอเค เดี๋ยวกูแดกข้าวแล้วไปให้”
นาวยิ้มร่าเริงเมื่อเห็นยอดเงินในบัญชีเพิ่มขึ้น ไม่นานก็กินข้าวเสร็จแล้วมุ่งหน้าไปมหาลัยเพื่อหาเอกสารให้ ‘เพื่อนรัก’ กัดฟันพูดเลยคำนี้
มหาลัย
ตอนนี้รถได้ถูกจอดอยู่ที่ลานจอดรถของคณะนิเทศศาสตร์เป็นที่เรียบร้อย นาวลงจากรถเพื่อเดินตรงไปที่ห้องที่พวกเขาเคยนั่งเรียนกันหวังว่าเอกสารจะอยู่ในห้องนั้น ระหว่างที่เดินผ่านห้องหนึ่ง เหมือนเขาจะเห็นรูปของใครสักคนแปะอยู่ที่บอร์ดมหาลัย เมื่อนาวเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ แล้ว ก็ยิ้มกว้างอย่างพอใจกับรูปของคนที่ตัวเองเหมือนจะให้ความสนใจ จะเป็นใครไปได้ นอกจาก ‘เอื้อ อรุณสวัสดิ์ เตภิบูรณ์ อดีตเดือนมหาลัย วิศวกรรมศาสตร์ปี 4’ ที่ใคร ๆ ก็บอกว่า เด็กวิดวะเด็ด ซึ่งคนนี้จะเด็ดเหมือนที่ใคร ๆ เขาลือกันไหมนะ อยากลองแล้วสิ
นาวมัวแต่สนใจคนที่อยู่บนบอร์ดของมหาวิทยาลัยอยู่ไม่รู้ตัวว่ามีผู้มาเยือนคนใหม่ ที่เดินเข้ามาใกล้แล้วโอบกอดจากทางด้านหลัง คงไม่ใช่ใคร แต่เป็น ‘ไทม์’ อดีตคนรักของเขาที่เลิกรากันไปหลายเดือนแล้ว แต่ไทม์ยังคงวนเวียนอยู่รอบตัวเขาเสมอ เขาสะดุ้งเล็กน้อยหลังจากที่เลิกสนใจบอร์ดตรงหน้า การกระทำของไทม์ทำให้เขาเอือมระอา และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไทม์เดินมากอดเขา เหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นทุกครั้งที่เขาเจอกัน
นาวค่อย ๆ แกะมือไทม์ออก โดยที่ไม่หันมามองหน้าเลยสักนิด ทุกครั้งเขาจะมีเพื่อนมาช่วยเป็นไม้กันหมา แต่ไม่ใช่กับครั้งนี้ที่เขามาเพียงลำพัง ไทม์เป็นคนเดียวที่นาวไม่กล้าเอ่ยปากด่าทอแรง ๆ ออกไป ไม่ใช่เพราะความสงสารแต่มันเป็นเพราะอย่างอื่น ไทม์เคยเป็นคนที่นาวรักมากถึงมากที่สุด ไม่คิดว่ามันจะมีวันที่กลายเป็นคนอื่น อ้อมกอดไทม์มันยังทำให้นาวอบอุ่นใจอยู่เสมอ แต่ก็นั่นแหละอ้อมกอดไทม์มันไม่ใช่ของนาวอีกต่อไปแล้ว
“นาว!” เสียงของใครสักคนดังมาจากทางเดิน ทั้งสองคนหันไปตามเสียง นาวทำหน้าตกใจเล็กน้อยที่เห็นคนเรียกเป็นคนที่อยู่ในบอร์ดมหาลัย
“ทำไรกันอยู่เหรอ” นาวยิ่งทำหน้างงไปอีกที่ประโยคต่อมาของเอื้อเป็นคำถามที่ของคนที่รู้จักกันหรือสนิทกันถามกัน แต่เขาทั้งสองคนแทบไม่รู้จักอะไรกันเลย
“มึงมายุ่งอะไรด้วยวะไอ้เอื้อ” ไทม์ปล่อยมือออกจากเอวของนาวแล้วหันไปถามอย่างเอาเรื่องกับเอื้อ ไม่มีใครไม่รู้จักเอื้อที่เป็นอดีตเดือนมหาลัยที่หล่อเหลาปานเทพบุตรคนนี้ แต่นาวเพียงแค่ลืมหรือเรียกว่าไม่ค่อยได้สนใจเท่าไหร่ก็ว่าได้
