เธอมีแผนร้าย เขามีแผนรัก สมการนี้จึงไม่ลงตัว
เธอมีแผนร้าย เขามีแผนรัก สมการนี้จึงไม่ลงตัว
บทที่ 1 มันแค่เริ่มต้น
ความร้อนระอุของเวลาเที่ยงวันกลางเดือนพฤษภาคมทำให้ผู้คนไม่น้อยเลือกที่จะมาอาศัยหลบแดดหาความเย็นจากเครื่องปรับอากาศภายในร้านกาแฟสไตล์วินเทจที่มีบรรยากาศร่มรื่น ซึ่งมีเจ้าของเป็นชายหนุ่มหัวใจสาวที่เปิดร้านนี้ขึ้นเพื่อเป็นอาชีพเสริม นอกจากงานหลักคือเป็นผู้จัดการคิวงานให้กับนักร้องนักแสดงรวมถึงนางแบบและนายแบบในวงการบันเทิง โดยได้ร่วมหุ้นกับเพื่อนสาวคนสนิทผู้มีอาชีพหลักเป็นที่ปรึกษาการวางแผนให้กับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง ส่วนอาชีพรองนั่นคือเปิดร้านขายของที่ระลึกอยู่ที่จังหวัดลำพูน
โต๊ะด้านในสุดติดกระจกใสบานใหญ่ซึ่งคั่นกลางระหว่างระเบียงไม้ยกพื้นสูงกับตัวร้านให้แยกออกจากกันเป็นที่หมายของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของร้าน ปกรณ์ ตันตระกูล เดินหน้าง้ำขณะที่สองมือใหญ่ยกเครื่องดื่มมาเสิร์ฟลูกค้าสาวที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านนิตยสารรายปักษ์ด้วยความตั้งอกตั้งใจราวกับกำลังเตรียมสอบก็ไม่ปาน
เสียงวางแก้วเครื่องดื่มตามแรงอารมณ์ทำให้หญิงสาวผู้เป็นถึงลูกค้าระดับวีไอพีในความรู้สึกของชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นฉีกยิ้มโชว์ฟันเรียงสวยรับ ดวงหน้านั้นขาวเนียน ดวงตากลมหวานใสถูกคั่นกลางด้วยจมูกโด่ง รับกับริมฝีปากบางที่ยามเผลอใช้ความคิดเจ้าตัวมักจะชอบขบริมฝีปากล่างไว้จนติดเป็นนิสัย เรียวคิ้วโก่งสวยได้รูปกับแพขนตางามงอน ทำให้คนที่พบเห็นอดที่จะอิจฉาในความลงตัวอย่างสมบูรณ์แบบนี้ไม่ได้
“ขอบคุณนะคะเจ๊” เสียงหวานเอ่ยประจบพลางยกแก้วเครื่องดื่มสีขาวขุ่นขึ้นจิบด้วยท่าทางไร้เดียงสา เจ้าของร้านจึงได้ค้อนปะหลับปะเหลือกให้เป็นของแถม
“ย่ะ แม่หุ้นส่วนใหญ่ แค่น้ำแก้วเดียวหล่อนก็ยังไม่มีปัญญาจะยกมากินเองเลยนะยะ”
“โธ่! เจ๊ ยังไงเจ๊ก็ต้องมานั่งกับหนูอยู่แล้วนี่นา เสิร์ฟนิดเสิร์ฟหน่อยทำบ่นไปได้” เมื่อโดนค้อน หุ้นส่วนใหญ่ก็แกล้งทำเป็นค้อนกลับอย่างแง่งอน จนคนโดนค้อนกลับอดที่จะหัวเราะกับท่าทีขี้เล่นของเธอไม่ได้ แล้วชายหนุ่มใจสาวก็ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ อย่างที่เธอว่าไว้ไม่มีผิด
พิชชาภรณ์ ปิยะวรนันท์ เป็นหุ้นส่วนครึ่งหนึ่งของร้านกาแฟแห่งนี้ก็จริง แต่หญิงสาวกลับไม่ค่อยได้ลงมาดูกิจการที่นี่มากนัก เนื่องจากต้องคอยดูแลครอบครัวและร้านขายของที่ระลึกที่จังหวัดลำพูน ทำให้พนักงานบางคนของร้านคิดว่าเธอเป็นเพียงลูกค้าธรรมดา
