เธอมีแผนร้าย เขามีแผนรัก สมการนี้จึงไม่ลงตัว
เธอมีแผนร้าย เขามีแผนรัก สมการนี้จึงไม่ลงตัว
บทที่ 1 มันแค่เริ่มต้น
ความร้อนระอุของเวลาเที่ยงวันกลางเดือนพฤษภาคมทำให้ผู้คนไม่น้อยเลือกที่จะมาอาศัยหลบแดดหาความเย็นจากเครื่องปรับอากาศภายในร้านกาแฟสไตล์วินเทจที่มีบรรยากาศร่มรื่น ซึ่งมีเจ้าของเป็นชายหนุ่มหัวใจสาวที่เปิดร้านนี้ขึ้นเพื่อเป็นอาชีพเสริม นอกจากงานหลักคือเป็นผู้จัดการคิวงานให้กับนักร้องนักแสดงรวมถึงนางแบบและนายแบบในวงการบันเทิง โดยได้ร่วมหุ้นกับเพื่อนสาวคนสนิทผู้มีอาชีพหลักเป็นที่ปรึกษาการวางแผนให้กับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง ส่วนอาชีพรองนั่นคือเปิดร้านขายของที่ระลึกอยู่ที่จังหวัดลำพูน
โต๊ะด้านในสุดติดกระจกใสบานใหญ่ซึ่งคั่นกลางระหว่างระเบียงไม้ยกพื้นสูงกับตัวร้านให้แยกออกจากกันเป็นที่หมายของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของร้าน ปกรณ์ ตันตระกูล เดินหน้าง้ำขณะที่สองมือใหญ่ยกเครื่องดื่มมาเสิร์ฟลูกค้าสาวที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านนิตยสารรายปักษ์ด้วยความตั้งอกตั้งใจราวกับกำลังเตรียมสอบก็ไม่ปาน
เสียงวางแก้วเครื่องดื่มตามแรงอารมณ์ทำให้หญิงสาวผู้เป็นถึงลูกค้าระดับวีไอพีในความรู้สึกของชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นฉีกยิ้มโชว์ฟันเรียงสวยรับ ดวงหน้านั้นขาวเนียน ดวงตากลมหวานใสถูกคั่นกลางด้วยจมูกโด่ง รับกับริมฝีปากบางที่ยามเผลอใช้ความคิดเจ้าตัวมักจะชอบขบริมฝีปากล่างไว้จนติดเป็นนิสัย เรียวคิ้วโก่งสวยได้รูปกับแพขนตางามงอน ทำให้คนที่พบเห็นอดที่จะอิจฉาในความลงตัวอย่างสมบูรณ์แบบนี้ไม่ได้
“ขอบคุณนะคะเจ๊” เสียงหวานเอ่ยประจบพลางยกแก้วเครื่องดื่มสีขาวขุ่นขึ้นจิบด้วยท่าทางไร้เดียงสา เจ้าของร้านจึงได้ค้อนปะหลับปะเหลือกให้เป็นของแถม
“ย่ะ แม่หุ้นส่วนใหญ่ แค่น้ำแก้วเดียวหล่อนก็ยังไม่มีปัญญาจะยกมากินเองเลยนะยะ”
“โธ่! เจ๊ ยังไงเจ๊ก็ต้องมานั่งกับหนูอยู่แล้วนี่นา เสิร์ฟนิดเสิร์ฟหน่อยทำบ่นไปได้” เมื่อโดนค้อน หุ้นส่วนใหญ่ก็แกล้งทำเป็นค้อนกลับอย่างแง่งอน จนคนโดนค้อนกลับอดที่จะหัวเราะกับท่าทีขี้เล่นของเธอไม่ได้ แล้วชายหนุ่มใจสาวก็ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ อย่างที่เธอว่าไว้ไม่มีผิด
พิชชาภรณ์ ปิยะวรนันท์ เป็นหุ้นส่วนครึ่งหนึ่งของร้านกาแฟแห่งนี้ก็จริง แต่หญิงสาวกลับไม่ค่อยได้ลงมาดูกิจการที่นี่มากนัก เนื่องจากต้องคอยดูแลครอบครัวและร้านขายของที่ระลึกที่จังหวัดลำพูน ทำให้พนักงานบางคนของร้านคิดว่าเธอเป็นเพียงลูกค้าธรรมดา
ร่างบางในชุดเสื้อยืดสีโอลด์โรสปาดคอกว้างโชว์ไหล่เนียนข้างเดียวอย่างมีสไตล์กับกางเกงยีนขาสั้นแค่หน้าขาอวดเรียวขาขาวจนเป็นที่อิจฉาของผู้พบเห็นยักไหล่แลบลิ้นให้อีกฝ่ายอย่างทะเล้น ขณะที่ปกรณ์ย่นจมูกตอบกลับเพียงนิดแล้วเบนสายตาไปทางระเบียงด้านนอกของร้านซึ่งจัดไว้สำหรับลูกค้าที่ต้องการใกล้ชิดกับธรรมชาติ บริเวณนั้นเป็นชานไม้ยกพื้นสูง มีลูกค้าหลายคนจับจองเป็นที่นั่งพักระหว่างวันแม้ว่าอากาศของเมืองหลวงจะร้อนระอุแต่จามจุรีต้นใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขามาปกคลุมก็ช่วยบดบังไอแดดจนเหลือเพียงบรรยากาศร่มรื่นเย็นสบายซึ่งหาได้น้อยนักในเวลาที่พระอาทิตย์อยู่ตั้งมุมเก้าสิบองศากับพื้นโลก