“นาว ไปกัน” เอื้อแทบไม่สนใจคำพูดของไทม์สักนิด กลับเดินไปดึงข้อมือของนาวอย่างเบามือแล้วเดินผ่านหน้าของไทม์ไปอย่างกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นตรงนั้น
นาวที่คิดว่าตัวเองตัวสูงแล้วพอมาอยู่ใกล้เอื้อตอนนี้แล้วรู้สึกเหมือนตัวเองตัวเล็กตัวน้อยไปเลย ข้อมือของนาวยังถูกเอื้อครอบครองอย่างนั้น หน้าตาตกใจของนาวก็ยังปรากฏอยู่จนเอื้อนึกขำออกมาที่หันมามอง
“ขำอะไรของมึงวะ” นาวเห็นเอื้อขำก็รีบถาม “แล้วมือกูเนี่ยปล่อยได้แล้วมั้ง”
“ขอบคุณสักคำได้ไหมที่ช่วย”
“รู้ได้ไงว่ากูต้องการให้มึงช่วย”
“แสดงว่าชอบที่ถูกกอดแบบนั้นในที่สาธารณะ”
“แล้วกูพูดเหรอว่ากูชอบ”
“ทำไมปากดีจัง ทีกับไอ้ไทม์ยืนเงียบให้กอด”
“ไม่ใช่เรื่องของมึง”
“จะให้เป็นเรื่องของเราเหรอ”
“เรื่องของเราเชี่ยไรล่ะ อยากได้กูก็ไปต่อคิวนู่น แต่หางแถวไกลหน่อยนะกูมีคนมาต่อคิวรอจีบกูเยอะ”
“เอ้า ลัดคิวให้หน่อยไม่ได้เหรอ” พูดจบเอื้อก็ผลักนาวให้ติดผนังด้านหลัง ก่อนจะรวบข้อมือของนาวทั้งสองข้างไว้เหนือหัวขึ้นไป
“มึงจะทำอะไร ที่สาธารณะนะเว้ย” นาวที่สู้แรงเอื้อไม่ไหวทำได้แค่ดิ้นไปมา
“ไปที่ลับ ๆ ดูไหมล่ะ” เอื้อยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะฉวยโอกาสจุมพิตลงที่ริมฝีปากของนาวแล้วผละออกไป ปล่อยนาวให้ยืนตาโตอยู่ตรงนั้นหลังจากเอื้อเดินผ่านนาวออกไป เขาก็หันมายิ้มให้นาวก่อนโบกมือบ๊ายบายให้อย่างชอบใจ
นาวเดินมาที่ห้องที่ต้องมาเอาเอกสารให้ไอ้เพื่อนตัวดีของเขาที่ต้องทำให้เขามาเจอเหตุการณ์อย่างวันนี้ พอคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น นาวก็เผลอเอามือมาลูบเบา ๆ ที่ริมฝีปากของตัวเอง แล้วยิ้มออกมาที่มุมปากก่อนจะดึงสติตัวเองกลับมาได้ รีบหาเอกสารเจ้าปัญหาแล้วรีบกลับห้องคงจะดีกว่า
04:12 AM
หลังจากที่นาวกลับมาถึงห้องก็หลับไปจนสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะมีเสียงกึกกักดังอยู่แถวระเบียงห้อง นาวรีบลุกจากเตียงพุ่งออกไปดูก่อนจะเห็นเป็นลูกแมวตัวน้อยที่กำลังเล่นกล่องกระดาษอยู่ นาวอุ้มลูกแมวขึ้นมาแล้วพลิกดูก็เหมือนว่าจะเป็นแมวของใครสักคนที่อยู่ในคอนโดเดียวกับเขา แต่ว่ามันไม่มีปลอกคอหรืออะไรที่จะทำให้เขาติดต่อเจ้าของได้เลย
