รู้ว่าไม่อยู่ในสายตา แต่ก็ยังแอบรัก รู้ว่าไม่ควรรัก แต่ไม่อาจห้ามใจ
รู้ว่าไม่อยู่ในสายตา แต่ก็ยังแอบรัก รู้ว่าไม่ควรรัก แต่ไม่อาจห้ามใจ
บทที่1
ปานระพีก้าวลงจากรถแท็กซี่ แล้วเงยหน้าขึ้นมองคฤหาสน์สีขาวหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านสวยเด่นอยู่ตรงหน้าด้วยความน้อยใจ เพราะถึงแม้เธอจะอาศัยอยู่บ้านหลังนี้มาตั้งแต่ยังเด็ก แต่เจ้าของบ้านกลับไม่เคยมีความรักความเอ็นดูให้เธอเลย ซึ่งมันช่างต่างกันลิบลับกับน้องสาวสองคนของเธอที่ผู้เป็นอาให้ความรักความเอ็นดูมากกว่าเห็นๆ
ถึงจะรู้ดีแก่ใจว่าตัวเองไม่ใช่สายเลือดแท้ๆ และไม่มีส่วนเกี่ยวพันใดๆ กับคนที่มีศักดิ์เป็นอาอย่างเก้าเลย แต่ปานระพีก็อดโหยหาความรักจากเขาไม่ได้ พ่อกับแม่ขอเธอมาเลี้ยงจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่เธอยังเด็กเพราะทั้งสองเป็นคนมีลูกยาก นัยว่าขอมาเป็นลูกอิจฉาเพื่อให้ลูกแท้ๆ มาเกิด ตามความเชื่อของคนโบราณ ซึ่งมันก็ได้ผลจริงๆ เพราะหลังจากนั้นอีกสามปี พ่อกับแม่ก็มีลูกแท้ๆ ไล่ๆ กันสองคนคือปอไหมและปลายฝน ทว่านั่นก็ไม่ได้ทำให้ความรักที่พ่อกับแม่มีให้เธอลดน้อยลงเลย ทั้งสองยังคงรักเธอดั่งลูกแท้ๆ ดังเดิม และทุกคนในบ้านก็ปฏิบัติเช่นกัน จะมีก็แต่เก้าคนเดียวที่แสดงออกชัดเจนมาตลอดว่าไม่เคยเห็นเธอเป็นหลาน เขาทำให้เธอรู้ซึ้งถึงคำว่าเลือดข้นกว่าน้ำ ซึ่งเธอคงไม่เป็นเด็กมีปัญหาในสายตาของเก้าแบบนี้ ถ้าหากว่าพ่อกับแม่ไม่จากไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ตั้งแต่เธอกับน้องๆ ยังเด็ก และหลังจากนั้นเก้าซึ่งเป็นน้องชายแท้ๆ เพียงคนเดียวของพ่อ ก็กลายมาเป็นผู้ปกครองของเธอกับน้องทั้งสองแทน
“คุณป่าน...”
