หลังจากถูกแฟนหนุ่มและเพื่อนสนิทของเธอจัดฉาก เฉี่ยนซีก็จบลงด้วยการใช้เวลาทั้งคืนกับชายแปลกหน้าลึกลับคนนั้น เธอมีความสุขมาก แต่พอเธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น เธอก็รู้สึกแย่กับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกผิดทั้งหมดของเธอถูกชะล้างออกไป เมื่อเธอเห็นใบหน้าของชายที่นอนอยู่ข้างเธอ เธอจึงเอ่ยด้วยเสียงเบา ๆ ที่ว่า "ผู้ชายอะไร ทำไมหล่อจัง" และเธอก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น ความผิดของเธอกลายเป็นความละอายใจโดยทันที และมันทำให้เธอตัดสินใจทิ้งเงินจำนวนหนึ่งไว้ให้ชายผู้นั้นก่อนที่เธอจะจากไป "เจ๋อข่าย" รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นเงินดังกล่าว พร้อมกับคิดว่า 'ผู้หญิงคนนั้นพยายามจะจ่ายเงินให้ฉัน ราวกับว่า ฉันเป็นผู้ชายขายบริการอย่างนั้นหรอ? ' เขารู้สึกโกรธ จึงต้องการดูภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงแรม เขาสั่งผู้ช่วยของเขาด้วยใบหน้าที่จริงจังพร้อมขมวดคิ้ว "ผมอยากรู้ว่า ใครอยู่ในห้องของผมเมื่อคืนนี้" 'อย่าให้เจอนะ ถ้าเจอเมื่อไหร่จะสั่งสอนให้เข็ดเลย! ' เรื่องราวของพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อไปนะ
“ฉันรู้สึกทรมานมาก…”
แม้ไฟในห้องของโรงเเรมจะดับลง เเต่แสงสลัว ๆ ที่ลอดมาจากถนนด้านนอกก็ยังมากพอที่จะทำให้เห็นเรือนร่างเพรียวสุดเซ็กซี่ของหญิงสาวตรงหน้า เธอนอนเอนกายอยู่บนเตียงด้วยความขี้เกียจ แต่นั่นก็ยังสามารถดึงดูดความสนใจของกู้เจ๋อข่ายได้ในทันที
“บอกมาซิ! ใครให้คุณเข้ามาในนี้!” -
แม้เขาจะมองเห็นไม่ค่อยชัดว่า หญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงหน้าตาเป็นอย่างไร แต่เขาก็พอจะเห็นลาง ๆ ว่าเธอเป็นคนสวย เมื่อเจ๋อข่ายเดินมาถึงเตียง เขาก็เชยคางของเธอขึ้นเพื่อดูว่า ผู้หญิงลึกลับที่อยู่บนเตียงของเขานั้นคือใคร แต่จู่ ๆ เพียงไม่กี่วินาที ผู้หญิงคนนั้นก็ลุกขึ้นมา แล้วเอาแขนของเธอโอบรอบคอของเขา เขาได้ยินเสียงหายใจอย่างหนักหน่วงราวกับกำลังพยายามจะตั้งสติของตัวเธอให้ได้
“ได้โปรด… ช่วยฉันที…”
การที่เธอเอาตัวมาแนบชิดเขาเเบบนี้ พร้อมกับเสียงหอบหายใจเข้าออกอย่างหนักหน่วงที่ข้างหู ทำให้สติของเจ๋อข่ายขาดสะบั้นลง เขาควบคุมตัวเองไม่ได้อีกต่อไป!
เจ๋อข่ายเติบโตมาในครอบครัวที่ร่ำรวย เขาเคยเห็นและเคยสัมผัสอบายมุขต่าง ๆ มามากมาย มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับเขาที่จะฉวยโอกาสจากเด็กสาวผู้น่าสงสารที่ดูเหมือนจะถูกวางยาคนนี้
‘ต้องเป็นคนที่ถูกบงการมาเเละอยากได้ประโยชน์จากผมเท่านั้นเเหละ ถึงจะเข้ามาในห้องของผมได้ ยัยนี่ก็คงถูกบังคับให้อัพยา เพราะอยากเพิ่มความสนุกให้ฉันล่ะมั้ง’ เขาคิดในใจด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
จากนั้นเจ๋อข่ายจึงโน้มตัวลงเพื่อจูบหญิงสาวโดยไม่ลังเล
กริ๊ง… กริ๊ง… กริ๊ง… กริ๊ง… !
