“เราเลิกกันเถอะ” เขาบอกเธอเช่นนั้น เมื่อถามถึงเหตุผล รมิตาก็ได้รับคำตอบเพียงว่า "พี่เบื่อ"
“เราเลิกกันเถอะ” เขาบอกเธอเช่นนั้น เมื่อถามถึงเหตุผล รมิตาก็ได้รับคำตอบเพียงว่า "พี่เบื่อ"
บทนำ
“เราเลิกกันเถอะ”
เสียงนุ่มทุ้มราวกับไม่รู้สึกอะไรในคำพูดของขุนศึกบอกคนตรงหน้าด้วยท่าทางปกติ ไม่ต่างกับการถามเรื่องสภาพอากาศวันนี้เลยแม้แต่น้อย
ดวงตากลมใสสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองคนพูด พลางย่นคิ้วเข้าหากันอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจนัก คำพูดเมื่อครู่เธอไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม
เขาบอกเลิกเธอ
รมิตากลืนน้ำลายที่เหนียวหนืดลงคออย่างยากเย็น มือที่เพิ่งหยิบของบางอย่างในกระเป๋าออกมาถือชะงักนิ่ง ของที่เธออยากจะให้เขาเห็นที่สุด
“เคทอยากได้เหตุผล”
หญิงสาวพยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่นตามความรู้สึกที่กำลังตีตื้นขึ้นมา วันนี้เธอมีเรื่องสำคัญจะบอกเขา และเขาก็นัดเธอออกมาก็เพื่อบอกเลิก...นี่หรือคือเรื่องสำคัญที่เขาบอก
“พี่เบื่อ”
สั้น ง่าย ไม่ซับซ้อนหรือยุ่งยากอะไรเลยแม้แต่น้อยในความรู้สึกของคนพูด แต่มันช่างซับซ้อนและยุ่งยากเหลือเกินในความรู้สึกของคนฟัง รมิตาพยายามนึกตามและหาเหตุผล แต่นึกเท่าใดเธอก็ยังนึกไม่ออก เมื่อในที่สุดเธอไม่สามารถให้คำตอบได้ หญิงสาวก็ทำเพียงเงยหน้ากลับขึ้นมามองคนที่ได้ชื่อว่าคนรักที่กำลังจะเปลี่ยนเป็นอดีตคนรักในไม่กี่นาทีต่อจากนี้
“อย่างนั้นเหรอคะ”
ไม่มีคำร้องโวยวายอย่างที่เขาอยากให้เธอทำ มีเพียงน้ำเสียงเรียบหวานเย็นเฉียบเท่านั้นที่เอ่ยออกมา น้ำเสียงที่ราวกับไม่รับรู้อะไรในประโยคที่เขาบอก
“ถ้าอย่างนั้นเคทขอตัวกลับก่อนนะคะ”
เมื่อไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ สิ้นคำหญิงสาวในชุดเดรสสายเดี่ยวกระโปรงสั้นลายดอกไม้สีชมพูสดระบายอยู่ทั่วตัวก็ลุกขึ้นยืน มือบางซุกของชิ้นนั้นเข้ากระเป๋าถือใบเล็กดังเดิม ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องตากับเขาอีกครั้ง ก่อนจะข่มความรู้สึกที่มีเพื่อเอ่ยลา
“ลาละค่ะ”
“เดี๋ยว!” คนถูกเอ่ยลาเรียกเอาไว้ก่อนที่เธอจะผละจาก ร่างโปร่งบางอย่างลูกเสี้ยวชาวออสซี่ชะงักกึก ขุนศึกผุดลุกขึ้นมายืนมองตามหลังบางอย่างขลาดๆ
“เคทไม่โกรธพี่ใช่ไหม”
แทนคำตอบ หญิงสาวที่ยืนหันหลังให้ส่ายหน้าจนผมสีน้ำตาลเข้มยาวเลยสะโพกไหวกระเพื่อม
“เคทไม่มีสิทธิ์โกรธพี่ขุนหรอกคะ”
“เรายังเป็นเพื่อนกันได้ใช่ไหม” เขาถามขึ้นอีก หวังใช้มันยื้อเธออีกสักนิด แต่มันคงไม่มีค่าพอที่จะให้เธออยู่ เมื่อคำพูดที่ตอบกลับมานั้นตัดรอนเขาอย่างเห็นได้ชัด เธอไม่โกรธ ไม่อาละวาด และพร้อมจะเข้าใจทุกอย่างได้ชัดเจน