ร่างบางในชุดเสื้อยืดสีโอลด์โรสปาดคอกว้างโชว์ไหล่เนียนข้างเดียวอย่างมีสไตล์กับกางเกงยีนขาสั้นแค่หน้าขาอวดเรียวขาขาวจนเป็นที่อิจฉาของผู้พบเห็นยักไหล่แลบลิ้นให้อีกฝ่ายอย่างทะเล้น ขณะที่ปกรณ์ย่นจมูกตอบกลับเพียงนิดแล้วเบนสายตาไปทางระเบียงด้านนอกของร้านซึ่งจัดไว้สำหรับลูกค้าที่ต้องการใกล้ชิดกับธรรมชาติ บริเวณนั้นเป็นชานไม้ยกพื้นสูง มีลูกค้าหลายคนจับจองเป็นที่นั่งพักระหว่างวันแม้ว่าอากาศของเมืองหลวงจะร้อนระอุแต่จามจุรีต้นใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขามาปกคลุมก็ช่วยบดบังไอแดดจนเหลือเพียงบรรยากาศร่มรื่นเย็นสบายซึ่งหาได้น้อยนักในเวลาที่พระอาทิตย์อยู่ตั้งมุมเก้าสิบองศากับพื้นโลก
“แล้วนี่ทำไมถึงได้ลงมาหาฉันแบบไม่บอกไม่กล่าวอย่างนี้ล่ะ” เสียงทุ้มที่พยายามบีบให้เล็กแหลมเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย คนที่ลงมาหาแบบไม่บอกไม่กล่าวเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มบางๆ ให้ก่อนตอบ
“เบื่อๆ น่ะค่ะ เลยลงมาหา”
“ฉันเดาว่าคงไม่ใช่แค่เบื่อ”
ปกรณ์หันกลับมาถามอย่างรู้ใจ เพราะผู้หญิงอย่างพิชชาภรณ์หากลองได้เอ่ยคำว่าเบื่ออะไรสักอย่างแล้วละก็ เธอจะไม่มีวันหันกลับไปให้ความสนใจมันอีกเลยหรือเรียกอีกอย่างว่ ถูกเขี่ยออกจากสารบบไปเลย และการที่พิชชาภรณ์บอกว่าเบื่อที่มาพร้อมใบหน้าม่อยลงอย่างเห็นได้ชัดนี่ นั่นย่อมหมายความว่ามีเรื่องอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถเขี่ยออกไปจากสารบบได้
“หนูก็เบื่อไปหมดนั่นละค่ะ ทั้งคุณพ่อคุณแม่ คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย งานที่ร้าน แล้วก็บรรยากาศเดิมๆ ก็เลยลงมาหาเจ๊ไงคะ” ร่ายสมาชิกในครอบครัวครบจบก็แนบหน้าลงซบไหล่อีกฝ่ายอย่างออดอ้อน
แต่ปกรณ์ผู้มีจิตใจเป็นหญิงร้อยเปอร์เซ็นต์รีบชักแขนออกอย่างรวดเร็วพลางส่งค้อนให้อีกที ข้อหาทำเขาผื่นขึ้น เพราะจิตใจเอนเอียงไปเรียบร้อยแล้ว ต่อให้อดีตดาวมหาวิทยาลัยอย่างคนข้างๆ มาฉุดก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจกลับไปมาดแมนสมชายชาตรีได้อย่างเด็ดขาด
“โดนบ่นหรือยังไง” ชายหนุ่มเดา แต่คนตัวเล็กส่ายหน้าพลางคิดไปถึงบุคคลที่เธอเพิ่งจากมา
บ้านของพิชชาภรณ์เป็นข้าราชการกันเกือบทั้งบ้าน ตั้งแต่รุ่นคุณปู่ ยกเว้นอยู่เพียงคนเดียวก็คือทายาทของปิยะวรนันท์ซึ่งกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าเขานี่เอง โดยพิชชาภรณ์ให้เหตุผลว่าไม่อยากเข้าไปทำงานเช้าชามเย็นชามให้เปลืองงบประมาณของรัฐฯ เล่น
หลังจากเกษียณอายุราชการทั้งปู่ย่าตายายและบิดามารดาก็รวมตัวกันเป็นครอบครัวใหญ่ หลานสาว หรือลูกสาวคนเดียวของบ้านจึงต้องรับหน้าที่ดูแลผู้อาวุโสทั้งหก เนื่องจากบิดามารดาต่างก็เป็นลูกโทนด้วยกันทั้งคู่ สุดท้ายหน้าที่ของทายาทเพียงคนเดียวที่ต้องดูแลและสืบทอดวงศ์ตระกูลจึงตกเป็นของเธออย่างไม่ต้องสงสัย