นิ่งเฉี่ยนซี ลืมตาตื่นขึ้นทันทีเมื่อเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือที่เธอตั้งเอาไว้เพื่อปลุกเธอทุกเช้า เธอขยี้ตาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพยายามดันตัวให้ลุกขึ้นมาปิดนาฬิกาปลุก แต่จู่ ๆ เธอก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติไป…
‘ทะ… ทำไมฉันถึงโป๊แบบนี้ แล้วผู้ชายที่นอนข้างฉันคนนี้ คือใคร?!’ !' เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เฉี่ยนซีก็รีบยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองไว้เพื่อไม่ให้เสียงกรี๊ดของเธอดังเล็ดรอดออกมาได้
เธอยกมือขึ้นกุมขมับ และพยายามนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเธอเมื่อวานนี้
‘โอเค… ฉันจำได้ว่า ซ่งจื่อห้าวพูดกับฉันว่า เขามีเซอร์ไพรส์บางอย่างให้ฉัน และบอกให้ฉันมารอเขาที่โรงแรมแห่งนี้ จากนั้นจ้าวเฟยเอ๋อก็เทน้ำเปล่าให้ฉันหนึ่งแก้ว… และฉันก็ดื่มมัน…
แล้ว… ฉันก็เริ่มเวียนหัว และถูกพามาที่ห้องนี้!’ ดวงตาของเฉี่ยนซีเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อเริ่มจำเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับเธอได้ เธอสงสัยมานานแล้วว่า ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างจื่อห้าว เเฟนหนุ่มของเธอ กับเฟยเอ๋อ เพื่อนสนิทของเธอเเน่ๆ ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่คิดว่า พวกเขาจะวางแผนทำร้ายเธอได้ถึงขนาดนี้!
เมื่อตั้งสติได้ เฉี่ยนซีก็รีบลุกลงจากเตียงและแต่งตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อออกตามหาจื่อห้าวและเฟยเอ๋อ แต่ก่อนที่เธอจะจากไป เธอก็หันกลับไปมองชายหนุ่มที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียง เมื่อคืนนี้ แม้ว่าเขาจะมีอะไรกับเธอ เเต่เขาก็ได้พยายามถามอะไรเธออยู่หลายอย่าง พอคิดดูเเล้ว เขาก็ไม่ได้ทำผิดอะไร
‘จะว่าไป…เขาก็ดูดีเหมือนกันนะเนี่ย!’ เฉี่ยนซีคิดในใจขณะที่เธอกำลังสำรวจรูปร่างหน้าตาของเขาที่กำลังหลับไหลอยู่ ‘อืม… ไหน ๆ เขาก็หล่อมากขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้น… ฉันจะถือซะว่า ฉันไม่ได้เสียหายอะไรก็แล้วกัน’ เฉี่ยนซียักไหล่ให้กับความคิดนั้น จากนั้นเฉี่ยนซีก็หยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋า และวางลงบนโต๊ะข้างหัวเตียง ก่อนจะออกจากห้องนี้ไปอย่างเงียบ ๆ
เมื่อเฉี่ยนซีลงมาถึงชั้นล๊อบบี้ของโรงแรม เธอก็เรียกแท็กซี่และตรงไปที่บ้านของจื่อห้าวทันทีเพื่อไม่ให้เสียเวลา ระหว่างที่นั่งอยู่ในรถ เธอจินตนาการถึงความเป็นไปได้ต่าง ๆ นา ๆ ที่กำลังรอเธออยู่ที่นั่น เเต่เธอยังคงเก็บอาการโกรธเอาไว้ไม่อยู่ เมื่อเห็นฉากที่บ้านของจื่อห้าว
เธอกวาดสายตามองเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น ตั้งแต่ตรงประตูทางเข้าไปจนถึงหน้าประตูห้องนอน เฉี่ยนซียังเห็นเนคไทสีน้ำเงินเข้มที่เธอเคยมอบเป็นของขวัญให้จื่อห้าวด้วย ซึ่งตอนนี้ เนคไทนั่นกระจัดกระจายอยู่บนพื้นเหมือนเป็นแค่ขยะชิ้นหนึ่งเท่านั้น
เฉี่ยนซีเดินตรงไปยังห้องนอนของจื่อห้าวอย่างช้า ๆ และพยายามเงี่ยหูฟังในสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ในห้องนั้น เนื่องจากประตูห้องนอนถูกเปิดแง้มไว้เล็กน้อย เธอจึงได้ยินเสียงครางของพวกเขาดังออกมาข้างนอกอย่างชัดเจน ในที่สุดเฉี่ยนซีที่ทนไม่ไหวอีกต่อไปก็คว้า รองเท้าส้นสูงที่อยู่บนพื้นขึ้นมาถือไว้ในมือ แล้วเขวี้ยงใส่คู่ชายหญิงที่อยู่บนเตียงนั่นอย่างเต็มเเรง
“ครั้งหน้าอย่าลืมปิดประตูด้วยล่ะ! อย่าให้คนอื่นเขาเข้ามาเห็นเลยว่า เธอสองคนไร้ยางอายแค่ไหน แต่ฉันก็ไม่รู้นะว่า แกยังมีความสามารถในอีเรื่องนี้รึเปล่า” เฉี่ยนซีกล่าวด้วยความโกรธ
ทันทีที่จื่อห้าวหันไปเห็นสีหน้าโกรธจัดของเฉี่ยนซี เขาก็รีบคว้าผ้าห่มมาคลุมตัวเขาเอาไว้ ในขณะเดียวกัน เฟยเอ๋อก็รีบเอื้อมมือไปคว้าเสื้อเชิ้ตของจื่อห้าวที่อยู่ปลายเตียงขึ้นมาสวม จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นและเดินเข้าไปหาเฉี่ยนซี
“เฉี่ยนซี ยังไงซะเธอก็เห็นหมดทุกอย่างแล้ว งั้นฉันขอพูดกับเธอตามตรงเลยแล้วกันนะ เพราะฉันก็ไม่มีอะไรที่จำเป็นจะต้องปิดบังเธออีกต่อไป จื่อห้าวกับฉัน…”
“ไปใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนไหม?!” เฉี่ยนซีพูดตัดบท พร้อมกับเอามือปิดตาด้วยท่าทางรังเกียจสารรูปของเฟยเอ๋อในตอนนี้ “ช่วยเคารพตัวบ้าง”ั
“นี่ แก!”
เมื่อคนอื่นเห็นเธอในสภาพเเบบนี้เข้า เฟยเอ๋อทั้งโกรธเเละอาย จนพูดไม่อะไรไม่ออก เฉี่ยนซีมองไปที่เฟยเอ๋อ พร้อมกับหัวเราะเจื่อน ๆ สีหน้าหมดอาลัยตายอยาก
“นี่คือสิ่งที่คุณต้องการงั้นหรอ จื่อห้าว เเบบนี้เหรอรสนิยมแก” เฉี่ยนซีจ้องหน้าจื่อห้าวที่ตอนนี้หน้าซีดเป็นไก่ต้มอยู่บนเตียง ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าที่เย้ยหยัน
“เฟยเอ๋อ ฉันเห็นแกเป็นเพื่อนสนิทของฉันมาตลอด แต่มันจะไม่ใช่แบบนั้นอีกต่อไปแล้ว!” เฉี่ยนซีพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “ฉันก็ไม่อยากพูดแบบนี้กับเธอหรอกนะ เพราะฉันคิดว่ามันอาจจะทำร้ายความรู้สึกของเธอ เฟยเอ๋อ ตอนที่เราเป็นเพื่อนกัน เธอคงรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เเต่ก็ไม่กล้าพูดออกมาสินะ แต่ตั้งแต่เล็กจนโต เสื้อผ้าที่เธอใส่ก็เป็นเสื้อผ้าเก่าของฉัน ของที่เธอใช้ก็เป็นของเก่าที่ฉันไม่ใช้แล้ว เธอไม่คิดว่า มันตลกบ้างเลยเหรอ” เฉี่ยนซีกล่าวขึ้นอย่างแดกดัน พร้อมกับหัวเราะเยาะเฟยเอ๋อ “แล้วตอนนี้ก็ดูเหมือนว่า เธอจะได้ผู้ชายมือสองจากฉันไปด้วย! เธอนี่ช่ำชองในการเก็บ ‘ขยะ’ จังเลยนะ เฟยเอ๋อ!”