“แล้วนี่ทำไมถึงได้ลงมาหาฉันแบบไม่บอกไม่กล่าวอย่างนี้ล่ะ” เสียงทุ้มที่พยายามบีบให้เล็กแหลมเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย คนที่ลงมาหาแบบไม่บอกไม่กล่าวเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มบางๆ ให้ก่อนตอบ
“เบื่อๆ น่ะค่ะ เลยลงมาหา”
“ฉันเดาว่าคงไม่ใช่แค่เบื่อ”
ปกรณ์หันกลับมาถามอย่างรู้ใจ เพราะผู้หญิงอย่างพิชชาภรณ์หากลองได้เอ่ยคำว่าเบื่ออะไรสักอย่างแล้วละก็ เธอจะไม่มีวันหันกลับไปให้ความสนใจมันอีกเลยหรือเรียกอีกอย่างว่ ถูกเขี่ยออกจากสารบบไปเลย และการที่พิชชาภรณ์บอกว่าเบื่อที่มาพร้อมใบหน้าม่อยลงอย่างเห็นได้ชัดนี่ นั่นย่อมหมายความว่ามีเรื่องอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถเขี่ยออกไปจากสารบบได้
“หนูก็เบื่อไปหมดนั่นละค่ะ ทั้งคุณพ่อคุณแม่ คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย งานที่ร้าน แล้วก็บรรยากาศเดิมๆ ก็เลยลงมาหาเจ๊ไงคะ” ร่ายสมาชิกในครอบครัวครบจบก็แนบหน้าลงซบไหล่อีกฝ่ายอย่างออดอ้อน
แต่ปกรณ์ผู้มีจิตใจเป็นหญิงร้อยเปอร์เซ็นต์รีบชักแขนออกอย่างรวดเร็วพลางส่งค้อนให้อีกที ข้อหาทำเขาผื่นขึ้น เพราะจิตใจเอนเอียงไปเรียบร้อยแล้ว ต่อให้อดีตดาวมหาวิทยาลัยอย่างคนข้างๆ มาฉุดก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจกลับไปมาดแมนสมชายชาตรีได้อย่างเด็ดขาด
“โดนบ่นหรือยังไง” ชายหนุ่มเดา แต่คนตัวเล็กส่ายหน้าพลางคิดไปถึงบุคคลที่เธอเพิ่งจากมา
บ้านของพิชชาภรณ์เป็นข้าราชการกันเกือบทั้งบ้าน ตั้งแต่รุ่นคุณปู่ ยกเว้นอยู่เพียงคนเดียวก็คือทายาทของปิยะวรนันท์ซึ่งกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าเขานี่เอง โดยพิชชาภรณ์ให้เหตุผลว่าไม่อยากเข้าไปทำงานเช้าชามเย็นชามให้เปลืองงบประมาณของรัฐฯ เล่น
หลังจากเกษียณอายุราชการทั้งปู่ย่าตายายและบิดามารดาก็รวมตัวกันเป็นครอบครัวใหญ่ หลานสาว หรือลูกสาวคนเดียวของบ้านจึงต้องรับหน้าที่ดูแลผู้อาวุโสทั้งหก เนื่องจากบิดามารดาต่างก็เป็นลูกโทนด้วยกันทั้งคู่ สุดท้ายหน้าที่ของทายาทเพียงคนเดียวที่ต้องดูแลและสืบทอดวงศ์ตระกูลจึงตกเป็นของเธออย่างไม่ต้องสงสัย
ทั้งพันธุกรรมทางบ้านของบิดามารดาต่างก็มีความเป็นไปได้ที่จะได้ลูกแฝดด้วยกันทั้งคู่ ทั้งย่าและยายที่เป็นเพื่อนสนิทกันจึงพร้อมใจมีลูกแค่คนเดียวเพราะอ้างว่าดีกว่ามีสามคน เมื่อบิดามารดาของเธอที่ถูกจับแต่งงานกันในเวลาต่อมาก็ใช้เหตุผลเช่นเดียวกันนี้ว่า
‘มีคนเดียวดีกว่า...ไม่อยากได้ลูกแฝด’
สุดท้ายพิชชาภรณ์ก็ถูกเลี้ยงมาท่ามกลางการประคบประหงมของเหล่าผู้อาวุโสทั้งหก ตามที่ปกรณ์แอบตั้งฉายาให้อย่างลับๆ
“หรือว่าถูกบังคับให้ไปสอบเป็นครูที่ไหนอีก”