ทั้งพันธุกรรมทางบ้านของบิดามารดาต่างก็มีความเป็นไปได้ที่จะได้ลูกแฝดด้วยกันทั้งคู่ ทั้งย่าและยายที่เป็นเพื่อนสนิทกันจึงพร้อมใจมีลูกแค่คนเดียวเพราะอ้างว่าดีกว่ามีสามคน เมื่อบิดามารดาของเธอที่ถูกจับแต่งงานกันในเวลาต่อมาก็ใช้เหตุผลเช่นเดียวกันนี้ว่า
‘มีคนเดียวดีกว่า...ไม่อยากได้ลูกแฝด’
สุดท้ายพิชชาภรณ์ก็ถูกเลี้ยงมาท่ามกลางการประคบประหงมของเหล่าผู้อาวุโสทั้งหก ตามที่ปกรณ์แอบตั้งฉายาให้อย่างลับๆ
“หรือว่าถูกบังคับให้ไปสอบเป็นครูที่ไหนอีก”
ด้วยค่านิยมของคนต่างจังหวัดต่อระบบราชการยังมีอยู่มากจึงไม่ใช่เรื่องยากที่ปกรณ์จะคาดเดาเช่นนั้น แต่คนไม่อยากเป็นครูเบ้ปากจะร้องไห้ อาชีพที่ต้องไปรบรากับเด็ก...ตัวเล็กๆ ยังพอว่า แต่ถ้าเฮี้ยวแบบพวกประถมฯ ปลายหรือมัธยมฯ เธอคงอกแตกตายแน่ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุณครูที่สอนระดับมัธยมฯ ถึงได้ดูน่าเกรงขามทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิ และปัญญาวุฒิขนาดนั้น
“แหม! เจ๊ล้อเล่น” ปกรณ์ลากเสียงยาวปลอบใจเพื่อนสาวที่ยกให้เขาเป็นพี่สาว เพราะอีกฝ่ายหวาดกลัวอาชีพนี้จริงๆ
“มันไม่ใช่เรื่องงานหรอกค่ะ เพราะตอนนี้อะไรๆ ก็อยู่ตัวแล้ว ลงทุนกับไอ้เอกก็ได้ผลกำไรดี ร้านที่ลำพูนและสวนส้มก็ทำรายได้โอเค แค่ไม่มีสวัสดิการเหมือนพวกข้าราชการเท่านั้น” พิชชาภรณ์เล่าถึงงานบริษัทที่ลงทุนกับเป็นเอกเพื่อนสนิทในกลุ่มซึ่งเธอนั่งดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการวางแผน และกิจการของครอบครัวที่ลำพูนซึ่งค่อนข้างไปได้ดีทีเดียว แต่ติดอยู่ก็แค่เรื่องที่ทำให้เธอต้องหนีลงมากรุงเทพฯ ในครั้งนี้ นึกถึงแล้วก็ถอนหายใจยาวก่อนจะว่าต่อ “แต่ตอนนี้หนูมีปัญหาใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม”
“ไม่ใช่เรื่องงาน แต่เป็นปัญหาใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม?” ปกรณ์ทวนประโยคนั้นช้าๆ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันยุ่งพร้อมกับเหล่ตามองคนพูดอย่างไม่ไว้วางใจ “ปัญหาอะไรยะ อย่างบ้านหล่อนนี่ยังมีปัญหาอะไรอีกเหรอ หรือว่า...” เขาถามลองเชิงก่อนจะร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อคิดว่าคงเหลือเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นแล้วที่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนตรงหน้า “แต่งงาน!”
“เราเลิกกันเถอะ” เขาบอกเธอเช่นนั้น เมื่อถามถึงเหตุผล รมิตาก็ได้รับคำตอบเพียงว่า "พี่เบื่อ"
ตั้งแต่เกิดมา ฉันรู้สึกมีความสุขมากที่สุดก็ตอนนี้.. ก่อนหน้าที่ฉันจะมีความสุข ชีวิตคู่ฉันเกือบจะแตกสลาย.. สามีฉันไม่ค่อยยอมร่วมรักกับฉัน... ในที่สุดฉันก็มีชู้.. และพอสามีฉันรู้.. เขาจะหาทางออกยังไง..
