พรหมลิขิต...ร้าย! ดั่งสายลมพานพัดให้เธอต้องเจอกับเขา! จากครั้งแรกที่เจอ เธอก็ดูไม่ดีแล้วในสายตาเขา บวกกับคำพูดร้ายๆ ทำให้เธอต้องตกอยู่ในอุ้งมือมาร! “ไหนว่าจะอาบน้ำล้างคราบคาวๆ ออกจากตัวให้หมดไงสายน้ำผึ้ง หรือว่ารอฉันมาช่วยอาบให้ละยายตัวดี” เขาอารมณ์เย็นลงแล้วเชียวนะ แต่เพราะสายน้ำผึ้งฤทธิ์มากบวกกับเรื่องที่ได้รู้เมื่อครู่ เลยอยากลองสักครั้ง เธอมีดีแค่ไหน ถึงได้ทำให้ประพันธ์เอ่ยปากขอหย่ากับกับบ่อเงินบ่อทอง “ไม่นะ...ปล่อยฉันนะ!” หวีดร้องเสียงหลง สองมือจับขอบระเบียงและฝืนตัวเอาไว้ ไม่ยอมเดินตามแรงลากจูงของคนตัวใหญ่ ทว่าเรี่ยวแรงที่น้อยกว่า บวกกับความกลัวตกลงไปกระแทกกับพื้น ทำให้เธอทานไว้ไม่ได้ ถลาหัวตุงคว้างไปจนกระแทกเข้ากับกายแกร่ง ก่อนถูกช้อนขึ้นบ่ากว้าง “ปล่อยฉันนะคุณภาสวร! ปล่อย!” เสียงสุดท้ายแทบไม่ได้ออกจากปาก ด้วยในหูได้ยินเสียงเนื้อปะทะเนื้อ พร้อมด้วยความเจ็บที่สะโพก จนน้ำตาอุ่นร้อนไหลอาบสองแก้ม “ถ้าขืนทำฤทธิ์ใส่อีก ฉันจะโยนเธอทิ้งข้างล่าง”
ตอนที่ 1
“ไหวไหมคะพี่น้ำผึ้ง” เฌอเอมเอ่ยถามอย่างเป็นคนขับรถ ซึ่งท่าทางอาการดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ด้วยเห็นมือเล็กที่จับพวงมาลัยรถเริ่มสั่นและจิกเกร็งจนเห็นเส้นเอ็นผุดขึ้นมาตามข้อ ดวงหน้าเรียวรูปไข่นวลเนียนแม้มีเครื่องสำอางปิดปังอยู่ ทว่าก็ยังสามารถมองทะลุไปเห็นความซีดของผิวหน้าได้
“ไหวจะ” สายน้ำผึ้งกัดฟันตอบกลับ นัยน์ตากลมโตขมวดนิ่ว เมื่อรอบบริเวณกระบอกตาร้าวคล้ายถูกลิ่มเหล็กตอกย้ำ จนเจ็บทะลุออกท้ายทอย เรื่องงานไม่ได้ทำให้เธอเครียดเลย หนักหนาแค่ไหนรับไหว แต่ไอ้เรื่องเครียดพาปวดศีรษะจนแทบแตกก็มาจาก...ผู้ชาย!
บ้าชะมัด! ทำไมชีวิตเธอถึงได้ซวยหนักก็ไม่รู้ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ต้องผจญอยู่กับผู้ชายปากว่ามือถึงตลอด ตั้งแต่เรียนมัธยมจวบจนจบมหาวิทยาลัยก็นึกว่าจะพ้นเรื่องบ้าๆ นี่เสียที กลับยิ่งหนักกว่าเก่าเมื่อเข้าทำงาน แม้เธอสามารถดำรงตนคงเส้นคงวาไม่หลงไปในข้าวของที่ถูกหยิบยื่นให้ แล้วยังพาตัวเลี่ยงไปไม่ให้เกิดเรื่องราวอันน่าสะพรึงกลัวได้อีก ทว่ามาบัดนี้...
นอกจากความเบื่อหน่ายแล้วยังรำคาญถึงขั้นอยากหนีหายด้วยการลาออกไปซะ! ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้หน้าตาท่าทางก็ดูดี สมาร์ต มาดแมนแอนด์แฮนซั่ม เรียกว่าถึงขั้นหล่อเกินหน้าเกินตาดาราหนุ่มสมัยนี้หลายคนเชียวแหละ ฐานะทางบ้านก็คงดีเอาการถึงได้เช่าห้องโรงแรมนอนตลอดไม่ยอมกลับบ้าน เสียแต่...