เสียงของแม่บ้านวัยห้าสิบกว่าๆ ซึ่งเป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี่ดังขึ้น ทำให้ปานระพีละสายตาจากตัวคฤหาสน์ หันไปมองคนที่เรียกตนซึ่งตอนนี้ยืนอยู่ใกล้ๆ เรียวปากอิ่มสีชมพูระเรื่อคลี่ยิ้มออกมา แล้วโน้มตัวลงให้อีกฝ่ายได้กอด
“ป้าแย้ม”
“โตเป็นสาวเต็มตัวแล้วทูนหัวของป้า ยิ่งโตก็ยิ่งสวย ถ้าคุณเก้ามาเจอคงจำไม่ได้แน่ๆ” ป้าแย้มพิศมองหญิงสาวตรงหน้า พลางยกมือขึ้นลูบแขนเรียวที่เนียนละเอียดด้วยผิวพรรณวัยสาวอย่างชื่นชม
“อาเก้าไม่สนใจป่านหรอกค่ะ ป่านก็แค่กาฝากในบ้าน ไม่อย่างนั้นอาเก้าจะขับไล่ไสส่งป่านให้ไปอยู่ไกลหูไกลตาเหรอคะ” ปานระพีพูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจแกมประชดประชัน เธอยังจำวันที่เธอออกไปจากบ้านหลังนี้เมื่อหกปีก่อนได้ดี เก้าส่งเธอไปเรียนต่อต่างประเทศหลังจากที่เธอกลั่นแกล้งคนรักของเขา ด้วยการแอบเอายาระบายใส่น้ำส้มให้กิน ทำเอาอุษณีย์ท้องเสียอย่างหนักจนถึงขั้นต้องให้น้ำเกลือ เธอยอมรับว่าเธอเล่นแรงเกินไป แต่ก็แค่อยากแกล้งเพราะหมั่นไส้ หลังจากวันนั้นเธอก็ไปขอโทษอุษณีย์ แต่เก้าไม่ยอมยกโทษให้ เขาส่งเธอไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ และไม่ยอมติดต่อเธอเป็นการส่วนตัวใดๆ แค่ส่งเงินไปให้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แม้กระทั่งวันนี้ วันที่เธอจบการศึกษาระดับปริญญาโทและกลับมาจากต่างประเทศ เขาก็ยังไม่ไยดี
“โธ่...นี่ยังไม่หายงอนคุณเก้าอีกเหรอคะ”
“ป่านเปล่างอนนะคะป้าแย้ม ก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อย ว่าแต่ทุกคนที่นี่สบายดีมั้ยคะ” ปานระพีเปลี่ยนเรื่องพูดแล้วทำสีหน้าร่าเริงเหมือนไม่ได้คิดอะไร เธอไม่มีสิทธิ์งอนเขาหรอก ในเมื่อเธอไม่ได้เป็นอะไรกับเขา ไม่ได้เป็น...และไม่มีวันจะได้เป็น...
“สบายดีทุกคนค่ะ คุณหนูปอกับคุณหนูปลายตอนนี้เรียนอยู่กรุงเทพฯ คุณหนูปออยู่ปีสี่ใกล้จบแล้ว ส่วนคุณหนูปลายอยู่ปีสามค่ะ”
“แล้วเอ่อ...อาเก้าแต่งงานหรือยังคะ” ว่าจะไม่ถามก็อดไม่ได้ ถามแล้วก็กลั้นใจฟังคำตอบ ทั้งที่ทำใจมาแล้วว่าป่านนี้เก้าอาจจะแต่งงานและมีลูกไปแล้ว ตลอดระยะเวลาหกปีที่ผ่านมา เธอไม่เคยรู้ข่าวคราวของเขาเลย แม้ว่าจะติดต่อกับน้องสาวทั้งสองอยู่เป็นประจำ แต่ทั้งปอไหมและปลายฝนต่างก็ไม่มีใครพูดถึงเก้าให้เธอฟังเลย อาจเป็นเพราะทั้งสองคนรู้ดีว่าเธอกับเก้ามีเรื่องหมางใจกันอย่างรุนแรง ก่อนที่เธอจะถูกส่งไปเรียนต่างประเทศ
“ยังค่ะ”
คำตอบของป้าแย้มทำให้ปานระพีทั้งโล่งใจและสงสัยไปพร้อมๆ กัน คิ้วเรียวขมวดมุ่น ก่อนจะหลุดปากถามเรื่องที่ตัวเองอยากรู้ออกไปอีกทันที