ด้วยค่านิยมของคนต่างจังหวัดต่อระบบราชการยังมีอยู่มากจึงไม่ใช่เรื่องยากที่ปกรณ์จะคาดเดาเช่นนั้น แต่คนไม่อยากเป็นครูเบ้ปากจะร้องไห้ อาชีพที่ต้องไปรบรากับเด็ก...ตัวเล็กๆ ยังพอว่า แต่ถ้าเฮี้ยวแบบพวกประถมฯ ปลายหรือมัธยมฯ เธอคงอกแตกตายแน่ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุณครูที่สอนระดับมัธยมฯ ถึงได้ดูน่าเกรงขามทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิ และปัญญาวุฒิขนาดนั้น
“แหม! เจ๊ล้อเล่น” ปกรณ์ลากเสียงยาวปลอบใจเพื่อนสาวที่ยกให้เขาเป็นพี่สาว เพราะอีกฝ่ายหวาดกลัวอาชีพนี้จริงๆ
“มันไม่ใช่เรื่องงานหรอกค่ะ เพราะตอนนี้อะไรๆ ก็อยู่ตัวแล้ว ลงทุนกับไอ้เอกก็ได้ผลกำไรดี ร้านที่ลำพูนและสวนส้มก็ทำรายได้โอเค แค่ไม่มีสวัสดิการเหมือนพวกข้าราชการเท่านั้น” พิชชาภรณ์เล่าถึงงานบริษัทที่ลงทุนกับเป็นเอกเพื่อนสนิทในกลุ่มซึ่งเธอนั่งดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการวางแผน และกิจการของครอบครัวที่ลำพูนซึ่งค่อนข้างไปได้ดีทีเดียว แต่ติดอยู่ก็แค่เรื่องที่ทำให้เธอต้องหนีลงมากรุงเทพฯ ในครั้งนี้ นึกถึงแล้วก็ถอนหายใจยาวก่อนจะว่าต่อ “แต่ตอนนี้หนูมีปัญหาใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม”
“ไม่ใช่เรื่องงาน แต่เป็นปัญหาใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม?” ปกรณ์ทวนประโยคนั้นช้าๆ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันยุ่งพร้อมกับเหล่ตามองคนพูดอย่างไม่ไว้วางใจ “ปัญหาอะไรยะ อย่างบ้านหล่อนนี่ยังมีปัญหาอะไรอีกเหรอ หรือว่า...” เขาถามลองเชิงก่อนจะร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อคิดว่าคงเหลือเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นแล้วที่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนตรงหน้า “แต่งงาน!”
“เราเลิกกันเถอะ” เขาบอกเธอเช่นนั้น เมื่อถามถึงเหตุผล รมิตาก็ได้รับคำตอบเพียงว่า "พี่เบื่อ"
หลี่เมิ่งเหยาย้อนเวลามาอยู่ในร่าง ของเด็กสาววัยสิบสองปี ในวันที่มารดาอนุผู้โง่เขลา ถูกขับไล่ออกจากจวน โชคยังดีที่ตอนตาย นางสวมกำไลหยกโลกันตร์เอาไว้ มันจึงติดตามนางมาที่นี่ด้วย +++ 1 : มารดาโง่ จนถูกไล่ออกจากตระกูล จวนตระกูลหลี่เจ้าเมืองถัง สตรีสองนางถูกสาวใช้จับคุกเข่าลง ตรงหน้าของหลี่หงซวนเจ้าเมืองถัง ทั้งยังเป็นพ่อสามีของทั้งคู่อีกด้วย ท่านกำลังสอบสวนเรื่องของสะใภ้ใหญ่ของบ้านสาม ถูกฮูหยินรองกับอนุรวมหัวกันลอบทำร้าย ด้วยการวางยาขับเลือดในถ้วยน้ำแกงบำรุงครรภ์ ทำให้นางต้องสูญเสียทารกในครรภ์ไป “ท่านพ่อข้าไม่รู้จริง ๆ ว่านั่นเป็นยาขับเลือด ฮูหยินรองบอกว่าเป็นน้ำแกงบำรุงครรภ์ ให้ข้าเป็นคนนำไปมอบให้ฮูหยินใหญ่ เป็นนางนั่นเอง นางหลอกข้า !” เฉาซูหลิ่งชี้นิ้วไปทางสตรีด้านข้าง ร้อนรนเอ่ยออกมาเหมือนคนไม่ได้รับความเป็นธรรม “อนุเฉาเจ้าอย่ามาใส่ร้ายข้านะ เจ้าทำคนเดียวทั้งนั้นไม่เกี่ยวกับข้าเลย” ฮูหยินรอง ถูซวงอี้ ชี้นิ้วใส่หน้าเฉาซูหลิ่งกลับคืน ต่างคนต่างโยนความผิดให้กัน ฮูหยินผู้เฒ่าหลิวเยี่ยนหนานโบกมือให้คนเข้ามา “ข้าให้โอกาสพวกเจ้าสองคนพูดความจริง แต่กลับไม่มีใครยอมรับความผิดแม้แต่คนเดียว มันน่าจับส่งทางการให้รู้แล้วรู้รอด” พ่อบ้านหลัวให้คนลากสาวใช้คนหนึ่งเข้ามา สภาพของนางถูกทรมานจนเนื้อตัวบวมช้ำไปหมด “เรียนนายท่านข้าให้คนไปค้นห้องสาวใช้ทุกคนในจวน พบเทียบยาซ่อนไว้ใต้หมอน จากห้องของสาวใช้คนนี้ขอรับ” ถูซวงอี้ถึงกับคุกเข่าต่อไปไม่ไหว ทิ้งตัวลงไปนั่งอยู่บนพื้น สาวใช้ที่ถูกทรมานจนสภาพน่าเวทนานั่น เป็นเสี่ยวอิงสาวใช้สินเดิมของนางเอง “ฮูหยินรอง ข้าขอโทษ ข้าทนต่อไปไม่ไหวจริง ๆ ข้าขอโทษ !” เสี่ยวอิงโขกศีรษะลงตรงหน้าของถูซวงอี้แรง ๆ น้ำตาไหลนองหน้าจน แทบไม่เป็นผู้เป็นคนอยู่แล้ว พ่อบ้านหลัวเอ่ย “ข้าให้คนไปถามที่หอโอสถแล้วขอรับนายท่าน เป็นเทียบยาขับเลือดจริง ๆ” หลี่หงซวนมองไปทางบุตรชายคนที่สามของตน พบว่าเขามีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก สตรีที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าคือฮูหยินรอง กับอนุภรรยาที่เขารักใคร่ไม่ต่างกัน เหตุใดถึงได้คิดร้ายต่อฮูหยินใหญ่ของเขาได้ เป็นเหตุให้เขาต้องสูญเสียลูกที่อยู่ในท้องของนางไป เดิมทีฮูหยินใหญ่ของเขาก็ตั้งท้องยากอยู่แล้ว เขารอมาตั้งนานกว่าจะมีวันนี้ได้ ไม่คิดมาก่อนว่าจะต้องสูญเสียไปเช่นนี้ “หย่วนเจ๋อนี่เป็นเรื่องในเรือนของเจ้า เจ้าอยากตัดสินเรื่องนี้ด้วยตัวเองหรือไม่” ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามบุตรชาย “ไม่ ข้าไม่อยากเห็นหน้าพวกนางอีกต่อไป แล้วแต่ท่านพ่อเถอะขอรับ ข้าขอตัวไปดูฮูหยินใหญ่ก่อน” หลี่หย่วนเจ๋อคำนับบิดา สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปในทันที หางตายังไม่แม้แต่จะมองสตรีทั้งสองนาง เฉาซูหลิ่งลนลานตามเขาไป “ท่านพี่ช่วยข้าด้วย ข้าไม่ผิดนะเจ้าคะ ท่านพี่ !” แต่ถูกบ่าวรับใช้ขวางทางเอาไว้ หลี่หงซวน “หยุดโวยวายได้แล้วอนุเฉา เจ้าเป็นคนถือถ้วยน้ำแกงใส่ยาขับเลือด ไปมอบให้ฮูหยินใหญ่ด้วยตัวเอง ยังคิดจะหนีความผิดนี้ไปได้อีกรึ” “ท่านพ่อขะข้าข้า...ไม่ผิด” เฉาซูหลิ่งทิ้งตัวไปด้านหลังอย่างหมดเรี่ยวแรง เดิมทีนางก็ไม่เป็นที่โปรดปรานของพ่อแม่สามีอยู่แล้ว เพราะไม่สามารถให้กำเนิดบุตรชายได้ ครั้นได้บุตรสาวก็นิสัยขี้ขลาดขี้กลัว ไหนเลยจะเชิดหน้าชูตาให้ตระกูลหลี่ได้ เฉาซูหลิ่งนั่งเหม่อลอย คล้ายคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขณะที่หลี่หงซวนกำลังประกาศโทษทัณฑ์ของพวกนาง ถูซวงอี้กับคนของนาง ถูกขายออกจากจวน ไปอยู่หอนางโลมอย่างเงียบ ๆ ชาตินี้อย่าได้ก้าวเท้า กลับมาเหยียบที่จวนตระกูลหลี่อีก ส่วนเฉาซูหลิ่งถูกขับไล่ออกจากจวน ไปพร้อมกับบุตรสาว ให้ไปอยู่เรือนร้างของตระกูลหลี่ที่เมืองฉาง ห้ามกลับมาที่ตระกูลหลี่อีกชั่วชีวิต “ท่านพ่อท่านขับไล่ข้าไป ข้ายังพอรับได้ เหตุใดต้องขับไล่เหยาเอ๋อร์ไปด้วย นางเพิ่งจะสิบสองปีเองนะเจ้าคะ” เฉาซูหลิ่งนึกถึงบุตรสาวร่างกายผ่ายผอม นอนซมเพราะพิษไข้อยู่ เกิดนึกสงสารนางขึ้นมาจับใจ ฮูหยินผู้เฒ่าหันไปมองสามีเล็กน้อย นางเห็นเด็กสาวคนนั้นมาตั้งแต่เกิด