พูดจาไม่รู้เรื่องเอาซะเลย เธอบอกว่าไม่! เน้นย้ำชนิดที่ว่าหากไปถึงหูแล้วตะโกนกรอกลงไปได้ก็ทำแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้สึกรู้สา ยังพาหน้าหนาๆ และร่างใหญ่อย่างกับยักษ์มาสร้างความรำคาญให้กับเธออย่างต่อเนื่อง ตลอดทุกเมื่อเชื่อวัน คอยส่งดอกไม้และข้าวของน่ารักราคาสูงพร้อมร่างสูงใหญ่มาเสนอ จนเธอแทบไม่เป็นอันทำงาน
ผู้ชายที่เคยแวะเวียนเมียงมองกระเซ้าแหย่กันบ้างพอให้ชุ่มชื่นหัวใจก็เริ่มห่างหาย ในขณะที่เพื่อนสาวๆ ที่เคยพูดจาถามไถ่เรื่องราวหยิกแกมหยอก ประมาณปะทะคารมลับฝีปากและหาเรื่องประเทืองปัญญาให้สมองไม่ฝ่อจนเกินไปนัก ก็เริ่มมองเห็นเป็นศัตรูอยู่เนืองๆ โดยมีสองสาวในห้องทำงานเดียวกับเธอ เปิดเผยตัวเป็นศัตรูอย่างโจ่งแจ้ง เพียงแค่เดินผ่านหน้า ก็หาเรื่องพูดจาแขวะกัดคล้ายเจ้าสี่เท้าถูกเหยียบหางเห่า ให้หนวกหูและรำคาญใจ
คิดถึงสายตาเพื่อนร่วมงานที่มองมาแล้วสายน้ำผึ้งถึงกับกัดฟันกรอด สองมือกำพวงมาลัยรถเอาไว้แน่น เพลิงโทสะคุกรุ่นราวไฟที่หลงเหลือควัน พร้อมอาการปวดศีรษะแล่นลิ่วราวกับรถไร้เบรกด้วยเรื่องที่เพิ่งประสบพบเจอมา
อีตารูปหล่อแต่ด้านราวกับมีใครใช้ปูนอย่างหนาโบกทับเอาไว้ มาพร้อมช่อดอกไม้สีแดงขนาดใหญ่ มาถึงก็ไม่คุยเล่นหยิกแกมหยอกอย่างทุกครั้ง แต่เอ่ยบอกรักหน้าตาเฉย เล่นเอาเธองงราวกับถูกไม้ฟาดเข้าที่ทัดดอกไม้ ด้วยเมื่อแรกเห็นทว่าหนีไม่ทันก็เลยเตรียมคำไว้ด่าเพียบ กลับกลายเป็นอ้าปากค้างด้วยความอึ้งตะลึงงันแทน ก็แหม...แม้จะมีชายมาจีบมากหน้าหลายตา แต่ก็ไม่เคยมีใครบอกรักนี่น่า
เหลียวมองรอบกาย มีเสียงแบ่งแยกแตกออกเป็นสองฝ่าย ฝั่งหนึ่งตะโกนเชียร์ให้รับ แต่อีกฝั่งหนึ่งคือแม่สาวที่คิดว่าตัวเองสวยเลยเชิดไม่คบกับใครนอกจากพวกหลงตัวเองเหมือนกันเอ่ยกระแทกกระทั้น
“เล่นตัวให้เขาง้อ รอให้เขาบอกรักและขอแต่งงานอวดเพื่อนร่วมงาน หน้าไม่มียางอายเสียเลย”
เธอนี่อยากสวนกลับให้หน้าหาย แต่ตอนนั้นสมองมันตื้อ คิดอะไรไม่ออกเอาเสียจริง ได้แต่มองคนที่ยื่นแหวนและดอกกุหลาบให้หน้าแดงปลั่ง นัยน์ตาวาววับ สลับเหลือบมองหนึ่งสาวเพื่อนร่วมงาน ซึ่งยืนกัดเขี้ยวเคี้ยวฟันมองเธอด้วยความโกรธแค้นอิจฉาราวกับถูกเพลิงไฟเผาไหม้ทรวงอก กระเหี้ยนกระหือรืออยากตรงเข้ามาผลักเธอแล้วฝากฝ่ามือประทับไว้บนวงหน้าสวยๆ ก่อนแย่งรับดอกไม้และแหวน พร้อมกับเอ่ยปากรับคำรักแทน