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
ในชีวิตชาติที่แล้ว เพื่อช่วยรักแรกของตัวเอง คนชั่วสามคนได้ทำลายพลังการต่อสู้ของนาง ตัดแขนขาของนางออก ตัดเส้นเลือดของนางและปล่อยเลือดของนางไหลออกมาทั้งอย่างนั้น และทรมานนางจนตาย เมื่อเกิดใหม่ครั้งนี้ นางวางแผนอย่างรอบคอบ โดยสาบานว่าจะให้พวกเขาได้สัมผัสกับความทุกข์ทรมานที่นางเคยประสบมา! รักแรกที่ไร้เดียงสาอะไรกัน ที่จริงก็เป็นเพียงผู้หญิงที่ตีสองหน้าเก่ง อยากจะไต่ขึ้นไปสูงเหรอ งั้นก็จะให้เจ้าปีนขึ้นไป ยิ่งปีนขึ้นสูงมากเท่าไร ตอนตกลงมาก็จะยิ่งเจ็บมากเท่านั้น! พวกสวะสมควรได้รับบาปกรรมของพวกสวะ พวกมันทำชั่วกับนางไปชั่วชีวิตหนึ่ง นางจะทำให้พวกมันไม่ตายดี พวกคนที่เจ้าเล่ห์ ตีสองหน้าเก่ง นางจะจัดการกับทุกคน! แต่นางไม่เคยคิดเลยว่าในการแก้แค้นของนาง นางจะไปมีเรื่องกับเสด็จอาที่เป็นเจ้าแผนการเข้า ที่วัน ๆ ต้องการให้นางจูบและกอดเขาตลอดทั้งวัน ในขณะที่นางแก้แค้นคนชั่วนั้นยังสามารถสนิทสนมกับเสด็จอาด้วย ในความจริงแล้ว การที่เป็นผู้หญิงชั่วๆ ก็มีความสุขมาทีเดียวกว่าที่คิดเลย!
ตอนเด็กถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยว แม่ถูกทำร้าย ฉือเนี่ยนสาบานว่าจะเอาทุกอย่างที่เป็นของตัวเองกลับคืนมา!ครั้งแรกที่กลับมาที่เมืองจิง เธอถูกมองว่าเป็นผู้หญิงที่ไร้การศึกษาและสำส่อนหลายคนบอกว่าลู่เหยียนสือต้องตาบอดแน่ๆ ถึงได้มาสนใจฉือเนี่ยนแต่มีแค่ลู่เหยียนสือเท่านั้นที่รู้ ว่าเธอที่เขารักและทะนุถนอมนั้นมากความสามารถ สามารถสร้างความวุ่นวายให้ทั้งเมืองจิงได้ด้วยตัวคนเดียวเธอคือหมอมือหนึ่ง เธอคือแฮ็กเกอร์มือทอง และยังเป็นนักปรุงน้ำหอมชั้นยอดที่ได้รับการยกย่องจากบุคคลสำคัญคนภายนอก: "คุณลู่ คุณจะเอาใจภรรยาจนไม่มีขอบเขตเลยเหรอ ทำไมแม้แต่ประชุมยังต้องอุ้มเธอไว้ด้วย!"ลู่เหยียนสือ "ต้องเอาใจภรรยาถึงจะรุ่งเรืองเฟื่องฟู"ต่อมาความลับของเธอถูกเปิดเผย ทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนหันมาชื่นชมและยกย่องเธอ...
อวิ๋นหลาน นักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งศตวรรษที่ 25 ได้ข้ามภพและเกิดใหม่ในร่างของหญิงสาวผู้ไร้ประโยชน์ซึ่งมีชื่อเดียวกันในจวนเทพเจ้าแห่งสงคราม รากวิญญาณถูกทำลายไป? บำเพ็ญวิชาไม่ได้? คู่หมั้นถอนหมั้น? ทุกคนหัวเราะเยาะนาง? การควบคุมอสูร ยาพิษ ยาลูกกลอนปีศาจ อาวุธลับ...นางจัดการได้อย่างสบายๆ อดีตผู้ไร้ค่า แต่บัดนี้มาแก้แค้นชาาเจ้าชู้ เอาคืนทุกคนที่รังแกตนเอง ได้ประสบความสำเร็จ และขึ้นไปสู่จุดสูงสุด ผู้แข็งแกร่งอย่าคิดจะทำอะไรตามใจ ผู้อ่อนแออย่าท้อแท้ กล้ามารุกรานข้า งั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือนก็แล้วกัน เขาเป็นจ้าวแห่งอาณาจักรปีศาจ ชอบเอาใจนาง นางฆ่าคน เขาช่วยปิดปาก นางทำลายศพ เขาช่วยกำจัดหลักฐาน เขายอมทำทุกอย่างเพื่อนาง ชีวิตนี้ยอมร่วมทุกข์ร่วมสุขไม่ทอดทิ้งกัน
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
© 2018-now MeghaBook
บนสุด