นาววางแมวตัวเล็กลงบนเตียงนอนก่อนเดินไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปแมวแล้วส่งให้ในกลุ่มเพื่อนดู คำตอบของคนในกลุ่มก็คือให้เอาไปคืนเจ้าของ แล้วคิดเหรอว่านาวอยากเลี้ยงแมวน้อยเนี่ย แค่มันไม่รู้จะเอาไปคืนใคร นาวกดเข้าไลน์กลุ่มของคอนโดดูเผื่อมีใครทำแมวหาย แต่ก็ไม่มีข้อความตามหาแมวเลยแม้ข้อความเดียว นาวหันไปมองแมวตัวเล็กที่เดินเอาตัวเองมานอนบนตักของเขา ร้องเมี้ยว ๆ ให้เขาเอามือมาลูบหัวแล้วหลับไป เขาแอบยิ้มเล็ก ๆ ก่อนตัดสินใจที่จะเลี้ยงเจ้าแมวตัวนี้ไว้
นาวหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปแมวน้อยที่นอนอยู่บนตักเขาก่อนโพสต์ลงทวิต
‘@nowadaysxo’
ห้องเรามีแมว มาดูแมวห้องเราไหม
ไม่นานก็ทั้งคอมเมนต์ รีทวิต หรือแม้กระทั่ง DM ก็มาเต็มไปหมด แต่จุดประสงค์ของนาวมีแค่คนเดียวเท่านั้นแหละที่อยากให้มาดูแมวที่ห้องของเขา ถ้ามาจริงจะได้ดูแมวหรือเปล่าก็ไม่รู้ แค่คิดนาวก็เขินหลุดยิ้มออกมาจนแก้มแทบแตก แต่ตอนนี้ก็ยังไร้วี่แววของคน ๆ นั้นมาโต้ตอบหรือมีปฏิกิริยากับทวิตของเขาเลยสักนิด เลื่อนขึ้นเลื่อนลง เลื่อนลงเลื่อนขึ้นอยู่แบบนั้นก็ยังไร้วี่แววจนนาวตัดสินใจจะกดออกจากแอป แต่ก็มีการแจ้งเตือนการอัพเดตทวิตเตอร์ของคนที่เขารอคอย
‘@havsixtothenine’
เอาแมวมาดูที่ห้องเราได้ไหมครับ @nowadaysxo
"คุณต้องการเจ้าสาว ส่วนฉันก็ต้องการเจ้าบ่าว ทำไมเราไม่แต่งงานกันล่ะ?" ภายใต้เสียงเยาะเย้ยของทุกคน ถังเลี่ยน ซึ่งถูกคู่หมั้นของเธอทอดทิ้งในพิธีแต่งงาน กลับแต่งงานกับเจ้าบ่าวพิการข้างบ้านที่ถูกรังเกียจ ถังเลี่ยนคิดว่าอวิ๋นเซินเป็นชายหนุ่มที่น่าสงสาร และเธอสาบานว่าจะให้ความรักใคร่แก่เขาและตามใจเขาหลังแต่งงาน ใครจะรู้ว่าเขาแกล้งเป็นแบบนั้น... ก่อนแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "เธอต้องสนใจเงินของผมถึงยอมแต่งงานกับผม ผมจะหย่ากับเธอหลังจากที่ผมใช้ประโยชน์เธอเสร็จ" หลังแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "ภรรยาของผมต้องการหย่าทุกวัน แต่ผมไม่อยากหย่า ทำอย่างไรดีล่ะ"
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"
หลินตงหยาง อายุ 27 ปี เติบโตมากับแม่เพียงสองคน ในวัยเด็กหลินตงหยางเคยมีพ่อผู้ให้กำเนิดแต่หลังจากที่พ่อได้งานใหม่ในเมืองหลวงพ่อที่เคยมีก็ไม่มีอีกแล้ว พ่อกลับมาหย่าขาดกับแม่ทันทีที่ไปทำงานในเมืองหลวงได้เพียง 2 เดือน ด้วยให้เหตุผลในการหย่าว่า แม่กับและเขาคือตัวถ่วงความเจริญในชีวิตพ่อ สาเหตุก็ไม่มีอะไรมากแค่พ่อหน้าตาหล่อเหลาและเป็นที่ถูกใจของลูกสาวหัวหน้างาน เพื่อตำแหน่งงานและความเป็นอยู่ที่สบายขึ้น