‘เฮอะ เอาไปเถอะ รวยจริง หล่อจริง แต่ไม่เตะขอบหัวใจให้เต้นเป็นจังหวะแทงโก้ได้ เธอไม่สนหรอก’
คิดถึงเรื่องน่าอายที่เกิดขึ้นเมื่อสายของวันแล้ว ‘โว้ย!! ปวดหัวจริงโว้ย เมื่อไหร่จะมีใครมาสอยอีตาหน้าด้านนั้นไปให้พ้นๆ จากเธอเสียทีนะ’
“พี่น้ำผึ้งไม่ต้องมาส่งเอมก็ได้ แค่มารับเอกสารแล้วเอาไปยื่นและเขียนใบสมัครงานที่โรงแรม เอมไปเองก็ได้” เอ่ยบอกอย่างเกรงอกเกรงใจ
เธอไม่ใช่ญาติของสายน้ำผึ้งสักหน่อย เป็นเพียงแค่เด็กใกล้บ้านที่เมื่อพ่อกับแม่รู้ว่าสอบติดและต้องมาเรียนในเมืองหลวงก็กลายเป็นปัญหา ด้วยเป็นห่วงเป็นใยในทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่เรื่องความปลอดภัยไปจนถึงที่อยู่ที่กิน ป้านุ้ยแม่ของสายน้ำผึ้งจึงเสนอให้มาอยู่กับลูกสาว ซึ่งอยู่คนเดียว มีเพื่อนเป็นคนบ้านเดียวกันสักคนท่านว่าจะได้อยู่ดูแลกัน เกิดเจ็บป่วยไม่สบายกลางค่ำกลางคืน จะได้ไม่ต้องห่วงเรื่องคนพาไปหาหมอ แล้วเธอก็ได้มาอาศัยอยู่กับพี่สาวคนเก่ง คอยดูแลในทุกเรื่องราวกับเป็นพี่สาวจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่คนรู้จัก
“ไม่เป็นไร เดินทางคนเดียวหลายตักหลายตอนอย่างนี้ไม่แค่ลำบากแต่ยุ่งยากด้วย ไหนจะเรื่องเวลาอีกล่ะ นี่ก็เข้าช่วงบ่ายแล้ว ขืนชักช้า เดี๋ยวก็ไปยื่นเอกสารและเขียนใบสมัครไม่ทัน ทำให้คนเขาว่าเราไม่รักษาคำพูด อีกอย่างเสื้อผ้าเอมก็ต้องหาเปลี่ยน หน้าตาอีกต้องเรียบร้อยแต่ดูดี”
เฌอเอมไม่ได้สวยแต่เข้าข่ายน่ารักน่ามอง ด้วยใบหน้าเรียวเล็ก ดวงตากลมโตรับกับจมูกเล็กโด่ง ริมฝีปากรูปกระจับ แต่งหน้าแต่งตาเล็กน้อยก็ทำให้คนหันมองได้ไม่ยาก เสียแต่ว่า...ศีรษะทุยสะบัดส่ายอย่างระอิดระอา ด้วยไม่แต่งหน้าเลย ทำให้น้องสาวคนนี้ของเธอดูเหมือนยายเพิ้ง ที่เพิ่งหลุดออกมาจากป่าไม่มีอารยธรรม
ยังมีผมซึ่งยุ่งเหยิงคล้ายไม้กวาดที่ถูกใช้งานจนเยิน ไม่รู้พบหวีบ้างหรือเปล่า กระโปรงก็สุ่มไก่ยาวกรอมเท้าอย่างไม่กลัวเดินไปสะดุดชายแล้วหัวทิ่มไปข้างหน้า เสื้อดีหน่อยที่ไม่ยาวหรือสั้นจนยกแขนที่ชายหลุดออกจากเอวกระโปรง แล้วยังสวมแว่นสายตาคันโตอีก คุณป้าโบ...โบราณมาเองเลยนะนี่