คำพูดเหล่านี้ของเฉี่ยนซีทำให้เฟยเอ๋อรู้สึกเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด พ่อของเฟยเอ๋อเคยเป็นคนขับรถให้กับตระกูลนิ่งมาก่อน ด้วยเหตุนี้ เธอจึงคิดว่าตัวเองฐานะต่ำต้อย และมักรู้สึกด้อยค่าอยู่เสมอ จื่อห้าวที่ยังคงนอนอยู่บนเตียง เมื่อได้ยินเฉี่ยนซีเปรียบตนเองว่าเป็น “ขยะ” ก็รู้สึกโกรธขึ้นมาทันที เขาชี้ไปที่เฉี่ยนซีด้วยท่าทางหาเรื่อง และตะโกนใส่เธอว่า “นั่นคือสิ่งที่ผมเกลียดที่สุดในตัวคุณ เฉี่ยนซี!คุณเอาแต่หลงตัวเอง! คุณยังคิดว่า คุณเป็นลูกเศรษฐีจากตระกูลนิ่งเหมือนเมื่อก่อนอยู่อีกหรอ คุณอย่าลืมนะว่า พ่อของคุณตายไปแล้ว และครอบครัวของคุณก็ล้มละลายไปแล้วเหมือนกัน! ตอนนี้คุณก็เป็นแค่คนจน ๆ ที่ไม่มีประโยชน์อะไรกับผมเเล้ว คุณยังมีหน้ามาพูดถึงเฟยเอ๋อกับผมแบบนั้นอีกหรอ แล้วคุณกล้าบอกผมไหม ว่าเมื่อคืนคุณไปทำอะไรมา”
เมื่อเขาพูดประโยคนี้ขึ้นมา เฉี่ยนซีก็รู้ทันทีว่า พวกเขาเป็นคนวางแผนเรื่องนี้ทั้งหมด
เธอจึงนึกขึ้นได้ว่า จื่อห้าวเคยเล่าให้ฟังว่า เขาหมดเงินจำนวนมากไปกับการพนันที่มาเก๊าเมื่อกไม่นานมานี้ และเขาก็ไม่ต้องการให้ครอบครัวของเขารู้ ดังนั้น เขาจึงขายเธอเพื่อใช้หนี้งั้นเหรอ แต่ดูเหมือนว่า เฟยเอ๋อจะพาเธอเข้าห้องผิดโดยไม่รู้ตัว!
เมื่อปะติดปะต่อเรื่องราวขึ้นมาได้ เฉี่ยนซีกลับรู้สึกอารมณ์เย็นลงอย่างคาดไม่ถึง เธอมองไปยัง ‘อดีตแฟนหนุ่ม และอดีตเพื่อนสาว’ ที่อยู่ตรงหน้าเธอแล้วยิ้มเยาะอย่างเย็นชา
“ฉันจะบอกให้นะ! เมื่อคืนนี้ฉันได้ใช้เวลาชั่วข้ามคืน กับผู้ชายที่แสนดีคนหนึ่งในโรงแรมนั่น ร่างกายของเขากำยำและเซ็กซี่มาก แล้วเขาก็หล่อมากด้วย! มันเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับฉันเลยล่ะ!”