“ทำไมล่ะคะป้าแย้ม เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ ในเมื่ออาเก้ารักคุณอุษณีย์จะตาย ขนาดป่านแกล้งนิดเดียว อาเก้ายังโกรธป่านเป็นฟืนเป็นไฟ ถึงขนาดส่งป่านไปเรียนเมืองนอกทั้งที่ป่านไม่อยากไป”
“ป้าก็ไม่ทราบค่ะ แต่ตอนนี้คุณอุษณีย์แต่งงานไปแล้ว คงรอไม่ไหวเพราะคุณเก้าไม่ไปขอเสียที”
“แบบนี้คุณเก้าของป้าแย้มก็อกหักแย่ แต่คงไม่เจ็บหนักเท่าไหร่หรอก พอโสดปุ๊บขี้คร้านจะมีสาวๆ มารอดามอกให้เป็นแถว”
“ทำไมคุณป่านพูดเหมือนตาเห็นเลยคะ” ป้าแย้มพูดยิ้มๆ นั่นทำให้สีหน้าของปานระพีเจื่อนไปอีกหน
“เดายากซะที่ไหนล่ะคะ คนเจ้าเสน่ห์พรรค์นั้นโสดได้ไม่นานหรอกค่ะ แล้วนี่อาเก้าอยู่บ้านไหมคะ ถ้าอยู่ป่านจะได้ไปรายงานตัว เดี๋ยวจะหาว่าป่านไม่เห็นหัวอีก”
“ไม่อยู่หรอกค่ะ เข้าเมืองตั้งแต่เช้าแล้ว”
อาเก้าเข้าเมืองแต่กลับไม่ยอมไปรับเธอที่สนามบิน ทั้งที่เธออุตส่าห์ส่งข่าวหาเขาเป็นครั้งแรกในรอบหกปี...แบบนี้ถ้าไม่เรียกว่าไม่สนใจไยดี จะให้เรียกว่าอะไร
“งั้นป้าแย้มพาป่านขึ้นห้องเถอะค่ะ ถ้าอาเก้ากลับมาป่านค่อยมารายงานตัว”
“ค่ะคุณป่าน”
เธอ...รักอย่างภักดีและเจียมใจ เขา...จ้องแต่จะทำลาย เลยทำทุกอย่างเพื่อหลอกให้รัก สุดท้าย...สิ่งที่เธอได้รับการตอบแทน จากรักที่แสนภักดีก็คือคำว่า ง่าย ที่เขาตะโกนใส่หน้าอย่างไม่คิดแม้แต่จะสงสาร
ศาสตรา ภูวเดชาธร คือผู้ชายที่ ภัคธีมา บอกตัวเองว่าเขาช่างร้ายกาจสมกับชื่อ ผู้ชายคนนี้พร้อมจะฟาดฟันให้เธอย่อยยับแหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทั้งๆ ที่เธอคือว่าที่น้องสะใภ้ หรือเขารังเกียจว่าเธอจน ไม่คู่ควรกับคนในตระกูลภูวเดชธรเจ้าของไร่ที่ใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่ เขาจึงกีดกันเธอกับน้องชายเขาทุกวิถีทาง แม้ภัคธีมาพยายามจะไม่ข้องแวะกับเขา หากทว่าในที่สุด โชคชะตาก็กลั่นแกล้ง ให้ต้องตกไปอยู่ในบ่วงพันธนาการของเขาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ภัคธีมาจึงได้แต่นับวันรอ… รอวันที่กริชผู้แข็งกร้าวอย่างเขาจะปลดปล่อยเธอให้เป็นอิสระ แต่ครั้นเมื่อถึงเวลาจริงๆ มันกลับไม่ง่ายเลย เพราะหัวใจที่แสนอ่อนไหวถูกบ่วงเสน่หาร้อยรัดเอาไว้อย่างแน่นหนา
ร่างบางดำดิ่งลึกลงเรื่อยๆ ร่างกายทุรนทุรายเพื่อความอยู่รอด แต่ใจเธอยอมแพ้แล้ว มันอึดอัด มันหนาวเหน็บ นี่สินะความตาย ความตายของเธอที่พี่อิสร์ต้องการ เอมทำให้แล้วนะคะ หวังว่าการกระทำของเอมในครั้งนี้ จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เอมทำให้พี่อิสร์มีความสุข ขอให้ความรักความแค้นระหว่างเราจบลงแค่นี้ เอมเจ็บ เจ็บจนไม่อยากจะหายใจแล้วเช่นกัน ขอบคุณที่บอกให้เอมมาตาย มันน่าจะเป็นหนทางดับทุกข์ที่ดีที่สุดของเอมแล้ว ลาก่อนค่ะพี่อิสร์...