“ถึงพี่จะเปรยๆ แบบฝากฝังไว้แล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะได้เต็มร้อยนะ” ไม่ได้อยากใช้เส้นสาย ทว่าเมื่อโอกาสมาแล้วรู้ข่าวก่อนใคร ก็อยากนำเสนอคนใกล้ที่งานดี ขยันขันแข็งแถมยังไม่เกี่ยงด้วย หนักก็เอาเบาลุยไม่ถอย
“เป็นตัวเอมเองนั่นแหละ ที่ต้องทำให้เขาสนใจตั้งแต่แรกเห็น ด้วยความมั่นใจในตัวเอง เรามีประสิทธิภาพพอ เมื่อเขารับเข้าไปทำงานแล้ว จะได้เป็นบุคลากรอันทรงคุณค่า ทำงานได้ดีและไม่ทำให้โรงแรมของเขาเสียหาย”
“แต่...” ก้มลงมองเสื้อผ้าที่สวมใส่ คิดว่าชุดนักศึกษาดูดีและเรียบร้อยเหมาะกับการไปยื่นไปเอกสารและกรอกใบสมัครงานอยู่นะ
“ไม่ใช่ว่าไม่ดีหรอกเอม แต่หน้าตาเรานะ ใส่ชุดนักศึกษาไป เขาก็ต้องคิดว่าเด็กที่ยังเรียนไม่จบไปขอทำเรื่องฝึกงานหรือไปวิ่งเล่นน่ะสิ” เอ่ยบอกเมื่อเห็นสายตาสงสัยของเธอเอม
“เพราะอย่างนี้ไง พี่ถึงต้องเป็นคนพามาเอง” ไม่อยากให้เกิดความผิดพลาดใดจนทำให้เฌอเอมพลาดงานที่แม้จะหนักไปนิด แต่เงินเดือนและสวัสดิการอย่างอื่นดีมากๆ สำหรับนักศึกษาจบใหม่ไม่มีประสบการณ์ทำงานจริง
“พี่น้ำผึ้งดีกับเอมมาก จนเอมไม่รู้ว่าจะตอบแทนยังไงแล้ว ขอบคุณนะคะ” ยกมือไหว้สายน้ำผึ้งอย่างซาบซึ้งใจจนน้ำตาคลอเบ้า
“คิดอะไรมากล่ะเอม ก็เราคนบ้านเดียวกัน มีอะไรช่วยได้ก็ช่วยกันไป” สายน้ำผึ้งละสายตาจากท้องถนน ดวงหน้าแย้มยิ้มละไมมอบให้สาวน้อยใกล้บ้าน ละมือจากพวงมาลัยมาตบมือแขนกลมกลึงเบาๆ ก่อนหันไปประคองรถพร้อมสอดส่ายสายตามองไปยังร้านรวงริมถนนที่หมายตาไว้จะซื้อให้เฌอเอมเป็นของขวัญ
เมื่อเพื่อนถามถึงสถานะ... "พวกแก...เชี่ย! แล้วไหมล่ะ อย่าบอกกูนะไอ้ลูกเต่า ที่มึงพูดไปวันนั้นเป็นเรื่องจริง มึงด้วยไอ้ยอด...มีผัวเป็นตัวเป็นตนกับเขาด้วยใช่ไหม" "ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยชี้แจงเรื่องของมึงสองตัวกับพี่สองคนให้กูฟังหน่อย...เร็ว ๆ อย่าชักช้าร่ำไร" "คนที่นั่งข้าง ๆ กูชื่อพี่คาย...กูอาศัยอยู่กับพี่เขาแล้วก็คอยดูแลซีโร่ให้" ศรวัณบอกสั้น ๆ เพราะยังไม่ค่อยกล้าบอกสถานะของตัวเอง เขากลัวเพื่อนจะรับไม่ได้ "ช่วยบอกสถานะให้กูรู้ด้วย...แค่แฟนหรือเป็นผัวมึง!"