มือบางข้างที่ว่างยกขึ้นเช็ดหยาดน้ำตาที่รื้นขึ้นมาก่อนที่มันจะหล่นลงให้เขาได้เห็นว่าเธออ่อนแอแค่ไหน แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่เขาจะได้เห็น รมิตาไม่อยากให้เขารู้สึกสมเพชเธอมากกว่าที่เป็นอยู่ ผู้หญิงคนหนึ่งที่เฝ้ารักเขามานานหลายปี ผู้หญิงที่ชอบจุ้นจ้านกับชีวิตของเขาจนถูกหาว่ารำคาญครั้งแล้วครั้งเล่า และหลายครั้งที่ถูกมองข้ามความรู้สึก ถูกทิ้งไว้เพียงลำพังนับครั้งไม่ถ้วน แต่ทุกครั้งไม่เคยชัดเจนได้เท่าครั้งนี้ ร่างสมส่วนหันกลับมามองเขาอีกครั้ง รอยยิ้มหวานถูกส่งให้ แต่ดวงตากลับอ่อนแสงลงจนคนมองสบนิ่งไป
“ได้สิคะ ยังไงพี่ขุนก็เป็นรุ่นพี่ แล้วก็ลูกค้าคนสำคัญของที่ร้านเคทนี่นา” ว่าแล้วก็เสมองไปทางอื่น ไม่อยากให้เขาเห็นว่าเธอกำลังจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
“แล้วที่เคทบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะบอกพี่ล่ะ”
ดวงตาคมมองเธอนิ่ง ริมฝีปากเม้มแน่นเมื่อทางที่เขาเลือกเองตอนนี้เป็นได้แค่ลูกค้าคนสำคัญ สิ่งที่ถามออกไปจึงเป็นเพียงแค่การยื้อเวลาให้เขาได้มองเธอเต็มตาอีกสักครั้ง ขอเพียงเท่านั้น ก่อนที่ทุกอย่างมันจะว่างเปล่า...ว่างเปล่าเหมือนบางสิ่งหลุดหาย อกข้างซ้ายกำลังรู้สึกเบาโหวงราวกับบางอย่างไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเดิม ตำแหน่งที่เคยมีต่อแต่นี้จะไม่มีอีกต่อไป แต่ไม่เป็นไรหรอก...เขาเต็มใจ หากสุดท้ายมันจะทำให้เธอมีความสุขมากกว่าที่เป็นอยู่
“มันไม่สำคัญแล้วละค่ะ”
รมิตาตอบกลับเสียงเยาะ ใบหน้าเรียวเงยขึ้นสบตาเขานิ่ง อยากจะจำผู้ชายคนนี้ให้ลึกเข้าไปสุดหัวใจ ไม่สนใจว่าน้ำตาเม็ดหนึ่งกำลังร่วงหล่นลงมาให้เขาได้เห็นหรือไม่ เพราะอย่างไรทุกอย่างมันก็จบอย่างที่เขาอยากให้เป็นอยู่ดี
“ลาก่อนนะคะ”
สิ้นคำลาคำรบสอง ร่างบางก็หมุนตัวเดินกลับออกไป ขาเรียวยาวภายใต้กระโปรงบางพลิ้วก้าวออกไปอย่างไม่มั่นคงนัก แต่เธอต้องทำเป็นเก่งเพื่อไม่ให้เขาดูถูกเธอมากกว่าที่เป็นอยู่ มือข้างที่ว่างล้วงเข้าไปในกระเป๋า หยิบแว่นกันแดดสีชาขึ้นมาสวมปกปิดไม่ให้ใครต่อใครที่เดินผ่านมาเห็นว่าเธอกำลังร้องไห้ ก่อนจะล้วงหยิบวัตถุบางอย่างขึ้นมาอีกครั้ง เผยรอยยิ้มหยันให้กับตัวเองเมื่อก้มมองมัน
แล้วตัดสินใจยื่นของในมือทิ้งลงในถังขยะข้างบันไดระหว่างที่ก้าวออกจากร้านอาหารบรรยากาศร่มรื่นที่มันเป็นร้านโปรด ร้านที่เขาเลือกขอคบหากับเธอในครั้งแรกและบอกเลิกในครั้งล่าสุด แท่งตรวจการตั้งครรภ์ที่มีขีดสีแดงถึงสองขีดอยู่คั่นกลางร่วงหล่นจากมือบางลงถังได้อย่างแม่นยำ
มันจบแล้ว...