เมื่อเด็กที่อยู่ในอุปการคุณของผู้เป็นบิดาทำท่าว่าจะเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นแม่เลี้ยงของเขา ภาคิม วัชรอาชา ผู้ชายที่แสนจะหยิ่งยโสจึงยอมไม่ได้ สู้ให้บิดามีนางบำเรอเป็นร้อยเหมือนกับนางในฮาเร็มของสุลต่านยังจะดีเสียกว่าให้เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างนั้นมาร่วมสกุล เขาสลัดคู่ควงทุกคนทิ้งแทบจะทันทีแล้วหันมามุ่งมั่นกับการกำจัดว่าที่แม่เลี้ยงและจัดการลงทัณฑ์ผู้หญิงไม่เจียมตัวให้รู้สำนึกว่าอย่างมากเธอก็เป็นได้แค่ ‘นางบำเรอ’ เท่านั้น วิโรษณา ดุษยา เพื่อตอบแทนบุญคุณของผู้มีพระคุณ สาวน้อยไร้เดียงสาจึงต้องยอมตกเป็น ‘เมียบำเรอ’ ของผู้ชายกักขฬะไร้หัวใจโดยไม่ยอมปริปากบ่น และไม่แม้แต่จะเรียกร้องความสมเพชใดๆ จากเขา เพราะรู้ว่าในสายตาของซาตานร้าย ผู้หญิงข้างถนนอย่างเธอมีค่าไม่ต่างอะไรกับขยะชิ้นหนึ่งเท่านั้น “คุณภาคิม ได้โปรดอย่าทำกับปุ้มแบบนี้” “ฉันมีสิทธิ์ลงโทษเธอตามวิธีของฉันวิโรษณา” เสียงเขาแหบกระเส่า วิโรษณาดิ้นอย่างกระสับกระส่าย ทำไมเขาไม่ลงโทษเธอด้วยการเฆี่ยนตี หรือให้อดข้าวอดน้ำ ขังไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันก็ได้ เขาไม่รู้หรือไงว่าทำแบบนี้ร่างกายของเธอปั่นป่วนและกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยความทรมานอันแสนวาบหวาม ลิ้นร้อนดั่งไฟนาบจุมพิตทั่วทุกอณูเนื้อของดอกไม้แสนฉ่ำหวาน ก่อนจะแทรกลิ้นชื้นเข้าไปรุกรานความอ่อนนุ่มที่นิ้วเรียวของเขาได้สัมผัสมาแล้วก่อนหน้านี้ สาวน้อยพยายามตั้งสติไม่ปล่อยการกระทำไปตามอารมณ์เร่าร้อนที่กำลังรู้สึกอยู่ แต่ลิ้นอุ่นจัดของคนแสนชำนาญก็แทรกลึกเข้าไปในความอ่อนนุ่มกลางกายด้วยจังหวะอันร้ายกาจอย่างไม่หยุดหย่อน ใบหน้าสวยแดงซ่านด้วยอารมณ์ร้อนแรง มือเล็กจิกลงบนที่นอนและขยุ้มจนยับย่นเพื่อระบายความซ่านสยิวที่กำลังโรมรันกายสาวอย่างหน่วงหนัก ร่างบางกระตุกไหว คิ้วสวยขมวดนิ่วด้วยอารมณ์สะท้านซ่าน หลงใหลไปกับสัมผัสของเขาจนเผลอยกสะโพกขยับไปมาเบาๆ ปลายลิ้นหนาลากถูไถขึ้นลงตามกลีบกุหลาบแสนสวยที่เปียกชุ่มไปด้วยความฉ่ำหวาน สองขาเรียวสั่นระริกๆ เมื่อชายหนุ่มเริ่มออกแรงกดปลายลิ้นแตะต้องแรงขึ้น
เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับว่าที่เจ้าบ่าวในคืนแต่งงาน ทำให้พรรษรดาต้องเข้าพิธีกับน้องชายของเจ้าบ่าวแทน แม้วิวาห์ครั้งนี้จะเป็นเพียงวิวาห์สมมติในความรู้สึกของเขาและเธอ หากทว่าความรู้สึกที่เก็บซ่อนไว้ข้างในนั้นต่างหากที่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เธอจะกล้าบอกความในได้อย่างไร ว่าแท้จริงแล้วผู้ชายที่เธอมีใจใฝ่ปองและอยากแต่งงานด้วยจริงๆ ก็คือเขา ในเมื่อผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าสามี เอาแต่เฉยเมยเย็นชาใส่ ซ้ำยังเอ่ยปากขอหย่าอยู่หลายครั้ง พรรษรดาจะจัดการปัญหาหัวใจครั้งนี้อย่างไรดี ในเมื่อยิ่งเขาทำให้เจ็บ หัวใจไม่รักดีก็ยิ่งรักเขามากขึ้นๆ เธอควรรั้งเขาไว้ให้เป็นสามีในนามเพื่อทรมานใจกันเล่นๆ หรือว่าปล่อยเขาไปให้สมรักกับผู้หญิงอื่นตามที่เขาร้องขอ ***ตัวอย่าง*** “ฉันรักเธอพรรษรดา ฉันรักเธอ รักเธอคนเดียว” เขาสารภาพออกมาเสียงแหบห้าว นัยน์ตาหม่นมัวไปด้วยแรงรักแรงปรารถนาที่อัดแน่นอยู่ข้างใน “คุณภู...” “หัวเราะสิ หัวเราะเยาะฉัน หัวเราะไอ้ผู้ชายหน้าโง่ที่มันเป็นทาสรักของเธออย่างโงหัวไม่ขึ้นมาตลอดหลายปี หัวเราะเยาะไอ้ผู้ชายหน้าโง่ที่ตัดใจไม่ได้เสียที” คำสารภาพของเขาเหมือนระลอกคลื่นยักษ์ที่กระแทกโครมเข้าใส่หัวใจดวงน้อยของพรรษรดา เธอถึงกับร้องไห้สะอึกสะอื้นเพราะแบกรับความรู้สึกอันท่วมท้นนั้นไม่ไหว “ฉันมันคงน่าสมเพชมากสินะ” ร่างใหญ่ขยับตัวเหมือนจะถอดถอนออกไป แต่พรรษตวัดขารัดรอบเอวสอบไว้แน่น ทำให้เขาดำดิ่งเข้ามาฝังลึกอยู่ในช่องสาวอีกครั้ง “อย่าบังอาจลุกจากตัวพรรษ” เธอแหวใส่เขาเสียงดังลั่น ตัวสั่นเทาเพราะความรัญจวนและความเต็มตื้นในหัวใจ “พรรษรดา...” “อย่าคิดว่าจะผลักไสพรรษง่ายๆ อีก รู้มั้ยว่าพรรษรอนานแค่ไหน รู้ไหมว่าต้องเสียน้ำตาไปกี่ครั้งเมื่อคิดว่าตัวเองรักคุณภูข้างเดียว อย่ามาบอกรักพรรษ ล้อเล่นกับหัวใจพรรษแล้วหนีไปง่ายๆ อีก พรรษไม่ยอมอีกแล้ว คราวนี้พรรษจะตามรังควานไปตลอดชีวิตเลย อย่าหวังว่าจะได้มีโอกาสมีความสุขกับผู้หญิงคนไหน อย่าหวังว่าจะได้บอกรักใครอีก เพราะคำว่ารักของคุณภูจะเป็นของพรรษคนเดียวตลอดไป”
ในเมื่อเธอเป็นเมียที่ได้มาจากการทรยศ ความรู้สึกเดียวที่เธอจะได้รับจากเขาก็มีแค่ ความชัง เท่านั้น อย่างหวังว่า เขาจะเลิกชัง อย่าหวังว่า เขาเหลียวแล อย่าหวังว่า จะได้แม้แต่เศษเสี้ยวความรักของเขา นภัทรบอกตัวเองเช่นนั้น อย่างหนักแน่นอยู่เสมอ แต่ความเกลียดชังโกรธแค้นของเขามันน้อยลงตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือเป็นเพราะนัยน์ตาเศร้าๆ ซื่อๆ ของเด็กคนนั้น ที่มันค่อยๆ เขย่าความเย็นชาในหัวใจเขา ให้กลายเป็นความรู้สึกอื่น
จากอดีตนักล่าซอมบี้ในวันสิ้นโลกต้องผันตัวเป็นสาวน้อยชาวไร่สุดแกร่งที่ต้องช่วยแม่และน้องสาวให้รอดพ้นจากญาติพี่น้องมหาภัยและความยากจน เปิดธุรกิจร่ำรวยใหญ่โตเอาให้เหลือกินเหลือใช้ไปทั้งชาติ!