ก็ไม่ได้คิดหรอกนะว่าวันหนึ่งจะพบเจอกับเรื่องแปลก ๆ แต่เมื่ออยู่แล้วไร้ความหมายไม่มีคนที่รักและรักเรา เขาจึงเลือกที่จะแลกทั้งที่ไม่ได้มั่นใจเลยว่าจะได้พบกับคนที่รักจริงหรือเปล่า แต่ก็ตัดสินใจเลือกไปแล้ว... “อาซวงเป็นของข้าใช่หรือไม่” ก็มิค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่และคิดว่ามิน่าจะมีอะไรมากมาย เก้าเทียนรุ่ยจึงพยักหน้ารับ “ขอรับ” “ถึงเราจะมิได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขเช่นที่ท่านมีกับสหายที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ นอนกลางดินกินกลางทรายมาด้วยกันมาอย่างชิงชวนหรือคนอื่น ๆ หากนับตั้งแต่ที่เราได้พบรวมถึงอยู่ด้วยกัน ข้าก็คิดว่าเราผ่านอะไรมามากมายพอที่จะทำให้ข้ารู้ถึงความรู้สึกที่ตนเองมีต่อท่าน” เก้าเทียนรุ่ยมองสบสายตาเสวียนลิ่วหลางที่มองเขาด้วยความงุนงง ในดวงตามีความสับสนระคนมิแน่ใจ คล้ายจะมีคำถามตามติดมาด้วย ทำให้เขาเผลอยิ้มหวานออกไป เสวียนลิ่วหลางได้แต่ยิ้มด้วยความเขินอาย “ข้าก็มิรู้ว่าจะวางตัวเช่นไรดี พึงพอใจอยากให้เจ้าอยู่ชิดใกล้...หากก็มิอยากบังคับหากเจ้ามิเต็มใจ” “แต่ก็มิอาจทำใจได้หากจะต้องปล่อยมือ” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยอย่างเข้าใจ “เมื่อยังต้องรอให้อาซวงรู้สึกเช่นเดียวกัน นอกจากข้าจะทำให้ผู้อื่นรับรู้แล้วว่าคนนี้...” เสวียนลิ่วหลางจับมือเก้าเทียนรุ่ยมาจูบขณะมองสบเข้าไปในดวงตากลมใสก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มหากเต็มไปด้วยความหนักแน่น “ข้าจอง” “ตะเกียบยังต้องอยู่เป็นคู่ถึงจะใช้กินอาหารได้ หยินก็ยังคู่หยางถึงจะสมดุล เมื่อข้าพบคนที่ใช่ เหตุใดถึงต้องปล่อยมือเล่า”
ความรักไม่ผิด...เรารักเขา เขาไม่รักเรา ก็ไม่ผิด แต่การรอคอยมันย่อมมีระยะเวลาสิ้นสุดลงเมื่อ...ใจเราไม่อาจรอรักจากเขาได้อีกแล้ว มันก็ถึงเวลา...สิ้นสุดยุติการรอคอที่เลื่อนลอยไร้จุดหมาย “นั่นสิคะ หนูดาวก็งงอยู่ ทำไมถึงหนีพี่เหนือไม่พ้นสักที ตั้งแต่หนูดาวตัดสินใจทำแบบนั้นลงไป พี่เหนือทำให้หนูดาวแปลกใจจนงงและสับสนไปหมด” “หือ” “ปกติพี่เหนือจะผลักไสให้หนูดาวไปไกล ๆ ชอบใช้สายตาแบบว่า...ฉันรำคาญเธอนะ เห็นหน้าเธอแล้วมันหงุดหงิดใจมาก จะไปเองดี ๆ หรือจะให้ฉันเตะโด่งเธอไป...ประมาณนี้นะคะ แต่พอหนูดาวเอาแหวนหมั้นไปคืน กลับต้องเจอกับพี่เหนือทุกวัน...และยังอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดทั้งวันเลยด้วย ขนาดคิดหนีมาทำงานที่นี่ สุดท้ายยังหนีพี่เหนือไม่พ้นเลยด้วย” “เราคงเป็นคู่เวรคู่กรรมกันละมั้ง ทำยังไงก็หนีกันไม่พ้น เสร็จงานที่นี่ เห็นทีพี่คงจะต้องจับมัดเราให้หนักกว่าเดิม” พันดาวมองแดนเหนืออย่างตื่นตะลึง เรียวปากสีชมพูอ้าค้าง “นี่พี่เหนือ...”