เฉี่ยนซีรู้ว่า จื่อห้าวเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างหยิ่งยโส เธอจึงพยายามยั่วยุเขาด้วยคำพูด ตามคาด สีหน้าของจื่อห้าวเปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีที่เธอพูดจบ เขามองจ้องมาที่เธอและกัดฟันอย่างโกรธจัด
“เธอมันผู้หญิงสารเลว!”
“ฉันจะไปเทียบอะไรกับเธอสองคนได้ล่ะ? ฉันมั่นใจว่า พวกเธอจะเพลิดเพลินกับความน่าสมเพชที่ได้คบกัน” เฉี่ยนซีตอกกลับด้วยคำพูดที่เยาะเย้ยและดูถูก จากนั้นเธอจึงกลับหลังหัน แล้วเดินจากไปพร้อมกับเสียงส้นเท้าที่กระทบพื้นจนดังกึกก้องไปทั่วบ้านราวกับราชินีผู้หยิ่งผยอง
หลังจากถูกแฟนหนุ่มและเพื่อนสนิทของเธอจัดฉาก เฉี่ยนซีก็จบลงด้วยการใช้เวลาทั้งคืนกับชายแปลกหน้าลึกลับคนนั้น เธอมีความสุขมาก แต่พอเธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น เธอก็รู้สึกแย่กับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกผิดทั้งหมดของเธอถูกชะล้างออกไป เมื่อเธอเห็นใบหน้าของชายที่นอนอยู่ข้างเธอ เธอจึงเอ่ยด้วยเสียงเบา ๆ ที่ว่า "ผู้ชายอะไร ทำไมหล่อจัง" และเธอก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น ความผิดของเธอกลายเป็นความละอายใจโดยทันที และมันทำให้เธอตัดสินใจทิ้งเงินจำนวนหนึ่งไว้ให้ชายผู้นั้นก่อนที่เธอจะจากไป "เจ๋อข่าย" รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นเงินดังกล่าว พร้อมกับคิดว่า 'ผู้หญิงคนนั้นพยายามจะจ่ายเงินให้ฉัน ราวกับว่า ฉันเป็นผู้ชายขายบริการอย่างนั้นหรอ? ' เขารู้สึกโกรธ จึงต้องการดูภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงแรม เขาสั่งผู้ช่วยของเขาด้วยใบหน้าที่จริงจังพร้อมขมวดคิ้ว "ผมอยากรู้ว่า ใครอยู่ในห้องของผมเมื่อคืนนี้" 'อย่าให้เจอนะ ถ้าเจอเมื่อไหร่จะสั่งสอนให้เข็ดเลย! ' เรื่องราวของพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อไปนะ
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
เสียงกระเส่าในยามค่ำคืน ไม่ได้มีแค่เสียงเดียวแต่มีถึงหลายคน สตรีนางน้อยที่อยู่บนเตียงหันมองสตรีที่จูบแม่ทัพปีศาจ นางพึ่งจะเป็นมือใหม่ที่ใหม่จนไม่กล้าทำสิ่งใด ได้แต่มองเขาเสพสมสตรีอื่นต่อหน้านาง เสียงเนื้อกระทบเนื้อที่ดังไม่หยุด ยิ่งทำให้นางประสาทเสีย หากแต่ว่าหากนางยังนิ่งมองอยู่เช่นนี้ เกรงว่าพรุ่งนี้จะไม่มีที่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จัดเลยสิจะรออะไร ใช่ว่านางจะทำไม่เป็นเสียหน่อย