ตั้งแต่เกิดมา ฉันรู้สึกมีความสุขมากที่สุดก็ตอนนี้.. ก่อนหน้าที่ฉันจะมีความสุข ชีวิตคู่ฉันเกือบจะแตกสลาย.. สามีฉันไม่ค่อยยอมร่วมรักกับฉัน... ในที่สุดฉันก็มีชู้.. และพอสามีฉันรู้.. เขาจะหาทางออกยังไง..
ซ่งชิงเหอโดนหักหลังและกลายเป็นฆาตกรในสายตาคนอื่น เธอจึงหย่ากับสีจั้นถิง สามีของเธอ และเดินทางออกจากเมืองหวยไปด้วยความเกลียดชัง หกปีต่อมา เธอหวนกลับมาราวกับนกฟีนิกซ์พร้อมกับคู่แข่งของสามีเก่าเธอ เธอเติบโตขึ้นกลายเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่ง เธอสาบานกับตัวเองว่าจะทำให้ทุกคนต้องชดใช้ในสิ่งที่พวกเขาทำไว้กับเธอ เธอยอมร่วมมือกับเขาเพียงเพื่อแก้แค้น โดยไม่รู้เลยว่าเธอตกเป็นเหยื่อของเขาไปแล้ว ในเกมแห่งความรักและความปรารถนา ไม่มีใครรู้ว่าสุดท้ายแล้วผู้ชนะที่แท้จริงจะเป็นใคร
หลังจากแต่งงานกันมาสามปี เวินเหลี่ยงก็ยังไม่เคยได้ความรักจากฟู่เจิ้งแต่อย่างใดเลย เมื่อรักแรกของเขากลับมา สิ่งที่รอเธออยู่คือหนังสือการหย่า "ถ้าฉันมีลูก คุณยังเลือกหย่าไหม?" เธออยากจับโอกาสสุดท้ายนี้ไว้ แต่แล้วมีแต่คำตอบที่เย็นชาว่า "ใช่" เวินเหลี่ยงหลับตาและเลือกที่จะปล่อยมือ ...ต่อมาเธอนอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยความสิ้นหวังและลงนามในข้อตกลงการหย่า "ฟู่เจิ้ง เราไม่ได้เป็นหนี้กันอีกต่อไปแล้ว..." ชายที่มีความเด็ดขาดและเย็นชามาโดยตลอดนอนอยู่ข้างเตียงขอร้องให้อีกฝ่ายกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบา "เหลียง ได้โปรดอย่าหย่าได้ไหม?"
นางขอสมรสพระราชทานเพราะรัก แต่คืนแต่งงาน เขารังเกียจนางและทิ้งไป ห้าปีผ่านไปพระชายาที่ถูกลืม กลับเป็นสตรีที่เขาต้องตามจีบ และศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของเขาก็คือลูกชายของตนเอง
© 2018-now MeghaBook
บนสุด