เพื่อน้องสาว เขาจึงหลอกลวงนำตัวเธอมา “คุณโกรธอะไรใครก็ไปเอาคืนกับคนนั้นสิ มายุ่งกับฉันทำไม ปล่อยฉันนะไอ้วายร้าย!” “เผอิญว่าฉันดันอยากได้เธอด้วยผิง ก็เธอมันขาวอวบยั่วยวนราคะใช่ย่อยนิ แค่จับลูบไล้หน่อยเดียวก็พร้อมจะร้อนเป็นไฟแล้ว” ชายหนุ่มลูบไล้ฝ่ามืออุ่นร้อนบนลำตัวกลมกลึง สะกิดเอากระดุมหลุดออกจากรางทีละเม็ดจนหมด จูบอุ่นร้อนทาบทับซุกไซ้ซอกคอขาวผ่อง “ฉันขอร้องนะคุณใหญ่...ถ้าฉันผิดจริง ฉันยอมให้คุณลงโทษได้ทุกอย่าง คุณจะย่ำยีลงทัณฑ์ฉันยังไงก็ได้ ฉันจะไม่ร้องขอความปราณีแม้แต่นิดเดียว จะไม่หนีอย่างที่ทำอยู่ทุกวัน จะไม่คิดไม่เคียดแค้นคุณเลย แต่ถ้าฉันไม่ผิด คุณปล่อยฉันไปนะ...ได้โปรด” “รู้อะไรไหมผิง...ไม่มีผู้ชายคนไหนโง่ยอมปล่อยให้ผู้หญิงสวย ๆ เซ็กซี่ แล้วก็ปลุกเร้าอารมณ์ได้อย่างกับน้ำมันราดลงไปกองไฟให้หลุดรอดมือไปหรอกนะ” แต่ใครจะรู้ล่ะ...ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น จะนำสิ่งใดมาสู่เขาบ้าง เรื่องหัวใจก็ยังต้องจัดการ เรื่องการงานก็ต้องตรวจสอบหาความจริง
กฎของหมู่บ้าน ทำให้สองศรีพี่น้องต้องเร่งหา...ผัว! ให้ได้ “ตัวสั่นเชียว กลัวหรือจ๊ะฟองจ๋า” “โถ...น่าสงสารจริง เมียของผัว” มือหนาลูบไล้ผิวเนื้อนวลนุ่มลื่นขณะเดียวกันก็เกี่ยวเอาชายเสื้อของหญิงสาวดึงมันออกไปจากกายสาวก่อนจะแนบฝ่ามือลงบนทรวงอกอวบใหญ่ เสียงหวานแหบพร่าดังออกมาจากกลีบปากเล็ก “ร้องได้เลยจ้ะฟองจ๋า ผัวอยากได้ยินเสียงหวาน ๆ ของฟองที่สุด” “โถ่...จะปิดทำไมละจ๊ะสร้อยจ๋า” แม่เจ้าโว้ย! ใหญ่ฉิบหายเลย ใหญ่จนเขาอยากเห็นใกล้ ๆ อยากได้ลิ้มลองรสชาติในตอนนี้เลย “เดี๋ยวเราสองคนจะไม่เพียงแค่ได้เห็นทุกซอก...ทุกมุมของสร้อยแล้ว เราสองคนจะทั้งจับ...ทั้งเลีย แล้วก็อัดกระแทกให้ร่องสวาทของสร้อยแทบพังไปเลยจ๊ะ” ตรวนสวาทนางไพร : ใครกันแน่ที่เป็นผู้ล่า ใครกันแน่ที่เป็นเหยื่อ แน่ใจหรือว่าแพรพลอยคือเหยื่อให้ห้าหนุ่มอย่างพวกเขาเสพสวาทอย่างเร่าร้อน “ไม่เอาอย่างนี้นะโรม...อย่าทำแพรเลยนะ” แพรพลอยร้องห้ามเสียงสั่นพร่าเมื่อรู้ว่าโรมรันจะทำอะไร ไหนจะหนุ่ม ๆ ทั้งสี่ที่ไร้อาภรณ์ปกปิด ทำให้เธอได้เห็นอาวุธของแต่ละคนที่มันช่าง...ใหญ่! ไหนจะคำพูดที่บอกก่อนหน้านี้ที่บอกว่า...จะอัดกระแทกเธอให้ยับ! ทำเอาเธอถึงกับกับหวาดหวั่นไม่ใช่น้อย ยิ่งตอนนี้ทุกคนได้มายืนล้อมรอบเธอแล้วด้วย “พี่ได้ยินไม่ผิดใช่ไหมจ๊ะ...ที่น้องแพรบอกว่าอย่าช้า ให้พวกเรารีบเอาน้องแพรเร็ว ๆ นะ”