ตอนที่ 1 ความรักในความลับ
แลนด์โรเวอร์สี่ประตูสีดำมันปลาบแล่นออกจากเขตรั้วอธิรักษ์โยธินในเวลาเกือบเที่ยงคืน บ้านหลังใหญ่ออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมแบบยุโรปที่ก่อจากหินอ่อนสีขาวมุกทั้งหลังค่อยๆ เล็กลงตามระยะทางที่ห่างออกไป
ขุนศึก อธิรักษ์โยธิน บุตรชายคนที่สามของคุณภาวิน อธิรักษ์โยธิน ประมุขแห่งอาณาจักรอธิรักษ์โยธินกรุ๊ป ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของประเทศกับคุณพัตรา วงศ์สกุล ภรรยาคนที่สาม
‘ลูกเมียน้อย’ นั่นคือความจริงที่กัดกินก้อนเนื้อที่เรียกว่าหัวใจมาตั้งแต่จำความได้
แม้ว่าความอบอุ่นที่ได้รับจากภรรยาทุกคนของบิดาจะทำให้เขาและน้องสาวฝาแฝดอย่างแก้วกานต์ อธิรักษ์โยธิน เติบใหญ่ขึ้นมาจนกระทั่งอายุยี่สิบหกปีบริบูรณ์ แต่ขุนศึกก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเกลียดชังสายเลือดที่ไหลเวียนในตัวนี้มากเหลือเกิน สายเลือดของผู้ชายมักมาก ผู้ชายที่ไม่เคยรักใครจริงนอกจากตนเอง คำหวานละมุนแผ่วกระซิบเป็นเพียงคำลวงให้คุณพัตราในตอนนั้นตายใจ และนั่นทำให้เขาเกลียดคำว่า ‘รัก’ เพราะมันไม่เคยสำคัญเท่า ‘การกระทำ’ และเกลียดชังคำว่า ‘การแต่งงาน’ เพราะมันไม่เคยสำคัญหากว่าคนสองคนไม่ได้อยู่ด้วยกัน
ใบหน้าคมคายออกไปทางเข้มขรึมเพราะผิวกร้านแดดจากการทำงานกลางแจ้งเป็นประจำจ้องมองถนนเบื้องหน้านิ่ง มือทั้งสองข้างยังคงทำหน้าที่กุมพวงมาลัยเอาไว้มั่น ขณะที่ขาทั้งสองข้างก็ทำหน้าที่ของมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท่าทางไม่สนใจใครทำให้คนที่นั่งมาด้วยหน้าม่อยลงอย่างเห็นได้ชัด
รมิตา อัศวกุล ถอนหายใจแผ่วเบาเมื่อถูกคนที่ได้ชื่อว่า ‘คนรัก’ แสดงท่าทีเฉยเมยใส่ ทั้งที่เขาเพิ่งพาเธอไปงานของครอบครัวเป็นครั้งแรกแท้ๆ แม้ว่าความจริงแล้วคนที่เชิญเธอไปจะเป็นสี่ทิศ อธิรักษ์โยธิน พี่ชายคนโตของเขาก็ตาม แต่การได้ออกงานด้วยกันครั้งแรกในฐานะคนรัก เธอควรจะได้รับสีหน้าที่ยินดีมากกว่าใบหน้าบึ้งตึงไม่ใช่หรือ
ดวงตากลมหวานสีน้ำตาลของสาวลูกเสี้ยวออสเตรเลียเหลือบมองช่อบูเก้สีขาวในมือด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เขาคงโกรธที่เธอขัดคำสั่งลุกออกไปรับช่อดอกไม้เจ้าสาวจากภีมชญา ภรรยาคนสวยของสี่ทิศ และนั่นคือต้นเหตุที่ทำให้เธอถูกลากกลับบ้านทันทีที่ส่งตัวคู่บ่าวสาวเข้าหอเรียบร้อย
‘น้องเคทได้ช่อดอกไม้แบบนี้ สงสัยจะเป็นรายต่อไปที่ได้แต่งงานนะคะเนี่ย’