พ่อเลือกที่จะทิ้งภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่ผ่านเรื่องยากลำบากมาด้วยกัน หย่าขาดกับภรรยาเพื่อไปแต่งงานใหม่ มีชีวิตใหม่ในเมืองหลวง โดยทิ้งคนข้างหลัง ทิ้งภรรยาที่เคยสาบานว่าจะอยู่ครองคู่กันตลอดไป ในปีที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัย แม่ก็ล้มป่วยและจากเขาไปในที่สุด สาเหตุที่หลินตงหยางเสียชีวิต เพราะทำงานหนัก อาชีพโปรแกรมเมอร์ตัวเล็กๆ อย่างเขา ต้องพยายามทำงานให้ได้ตามที่หัวหน้าสั่งมา ในที่สุดเขาก็พัฒนาเกมกำลังภายในของบริษัทได้สำเร็จ หลินตงหยางนอนหลับไปด้วยความสบายใจ แต่ทว่าพอเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที นี่ไม่ใช่คอนโดหรูย่านใจกลางเมืองปักกิ่ง หลังคามุงหญ้านี่คืออะไร มันควรจะเป็นเพดานสีขาวสิ เมื่อมองไปรอบๆ ห้องนี่คืออะไร นี่มันไม่ใช่ผนังที่ทำมาจากคอนกรีต มันคือดินเหนียว หลินตงหยางคิดว่าตัวเองฝันไป เขาหลับตาลงอีกครั้งแล้วลืมตาขึ้น ทุกอย่างยังเหมือนเดิม มารดามันเถอะ เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไมไ่ด้ฝัน ตอนนั้นเองเขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง และในหัวของเขามีภาพเหตุการณ์ของเด็กชายที่ชื่อเดียวกับเขา หลินตงหยาง อายุ 10 ขวบ เรื่องราวชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายไปของเด็กชาย ทำเอาหลินตงหยางกำมือแน่น ก่อนจะสบถออกมา “พ่อสารเลว เฉินซื่อเหม่ยชัดๆ” และตามมาด้วยเสียงร้องไห้ของน้องสาว สาเหตุที่เด็กชายหลินตงหยางเสียชีวิต เพราะถูกผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นย่าแย่งผักป่าและทุบตี ทั้งๆ ที่คนพวกนั้นได้ตัดขาดพับพวกเขาสามแม่ลูกแล้ว แต่ยังมิวายข่มเหงรังแก
เสิ่นหยวูแต่งงานกับเหอซวี่ที่เป็นสูติแพทย์ตอนอายุยี่สิบสี่ปี สองปีต่อมา เมื่อเธอตั้งครรภ์ได้ห้าเดือนแล้ว เหอซวี่ก็วางแผนแท้งลูกเธอด้วยมือตัวเอง และหย่าร้างกับเธอ ระหว่างช่วงเวลาที่มืดมนเหล่านี้ ตู้หยวุนปรากฏตัวเข้าในชีวิตของเสิ่นหยวู เขาทำดีต่อเธออย่างอ่อนโยน และให้ความอบอุ่นแก่เธออย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ทำให้เธอต้องเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นกัน สุดท้าย เสิ่นหยวูจึงเข้มแข็งขึ้นหลังผ่านพ้นไปกับทุกอย่างแล้ว แต่เมื่อความจริงก็ถูกเปิดเผยในที่สุด เธอจะยอมรับและอดทนได้ไหม? อยู่เบื้องหลังตู้หยวุนผู้ที่หล่อเหลาดูมีเสน่ห์นั้นเป็นใคร?และเมื่อพบคำตอบแล้ว เสิ่นหยวูจะรับมือยังไง ?