เพียงแค่เห็นหน้า เขาก็ถูกใจแล้ว แม้เธอจะมีลูกติดมา เขาก็ไม่คิดที่จะปล่อย ยังคงตามเอาใจลูกสาวตัวน้อยและจีบเธออย่างไม่ลดละ “เย้ เย้ แม่เอาอีกหนุก หนุก เอาอีก เอาอีก” โซดาเริ่มลุยน้ำลงไปกอบทรายที่เปียกน้ำใส่ศีรษะอันนิโต้เรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด สิมิลันหัวเราะจนท้องแข็ง อันโตนิโอ้เอาคืนคนอารมณ์ดีด้วยการกอบทรายเปียกใส่ร่างบางบ้าง “ว้าย! เล่นอะไรนะคุณสกปรกจะตาย” “อ้าวที่คุณกับลูกทำผมล่ะ นี่แนะ” มือใหญ่ขยี้ผมบนศีรษะสิมิลัน โซดาเริ่มเอาอย่างสองมืออวบขยี้ผมบนศีรษะมารดาและศีรษะตัวเองจนยุ่งเหยิงและเปียกชื่น แล้วยืนหัวเราะเสียงใสแจ๋ว ดวงตาเป็นประกายสดใส ยิ้มจนเห็นฟันในปากแทบทุกซี่ “ไม่เลิกใช่ไหมคุณเอ โซดารุมพ่อเอเลยลูก” สองมือเล็กเรียวผลักร่างใหญ่ลงนอนบนพื้นทราย พร้อมกอบทรายเปียกชื้นละเลงบนกายแข็งแกร่ง สองแรงแข็งขันสองมือรุมกอบทรายละเลงบนกายหนาใหญ่จนเปียกชื้น ยังไม่พอสองนิ้วเล็กๆ จี้ไปเอวหนาจนชายหนุ่มหัวเราะท้องแข็ง โซดาเองก็เอาอย่างคนเป็นแม่ มือใหญ่ทั้งห้านิ้วจี้เอวแข็งแกร่ง อันโตนิโอ้ก็ไม่ยอมแพ้ มือใหญ่จี้เอวสองแม่ลูกกลับบ้าง เสียงหัวเราะของสองผู้ใหญ่หนึ่งเด็กดังลั่นหาดทรายสีขาว
นางเจ็บปวดปางตายเมื่อเขาโยนร่างบอบช้ำทิ้งไว้หลังจวนโดยไม่แยแส เมิ่งลี่เฟยน้ำตาไหลพรากทว่ากลับไม่ทำให้คนที่เพิ่งเหยียบย่ำร่างกายเล็กเห็นใจแต่ประการใด"เฝ้านางเอาไว้ให้ดีอย่าให้ออกมาทำเรื่องชั่วอีก"
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
หลังจากแต่งงานกันมาสองปี สามีของเธอไม่เคยเหยียบเข้าไปในบ้านและมองดู 'ภรรยาขี้เหร่' ของเขาเลย แถมเขาก็มีเรื่องอื้อฉาวกับดาราหน้าใหม่หลายคนทุกวัน ซูเหว่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอตัดสินใจปล่อยเขาไป ต่อไปก็ต่างคนต่างไปเลย แต่เมื่อเธอเสนอเรื่องหย่า... ฟู่เหยียนอันพบว่านักออกแบบในบริษัทนั้นสะดุดตาเป็นพิเศษ เขาค่อยๆ ทำความรู้จักกับเธอเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเธอเข้า เขาเสียใจแล้ว
หลินตงหยาง อายุ 27 ปี เติบโตมากับแม่เพียงสองคน ในวัยเด็กหลินตงหยางเคยมีพ่อผู้ให้กำเนิดแต่หลังจากที่พ่อได้งานใหม่ในเมืองหลวงพ่อที่เคยมีก็ไม่มีอีกแล้ว พ่อกลับมาหย่าขาดกับแม่ทันทีที่ไปทำงานในเมืองหลวงได้เพียง 2 เดือน ด้วยให้เหตุผลในการหย่าว่า แม่กับและเขาคือตัวถ่วงความเจริญในชีวิตพ่อ สาเหตุก็ไม่มีอะไรมากแค่พ่อหน้าตาหล่อเหลาและเป็นที่ถูกใจของลูกสาวหัวหน้างาน เพื่อตำแหน่งงานและความเป็นอยู่ที่สบายขึ้น พ่อเลือกที่จะทิ้งภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่ผ่านเรื่องยากลำบากมาด้วยกัน หย่าขาดกับภรรยาเพื่อไปแต่งงานใหม่ มีชีวิตใหม่ในเมืองหลวง โดยทิ้งคนข้างหลัง ทิ้งภรรยาที่เคยสาบานว่าจะอยู่ครองคู่กันตลอดไป ในปีที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัย แม่ก็ล้มป่วยและจากเขาไปในที่สุด