คำสัพยอกจากเพื่อนในกลุ่มของขุนศึกเอ่ยล้อเมื่อเธอเดินกลับมาที่โต๊ะหลังจากไปร่วมพิธีการโยนช่อดอกไม้ของเจ้าสาว และเธอคือผู้โชคดีที่รับช่อดอกไม้ได้ ตั้งแต่นั้นใบหน้าที่ยุ่งอยู่เป็นนิจก็ยิ่งขรึมลงไปอีก เพราะเธอขัดคำสั่งของเขาหลายอย่างเหลือเกิน จากที่เพียงแค่มองและเอ่ยห้ามบ้างกลายเป็นนิ่งเงียบ เฉยชา และไม่คุยกับเธออีกเลยจนกระทั่งถึงตอนนี้
“พี่ขุนคะ” รมิตาเอ่ยเรียก แต่คนที่มีหน้าที่ขับรถกลับยิ่งเพิ่งความเร็วมากยิ่งขึ้นจนเธอสัมผัสได้ ความเร็วคือสิ่งที่เธอหวาดกลัวและเขารู้ดี แต่ที่ชายหนุ่มกำลังทำกลับตรงกันข้าม นี่อาจเป็นบทลงโทษของคนไม่เชื่อฟังเช่นเธอก็เป็นได้
“เคทกลัว”
น้ำเสียงสั่นไหวทำให้เท้าที่กดหนักบนคันเร่งถอนออก การจราจรในเวลาเกือบเที่ยงคืนเช่นนี้ถนนค่อนข้างโล่ง และนั่นเหมือนจะเป็นตัวเรียกสติคนโมโหจนไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม
“เคทขอโทษค่ะ”
“รู้ตัวด้วยเหรอว่าผิด” เสียงทุ้มตอบกลับแทบจะทันทีที่ประโยคนั้นจบลง
รมิตาก้มหน้าคล้ายเด็กที่กำลังสำนึกผิด ความจริงเธอควรจะเชื่อเขา อยู่ในที่ของตนเองโดยไม่ยุ่งวุ่นวายกับเขา และที่สำคัญไม่ควรไปวุ่นวายกับครอบครัวของเขา
“เคทแค่อยากทำตัวให้เป็นประโยชน์เท่านั้น”
“ประโยชน์ของเคทคือการประกาศให้คนทั้งงานรู้ว่ากำลังคบอยู่กับพี่สินะ”
คนฟังน้ำตาเอ่อคลอหน่วย เธอผิดหรือที่อยากจะทำตัวให้เป็นประโยชน์แก่ครอบครัวของเขาบ้าง และเธอผิดหรือที่จะบอกใครต่อใครว่าเธอมากับใคร
“ก็เราคบกันอยู่ไม่ใช่เหรอคะ”
“ใช่ แต่ไม่จำเป็นต้องประกาศให้ใครรู้ก็ได้”
“แต่เราคบกันมานานแล้วนะคะ” เธอท้วงกลับ เขาและเธอคบกันตั้งแต่สมัยเรียนซึ่งมันก็เจ็ดปีมาแล้ว หลายคนเคยบอกเลขเจ็ดคือเลขอาถรรพ์ แต่เธอเชื่อการกระทำและความรู้สึกของตนเองมากยิ่งกว่า สายตาของรมิตามีเพียงขุนศึกไม่ว่าจะวันนี้หรือพรุ่งนี้ ไม่มีใครทำให้ความรักที่เธอมีต่อเขาลดน้อยลงได้ เพราะนับวันมันยิ่งเพิ่มมากขึ้น
จากที่คบหากันลับๆ บางครั้งเธอก็นึกอยากที่จะประกาศให้ใครต่อใครได้รับรู้เช่นเดียวกัน แต่มีเพียงเหตุผลเดียวที่เธอไม่สามารถทำอย่างนั้นได้คือขุนศึกไม่ต้องการให้ใครรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอ เธอไม่รู้ว่าทำไม แต่ก็เลือกที่จะยอมทำตามที่เขาต้องการ
“และมันก็เป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ”
“พี่ขุน” รมิตาครางเรียกชื่อคนข้างกายเบาหวิว “พี่ขุนไม่อยากให้ใครรู้ว่ากำลังคบอยู่กับเคทเหรอคะ”
“ทำไมเคทไม่เข้าใจ” เขาหันมาตวาด “เราก็มีความสุขกันดีไม่ใช่เหรอที่เป็นแบบนี้”