แม้ไม่ได้เอ็นดูแต่ก็นับว่าเป็นสายเลือดเดียวกัน “ฮูหยินเรื่องนี้ข้าตัดสินใจไปแล้ว ไม่อาจคืนคำได้” คำพูดของประมุขของตระกูล มีหรือใครจะกล้าขัด เฉาซูหลิ่งปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมาดัง ๆ นางโง่งมจนทำให้บุตรสาว ต้องมารับเคราะห์กรรมตามไปด้วย “ลากตัวอนุเฉาออกไป หารถม้าสักคันให้คนส่งนาง ไปที่เรือนร้างเมืองฉาง” คำสั่งของหลี่หงซวนเป็นคำขาด บ่าวไพร่รีบทำตามในทันที ครั้นได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังกับฮูหยินผู้เฒ่า หลี่หงซวนถึงได้บอกเหตุผล ที่ต้องตัดสินใจทำเช่นนี้ นั่นเพราะตระกูลจี้ได้ยื่นคำขาดมา ให้ขับไล่พวกเขาออกไปให้หมด อย่าให้เหลืออยู่แม้แต่ตนเดียว ไม่ต้องการให้คนที่ทำร้ายบุตรสาวของพวกเขา อยู่ระคายสายตาของจี้ชิวหรงอีกต่อไป ฮูหยินผู้เฒ่าแค่นออกมาหนึ่งคำ “อ้างเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ ความจริงแล้วต้องการกำจัดอนุในเรือนบุตรสาวทิ้งให้หมด นี่กระทั่งเด็กคนหนึ่งก็ไม่เว้น แต่ก็เอาเถอะ เหยาเอ๋อร์อยู่ที่นี่ ก็ใช่จะมีประโยชน์อันใด นางไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกเราด้วยซ้ำ ให้นางไปกับแม่ของนางนั่นแหละดีแล้ว” หลี่หงซวนนั้นเป็นเพียงเจ้าเมืองเล็ก ๆ มีตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นที่ห้า ฝั่งตระกูลจี้บ้านเดิมของจี้ชิวหรงนั้น อยู่ในเมืองหลวงมีตำแหน่งใหญ่โตกว่าหนึ่งขั้น เรื่องนี้เขาจึงต้องขบคิด ถึงผลได้ผลเสียในอนาคตอีกด้วย การเสียสละอนุกับหลานสาวคนหนึ่ง เพื่อชดเชยให้แก่คนตระกูลจี้ นับว่าเป็นเรื่องสมควรทำแล้ว “ข้าก็คิดเช่นฮูหยินนั่นแหละ เพียงแต่สะใภ้สามแท้งคราวนี้ ไม่รู้จะยังสามารถตั้งท้องได้อีกหรือไม่ พวกเรารอดูไปก่อนดีกว่า หากนางไม่สามารถตั้งท้องได้จริง ๆ เราค่อยหาอนุมาให้หย่วนเจ๋อภายหลังก็ยังได้ ยามนั้นคนตระกูลจี้จะเอาอะไรมาง้างกับเราได้อีก” “จริงดังท่านว่าเจ้าค่ะ” ฝ่ายเฉาซูหลิ่งที่ถูกคนใช้ ลากตัวออกมาให้เก็บของในเรือน นางส่งเสียงเอะอะโวยวายตลอดทาง พร่ำบอกต้องการพบหลี่หย่วนเจ๋อให้ได้ แต่ถูกสาวใช้ขวางไว้ไม่ให้ไป นางจำใจกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง รีบเก็บของสำคัญใส่ห่อผ้าเพื่อออกเดินทาง
นายพายุ ศิระภาคิณ อายุสามสิบปี นักธุรกิจหนุ่มประธานบริษัทส่งออกผ้าไทย วีรกรรมที่เขาทำไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อน กำลังจะย้อนกลับมา เมื่อนางสาวแพรไหม โภสิกุล ดีไซเนอร์สาวอายุยี่สิบเก้าปี ได้ปรากฏตัวขึ้นหลังจากที่เธอนั้นหายออกไปจากมหาวิทยาลัย กว่าสิบปี โดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งทำให้ท่านประธานหนุ่มเริ่มอยากรู้ชีวิตของเธอ เมื่อครั้งหนึ่งเรือนร่างอันบอบบางอรชรเคยหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับเขามาแล้ว ถ้าหากเขาต้องการสานสัมพันธ์กับเธออีกครั้ง มันก็ไม่แปลกหากเธอนั้นยังโสดแพรไหมจะยังต้องการเขาอยู่หรือไม่ ในเมื่อเธอคิดว่าพายุนั้นเป็นแค่ผู้ชายที่พรากความบริสุทธิ์ไปจากเธอเท่านั้น