สาเหตุที่หลินตงหยางเสียชีวิต เพราะทำงานหนัก อาชีพโปรแกรมเมอร์ตัวเล็กๆ อย่างเขา ต้องพยายามทำงานให้ได้ตามที่หัวหน้าสั่งมา ในที่สุดเขาก็พัฒนาเกมกำลังภายในของบริษัทได้สำเร็จ หลินตงหยางนอนหลับไปด้วยความสบายใจ แต่ทว่าพอเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที นี่ไม่ใช่คอนโดหรูย่านใจกลางเมืองปักกิ่ง หลังคามุงหญ้านี่คืออะไร มันควรจะเป็นเพดานสีขาวสิ เมื่อมองไปรอบๆ ห้องนี่คืออะไร นี่มันไม่ใช่ผนังที่ทำมาจากคอนกรีต มันคือดินเหนียว หลินตงหยางคิดว่าตัวเองฝันไป เขาหลับตาลงอีกครั้งแล้วลืมตาขึ้น ทุกอย่างยังเหมือนเดิม มารดามันเถอะ เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไมไ่ด้ฝัน ตอนนั้นเองเขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง และในหัวของเขามีภาพเหตุการณ์ของเด็กชายที่ชื่อเดียวกับเขา หลินตงหยาง อายุ 10 ขวบ เรื่องราวชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายไปของเด็กชาย ทำเอาหลินตงหยางกำมือแน่น ก่อนจะสบถออกมา “พ่อสารเลว เฉินซื่อเหม่ยชัดๆ” และตามมาด้วยเสียงร้องไห้ของน้องสาว สาเหตุที่เด็กชายหลินตงหยางเสียชีวิต เพราะถูกผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นย่าแย่งผักป่าและทุบตี ทั้งๆ ที่คนพวกนั้นได้ตัดขาดพับพวกเขาสามแม่ลูกแล้ว แต่ยังมิวายข่มเหงรังแก
เพิ่งหย่ากับอดีตสามีไปไม่นานแต่ปรากฏว่าตัวเองท้อง จะทำอย่างไรดี? หรือจะให้อดีตสามีรับผิดชอบ แต่ก็ไม่คิดว่าอดีตสามีมีคนรักใหม่ไปแล้ว ชีวิตของถังชีชีนั้นช่างสับสน ช่างน่าวิตกกังวลและไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เธอต้องคอยระวังไม่ให้คุณเฟิงรู้เรื่องการตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัย แต่ไม่คิดว่าจะถูกเขาบังคับถึงเพียงนี้ "เราหย่ากันแค่สี่เดือน แต่เธอกลับตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนแล้ว บอกมาดี ๆ ว่า ลูกเป็นของใคร!"
หลังจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เจียงหว่านฉือตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด ทีแรกเธอยังคิดว่าสามีของเธอที่แต่งงานกันมาเป็นเวลาสามปีนั้นมาที่นี่เพื่อดูอาการของเธอ แต่ไม่คิดเลยว่า ชายคนนั้นกลับเดินไปที่ห้องผู้ป่วยข้างๆ เพื่อดูแลผู้หญิงอีกคนหนึ่ง และเพื่อผู้หญิงคนนั้นแล้ว เขายังต้องการส่งเธอเข้าคุกด้วย "2500 ล้าน เพื่อแลกกับการตบผู้หญิงของคุณหนึ่งฉาด"เจียงหว่านฉือมองไปที่เขาอย่างเย็นชา "เราหย่ากันเถอะ"" เธอรับใช้เขาอย่างอดทนมาเป็นเวลาตั้งสามปี ตอนนี้ เธอขอไม่ทำเรื่องโง่ ๆ แบบนั้นอีกต่อไปแล้ว เธอจะกลับไปสืบทอดมรดกมหาศาลของตระกูล