‘คำถาม’ แต่มีเพียงคำตอบเดียวเท่านั้นที่เขาต้องการ และนั่นทำให้รมิตาต้องกล้ำกลืนก้อนแข็งที่จุกอยู่กลางอกให้กลับลึกลงไปสุดหัวใจ
“ค่ะ มีความสุขดี” เธอโกหก
รมิตาคือผู้หญิงธรรมดาๆ ที่อยากได้คำหวานจากคนรัก เป็นผู้หญิงธรรมดาๆ ที่อยากจะบอกใครต่อใครว่าเขาคือคนพิเศษ และเป็นผู้หญิงธรรมดาๆ ที่อยากจะเป็นผู้ได้รับการยอมรับไม่ใช่ผู้หลบซ่อน แต่สิ่งที่เธอทำได้ก็มีเพียงแค่เดินตามทางที่เขาขีดไว้ ทางที่เธอไม่เคยต้องการแต่มันก็ดีกว่าการที่ต้องทะเลาะกันจนสุดท้ายต้องเลิกรากันไป เพราะหากว่าถึงเวลานั้นเธอคงไม่มีแม้แต่แรงที่จะหายใจ
“เข้าใจอะไรง่ายๆ ก็ดี ต่อไปอย่าทำแบบนี้อีก พี่ไม่ชอบ”
“ค่ะ”
รมิตารับคำเหมือนที่ทำมาตลอด เธออาจจะอ่อนแอและหวาดกลัวความเสียใจมากเกินไปจนไม่กล้าแม้แต่จะขัดใจเขา และทุกครั้งที่ทะเลาะกันก็เป็นเธอเองที่ต้องเป็นฝ่ายยอม เพราะต้องการประคับประคองให้ความรักงอกงามเพื่อเฝ้ารอว่าสักวันหัวใจด้านชาของเขาจะเปิดออกและช่วยเธอดูแลต้นรักต้นนี้ไปด้วยกัน
นั่งรีวิวนิยายอยู่ดีๆ จ้าวลี่หลินก็ทะลุมิติมาเกิดใหม่เป็นนางร้ายในนิยายตรงหน้า สวรรค์ข้าเพียงด่านางร้ายผู้นี้ไปสองสามประโยคเท่านั้น เหตุใดต้องกลั่นแกล้งกันถึงเพียงนี้ แล้วสามีผู้นี้มิใช่ว่าเขาคือแม่ทัพผู้เก่งกาจหรือไร เกิดอะไรขึ้นจึงได้มาเป็นชาวสวนแบบนี้ แต่ถึงจะถูกไล่ออกมาเป็นชาวสวนแล้วอย่างไร ไม่ได้เป็นขุนนางก็เป็นคนร่ำรวยได้ มีเงินย่อมมีอำนาจมิใช่หรือ แต่หากอยากกลับไปยิ่งใหญ่อีกครั้งก็ต้องฟังภรรยาอย่างข้า สามี...อยากรวยต้องช่วยข้าทำสวน
"คุณต้องการเจ้าสาว ส่วนฉันก็ต้องการเจ้าบ่าว ทำไมเราไม่แต่งงานกันล่ะ?" ภายใต้เสียงเยาะเย้ยของทุกคน ถังเลี่ยน ซึ่งถูกคู่หมั้นของเธอทอดทิ้งในพิธีแต่งงาน กลับแต่งงานกับเจ้าบ่าวพิการข้างบ้านที่ถูกรังเกียจ ถังเลี่ยนคิดว่าอวิ๋นเซินเป็นชายหนุ่มที่น่าสงสาร และเธอสาบานว่าจะให้ความรักใคร่แก่เขาและตามใจเขาหลังแต่งงาน ใครจะรู้ว่าเขาแกล้งเป็นแบบนั้น... ก่อนแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "เธอต้องสนใจเงินของผมถึงยอมแต่งงานกับผม ผมจะหย่ากับเธอหลังจากที่ผมใช้ประโยชน์เธอเสร็จ" หลังแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "ภรรยาของผมต้องการหย่าทุกวัน แต่ผมไม่อยากหย่า ทำอย่างไรดีล่ะ"
เมื่อสองปีที่แล้ว เพื่อช่วยคนรักในใจ พระเอกถูกบังคับให้แต่งงานกับนางเอก ในใจของเขา เธอเป็นคนน่ารังเกียจและแย่งคนรักของคนอื่น เขาเลยเย็นชาต่อเธอมาตลอด แต่กลับอ่อนโยนและเอาใจใส่กับคนรักในใจถึงเป็นเช่นนี้ เธอยังคงรักเขาอย่างเงียบ ๆ เป็นเวลาสิบปี ต่อมาตอนที่เธอรู้สึกเหนื่อยและอยากจะท้อแท้นั้น เขากลับตื่นตระหนก... เมื่อเธอกำลังจะตายขณะตั้งท้องลูกของเขา ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่าผู้หญิงที่เขายอมเอาชีวิตตัวเองไปแลกนั้นก็คือเธอโดยตลอด