ซึ่งเวลานี้เธอก็ยังคงมองเขาในด้านลบอยู่ดี แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเป็นสิบปีแล้วก็ตาม "แม่ของหนูชื่ออะไร ตอนนี้อยู่ที่ไหน บอกฉันได้ไหม" พายุถามพร้อมกับจ้องลงไปที่ดวงตาแป๋วของเด็กหญิงตรงหน้า เมื่อเขามั่นใจว่าสายตาจะไม่โกหก "แม่ของหนูชื่อแพรไหม!" เด็กหญิงพูดออกมา พร้อมกับจ้องสายตาคมของผู้เป็นบิดาอย่างไม่กะพริบตา เพื่อยืนยันว่าเธอนั้นไม่ได้โกหก “ฮ่ะ!” พายุอุทานออกมาเสียงดัง ขณะที่หัวใจของเขานั้นเต้นแรง ก่อนจะยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจที่สุดในชีวิต "ถ้าคุณไม่เชื่อ พาหนูไปตรวจดีเอ็นเอก็ได้นะคะ" เด็กหญิงพูดออกมาพร้อมกับมีใบหน้าที่เศร้าหม่น เมื่อเธอคิดว่าบิดาคงไม่เชื่อในสิ่งที่เธอนั้นพูดออกมา "ไม่จำเป็น!" พายุพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแข็ง เพื่อยืนกรานที่จะตรวจดีเอ็นเอ จนทำให้คนฟังนั้นหวาดกลัว เพราะใยไหมคิดว่าบิดานั้นไม่เชื่อใจเธอ "หนูขอโทษที่มารบกวน หนูขอตัวกลับก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ" ใยไหมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ เธอยกมือขึ้นไหว้ผู้เป็นบิดาอย่างนอบน้อม ประหนึ่งว่าจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้วในชีวิตนี้ เมื่อเธอได้สัญญากับผู้เป็นมารดาเอาไว้ หากถูกปฏิเสธแล้วไซร้ จะขอกลับไปไม่กลับมาหาชายตรงหน้าอีกเลยตราบชั่วชีวิต "แล้วหนูจะไปไหน นั่งลงก่อนสิ" พายุพูดพร้อมกับจับร่างเล็กของลูกสาวนั่งลงข้าง ๆ อีกครั้ง "ที่บอกว่าไม่จำเป็น นั่นเป็นเพราะว่าพ่อเชื่อว่าหนูเป็นลูกของพ่อโดยไม่ต้องตรวจดีเอ็นเอ!" พายุพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ใยไหมไม่รอช้าโผเข้าไปกอดผู้เป็นบิดาอีกครั้งในทันที ก่อนจะร้องไห้ออกมาเพราะความดีใจ "ไม่ร้องนะครับคนเก่งของพ่อ" พายุพูดพร้อมทั้งเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาที่แก้มใสของลูกสาวออกจนสิ้น ในขณะที่ตัวของเขาเองก็น้ำตาคลอเช่นกัน "หนูขอเรียกพ่อว่าคุณป๋านะคะ" เสียงเจี๊ยวจ๊าวพูดออกมาอย่างรื่นหู คุณป๋าที่เด็กหญิงพูดนั้น ทำให้พายุอดที่จะหัวเราะออกมาอย่างชอบใจไม่ได้ "ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ทำไมถึงต้องเรียกพ่อว่าคุณป๋าด้วยละ หืม" พายุเอ่ยถามลูกสาวออกมา ขณะที่เขายังคงกอดเด็กหญิงเอาไว้ ด้วยความรักความผูกพันของสายใยระหว่างพ่อลูก ที่มันพันผูกจนมาสามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ "มาดาม ไม่ชอบให้หนูมีพ่อ หนูก็จะมีคุณป๋าแทนยังไงล่ะคะ" คำตอบของลูกสาวทำให้พายุยิ้มไม่หุบครั้งแล้วครั้งเล่า เธอช่างเป็นเด็กฉลาดและร่าเริง ผิดกับแพรไหมมารดาของเธอ ที่ชอบทำหน้าเหมือนแบกโลกทั้งใบเอาไว้ตลอดเวลา "ทำไมถึงเรียกแม่ว่ามาดาม ตอนนี้แม่แต่งงานไปแล้วหรือยัง" เวลานี้พายุลุ้นคำตอบจากลูกสาว หรือแพรไหมจะแต่งงานกับฝรั่งตาน้ำข้าวไปแล้ว ใยไหมถึงได้เรียกเธอว่ามาดาม "แม่ยังไม่มีใคร มีแค่ลุงดนัยที่ชอบมาข้องแวะ แต่หนูไม่ชอบเขาเลย เพราะเขาชอบทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของมาดามอยู่เรื่อย" คำตอบของลูกสาวช่างอิ่มเอมใจ เมื่อแพรไหมไม่มีใครเขาก็พร้อมจะสานสัมพันธ์ แต่งานนี้คงจะยากหากผู้ชายคนนั้นมาข้องแวะ แต่เขามีลูกสาวที่ยืนเคียงข้างแล้วจะกลัวอะไร "ถ้าพ่ออยากจะจีบแม่ต้องทำยังไง" "โอ้! เจ๋งเป้งมากค่ะคุณป๋า เดี๋ยวหนูจะช่วยเอง" ใยไหมพูดออกมาด้วยความดีใจ นั่นคือสิ่งที่เธอปรารถนามาแสนนาน อยากให้บิดามารดาได้ลงเอยกันสักที "ลูกรับปากพ่อแล้วน๊า... " พายุพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่น่ารัก "แต่เราต้องมาทำข้อตกลงกันก่อนค่ะ คุณป๋า" ใยไหม ผละออกจากอกกว้างของผู้เป็นบิดา พร้อมกับหยิบคุกกี้ตรงหน้าเข้าปาก "หิวหรือยัง ไปทานข้าวก่อนดีไหม" พายุเอ่ยถามออกมาด้วยความห่วงใย เมื่อเห็นลูกสาวนั้นหยิบคุกกี้เข้าปากคำโต "เดี๋ยวค่อยไปทานก็ได้ค่ะ แต่เราต้องมาทำข้อตกลงกันก่อน เรื่องที่หนูเป็นลูกสาวของคุณป๋า ห้ามให้ใครรู้ ทุกอย่างจะเป็นความลับระหว่างเราได้ไหมคะ" พายุทำหน้าสงสัยกลับไปให้เด็กหญิง เธอกำลังคิดจะทำอะไร ใครหลายคนคงดีใจหากได้เป็นลูกสาวของท่านประธาน "ทำไมเป็นลูกสาวพ่อมันไม่ดีตรงไหนเหรอ ลูกถึงไม่อยากให้ใครรู้" พายุเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความน้อยใจ เมื่อลูกสาวไม่อยากให้ใครรับรู้ว่าเขาเป็นบิดาของเธอ "เป็นลูกสาวของป๋าดีที่สุดแล้ว แต่หนูไม่อยากให้ใครมองมาดามในทางไม่ดี ทุกคนต้องรู้แน่ สาเหตุที่มาดามต้องออกจากมหา'ลัยกลางคัน" คำบอกเล่าของใยไหมเป็นเหมือนดังคมหอก ที่ทิ่มแทงเข้ามาในหัวใจของพายุ เด็กหญิงตรงหน้าช่างมีความคิดแบบผู้ใหญ่ เธอถูกเลี้ยงมาแบบไหนทำไมถึงได้ฉลาดอย่างนี้ แพรไหมคงดูแลอบรมลูกสาวมาอย่างดี ต่างจากเขาผู้เป็นบิดาที่ไม่เคยได้เหลียวแล "พ่อขอโทษนะ ที่ไม่เคยได้ดูแลหนูเลย ต่อจากนี้ไปพ่อจะไม่ทิ้งหนูกับแม่ให้อยู่กันตามลำพังอีกแล้ว" คำพูดของผู้เป็นบิดากำลังทำให้เด็กหญิงหัวใจพองโต เธอดีใจที่ผู้เป็นพายุไม่ปฏิเสธ แถมเขายังคิดที่จะสานสัมพันธ์กับมาดามของเธออีกครั้ง คงไม่มีอะไรทำให้เด็กหญิงมีความสุขเท่าสิ่งนี้มาก่อนเลยในชีวิต "ก่อนอื่นคุณป๋า ต้องจีบมาดามให้ติดก่อน หนูบอกเลยว่างานหิน มาดามดื้อจะตาย ขนาดลุงดนัยตามจีบหลายปี มาดามยังปฏิเสธทุกครั้ง แต่ลุงดนัยก็ตื้ออยู่ได้" ใยไหมพูดพร้อมกับทำหน้างอ ออกมาได้อย่างน่ารัก "ป๋ามีลูกสาวคอยช่วยจะกลัวอะไร ไปทานข้าวกันดีกว่า เดี๋ยวป๋าจะไปส่งที่บ้าน" พายุพูดออกมาด้วยสายตาที่มีความหวัง เขาคงไม่ต้องใช้นักสืบ ในเมื่อโชคชะตากำหนดให้หญิงสาวเดินเข้ามาในชีวิตของเขาเอง แถมอยู่ดี ๆ ก็ได้ลูกสาวมาหนึ่งคน ที่น่ารักซะจนทำให้เขานั้นอยากไว้หนวด