เมื่อเธอโดนนอกใจจากคนที่รัก จึงหนีไปเริ่มต้อนชีวิตใหม่ที่ดูไบ และเธอก็ได้เจอกับหนุ่มอาหรับสุดแซ่บ ที่มายั่วยวนหลอกล่อให้เธอมีเซ็กส์ที่เร่าร้อนกับเขา และเขายังต้องการให้เธอท้องลูกของเขาอีก.... เรื่องย่อ.... “คุณอัสลาน… คุณออกไปห่างๆฉันหน่อยได้ไหม…ห้องครัวนี่มันก็กว้างมากเลยนะคุณ ทำไมคุณต้องมาใกล้ฉันขนาดนี้ด้วย…” “ก็ผมอยากจะดูว่าคุณใส่ยาเสน่ห์อะไรลงไปในอาหารหรือเปล่า เพราะช่วงนี้ผมรู้สึกโหยหาคุณตลอดเลย…” “ใครจะบ้ามาใส่ยาเสน่ห์ให้คุณกินล่ะ แค่นี้ฉันก็แทบไม่ได้นอนแล้ว… ขืนใส่ยาเสน่ห์ให้คุณกิน ฉันไม่นอนแกผ้าให้คุณเอาทั้งวันเลยเหรอ…” “หึๆ…ก็คุณมันน่ามั่นเขี้ยวนิ จะจับจะตบตรงไหนก็แน่นไปหมดเลย…แถมกลิ่นตัวก็หอมไปยันหอยเลย…อืม…พูดไปแล้วขอผมดมให้ชื่นใจหน่อยสิ วันนี้ทำงานมาโคตรเหนื่อยเลย…” “อื้อ…คุณจะทำอะไรน่ะคุณฮัสลาน นี่มันในห้องครัวนะคุณ…เดี๋ยวพวกแม่บ้านเดินเข้ามาจะทำยังไงคะ…ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลยค่ะ จะมาดมอะไรตรงนี้” “ก็ผมอยากดมตอนนี้ไงคุณ…เห็นหน้าคุณแล้วผมก็รู้สึกเสี้ยนจนทนไม่ไหวแล้วเนี่ย…ขอผมดมให้ชื่นใจหน่อยเถอะ” “อ้ะ….คุณอัสลาน….อื้อ….ทำไมคุณมันหื่นแบบนี้เนี่ย….เอามือของคุณออกไปนะ เดี๋ยวคนมาเห็น….อ้ะ…ซี๊ด…อ่าส์….” อัสลาน ราเชด บรูฮัมนี อายุ 37 ปี “อัสลาน...” หนุ่มนักธุรกิจชาวอาหรับที่หน้าตาหล่อเหลาราวกับเทพบุตรในนิยาย แต่ต้องมาคัดสรรหาเมียเพื่อจะมีลูกสืบทอดวงตระกูลตามคำสั่งของพ่อแม่ ทำให้เขานั้นเลี่ยงไม่ได้กับการที่จะหาเมียสักคนมารับหน้าที่นี้ แต่เขาดันไปถูกใจแม่สาวไทยใจแข็งเข้านี่สิ ไม่ว่าเขาจะเสนออะไรไปเธอก็ไม่ยอมที่จะมาเป็นเมียของเขาเลย เพียงเพราะว่าเขานั้นแก่กว่าเธอไม่กี่ปีเท่านั้น ทำให้เขาต้องใช้เล่ห์กลหลอกล่อเธอให้มาทำงานกับเขา ก่อนจะค่อยๆอ่อยแล้วก็รุกจัดการตะครุบเหยื่ออย่างเธอให้กลายมาเป็นนกน้อยในกรงทองของเขา…. มารียา เวทติวัตร อายุ 27 ปี “มีน มารียา…” สาวไทยหน้าคมที่มีหุ่นอวบอัดเป็นที่ยั่วน้ำลายของพวกหนุ่มนั้น กลับไม่ประสบความสำเร็จเรื่องความรักเอาซะเลย เธอจึงหนีจากความเสียใจแล้วมาหางานทำอยู่ที่ดูไบ...เพื่อจะลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเธอ และเธอก็ได้เจอกับเจ้านายขี้อ่อย ขี้ยั่ว ที่ไม่ว่าเธอจะทำอะไรหรือไปไหน เขาก็มักจะมายั่วน้ำลายทำให้หัวใจที่บอบช้ำของเธอนั้นปั่นป่วนอยู่เสมอ จนเธอถลำตัวมีอะไรกับเขาอย่างห้ามใจไม่อยู่ และเธอก็ได้รู้ว่าเขานั้นเป็นผู้ชายแก่ที่หื่นสุดๆเลย…แต่จะหื่นแค่ไหนต้องไปตามอ่านในนิยายนะคะ
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
© 2018-now MeghaBook
บนสุด