ครอบครัวเสิ่นเลี้ยงดูเซี่ยซางหนิงเป็นเวลา 20 ปี และเธอเองก็ถูกเอาเปรียบมาเป็นเวลา 20 ปีเช่นกัน วันหนึ่ง พวกเขาตามหาลูกสาวตัวจริงพบ และเซี่ยซางหนิงก็ถูกไล่ออกจากตระกูลเสิ่น ได้ยินมาว่าพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอกำลังเผชิญกับความยากลำบากอย่างหนัก แต่ความเป็นจริง พ่อแม่ทางสายเลือดของเธอเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองไห่ เป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดที่ตระกูลเสิ่นไม่สามารถเอื้อมถึงได้ ตระกูลเสิ่นที่คอยดูว่าเซี่ยซางหนิงจะต้องตกอับอย่างน่าสมเพช แต่กลับต้องตกตะลึงซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับตัวตนของเซี่ยซางหนิง ผู้มีอิทธิพลในการเงินระดับโลก วิศวกรระดับแนวหน้า นักแข่งรถอันดับหนึ่งของโลก... เธอยังมีความสามารถที่ซ่อนอยู่อีกกี่อย่างกันแน่ คู่หมั้นยกเลิกการหมั้นกับเซี่ยซางหนิง อย่างไรก็ตาม เมื่อเซี่ยซางหนิงไปออกเดทกับพี่ชายฝาแฝดของเขา เขากลับปรากฏตัวขึ้นและสารภาพรักกับเธอ
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"
เธอถูกบังคับแต่งเข้าตระกูลเสิ่น ทุกคนต่างก็คาดหวังว่าเย่ชิงซีจะสามารถให้กำหนดลูกของคุณชายเสิ่น เสิ่นเซียวเหยาได้ ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในอาการหมดสติ เดิมที่เธอคิดว่าเธอคงจะต้องอยู่เป็นหม้ายไปแบบนี้ตลอดชีวิตนี้แล้ว แต่ไม่คิดว่าสามีเจ้าชายนิทราของเธอกลับฟื้นขึ้นมาได้! ชายหนุ่มลืมตาขึ้น จ้องมองไปยังเธอด้วยสายตาที่เย็นชา "คุณเป็นใคร?" "ฉันเป็นภรรยาของคุณ..." เสิ่นเซียวเหยามีสีหน้างุนงง "ทำไมผมถึงจำไม่ได้ว่าผมมีภรรยาแล้ว ผมไม่ยอมรับการแต่งงานนี้ พรุ่งนี้ผมจะให้ทนายมาจัดการเรื่องหย่า" ถ้าไม่ใช่เพราะคนในตระกูลเสิ่นเข้ามาหยุดเขาไว้ เธอคงจะกลายเป็นภรรยามหาเศรษฐีที่โดนทิ้งในวันที่สองหลังจากการแต่งงานไปแล้ว ต่อมาเธอตั้งครรภ์และวางแผนว่าจะออกไปจากตระกูลเสิ่นอย่างเงียบๆ แต่ชายหนุ่มกลับไม่ยอมปล่อยเธอไป เย่ชิงซียืนยัน"เสิ่นเซียวเหยา คุณรังเกียจฉันมากนักไม่ใช่เหรอ ฉันต้องการหย่า!" เขาลดท่าทีที่เย่อหยิ่งมาโดยตลอดลงและเข้าไปกอดเธอไว้ในอ้อมแขน "ในเมื่อคุณแต่งงานกับผมแล้ว คุณก็เป็นคนของผม คิดจะหย่างั้นเหรอไม่มีทางน่ะ!"
© 2018-now MeghaBook
บนสุด