เซียวหลิ่นตาบอดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ลูกสาวคนรวยทุกคนต่างหลีกเลี่ยงเขา มีแต่สวี่โยวหรานยอมแต่งงานกับเขาโดยไม่ลังเล สามปีต่อมา เซียวหลิ่นกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง จากนั้รเขา็ยื่นข้อตกลงการหย่าเพื่อยุติการแต่งงานนี้ เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า "ฉันพลาดกับชิงชิงมานนานมากพอแล้ว ฉันไม่อยากให้เธอต้องรอนานกว่านี้!" สวี่โยวหรานลงนามในข้อตกลงการหย่าโดยไม่ลังเล ทุกคนต่างก็หัวเราะเยาะเธอตลอด - หัวเราะเยาะว่าที่เธอแต่งเข้าตระกูลเซียวถือว่าเกาะผู้มีอิทธิพลเข้า จากนั้นก็มาหัวเราะเยาะเธอที่ถูกทอดทิ้ง เป็นหญิงที่ไร้ค่า แต่ทุกคนกลับไม่รู้ว่า เธอคือหมออัศจรรย์ที่รักษาดวงตาของเซียวหลิ่นให้หายดี เป็นผู้ออกแบบเครื่องประดับมูลค่าหลักร้อยล้าน ผู้เป็นมือหนึ่งแห่งหุ้นที่ครองตลาดหุ้น และแม้แต่แฮกเกอร์ระดับแนวหน้าและลูกสาวแท้ๆ ของผู้มีอิทธิพล อดีตสามีมาขอร้องขอคืนดี ซีอีโอผู้เผด็จการก็โยนเซียวหลิ่นออกไปนอกประตูอย่างเย็นชา "ดูดีๆ นี่ภรรยาของผม"
ตลอดสิบปีที่ฉู่จินเหอรักเหลิ่งมู่หยวนฝ่ายเดียว เอาใจใส่กับเขาอย่างเต็มที่ แต่เธอไม่เคยคิดว่าที่แท้เธอเป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น ที่สำนักงานเขตเพื่อทำการหย่า เหลิ่งมู่หยวนมองดูฉู่จินเหอด้วยความเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยามว่า "ถ้าเธอคุกเข่าลงและขอร้องฉัน ฉันอาจจะให้โอกาสเธอกอีกครั้ง ฉู่จินเหอเซ็นอย่างไม่ลังเลและออกจากตระกูลเหลิ่ง สามเดือนต่อมา ฉู่จินเหอปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ในเวลานั้น เธอเป็นประธานเบื้องหลังของ LX นักออกแบบลับที่ล้ำค่าที่สุดในโลก และเจ้าของเหมืองที่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ทางตระกูลเหลิ่งคุกเข่าลงและขอร้องให้คืนดีและขอการให้อภัย ฉู่จินเหอแยู่ในโอบกอดของซีอีโอโจว ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตในโลกธุรกิจอย่างมีความุข เธอเลิกคิ้วพลางเยาะเย้ย "ฉันในตอนนี้ไม่ใช่คนที่พวกคุณมาเกี่ยวข้องได้"
"คุณต้องการเจ้าสาว ส่วนฉันก็ต้องการเจ้าบ่าว ทำไมเราไม่แต่งงานกันล่ะ?" ภายใต้เสียงเยาะเย้ยของทุกคน ถังเลี่ยน ซึ่งถูกคู่หมั้นของเธอทอดทิ้งในพิธีแต่งงาน กลับแต่งงานกับเจ้าบ่าวพิการข้างบ้านที่ถูกรังเกียจ ถังเลี่ยนคิดว่าอวิ๋นเซินเป็นชายหนุ่มที่น่าสงสาร และเธอสาบานว่าจะให้ความรักใคร่แก่เขาและตามใจเขาหลังแต่งงาน ใครจะรู้ว่าเขาแกล้งเป็นแบบนั้น... ก่อนแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "เธอต้องสนใจเงินของผมถึงยอมแต่งงานกับผม ผมจะหย่ากับเธอหลังจากที่ผมใช้ประโยชน์เธอเสร็จ" หลังแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "ภรรยาของผมต้องการหย่าทุกวัน แต่ผมไม่อยากหย่า ทำอย่างไรดีล่ะ"
หลังจากแต่งงานมาสามปี เสิ่นเนียนอันคิดว่าตนเองสามารถเอาชนะใจโฮ่วอวินโจวได้ แต่กลับพบว่าเขามีเพียงคนรักแรกอยู่ในใจ "ฉันจะปล่อยเธอไปหลังจากที่เธอคลอดลูก" ในวันที่เสิ่นเนียนอันมีปัญหาในการคลอดบุตร โฮ่วอวินโจวได้พาผู้หญิงอีกคนออกจากประเทศด้วยเครื่องบินส่วนตัว "ไม่ว่าคุณจะชอบใครก็แล้วไป สิ่งที่ฉันเป็นหนี้คุณ ฉันคืนให้หมดแล้ว" หลังจากที่เสิ่นเนียนอันจากไป โฮ่วอวินโจวก็เสียใจ "กลับมาหาฉันอีกครั้งได้ไหม"
© 2018-now MeghaBook
บนสุด