หยางจื้อซี เด็กกำพร้าจากศตวรรษที่21 ถูกองค์กรมืดเลี้ยงดูจนเติบโตและทำให้เธอกลายเป็นมนุษย์กลายพันธ์ ในระหว่างที่ถูกส่งตัวไปทำภารกิจลับ เธอกลับถูกคนในองค์กรมืดหักหลังและถูกฆ่าโดยเพื่อนสนิทที่เธอไว้ใจมากที่สุด ก่อนสิ้นใจเธอถามเพื่อนสนิทว่าทำไม แต่ไม่ได้รับคำตอบจากปากของอีกฝ่าย สิ่งที่เธอได้รับคือรอยยิ้มที่ดูถูกเหยียดหยามและ คำว่า “โง่” จากปากของอีกฝ่ายเท่านั้น หลังจากที่ตายไปแล้วสิ่งที่เธอคิดไว้ คงจะเป็นนรกหรือที่ไหนสักแห่งที่เป็นโลกหลังความตาย แต่ทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนัน เธอตื่นขึ้นมาในร่างของ หยางจื้อซี เด็กหญิงอายุ เพียง 13 ขวบปีในหมู่บ้านป่าหมอก ในดินแดนโบราณล้าหลังที่ไม่มีในประวัติศาสตร์ คล้ายกับว่าเป็นโลกคู่ขนานที่อยู่อีกมิติหนึ่ง เธอตื่นขึ้นมาในบ้านที่ผุพัง ครอบครัวยากจน มีแม่ที่อ่อนแอและเจ็บป่วย มีพี่น้องที่อายุน้อย มีปู่ย่าตายายที่เห็นแก่ตัวและใจร้าย มีลุงที่เห็นแก่ได้ป้าสะใภ้ที่เต็มไปด้วยความละโมบโมบโลภมาก หยางจื้อซี คิดว่านับจากนี้ไปชีวิตจะต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง หากใครมารังแกก็แค่ทุบตี เธอไม่เชื่อว่าด้วยพลังที่ติดตัวเธอมาจากชาติที่แล้วจะไม่สามารถอยู่รอดได้ในโลกล้าหลังแห่งนี้
ตายด้วยเงื้อมมือของเพื่อนร่วมสาขา เนเน่ เนตรนภา จึงทะลุมิติมาอยู่ในร่างเด็กน้อยวัยสิบหนาวที่ป่วยตาย นามเซี่ยซูเหยา มีบิดา พี่สาว พี่ชายที่เป็นห่วงนางมากกว่าสิ่งใด
นุชพินตา ควรเป็นเจ้าสาวที่น่าอิจฉาที่สุดที่ได้แต่งงานกับ ปุลวัชร เจ้าบ่าวที่ทั้งหล่อ รวย เนื้อหอม เป็นเจ้าชายในฝันของสาวๆ ทั้งเมือง แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าบ่าวในฝันนั้น...ทั้งไร้หัวใจ และไม่ได้รักเธอสักนิด! การแต่งงานที่ไร้รัก อยู่กันไปก็มีแต่เจ็บปวดเท่านั้น แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อเธอไม่อาจปฏิเสธ แม้จะต้องถูกเขาทำร้ายหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะทำอย่างไรหากใจที่ไม่คิดปรารถนารักกลับอยากได้ความรักจากเขา ------------------------------ “เธอเคยนอนกับผู้ชายหรือเปล่า” เขาถามออกมาจากปากร้าย ตอนที่เธอได้ยินถึงกับสะอึก ไม่คิดว่าเขาจะถามตรง ๆ และในนาทีต่อมา นุชพินตาก็รู้สึกโกรธมาก หญิงสาวโต้เขากลับ “ทำไมผู้ชายดี ๆ การศึกษาดี ๆ ถึงได้พูดจาแบบนี้คะ มาพูดดูถูกกัน เมื่อกี้ก็หาว่าพวกเราขายตัว และตอนนี้ยังมากล่าวหาฉันอีกว่าฉันสำส่อน คุณถามคำถามแบบนี้กับผู้หญิงทุกคน ที่คุณเคยนอนด้วยหรือยังไงคะ” ความเจ็บปวดระบายออกมาทางสายตา เขาเป็นบ้าอะไรกันนี่ คำพูดแบบนี้มาจากสันดานข้างในหรือเพราะว่าเขาเมา “แล้วเธอเคยมีอะไรกับผู้ชายหรือเปล่าล่ะ” เขาย้ำอีกครั้ง จ้องสบตาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ “ปากร้าย ประโยคนี้คุณไม่ควรถามออกมาด้วยซ้ำไป” จากที่เรียกเขาว่าพี่ปุ่น ชักขุ่นและมีอารมณ์โมโหขึ้นมาเปลี่ยนสรรพนามที่คนฟังก็รู้ว่าห่างเหิน “ผู้หญิงที่ดี ๆ ที่ไหน จะตอบตกลงแต่งงานกันชายแปลกหน้าอย่างรวดเร็วโดยไม่คิด เวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น” “แล้วมันยังไงคะ” นุชพินตาก็ไม่ยอมเหมือนกัน “เธออาจจะเป็นมือสองก็ได้” ‘เมื่อคืนเขาไปนอนที่ไหน แล้วไปนอนกับใคร’ ‘อ้อ… ก็คงจะเป็นผู้หญิงคนนั้นสินะ’ ดวงตาเศร้าลง เธอลุกขึ้นไปเปิดม่านหน้าต่าง และมองออกไปยังท้องทะเล แสงอาทิตย์กระทบกับระลอกคลื่นที่ไล่เรียงกันกระทบเข้าฝั่ง นุชพินตาถึงกับถอนหายใจดังเฮือก ‘ฉันมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ มาให้เขาย่ำยีเล่นใช่หรือไม่’ เฝ้าถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา ‘ยะหยาอย่าเสียใจไปเลยนะ เธอต้องทำตัวเองให้เข้มแข็ง แข็งแรงเถอะ ในเมื่อเธอก็ไม่ได้รักเขาเหมือนกัน’ คำพูดปลอบโยนตัวเอง ‘ใช่… ฉันไม่ได้รักเขา และจะเกลียดเขาให้มากกว่านี้’ เธอตอกย้ำคำนี้เข้าไปในหัวใจของตัวเองด้วยความมุ่งมั่นและสายตาที่แน่วแน่ แม้จะรู้สึกเจ็บแน่นในหัวอก ------------------------------ “ฉันจะหย่ากับเธอ” เขาเอ่ยอย่างใจดำ หญิงสาวถึงกับใจหล่นวูบ เธอเม้มขบริมฝีปาก กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่แล้ว นุชพินตาพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว “นางผู้หญิงไร้ยางอาย แพศยาฉันเกลียดผู้หญิงหลายใจ ฉันเกลียดผู้หญิงที่นอกใจ ไปให้พ้นจากบ้านของฉัน ไปให้พ้นจากหน้าฉัน พรุ่งนี้จะให้ทนายทำใบหย่า” “พี่ปุ่นคะ” เธอยกมือขึ้นมาไหว้เขาปลก ๆ “เราสองคนเพิ่งแต่งงานกันเองนะคะ ยะหยาไม่อยากให้คุณลุงและคุณย่าเสียใจ” “แต่สิ่งที่เธอทำล่ะ มันน่าอาย แล้วเธอไม่ละอายบ้างเหรอ หน้าด้าน” เขามีอาการเสียใจ และหัวเสีย นุชพินตาเอง เธอไม่คิดว่าปุลวัชรจะปากร้ายด่าทอเธอได้ถึงเพียงนี้ “ฉันจะหย่ากับเธอแน่นอน เตรียมปากกาไว้เซ็นใบหย่าในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน” พูดจบ เขาเดินเข้าไปใช้มือปัดแจกันที่อยู่ใกล้ และชกบานกระจกที่ใช้ตกแต่งอยู่ในห้องโถงด้วย จนกระจกแตกละเอียดทั้งบาน มือของปุลวัชรมีเลือดไหลซึม เขาจะเดินเข้าห้องทำงานและปิดประตูตามหลังดังโครม นุชพินตาตกใจ และหวาดกลัวกับสิ่งที่เธอได้เห็น ความดีใจที่สามีจะกลับมา เธอจะบอกข่าวดีเขา และกินข้าวด้วยกัน ได้มลายหายไปสิ้น มีเพียงความเศร้าเข้ามาทับถมอยู่ในจิตใจของนุชพินตา แล้วหญิงสาวยกมือขึ้นมาปิดหน้าปิดตาปล่อยโฮ
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น